สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ม้งขาว,ม้งเขียว,เจ้าที่และวิญญาณบรรพบุรุษ,ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม,คนทรง,เทพของคนม้ง,ความเชื่อหลังความตาย,ฮวงจุ้ย,ทิศและเขตแดน,ลัทธิเต๋า,เทวนิยมของคนม้ง,เศรษฐกิจชายขอบ,เศรษฐกิจพึ่งพิงตนเอง
Author Howard M. Radley
Title Economic Marginalization and the Ethnic Consciousness of the Green Hmong (Moob Ntsuab) of Northwestern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 472 Year 2529
Source The Institute of Social Anthropology, Faculty of Anthropology, Oxford University.
Abstract

ในวิทยาพนธ์เล่มนี้ ผู้เขียนได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ลงตัวระหว่างแนวความคิดในเรื่องความเสมอภาคและแนวความคิดในเรื่องระดับชนชั้น ซึ่งได้สร้างลักษณะเฉพาะของม้งทั้งแนวคิดและการกระทำ สิ่งที่เรียกว่าการแกว่งไกวไปมาไม่แน่ไม่นอนระหว่างปรัชญาการปกครองแบบผู้มีอำนาจเด็ดขาดและการปกครองแบบประชาธิปไตยได้รับการสังเกตการณ์อย่างทั่วถึงกับประชาชนบนที่ราบสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เขียนเชื่อว่าการที่เราจะเข้าใจแนวความคิดของคนม้ง เราต้องมองไปยังประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของคนม้ง ผู้เขียนได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของโลกของความสว่างและโลกของความมืด การแบ่งเช่นนี้เป็นไปตามความแตกต่างของคนม้งระหว่างภาคกลางวันที่มีแก่นเนื้อหาของความเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ และภาคกลางคืนในโลกของความลี้ลับในเรื่องของจิตวิญญาณ ส่วนแรกจะให้รายละเอียดความเข้าใจถึงประวัติความเป็นของคนม้ง รวมถึงระบบเศรษฐกิจในหมู่บ้านที่ทำการศึกษาครอบคลุม 3 หมู่บ้านคนม้งของไทย โดยการตรวจสอบถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานที่มีการติดต่อกับรัฐจีน และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับคนในพื้นที่ราบ ผู้เขียนคาดหวังว่าจะได้กรอบในมุมมองของคนม้ง ในส่วนที่สอง ผู้เขียนในบรรยายถึงโลกทางจิตวิญญาณของคนม้ง ผ่านทางการเข่าถึงพิธีกรรมของคนม้ง ทั้งพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พิธีศพ ตำนานเทพยดาต่างๆ และและพิธีกรรมการทรงเจ้าเข้าผี ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าความความแตกต่างระหว่าง ความเป็นชุมชนของครอบครัวขยาย กับพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ และความเป็นปัจเจกบุคคลของผู้เข้าทรงเจ้า กับการเข้าสู่สภาวะที่แวดล้อมด้วยระดับชั้นของวิญญาณ แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนระหว่างความต้องการของตัวเองในความเสมอภาคของระดับชนชั้นสังคม และความต้องการเข้าสู่การได้รับการปกครอบในระบบชนชั้นแบบกษัตริย์ โลกทั้งสองของคนม้งเป็นส่วนที่เสริมกันและกัน และในแนวคิดของโลกทางจิตวิญญาณก็เปลี่ยนจากสมมุติโลกสู่การขยายความคิดแบบคนพื้นราบและแบบรัฐมากขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าการที่ชนเผ่าม้งจะปรับเปลี่ยนตัวเองจากลักษณะถดถอยในปัจจุบันที่ถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธ์ที่อยู่เพื่อการยังชีพและเป็นครอบครัวเกษตรกรรมขยาย เป็นผู้พ่ายแพ้และเป็นชนกลุ่มน้อยตลอดกาล ไปสู่การสร้างอาณาจักรของตัวเองได้นั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเกิดสงครามกลางเมืองและสังคมม้งมีความโกลาหล สุดท้าย ผู้เขียนแย้งว่า การมีอยู่ของอัตลักษณ์ของเชื้อชาติไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะถูกมองอย่างแยกส่วนจากรูปแบบทางความสัมพันธ์ทางสังคมที่กว้างกว่า และยังได้เปรียบเทียบถึงความตระหนักในเชื้อชาติของคนม้งเองกับจิตสำนึกทางชนชั้นในสังคมทุนนิยม (หน้า III)

Focus

งานวิจัยนี้แบ่งเป็นสองส่วน 1. ส่วนแรกเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ โดยจะเข้าไปตรวจสอบประวัติศาสตร์ของคนม้ง ซึ่งจะเน้นในสองส่วน คือ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์มีผลอย่างไรต่อบทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างไร และ นำไปสู่การก่อรูปของตำนานเทวนิยมและพิธีกรรมของม้งอย่างไร 2. เรื่องของตำนานลัทธิเทวนิยมและความเชื่อ แบ่งเป็นส่วนแรกเกี่ยวข้องกับพีธีกรรมทั้งในปัจจุบันและเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงคนม้งในลักษณะชนชายขอบ และยังนำมาสู่กรอบความคิดในการกระทำในนัยยะทางการเมือง ส่วนนี้อธิบายโลกในส่วนของคนม้ง โลกของวิญญาณและบรรพบุรุษที่ล่วงลับ โดยประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. เรื่องเล่าของการเดินทางสู่วิญญาณโลกของผู้ทรงเจ้า 2 เรื่องราวของวิญญาณผู้ที่ตายแล้วในการเดินทางสู่โลกบรรพบุรุษ และ 3. ตำนานของเทวนิยม (หน้า 1-3 )

Theoretical Issues

ผู้เขียนได้ใช้ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ภาพของเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือนำทางเพื่อเข้าไปตรวจสอบและอธิบายถึงกรอบของความเชื่อและแนวความคิดเชิงวิญญาณวิทยา รวมถึงเชิงอุดมคติของคนม้ง

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเขียวที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ม้งเป็นภาษาท้องถิ่นของภาษาเย้า ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของภาษาสาขาแม้ว-เย้า โดยมีภาษาท้องถิ่น 70 ภาษา Matisoff ได้สืบสาวเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และพบว่า มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มม้งและเขมร กลุ่มชนชาวไต, กลุ่มโปรโต-ออสตริค (Proto-Austric) และกลุ่มชาวจีนทิเบต นอกจากภาษาถิ่นของม้งขาวและม้งเขียว ในงานวิจัยนี้ใช้ภาษาเย้า แม้วในงานวิจัยนี้หมายถึง คนพูดภาษาแม้วที่อาศัยอยู่ในจีน มีประมาณ 4 ล้านคน ส่วนคนม้งเขียวและม้งขาวในไทย เป็นชาวแม้วที่อพยพมาสู่ขอบนอกสุด และไกลออกมาจากดินแดนถิ่นกำเนิดของจีน นอกจากนี้ยังมีภาษาม้งที่แยกย่อยออกไปอีกในเรื่องของตัวอักขระ ซึ่งมีพัฒนาการมาหลายรูปแบบ รูปแบบ Pollard มาจากมิชชันนารี่ และอักขระแบบของจีน โดย Lemoine, Savina alphabet แบบเวียดนาม และแบบอักษรลาว สำหรับคนที่อ่านภาษาอังกฤษ รูปแบบของ Lyman ที่ช่วยในการออกเสียง อย่างไรก็ตามรูปแบบที่แพร่หลาย คือ Barney-Smalley และของลาว ที่นิยมในบรรดาม้งที่อาศัยอยู่นอกประเทศจีน ในพจนานุกรมในระบบ Barney-Smalley ได้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างม้งขาวและม้งเขียว ทั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อสร้างอัตลักษณ์ทางภาษาที่เป็นของตัวเองของม้งเขียว (หน้า XIX-XXII)

Study Period (Data Collection)

18 เดือน ช่วงปี 1986 (หน้า IX)

History of the Group and Community

ก่อนหน้านั้นประวัติศาสตร์ของม้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับจีน ช่วงปี 210 BC ตั้งสมัยราชวงศ์ฉิน 1 จังหวัดทางใต้ของจีนปัจจุบัน Szechuan, Yunnan, Kweichow และ Kwangsi Chuang ยังไม่ได้ถูกครอบครองโดยจีน ซึ่งคือชนชาติฮั่น แต่เมื่อปี 100 BC สมัยราชวงศ์ฮั่น พื้นที่ส่วนนี้ได้กลายเป็นของจีนไป ปี ค.ศ. 700 อาณาเขตนี้ได้กลับกลายเป็นสภาพเดิมในช่วงปี 210 BC จนกระทั่งราชวงศ์หมิง ปี ค.ศ. 1580 อาณาเขตครึ่งหนึ่งที่เคยถูกปราบปรามโดยรัฐจีนเมื่อ 1600 ปีก่อน ก็ได้ฟื้นตัวขึ้น ตามมาด้วยการมาถึงของประเทศนักล่าอาณานิคมจากตะวันตก บันทึกล่าสุดของกลุ่มชาติพันธุ์แม้ว นี้ย้อนไปถึงช่วงปี 2255-2206 BC ตามตำนานของ Emperor Shun ชนชาติพันธุ์ที่มีชื่อว่า Miao-Min, Yu-Miao, หรือ San-Miao ถูกกล่าวกันว่าเป็นผู้ครอบครองดินแดนทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซี ซึ่งมีพื้นที่อยู่เหนือขึ้นจากพื้นที่ปัจจุบันทางตะวันตกฉียงใต้ของจีน (หน้า 12-13) ตามบันทึกของ Lo Jao-tien ซึ่งเป็นผู้ว่าการมณฑลยูนนานและไกวโจวได้กล่าวถึง ช่วงเวลาของการปกครองภายใต้ Yao และ Shun ว่า หลังจากการเสื่อมสลายของ Kao-hsin หัวหน้าเผ่า San-Miao ได้สถาปนารัฐขึ้น ในอาณาเขตแถบนี้ มีพื้นที่ระหว่าง ทะเลสาบ Tung-ting และ Peng-li ซึ่งได้ครอบคลุมมาถึง 4 จังหวัดทางใต้ของจีน เมื่อ Yao ขึ้นสืบราชบัลลังก์แทน Kao-hsin เขาได้เข้าปราบปรามชนเผ่า San-Miao ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ยังมีการลุกฮือขึ้นกบฎอยู่เป็นระลอกๆ เมื่อ Emperor Shun ขึ้นครองอำนาจ (2205-2198 BC ) ได้ทำการปราบปรามต่อ แต่ก็ไม่สามารเอาชนะได้เด็ดขาด ในตำนานเทพของแม้วในจีนได้มีการบันทึกถึง Ch’ih-yu ซึ่งถือว่าเป็นกษัตริย์ของชาวแม้ว สิ่งที่พอจะกล่าวได้ก็คือ San-Miao หมายถึง กลุ่มแม้ว 3 ชนเผ่ารวมกันขึ้นต่อต้านชาวฮั่น (หน้า 13-14) งานของ Lo Jao-tien เพิ่มเติมว่า มีการส่งเครื่องบรรณาการจากหัวหน้าเผ่าแม้ว ในรัฐ Tsang-ko ช่วงปี 681-677 BC ต่อมา รัฐนี้ได้ถูกรวมเข้ากับรัฐ Ch’u ในอาณาจักร Tai กษัตริย์ Ch’u ก็ถูกปราบโดยกษัตริย์ Wu (140-720 BC ) ในระหว่างช่วงการขยายอำนาจของอาณาจักร Ch’in (ฉิน) ลงมาทางใต้ของราชวงศ์ฮั่น จากชัยชนะครั้งนี้ ได้มีการอพยพผู้คนลงมาทางใต้ ของคน 4 ตระกูลใหญ่ คือ Lung, Fu, Tung และ Yin ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบรรพบุรุษของ ชาว Miao สืบต่อมา เช่น ครอบครับ Lung (ทั้งนี้เรื่องนี้ใกล้เคียงกับเรื่องของจักรพรรดิ จิ๋นซี) (หน้า 14-15) ยุคต่อมาในสมัยสามก๊ก แม่ทัพคนสำคัญคนหนึ่งนามว่า จูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) ได้นำระบบการปกครองที่ให้หัวหน้าชนเผ่าในชนกลุ่มน้อยเป็นผู้ปกครอง “Native Lords” หรือ “Native Princess” นอกจากนั้นแล้ว ยังให้สามารถสืบนามสกุลได้อย่างชาวจีนทั่วไป วิธีนี้ทำให้ผู้อย่างใต้ปกครองรับเอาการสืบสกุลไปใช้ด้วย การใช้ชื่อสกุลตามธรรมเนียมจีนได้เอื้อประโยชน์ต่อชนกลุ่มน้อย ในเรื่องของสิทธิ์ตามกฎหมาย และสามารถกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของจีนได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ระบบนี้หมดความสำคัญลง หลังการรวมชาติจีนเป็นปึกแผ่นขึ้น (หน้า 23-24) นอกจากนี้ การเผยแพร่ลัทธิเต๋าก็เป็นส่วนหนึ่งของการกลืนการเป็นชนชาติของคนม้ง ทั้งนี้ปรากฎว่า หลักทางจักรวาลวิทยาของคนม้ง ได้นำแนวความคิดมาจากระบบทางศาสนาของลัทธิเต๋า (หน้า 25) ช่วงราชวงศ์ถัง (AD 618-906) ชาวเผ่าที่พูดภาษไต ได้รวบรวมอาณาจักรขึ้นเป็นอาณาจักรน่านเจ้า แต่ยังคงส่งเครื่องบรรณาการให้กับรัฐจีน อาณาจักรน่านเจ้าครอบคลุมอาณาบริเวณของมณฑลยูนนานไปจนถึงพื้นที่ตอนเหนือของลาวและเวียดนาม เป็นระยะเวลา 600 กว่าปี ก่อนจะถูกมองโกลรุกรานโดยกุบไลข่าน ในปี AD 1253 งานของ Yeh Ch’ien นักปราชญ์แห่งราชวงศ์ซ่ง ได้จำแนกชนเผ่าแต่ละชนเผ่าออกมา ประกอบไปด้วย Miao, Yao, Lao, Chung หรือ Tai และ Keh-Lao (หน้า 28-29) หลังน่านเจ้าล่มสลาย รัฐจีนได้ตั้งเขตปกครองตนเองขึ้นมาใหม่มีชื่อว่า Tali (ต้าลี่) โดยมีผู้ปกครองเป็นชาวมุสลิมชื่อว่า Sai Tien-Ch’I กระนั้นก็ตามบริเวณเขตปกครองนี้ก็มีการก่อกบฎขึ้นเป็นระยะๆ พอถึงช่วงราชวงศ์หมิง มีการบันทึกเรื่องของการก่อการจลาจลจากทางใต้อยู่หลายครั้ง และนำไปสู่ความอ่อนแอของราชวงศ์หมิง และเกิดราชวงศ์ชิงขึ้น (แมนจู) แม่ทัพ Wu San-kuei (อู๋ซานกุ้ย) ซึ่งเป็นแม่ทัพกบฎของราชวงศ์หมิง ก่อนที่หมิงจะล่มสลาย เป็นผู้เปิดด่านให้แมนจูเข้ามาจนได้รับชัยชนะในที่สุด Wu San-kuei ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองทางใต้ แต่ในที่สุดก็ก่อกบฎ จนนำไปสู่การปราบปรามอย่างหนักของรัฐบาลกลาง ทหารคนสนิท 2 คน คือ Huang Ming และ Ma Bao ได้หนีมาอาศัยกับชาวแม้ว และ Huang Ming ได้แต่งงานกับสาวชาว Miao (หน้า 30) ช่วงศตวรรษที่ 18 เกิดกบฎขึ้นหลายครั้ง แต่ทางการจีนก็ปราบหนักเช่นกัน แม้วเริ่มอพยพถอยร่นลงมาปักหลักตั้งถิ่นฐานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนและเขตอินโดจีน รวมถึงประเทศไทย (หน้า 41) ผลของการเพิ่มขึ้นของประชากรจีน การล่าอาณานิคมจากประเทศอังกฤษและฝั่งเศส นำมาสู่การบีบบังคับให้ม้งถอยร่นลงมา และนำฝิ่นมาปลูกโดยประเทศเจ้าอาณานิคม เพราะประเทศตะวันตกต้องการเปิดจุดอ่อนของจีน โดยให้ชาวจีนติดฝิ่นมากๆ (หน้า 44-50) เมื่อจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ทำให้พื้นที่ส่วนนี้ขยายการปลูกฝิ่นหนักมากขึ้น ความพยายามก่อกบฎหลายครั้งของชาวแม้ว โดยร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 19 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ ได้ก่อให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ ลงมาจากทางใต้ของจีน (หน้า 55) แม้วในเวียดนามส่วนหนึ่งมากจาการแผ่ขยายของอาณาจักรน่านเจ้า ตั้งแต่ปี AD 866 มีการบันทึกการก่อจลาจลของแม้วที่นำโดย Shaman (คนทรง ถือเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ) ซึ่งเรียกตัวเองว่า King Sioung (หน้า 56) ส่วนแม้วในลาว มีรายงานของแม้วในลาว เมื่อปี 1810-1820 หลังการเข้ามาของฝรั่งเศส ได้จัดตั้งระบบการปกครองของแม้วขึ้นมา โดยให้เครือญาติของแม้วที่แต่งตั้งโดยผู้ปกครองฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแล ช่วงสงครามอินโดจีน คนม้งถูกแบ่งแยกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่ฝ่าย CIA ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการแทรกแซงจากสหรัฐฯในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ กลุ่มฝักใฝ่สังคมนิยมลาวและเวียดนาม และฝ่ายเป็นกลาง กลุ่มที่สหรัฐฯหนุ่นหลัง นำโดย Vang Pao ผู้ซึ่งพยายามที่จะสถาปนารัฐม้งขึ้น ภายในการหนุนของอเมริกา อย่างไรก็ตาม หลังการพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ ได้นำมาสู่การแตกกระสานซ่านเซ็นของคนม้ง บางส่วนอพยพเข้ามาในไทย และกลายเป็นผู้อพยพไปสู่ประเทศที่สาม สำหรับม้งในไทยแล้ว Vang Pao ได้รับการยกย่องในฐานะผู้ที่พยายามสร้างรัฐของคนม้งขึ้นมา (หน้า 57-69)

Settlement Pattern

แต่ละหมู่บ้านที่ทำการศึกษาได้ถูกจัดตั้งเป็นนิคมพัฒนาตนเอง (หน้า XI)

Demography

ผู้เขียนได้ใช้คำว่า Homg กับพวกม้งขาว (White Hmong) และ ใช้คำว่า Mong กับพวกม้งเขียว (Green Mong) ซึ่งเป็นเพียง 2 กลุ่มในจำนวนหลายๆ กลุ่มของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า Miao ที่อพยพมายังประเทศไทย (หน้า 5) จำนวน Mong และ Hmong ในไทยอ้างอิงตามงานวิจัยนี้มีประมาณ 43,419 คนอาศัยอยู่ใน 149 หมู่บ้าน แต่ตามรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและความมั่นคงของไทยในสมัยนั้น (1986) ให้ตัวเลขที่ 42,892 ในจำนวน 143 หมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม แท้จริงน่าจะมากกว่านี้อยู่ที่ 80,000 คน โดยคิดเป็นประมาณ 12% ของประชากรชาวเขาทั้งหมดทุกกลุ่ม หรือประมาณ 0.16% ของประชากรชาวไทยทั้งหมด (หน้า 7)

Economy

เนื่องจากเหตุผลด้านความมั่นคง ป้องกันภัยคอมมิวนิสต์ รวมถึงการขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูกของชาวพื้นราบ ทำให้ต้องถางป่ารุกเข้าไปยังพื้นที่ภูเขามากขึ้น คนม้งในไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบปะกับแรงผลักทางเศรษฐกิจจากภายนอก จากเดิมทำไร่และย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปเรื่อย เศรษฐกิจขึ้นกับภายในเป็นหลัก นอกเหนือจากเกษตรกรรมแล้ว ยังขยายตัวไปสู่ด้านอื่นๆ เช่น การเข้ามาทำเหมืองของชาวพื้นราบ และการทำป่าไม้ (หน้า 105) ความแตกต่างระหว่างหมู่บ้าน Red Earth และ Small Valley Village คือ ที่ Red Earth มีร้านค้า 4 ร้านค้า ขณะที่มี 10 ครัวเรือน ที่ Small Valley Village มี 14 ครัวเรือน แต่ไม่มีร้านค้า (หน้า 122) นอกจากนี้ที่ Red Earth มีการทำเหมืองอยู่ในละแวกใกล้ๆ ซึ่งได้ส่งผลกระทบ 2 ประการ คือ เกิดการเชื่อมโยงทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างคนม้งกับคนไทยพื้นราบ และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและดินระหว่างเหมืองกับการเพาะปลูก ทั้งนี้มีแรงงานที่เป็นม้งเพียงคนเดียวในเหมืองนี้ นอกจากนี้การมีเหมืองได้นำแรงงานจากต่างถิ่น ซึ่งเป็นไทยและกะเหรี่ยงเข้ามา และแรงงานพวกนี้ติดฝิ่นเป็นจำนวนมาก (หน้า 132-135) 73.3% ของพืชที่ปลูกที่ Red Earth เป็นพืชเศรษฐกิจ ขณะที่ 54.2% ของข้าวที่บริโภคต้องนำเข้ามาจากหมู่บ้านอื่น อันที่จริงสิ่งที่ม้งต้องการมากที่สุดคือการที่สามารถเพาะปลูกได้พอเพียงกับที่บริโภคภายใน โดยหวังพึ่งพิงตนเองมากกว่าที่จะเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับภายนอก อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐหยิบยื่นให้กับกลายเป็นการแนะนำให้ปลูกพืชที่สามารถสร้างรายได้ได้แทนการปลูกฝิ่น ความต้องการของม้งจริงๆ ควรเป็นที่ระบบชลประทาน เพื่อให้ปลูกข้าวให้ได้มากขึ้น อันเป็นทัศนคติของม้งเองที่ต้องรับประกันความอยู่ในอนาคต และแนวความคิดเชิงอุดมคติของการพึ่งพิงตนเอง (หน้า 143) ที่ Red Earth โดยเฉลี่ย ครัวเรือนหนึ่งมีสมาชิก 8.8 คน การทำการเกษตรของแต่ละครัวเรือนที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยกัน จะร่วมมือร่วมแรงกันทำงาน และผลผลิตที่ได้จะถูกจัดสรรให้กับสมาชิกในครัวเรือน ขณะที่การปลูกฝิ่นจะหมายถึงการสร้างรายได้ที่เป็นตัวเงินเข้ามา แต่การปลูกฝิ่นไม่ใช่การร่วมมือกันของสมาชิก แต่เป็นการที่แต่ละครอบครัวต่างปลูกไว้เป็นของตนเอง รายได้ที่เข้ามาแต่ละครอบครัวต่างเก็บรักษาไว้ คนม้งที่นี่ปลูกข้าวไม่พอเพียงกับความต้องการ และนี่เป็นเหตุหนึ่งให้พวกเขาปลูกฝิ่นเพื่อเสริมรายได้ (หน้า 144-147) ผู้เขียนสรุปว่า จากเหตุที่ว่า การปลูกข้าวไม่เพียงพอต่อการดำรงอยู่ในเศรษฐกิจแบบเปิดที่เชื่อมโยงกับรอบนอก การปลูกฝิ่นเพื่อเสริมรายได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น และนี่เป็นสาเหตุให้วัฒนธรรมการร่วมมือร่วมใจกันทำนาไร่ในแต่ละครัวเรือนลดลง (หน้า 456) ขณะที่ Small Valley Village ปัญหาลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกัน แต่วิธีการของหมู่บ้านนี้ คือ การลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจจากภายนอก ลดการปลูกฝิ่นหันมาปลูกข้าวให้มากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการของครัวเรือน (หน้า 149) ส่วนที่นิคม Paklang ระหว่างช่วงฤดูแล้งไม่สามารถเพาะปลูกได้เลย เจ้าหน้าที่อธิบายว่า เพราะดินเป็นดินร่วน ขาดแร่ธาตุ และทรัพยากรน้ำมีจำกัด (หน้า 153) ระบบเศรษฐกิจของม้งและเมี่ยนใกล้เคียงกัน คือ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติและวงศ์ตระกูล ขยายครอบครัวและร่วมกันมีส่วนในการสร้างรายได้ หรือเป็นแรงงานสร้างผลผลิต ขณะที่ชาว H’ Tin ที่พบในนิคม Paklang มีความต่างกัน เป็นกลุ่มที่ยากจนสุด ในบรรดา 3 กลุ่ม ชาว H’ Tin อาศัยอยู่ตรงกลางระหว่างม้งกับเมี่ยน การขยายพื้นที่เพาะปลูกจากบนเขาลงมาของคนม้ง และการขยายพื้นที่เพาะปลูกจากพื้นที่ราบขึ้นบนของชาวไทยพื้นราบ ได้บีบให้ชาว H’ Tin อยู่ตรงกลาง พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ของชาว H’ Tin จึงเป็นพื้นที่เพาะปลูกเดิม ซึ่งรกร้างและดินไม่อุดมสมบูรณ์แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลของความยากจน นอกจากนี้การรวมตัวกันเป็นครอบครัวของคนม้งและเมี่ยน ทำให้มีแรงงานช่วยเพิ่มผลผลิตได้มาก ต่างชาติชาว H’ Tin เพราะการรวมครอบครัวไม่แน่นแฟ้นเท่าม้งและเมี่ยน การเพิ่มผลิตจึงมีน้อยกว่า (หน้า 163-166) 80% ของที่ดินโดยรอบหมู่บ้านเป็นของชาวนิคม Paklang พืชเพาะปลูกที่สำคัญคือ ข้าว ข้าวโพด คอตตอนและฝิ่น ผู้ที่มีรายได้สูงในกลุ่มคนม้งส่วนใหญ่จะทำอาชีพซื้อมาขายไปและเปิดร้านขายของชำ (หน้า 168) ในหมู่บ้านที่ 3 “Small Valley Village” (SVV) เป็นหมู่บ้านพิเศษแตกต่างจากทั้งสองหมู่บ้าน เพราะมีการพึ่งพิงตนเองสูงกว่า 2 หมู่บ้านที่กล่าวมา คือ Red Earth และ Paklang และเน้นการอยู่ร่วมกันภายในครอบครัวเหนียวแน่นกว่า (หน้า 131) SVV ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ และความเจริญแผ่ขยายมายังหมู่บ้านสิ่งแรกคือด้านการค้า ซึ่งหมู่บ้านได้ประโยชน์จากการใกล้ตลาด ซึ่งสามารถขายผลผลิตของตนได้สะดวก และการที่เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว รวมถึงเป็นศูนย์กลางทางภาคเหนือ รัฐบาลจึงมุ่งพัฒนาเชียงใหม่ ดังนั้นคนม้งที่นี่จึงได้ประโยชน์จากสวัสดิการสังคมเต็มที่ ทั้งการรักษาพยาบาล เพราะใกล้โรงพยาบาล โรงเรียนและอื่นๆ นอกจากนี้ก็เข้ามาของเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือก็เป็นไปได้ง่ายกว่าหมู่บ้านอื่นที่เข้าถึงยากเพราะเส้นทางไม่สะดวก (หน้า 182) ผู้เขียนมองว่า สาเหตุของความยากจนส่วนหนึ่งอาจจะมาจาก การปฏิบัติตามหลักความเชื่อทางศาสนาของตน การฆ่าสัตว์เลี้ยงเพื่อบูชายัญ และการมอบสิ่งตอบแทนให้กับผู้เข้าพิธีทรงเจ้า รวมถึงเวลาที่สูญไปกับการประกอบพิธีกรรม แทนที่จะไปเพิ่มผลผลิต (หน้า 233) โดยสรุป สาเหตุของการอยู่ร่วมกันภายในเครือญาติอย่างเหนียวแน่น เป็นเพราะความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพิงแรงงานในการบุกเบิกที่ดิน และสร้างผลผลิตให้ครัวเรือน และเนื่องจากคนม้งอาศัยอยู่บนเขาสูง ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ ซึ่งมีทั้งป่าไม้ เหมืองแร่ รวมถึงที่ดินอุดมสมบูรณ์ และการเป็นแหล่งแรงงานจำนวนมาก จึงมิอาจหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรอบนอก จากการแทรกแซงจากชาวที่ราบลุ่ม ซึ่งผลักดันให้คนม้งให้มีฐานะเพียงแค่เศรษฐกิจชายขอบ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวก็เกิดขึ้นเช่นกัน ความพยายามที่จะพึ่งพิงจากภายในที่ Small Valley Village และที่ Paklang เป็นตัวอย่างที่ดี พวกเขาได้ใช้การเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างครัวเรือนสร้างผลผลิตเพิ่ม จากเดิมที่ใช้แรงงานภายในเฉพาะครัวเรือน (หน้า 456-457)

Social Organization

ครอบครัวถือเป็นศูนย์กลางชีวิตของคนม้ง บ้านหลังหนึ่งเมื่อลูกชายแต่งงานก็จะนำภรรยาเข้าบ้าน ครอบครัวก็จะกลายเป็นครอบครัวขยาย บ้านหลังหนึ่งสามารถมีได้หลายครอบครัว เมื่อแต่ละครอบครัวมีลูกหลานมากขึ้น ก็จะมีแนวโน้มที่จะปลูกบ้านใหม่ ซึ่งจะตั้งใกล้ๆ กับบ้านเดิมที่อาศัยอยู่ ที่ชุมชนนิคม Chedi Kho ซึ่งค่อนข้างมีฐานะ หนึ่งบ้านมีมากว่า 20 ครอบครัว รวมเป็นกว่า 80 ชีวิตอาศัยอยู่รวมกัน ทั้งนี้ผู้เขียนมองว่า อาจเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ การที่บ้านมีครอบครัวหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน เป็นการรักษาฐานของตระกูลให้เข็มแข็งเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากเศรษฐกิจการตลาดจากภายนอก หากมีการย้ายถิ่นฐาน ครอบครัวหนึ่งจะย้ายกันเป็นครอบครัว หากเป็นแค่การโยกย้ายระหว่างหมู่บ้านใกล้ๆ ก็จะย้ายไปตั้งหลักแหล่งกับญาติของตัวเองที่ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ก่อน แต่หากเป็นการอพยพ จะเป็นการย้ายถิ่นฐานไปเลย ไปยังที่ไม่มีญาติใกล้ชิดตั้งหลักแหล่งอยู่ก่อน จะตั้งหลักแหล่งอยู่กับผู้ที่อาศัยเดิมที่มีนามสกุลหรือแซ่ร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีขึ้นเพื่อเคารพบรรพบุรุษเดียวกัน (หน้า 125-128) ในพิธีแต่งงานหากฝ่ายชายจ่ายค่าสินสอดไม่ครบ ฝ่ายชายจะไม่สามารถนำฝ่ายหญิงเข้าไปยังบ้านของฝ่ายชายได้ และฝ่ายชายยังต้องติดตามครอบครัวของฝ่ายหญิงเพื่อไปเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงได้ เพราะการเข้าบ้านของหญิงที่แต่งออกไปแล้ว ถือว่าละเมิดต่อเจ้าบ้านเจ้าเรือน และฝ่ายชายต้องทำงานใช้หนี้สินสอดที่ตัวเองติดค้างไว้ ดังนั้นครอบครัวใดที่ลูกชายแต่งงานแล้วสามารถนำฝ่ายหญิงเข้าบ้านได้มาก ก็จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในทางเศรษฐกิจมากว่า เพราะมีแรงงานในการเพาะปลูกมากกว่า (หน้า 126-127) สำหรับหญิงหม้าย และหญิงหย่าร้าง ฝ่ายหญิงจะต้องปลูกบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ บ้านเดิม แต่เข้าบ้านเดิมไม่ได้ เพราะถือว่าละเมิดต่อเจ้าบ้านเจ้าเรือน และยังไม่สามารเข้าร่วมพิธีกรรมใดๆ ของครอบครัวพ่อแม่ไม่ได้ จะถูกกันออกจากความเป็นลำดับทางสายเลือดและพิธีกรรมของครอบครัวอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงรักษานามสกุลเดิมของที่บ้านไว้ได้อยู่จนเสียชีวิตไป นอกจากนี้ยังห้ามเสียชีวิตภายในบ้านของพ่อแม่ และบ้านของพี่น้องที่แต่งงานไปแล้ว หากมีชายจากที่อื่นเข้ามาเยี่ยมเยียนหมู่บ้าน เขาต้องเข้ามาพักกับบ้านของบุคคลที่อยู่ในลำดับสายเลือดเดี่ยวกัน หรือในเครือญาติเดียวกัน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะถูกขับออกไปจากบ้าน ถ้าชายคนหนึ่งกำลังจะตาย เขาจะต้องถูกย้ายเข้าไปอยู่ยังบ้านของตระกูล หรือเครือญาติตัวเอง หรือในบ้านที่สร้างขึ้นชั่วคราว (หน้า 131-132) องค์กรทางสังคมของ Paklang ประกอบด้วย ชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มม้ง เป็นกลุ่มหลัก 2 กลุ่มเมี่ยน เป็นกลุ่มที่อพยพลงมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยในระดับทางสังคมแล้ว คนม้งมองชาวเมี่ยนเป็นกลุ่มชนระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเคารพในเทพองค์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากครอบครัวชาวเมี่ยนย้ายเข้าสู่หมู่บ้านม้ง คนม้งถือว่าทำผิดธรรมเนียม เป็นการละเมิดเจ้าหรือเทพที่นับถือ และจะนำมาซึ่งความเจ็บป่วย และโชคร้าย ทั้งสองมีการใช้นามสกุลหรือแซ่ที่เทียบเคียงได้กับของชาวจีน รวมถึงนับถือเต๋าเช่นกัน การแต่งงานระหว่างกันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับนัก กลุ่มที่ 3 คือ ชาว H’tin หรือ Mal ซึ่งมีวัฒนธรรมร่วมกับม้งและเมี่ยน น้อย รวมทั้งไม่มีการใช้นามสกุลหรือแซ่ (หน้า 163-164)

Political Organization

ระบบ Native Lords คือ การให้ชนพื้นเมืองขึ้นมาปกครองกัน เป็นวิธีการที่รัฐจีนที่มีอำนาจใช้ในการเข้าปกครองชนกลุ่มน้อย เป็นระบบที่ใช้ปกครองรัฐบาลท้องถิ่นทางตะวันตกฉียงใต้ของจีนที่ขึ้นต่อรัฐบาลกลาง (หน้า 23) นิคม Paklang มีหน่วยงานของรัฐเข้าไปแทรกซึม เนื่องจากเป็นพื้นที่สีแดง มีภัยจากการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ตามความเข้าใจของรัฐในสมัยนั้น ทำให้มีการจัดตั้ง หน่วยงานของรัฐขึ้นมาควบคุมดูแล ประกอบด้วย Internal Security Operation Command (ISOC), Communist Suppression Operation Command (CSOC) และกองทัพไทย แม้หมู่บ้านจะมีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านเข้ามาดูแล แต่ 3 หน่วยงานหลักนี้เป็นผู้กำกับดูแล นอกจากนั้นยังมีม้งที่เป็นพุทธและคริสต์อาศัยอยู่ร่วมกัน (หน้า 153) ผู้เขียนได้สรุปว่า ความล้มเหลวในการพัฒนาลำดับขั้นของสถาบันในสังคม เป็นเหตุผลที่ทำให้ม้งไม่มีขอบเขตดินแดนเป็นของตนเอง (หน้า 448) และความเป็นสังคมที่เน้นเรื่องความเท่าเทียม ทำให้ไม่มีผู้นำที่เป็นเหมือนกษัตริย์ที่จะเป็นผู้ก่อตั้งรัฐของคนม้ง (หน้า 448)

Belief System

ลัทธิเต๋า: ลัทธิเต๋าเชื่อว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากการกระทำที่ชั่วร้ายและการประพฤติผิด ซึ่งจะรักษาได้โดยให้พระจากลัทธิเต๋าเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างบุคคลกับโลกของเทพยดาฟ้าดิน แนวความคิดนี้คล้ายกับการประกอบพิธีทรงเจ้าเข้าผีของคนม้ง (หน้า 25-26) ซึ่งผู้ทรงจะเดินทางเข้าไปยังโลกแห่งวิญญาณ เพื่อเอาวิญญาณของผู้ป่วยกลับคืนมา ซึ่งจะต้องฝ่าด่านของผู้คุมประตูต่างๆ และต้องเผชิญกับวิญญาณที่ดุร้ายที่รั้งวิญญาณของผู้ป่วยไว้ ผู้ทรงจะต้องนำผู้วิญญาณช่วยเหลือเข้าไปต่อสู้เพื่อแย่งวิญาณผู้ป่วยกลับมา ซึ่งยังต้องทำการเซ่น หมู ไก่ หรือกระดาษเงินกระดาษทองให้กับผู้เทพ Nyuj Vaab Teem ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประตูผ่าน (หน้า 302) แนวความคิดของม้งยังมีการกล่าวถึง Yeeb และ Yaaj ซึ่งเทียบได้กลับหยินหยางในลัทธิเต๋า เป็นแนวความคิดเชิงจักรวาลวิทยา ที่แบ่งโลกเป็น โลกของสิ่งที่มีชีวิตและโลกของวิญญาณ และยังมีจัดให้วิญญาณอยู่ทางตอนเหนือ ชี้ไปยังจีน และสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทางใต้ (หน้า 312-313) ลัทธิเต๋าได้ถูกคนม้งนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน โดยละเลยบางส่วนออกไป ในความเชื่อตามจักรวาลวิทยาของคนม้ง คนม้งได้ผสมผสานความเชื่อในเรื่องเทพนิยมของตนเข้ากับเทพที่เป็นที่สัการะของชาวจีน ผู้เขียนยกตัวอย่างถึงม้งในไทยที่ซึมซัมเอาเทพในพุทธศาสนาของไทยเข้าไปด้วย แต่ยอมรับในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในหลักใหญ่ของเทพนิยมของม้งเอง ในทำนองเดียวกันกับที่รับศาสนาคริสต์เข้ามา (หน้า 319-322) ทิศและเขตแดน: ทิศเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดพิธีกรรมของคนม้ง ทิศเหนือถือว่าเป็นทิศมงคล นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับเรื่องของเขตแดนอย่างมาก โดยเฉพาะกับประตู เช่นในงานพีธีแต่งงาน ขณะที่เดินผ่านแต่ละประตูบ้าน ผู้เป็นแม่งานหลักในพิธีจะร้องเพลงสวดและนอนคว่ำราบกับพื้น 2 ครั้งเป็นการเคารพ (หน้า 33) Geomancy (ฮวงจุ้ย) : รูปแบบการจัดตั้งหมู่บ้านเป็นรูปครึ่งวงกลม เป็นความเชื่อตาศาสตร์ของฮวงจุ้ย คือ ด้านหลังบ้านต้องเป็นเนินเขา และจะไม่มีหน้าบ้านของแต่ละบ้านหันหน้าเข้าหากัน (หน้า 123) ในความเชื่อเรื่อง Geomancy เสือเปรียบเสมือนอำนาจทางทหาร (Wu) หรือฝ่ายบู๊ส่วนมังกรถือว่าเป็นฝ่ายบุ๋น (Wen) คือการศึกษาและวัฒนธรรมในด้านการปกครอง จีนเปรียบตัวเองเป็นเหมือนมังกร ส่วนคนม้งเป็นเหมือนเสือ เป็นชนชาติที่ดุร้าย ไม่เชื่อง (หน้า 409-410) เทวนิยมของคนม้ง: โลกทางเทวนิยมของคนม้งประกอบด้วยลำดับชั้นของผู้คุมกฎ เช่นเดียวกับที่ปรากฎในแนวคิดของเต๋า โลกของคนม้งมีอยู่ 3 โลก คือ โลกของมนุษย์ โลกของวิญญาณ และโลกของเทว (หน้า 231-232) คนม้งไม่มีรุปแบบของศาสนาในแง่ของวัดหรือการมีศูนย์รวมทางจิตใจ การขาดรูปแบบที่แน่ขัดทำให้ประเพณีและวัฒนธรรมของคนม้งแตกต่างกันออกไปตามความเข้าใจของแต่ละกลุ่ม และสามารถประสานกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นได้ ผู้ปฏิบัติทางพิธีกรรมของม้งคนหนึ่งกล่าวว่า ทั้งคริสต์และพุทธถือว่า เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของเทพยดาของม้ง แม้จะขาดรูปแบบที่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าระบบความคิดของม้งจะอ่อนแอ เพราะว่าม้งไม่สามารถถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นม้งหรือคริสต์ได้ง่ายๆ (หน้า 232) อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมและประเพีณของคนม้งที่ผ่านได้มีการแลกเปลี่ยนและผสานกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นมาตลอด (หน้า 231-233) เจ้าที่และวิญญาณบรรพบุรุษ: ภายในบ้านแต่ละหลังจะมีวิญญาณ 2 ประเภท คือ 1 เจ้าที่ที่อาศัยอยู่ในบ้านประจำตามจุดต่างๆ คือ house-post deity (dlaab ncej tsev), door-post deity (dlaab ghaov rooj), stove-deity (dlaab ghaov txus), fireplace deity (dlaab ghaov cub) และอื่นๆ เจ้าที่เหล่านี้มีหน้าที่คุ้มครองเทพเจ้าของคนม้ง คนม้งให้ความสำคัญกับครัวเรือน หมายถึงระบบเครือญาติและการสืบสายสกุลของตนเป็นอย่างมาก บ้านเปรียบเสมือนจักรวาล ตำแหน่งตรงกลางบ้านที่มีเทพสถิตอยู่เปรียบเสมือนตัวกลางเชื่อมระหว่างฟ้ากับโลก 2 คือ วิญญาณบรรพบุรุษ (หน้า 236) การกระทำพิธีใดๆ จะให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวที่มีสายสกุลเดียวกัน หมู่บ้านของคนม้งมักจะมีแต่สมาชิกของครัวเรือนเดียวกันอาศัยอยู่รวมกัน ในพิธีของหมู่บ้านสมาชิกจะห้อมล้อมด้วยเชือกป้องกันวิญญาณภายนอกทั้งที่ถูกเรียกมาและและขับไล่ออกไป ขอบเขตแดนตรงนี้เปรียบเสมือนโลกของคนม้ง ซึ่งเป็นลำดับแรกที่คนม้งให้ความสำคัญมากที่สุด โดยเริ่มจากภายในบ้าน ถัดต่อมาเป็นผืนป่า จากนั้นเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อสายสกุลอื่น เพื่อนบ้านต่างชาติพันธุ์และลำดับสุดท้ายคือ คนพื้นราบและรัฐ (หน้า 236-237) ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม : ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมของม้งถูกจำแนกเป็น 3 ประเภท 1 Textual Specialist หน้าที่คือ เป็นตัวกลางเจรจาเรื่องพิธีแต่งงาน พิธีศพและเป็นผู้รู้เกี่ยวกับบทสวดต่างๆ 2 Ritual Expert เป็นผู้รู้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ (โดยใช้สมุนไพร) และสุดท้ายคือ ตัวกลางของโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ Spirit Medium ผู้ทำหน้าที่รักษา โยการเข้าทรงเพื่อสื่อสารกับวิญญาณ เพื่อวิเคราะห์หาเหตุและหาทางแก่ไขให้ถูกต้องในสิ่งที่ทำให้ เทพไม่พอใจและนำไปสู่ความเจ็บป่วย (หน้า 247) คนทรง: ต่างจากผู้ประกอบพิธีกรรม เนื่องจากสามารถเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ขณะที่ผู้ประกอบพิธีเป็นชายได้อย่างเดียว สำหรับบุคคลที่จะเป็นผู้ทรงได้นั้นต้องมี 2 เงื่อนไข 1 บุคคลนั้น ได้ผ่านอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง ซึ่งยาหรือการทรงเจ้าบำบัดก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ และหลังจากแสดงอาการคุ้มคลั่งออกมาก็จะทุเลาลง 2 ช่วงระหว่างก่อนและหลังเจ็บป่วย บุคคลผู้นั้นจะได้รับการเข้ามาสถิตย์ของเทพผู้ถ่ายทอด ซึ่งจะได้รับการถ่ายทอดเรียนรู้เพื่อสืบเป็นผู้ทรงต่อไป (หน้า 249-250) เทพของคนม้ง: Yawm Saub เป็นผู้สร้างโลก, Yorso เป็นหัวหน้าของพระเจ้า หรืออีกชื่อว่า Yonglao มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสินวิญญาณ มีเสียงเป็นเสียงฟ้าร้อง และมีอาวุธเป็นฟ้าผ่า เป็นเทพที่ไม่ทำร้ายผู้ที่ทำความดี, Ye Seo หรือ Yei Seo หรือ Ze Seo เป็นเทพอมตะ มีเมตตา ชักจูงให้คนทำความดี, Ntxig Nyoog เป็นเทพที่มีสองด้านคือด้านไม่ดีและด้านดี เป็นผุ้ที่ให้ชีวิตแก่มนุษย์ แต่ก็ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยและตาย, Puj Zaub Xywy เป็นเจ้าที่ม้งให้ความเคารพ เป็นผู้ช่วยคนทรงในการักษาผู้ป่วยให้หาย, Yawm Saub คนม้งถือว่าเป็นเทพสูงสุด เหนือทั้งคริสต์และพุทธ ในความเชื่อของพวกเขา (หน้า 266) ขณะที่ Nyuj Vaab Tuam Teem เป็นเทพที่กำหนดชะตามนุษย์ เป็นผู้กำหนดว่าคนนั้นจะเกิดมารวย จน เป็นขโมยหรืออะไรก็ตาม วิญญาณที่มาเกิดใหม่ต้องมาผ่านเทพองค์นี้อนุญาต (หน้า 268) ความเชื่อหลังความตาย: เมื่อคนตาย คนม้งเชื่อว่าวิญญาณจะผ่านไปโลกวิญญาณไปพบกับเทพ Nkauj Kaab Yeeb ถ้าผู้ใดทำสิ่งผิด เช่น มีหนี้สินก็จะไม่สามารถผ่านประตูไปพบเพื่อไปเกิดใหม่ได้ แต่จะต้องไปทำงานชดใช้ หรือเกิดใหม่กลายเป็นหมู หรือไก่ จนกว่าวิญญาณนั้นจะบริสุทธิ์ โลกของวิญญาณมีโลกเดียว แต่มี 12 ประตู ผู้ที่ผ่านได้จะต้องมีความผิดมาน้อย ในการที่จะผ่านแต่ละประตูจะต้องจ่ายค่าผ่าน ซึ่งก็คือ สิ่งที่ได้กระทำผิดมา ประตูสุดท้ายเป็นประตูสูงสุด จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่คนม้งคารพ เมื่อคนม้งตาย วิญญาณจะออกจากร่าง แต่จะยังคงอยู่ในกระดูก ดังนั้นคนม้งจึงสักการะบรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้พวกเขามีความมั่งคั่งและมีพลัง (หน้า 327) คนม้งยังเชื่อว่า วิญญาณหลังความตายจะเดินทางจากที่ราบสู่ที่สูง คือบนเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการเข้าสู่โลกของวิญญาณ ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับมนุษย์ อีกทิศหนึ่งคือเดินทางขึ้นไปทางเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คนม้งได้อพยพลงมา (หน้า 397-398) โดยสรุป ตามระบบจักรวาลวิทยา คนม้งดำรงอยู่บนอุดมคติระหว่าง เสือกับมนุษย์ พี่ชายกับน้องชาย เนื้อกับกระดูก สังคมและการต่อต้านสังคม และ ชนชั้นกับความเท่าเทียม ตามตำนานที่ผ่านมา ผู้เขียนสรุปว่า โดยฐานะของม้ง พวกเขาดำรงอยู่ในสถานะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อิงกับรัฐภายนอก และกับความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจบางส่วน ที่นอกเหนือจากนิยามพึ่งพิงตนเองของพวกเขา ความคิดเชิงอุดมคติของคนม้งไม่ได้ทั้งอยู่ภายในหรือภายนอกแนวความคิดเชิงอุดมคติของคนที่ราบลุ่ม ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลจากรัฐภายนอก เช่น จีนและไทย ถูกสะท้อนออกมาในรูปของการผสานเอาแนวความคิดเชิงอุดมคติและจักรวาลวิทยาทั้งของจีนและไทยเข้ามาผนวกด้วยกัน การทรงเจ้าก็มาจากระบบความคิดของจีนในเรื่องระบอบกษัตริย์และอำนาจรัฐ และในความหมายของเสือตามตำนานต่างๆ แสดงถึงความคลุมเครือระหว่างการต่อต้านสังคมและการก่อกบฎกับสัญลักษณ์ของการเป็นผู้กอบกู้ และเสือยังเป็นตัวแทนการต่อต้านระเบียบสังคม ระบบการลำดับชั้นความสำคัญของเทพในระบอบเทวนิยมของคนม้งก็เช่นเดียวกัน สะท้อนมาจากการจัดลำดับชั้นความสำคัญของชนชั้นปกครองทางการเมืองของจีนนั่นเอง (หน้า 460-472)

Health and Medicine

Ua Neeb เป็นคำที่ใช้เรียกกิจกรรมทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการวิญญาณ ในม้ง Neeb คือวิญญาณที่มีความเป็นมิตร โยที่ผู้เข้าทรงจะมองหาความช่วยเหลือจาก Neeb และวิญญาณเหล่านี้จะเข้าร่างของผู้ทรง ในการเดินทางเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ เพื่อต่อสู้กับ dab ซึ่งเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย (หน้า 235) คนม้งเชื่อว่า ร่างกายของคนประกอบด้วย 32 วิญญาณ อวัยวะแต่ละส่วนประกอบด้วยวิญญาณ นั่นคือมีวิญญาณของดวงตา หู ตับ และอื่นๆ (หน้า 245) ถ้าบุคคลที่แข็งแรงเกิดตกใจกลัว วิญญาณจะออกจากร่าง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ผู้ทรงเจ้าจะทำการรักษาโดย 1 ทำพิธีเพื่อค้นหาวิญญาณของผู้เจ็บป่วยคนนั้น ซึ่งจะจัดพิธีในขอบเขตของหมู่บ้าน 2 จัดพิธีที่ใหญ่กว่า โดยผู้ทรงเจ้าจะเข้าไปตามหาวิญญาณที่หายไปในโลกของวิญญาณ ผู้ป่วยที่วิญญาณออกจากร่างเป็นผลที่เกิดจากการทำให้วิญญาณบรรพบุรุษไม่พอใจ รวมทั้งวิญญาณ ของเจ้าในป่า เทพและอื่นๆ (หน้า 246) ตามความเชื่อของม้งเด็กแรกเกิดทั้งหญิงชายจะมีวิญญาณที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคล และจีมีพิธีตั้งชื่อหลังจากเกิด 3 วัน ในพิธีนี้พลังชีวิต (life force) จะถูกเชิญเข้ามาในบ้านเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเจ้าที่ในบ้าน ฝ่ายชายจะสามารถดำรงวิญญาณของตัวเองได้ตลอดชีวิต ขณะที่ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งงานจะถูกทำพิธีถอดวิญญาณเจ้าที่เดิม เพื่อที่จะได้รับการอุปการะจากเจ้าที่ของบ้านฝ่ายสามี ส่วนบุคคลที่ยังไม่ได้เข้าพิธีจะไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าที่ของบ้าน ซึ่งจะถูกห้ามเข้ามายังห้องนอนหลักของบ้าน (หน้า 246)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานพิธีฉลองปีใหม่ที่เรียกกันว่า “Moon Dance ” ระหว่างงานพิธีจะมีการโยนลูกบอลที่ห่อหุ้มด้วยผ้าระหว่างกลุ่มชายและหญิง โยจะมีการบรรเลงเพลงที่เกี่ยวกับความรักด้วยเสียงปี่จากต้นกก ในงานเขียนของ Lu’T zu-yun ได้บรรยายเอาไว้ในปี 1684 ในเรื่องของการแต่งกาย “พวกเขาจะใส่เสื้อผ้าที่สูงกว่าเอว กางเกงขายาวที่ต่ำกว่าเอวและไม่คลุมเข่า แต่จะพันด้วยผ้าแถบที่ปักลาย พวกขาจะถือขลุ่ยที่มีท่อ 6 ท่อ ยาว 2 ฟุต ที่ชายเสื้อและปกเสื้อของหญิงสาวจะมีลวดลายปักร้อยไว้ ส่วนกระโปรงจะจีบให้บานเหมือนปีกผีเสื้อ โยจะมีผ้าแถบปักลายพับที่เอวไว้เช่นกัน ลักษณะการแต่งกายเช่นนี้ได้ระบุว่า น่าจะเป็นของพวกม้งเขียว

Folklore

ตำนานสองพี่น้อง: เมื่อเทพของเบื้องบนต้องการที่จะรู้ว่า ใครคือผู้เหมาะสมที่จะปกครองโลก ท่านจึงได้จัดการแข่งขันขึ้น เพื่อเลือกผู้ปกครอง โดยให้แข่งกันปลูกดอกไม้ พี่น้องทั้งสองเข้าแข่งกัน เวลาผ่านไป ดอกไม้ของพี่ชายเติบโตสวยงามกว่าของน้องชาย เนื่องจากน้องชายมีความทะยานที่จะเป็นกษัตริย์ จึงลอบเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ของตัวเองกับพี่ชายในคืนที่จะมีการแสดงดอกไม้ของแต่ละคน เมื่อพี่ชายพบว่าดอกไม้ของตัวเองสวยสู้ของน้องไม่ได้ จึงยอมรับความพ่ายแพ้และบอกกับน้องว่าเขาจะเดินทางออกจากดินแดนที่เป็นที่ราบ และจะขึ้นไปใช้ชีวิตที่ราบสูง ดังนั้น น้องชายจึงได้เป็นกษัตริย์ และกลายเป็นผู้ปกครองโลกเกือบทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่สูง ซึ่งพี่ชายปกครองอยู่ หลายปีต่องมา พี่ชายก็เริ่มแก่ตัวลง พลังในตัวก็ถดถอยลง และก็ไม่มีกำลังที่จะขยายพื้นที่ไปบนเขาได้อีกต่อไป ลังเหล่านั้นได้ส่งผ่านมาให้กับน้องชาย เมื่อถึงช่วงรุ่นลูกที่สืบทอดต่อมา ลูกชายของน้องชายได้กลายเป็นชาวจีน ลูกชายของพี่ชายได้กลายเป็น คนม้ง (หน้า 1) กำเนิดญี่ปุ่น: คนม้งมาจากมองโกเลีย Fang Ti เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมาก เขาต้องการยาอายุวัฒนะ จึงได้เกณฑ์ ผู้คนให้ตามหาชนิดนี้ เวลานั้นคนม้งอาศัยอยู่ในมองโกเลีย ส่วนชาวฮั่นอาศัยอยู่ในหุบเขาบริเวณเดียวกัน Fang Ti ได้เกณฑ์ผู้คนจากทั่วแคว้น ใครที่ไม่พบก็จะถูกประหารชีวิต กระทั่ง Tug Thawi Coi ข้าราชการคนหนึ่งคิดว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อาณาจักรนี้ล่มสลายแน่ ตัวเขาจึงเข้าไปอาสาเพื่อค้นหายา โดยจะเดินทางไปยังเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง หลังจากเดินทางกลับมาเขาได้มารายงานเท็จว่า เขาต้องเกณฑ์คนชายหญิงอย่างละ 5000 คน พร้อมกับเครื่องมือ เมล็ดพืช เกลือ เหล็ก ไม้และอื่นๆที่จำเป็น และขอเวลา 25 ปี แล้วจะกลับมาพร้อมยา หลังจาก 25 ปีผ่านไป Fang Ti ได้ทำการสร้างเมืองใต้หุบเขา ซึ่งมีทุกอย่างพรั่งพร้อม เพื่อที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ไม่นานนักก็มีจดหมายจากข้าราชการผู้นั้น เขียนกลับมาบอกว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย เมื่อเห็นว่าพระองค์เองโดนหลอกจึงเสียใจมากและฆ่าตัวตายในที่สุดในเมืองที่พระองค์สร้างขึ้น พร้อมกับม้าและผู้คนจำนวนมาก ในตำนานกล่าวว่า คนม้งเป็นผู้ถูกเกณฑ์มาสร้างสุสานนี้ด้วย และในการปลิดชีพพระองค์เองนั้น ยังได้ทำการเผาทุกสิ่ง รวมถึงหนังสือของคนม้งเอง ตั้งแต่นั้นคนม้งก็สูยเสียตัวอักษรเขียนของตน และก็กำเนิดประเทศญี่ปุ่นขึ้นมา (หน้า 16-17) ผืนธงของคนม้ง: บรรพบุรุษของคนม้งมีผืนธงที่ดีเยี่ยม กษัตริย์ของจีนได้มาพบกับกษัตริย์ของม้ง ซึ่งมีม้งอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มม้งที่มีธงที่ไม่ยอมสะบัดปลิว คนม้งกลุ่มนี้ต้องอาศัยอยู่ในที่ซึ่งอยู่ปัจจุบัน ขณะที่กลุ่มม้งที่มีผืนธงโบกสะบัด คนม้งกลุ่มจะเคลื่อนย้ายไปอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน ช่วงเวลานี้มีสงครามระหว่างม้งกับจีน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ถ้าผืนธงไม่โบกสะบัดคนม้งจะยอมจำนนต่อจีน ผืนธงที่ว่าเป็นสี่เหลี่ยม มี 3 สี คือ แดง เขียว ขาว ตำนานนี้ถูกเล่าโดยชายชราคนม้ง ผู้เขียนกล่าวว่า ตำนานนี้บอกถึงการยอมจำนนต่อจีน (หน้า 34) กษัตริย์ของม้ง: มีกษัตริย์ม้งผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่ฉลาด เขาทำงานให้เก็บภาษีให้รัฐจีน และเห็นแก่อำนาจเงิน เมื่อจีนต้องการกดขี่คนม้ง ก็จะใช้เขาช่วย โดยมีเงินทองเป็นสิ่งตอบแทน (หน้า 44-45) น้องชายผู้ยากจน: ครั้งหนึ่ง มีพี่น้อง 5คน ซึ่งยากจนสุด ขณะที่พี่น้องคนอื่นมีที่ดินปลูกพืชหลายไร่ เขามีเพียงพื้นหินใช้ปลูกพืชไร่ วันหนึ่งขณะเขาเก็บเกี่ยวข้าวมีนกตัวหนึ่งบินมาบอกว่า ให้เขาเก็บเกี่ยวเพียงครึ่งหนึ่ง ให้เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเขาทำตามเช่นนั้น ข้าวที่เหลือก็เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเขาก็ทำเช่นนี้ต่อไปทุกครั้งๆ จนเขามีข้าวเหลือเพียงพอไว้ขายจนร่ำรวย หลังจากนั้น เขาก็ไปช่วยเหลือพี่น้องคนอื่นๆ (หน้า 238-240) ผู้เขียนบอกว่า นี่แสดงถึงความเหนียวแน่นของความเป็นสายเลือดเดียวกัน และการให้ความเสมอภาค ไม่ดูแคลน มังกรผู้ช่วย Raus Tsaav Tsuas: Raus Tsaav Tsuas เขาไม่มีพ่อแม่และยากจน วันหนึ่งไปตกปลา และเบ็ดเกี่ยวเข้ากับสิ่งหนึ่งดึงไม่ออก เขาจึงดำลงไปตามสายเบ็ดและพบเข้ากับมังกร และอาศัยอยู่กับมังกร วันหนึ่งเขาคิดถึงบ้าน มังกรจึงให้กระเป๋าใบหนึ่งติดตัวมากลับบ้าน เมื่อถึงแล้วค่อยเปิด หลังจากเปิดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ออกมาจากกระเป๋า ทั้งภรรยา ม้า วัว และบ้าน และต่อมาก็กลายเป็นเมืองใหญ่ วันหนึ่งมีญาติคนหนึ่งที่ได้ยินข่าวมาหาเขา แล้วขอเบ็ดจากเขา แต่เมื่อเขาเดินทางลงไปพบเพียงแต่ใบไม้ใบใหญ่ เขาโกรธจึงขว้างเบ็ดทิ้งหายไป เมื่อ Raus Tsaav Tsuas รู้เช่นนั้นจึงโกรธมาก และหาทางให้ญาติเขาชดใช้ แต่เขาก็ไม่มีเงิน Raus จึงบอกเขาว่า ให้ออกไปที่ถนน เมื่อพบหญิงสาว ให้ไปขอแต่งงาน เพื่อจะได้มีเงิน เมื่อทำตามที่บอก ญาติเขากลับโดนว่ากล่าวหยาบคาย เขาจึงกับไปหา Raus ว่าทำไมถึงหลอกเขา Raus บอกว่า เพราะเมื่อก่อนตอนที่เขาจนมีแต่ญาติมาดูถูกเขา เมื่อได้ยินเช่นนี้ ญาติคนนั้นจึงกลับไปบอกญาติคนอื่นๆให้มาฆ่าเขา แต่ Raus ก็ได้ใช้กรรไกรที่มังกรให้มาต่อสู้จนเอาชนะ ดังนั้นคนม้งเชื่อว่าเมื่อมีใครเสียชีวิต คนนั้นก็จะถูกฝังอยู่กับมังกรเหมือน Raus เมื่อมีใครตายเขาก็จะถูกฝังลงในหนองน้ำ เพื่อให้ใกล้ชิดกับมังกร เรื่องเล่านี้บอกว่า มังกรเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกครอง เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม (หน้า 240-243) ตำนานกำเนิดโลก: มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งสองต่างช่วยกันสร้างโลก ภรรยาสร้างโลกบนดิน สามีสร้างโลกบนฟ้า ภรรยาเป็นคนขยัน แต่สามีเกียจคร้าน ฝ่ายภรรยาสร้างยังไม่เสร็จเพราะสามียังไม่สร้างด้วงอาทิตย์ทำให้มืด แต่หลังจากเสร็จแล้วทั้งคู่ก็จากโลกไป ภายหลังต่อมา มีพี่น้องสองคน และน้องสาวอีก 1 คน ทั้งหมดช่วยกันทำนาปลูกข้าว จะไปและกลับทุกวันมาที่นาทุกวัน แต่เมื่อกลับมาทีไรจะพบว่าที่นาแห้งผากไปเสียแล้ว ทั้งหมดจึงแอบซุ่มดูตอนกลางคือ แล้วพบว่ามีเทพองค์มากลั่นแกล้ง ฝ่ายพี่ชายจะเข้าไปฆ่า แต่น้องชายได้ขอไต่ถามก่อน เทพจึงบอกว่า พี่ชายพวกเขาเป็นคนเลว แล้วให้พวกเขาต่อเรือขึ้นมา เพราะว่าจะบันดาลให้น้ำท่วม เมื่อน้ำท่วมพี่ชายตาย ฝ่ายน้องชายและน้องสาวก็นั่งเรือที่ลอยขึ้นไปจนเกือบถึงฟ้า เมื่อน้ำแห้งเรือก็ติดอยู่บนผา ทั้งคู้ได้ให้นกแก้วนำทางลงมา แต่พบว่าไม่มีใครอยู่เลย จึงกลับไปถามเทพ เทพจึงบอกทั้งสองให้ไปผลักหินลงมา ถ้าหินลงมาทั้งคู่สามารถแต่งานกันได้ ทั้งคู่ก็ทำตามและหินก็หล่นลงมา ทั้งสองจึงแต่งงานกัน เมื่อกำเนิดลูก ซึ่งไม่มี หู ตา ปาก แขน ขา เทพจึงบอกให้เขาตัดลูกของตนเป็นชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นภายหลังก็ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ชนชาติต่างๆ (หน้า 259-261) เจ้าชายจากทางใต้ตามหาหญิงสาวที่จะเป็นภรรยาจากทางเหนือ: มีเจ้าชายอยู่ 2 องค์ เป็นทายาทของหัวหน้ามังกรและหัวหน้าเสือจากทางใต้ ทั้งสองออกเดินทางเพื่อหาคู่ครอง ซึ่งบิดาก็ได้มอบร่มให้กับทั้งสอง (ร่มนั้นที่แท้คือคู่ครอง แต่ทั้งสองไม่รู้) เมื่อถึงป่าระหว่างทางก็พบกับเจ้าชายสององค์ เป็นลูกของมังกรและเสือจากทางเหนือ และเสือแก่อีกสองตัว เจ้าชายจากทางใต้ได้บอกถึงความประสงค์ที่จะเดินทางขึ้นเหนือ เจ้าชายทางเหนือจึงอาสาที่จะพาทั้งสองพระองค์ออกเดินทางไปทางเหนือ แต่ขอแลกเปลี่ยนกับร่มทั้งสองคัน เมื่อมาถึงเขตแดนประเทศจีน ได้พักอาศัยอยู่กับชายชาวจีนสูงอายุ เวลาผ่านไปทั้งสองเจ้าชายพบว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า จึงเดินทางกลับ แต่ชายชราผู้นั้นได้มอบของขวัญเป็นผลน้ำเต้าและกลอนประตู เมื่อถึงบ้าน พ่อของทั้งสองโกรธมากที่รู้ว่าร่มนั้นได้มอบให้คนอื่นไปแล้ว เจ้าชายทั้งสองรู้สึกผิด จึงเอาผลน้ำเต้าและกลอนประตูไปฝังดิน รุ่งขึ้นทั้งสองสิ่งที่ฝังไว้ได้เติบโตเป็นตึกสวยงาม ฝ่ายผู้เป็นพ่อทั้งสองเมื่อรู้ข่าว จึงส่งคนมาดู เมื่อพบว่าเป็นจริงทั้งสองก็เข้ายกโทษให้กับลูกชาย ผู้เขียนอธิบายว่า เจ้าชายจากทางเหนือคือชาวจีน ส่วนเจ้าชายทางใต้คือคนม้ง (หน้า 315-317) กำเนิดโลก (2): จากตอนที่ 1 เมื่อสองพี่น้องให้กำเนิดบุตรที่มีรูปร่างคล้ายแตงกวาและตัดเอาแต่ละส่วนออกมา แกนของแตงกวาเป็นชนชาติไทย ผิวกลายเป็นคนม้ง วันต่อมาทั้งสองได้โยน ขวาน คันไถ และหนังสือลงไป และบอกให้แต่ละชนชาติเลือกหยิบของขึ้นมา ม้งหยิบขวาน จีนหยิบหนังสือ ไทยหยิบคันไถ คนม้งถือว่าเป็นพี่คนโตเลือกอาศัยบนภูเขา ชาวจีนน้องถัดมาเลือกอาศัยบนที่ราบลุ่ม อีกส่วนหนึ่งเป็นไทยอาศัยทางตอนเหนือของไทย มีตำนานเรื่องเล่าว่า การที่คนม้งไม่มีตัวหนังสือเขียนเป็นเพราะว่า ได้เอาหนังสือไปให้วัวกิน และยังให้ชาวจีนเลือกเอาหนังสือไป (หน้า 322-323) กำเนิดโลก (3): เทพ Yawm Saub บอกว่า คู่สามีภรรยาต้องแบ่งลูกน้ำเต้าออกเป็นสองส่วน โดยให้นำส่วนแกนไปไว้บนเขา ส่วนเนื้อไว้ที่ทุ่ง แต่ภรรยาได้วางสลับกัน ต่อมาส่วนเนื้อได้กลายเป็นคนม้งอาศัยบนเขา ส่วนแกนเป๕นชาวจีนอาศัยที่ราบลุ่ม (หน้า 324) Huas Tai ผู้ชนะ พุทธและ Jesus: ระหว่างที่น้ำท่วมโลกมีเด็ก 4 คนกำเนิดขึ้น 2 คนไม่มีสายสกุล อีกสองคน คือ Xeem Yaaj และ Xee Vaaj ทั้งสองไม่มีใบหน้า พ่อแม่ได้ถามเทพ Yawm Saub ว่าจะทำอย่างไร Yawm Saub บอกว่า เขาควรแบ่งเด็ก 4 คน เป็นส่วนๆ หลังแบ่งเสร็จสิ้น ชนชาติ จีน ลิซู เย้า และไทยก็กำเนิดขึ้น ทุกชนชาติถือกำเนิดขึ้นจากคนม้ง ในอดีตคนม้งถือเป็นผู้ปกครองโลก หลังจากนั้นศาสนาพุทธก็กำเนิดขึ้นมา หัวหน้าของคนม้ง Haus Tai ได้เข้ารบกับ Jesus แต่สู้ไม่ได้จึงหนีไปหลบซ่อนและได้ชักชวนคนอื่นๆเข้ามาเป็นพวก คนม้งเชื่อว่า เทพ Yum Vaaj Teem นั้นกำเนิดมาก่อนผู้ใด (หน้า 325-326) ตำนานเสือกินเด็ก: นานมาแล้วมีคนม้งกลุ่มหนึ่งไม่ยอมจ่ายภาษีให้กับจีน พวกเขาจึงหลบหนีเข้าไปยังป่าลึก ซึ่งตกกลางคืนจะมีเสือออกมากินเด็ก เด็กคนไหนที่หัวเราะเยาะเย้ยเสือ จะถูกเสือจับกิน (หน้า 412) หญิงที่ตายและกลายเป็นเสือ: มีภรรยาของชายคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง และได้กลายเป็นเสือที่ดุร้าย อาละวาดหมู่บ้าน วันหนึ่งมีพระราชามาบอกว่า ถ้าใครจัดได้จะได้รางวัลเป็นที่นากว้างใหญ่ สามีของหญิงคนนั้นจึงอาสาจับ วันหนึ่งได้ตามเสือไปพบ ขณะที่เสือกำลังถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนหลับ เขาจึงได้แอบขโมยเสื้อคลุมนั้น ต่อมาฝ่ายสามีได้กลับไปหาหยิงผู้เป็นภรรยาและบอกความจริงถึงสิ่งท่พระราชาได้ตรัสไว้ นางจึงกลับมาอยู่กับสามีและให้กำเนิดบุตรสองคน วันหนึ่งนางไปพบชุดคลุมที่สามีของนางขโมยมา นางจึงได้บอกกับสามีว่า นางคงจะต้องกลับไปเป็นเสือเหมือนเก่าแล้วจากนั้นก็หนีหายเขาไปในป่า สามีของนางวิ่งไล่ตามแต่ก็ไม่ทัน ได้แต่ตะโกนออกไปว่า นางจะต้องไม่กลับเป็นเสือที่ดุร้ายอีกต่อไป (หน้า 415-416) ภรรยาที่ถูกลักพาโดยเสือ: มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นคนผิวปากเก่ง เมื่อเหล่าวิญญาณได้ยินเสียงผิวปาก จึงต้องการตัวเขาให้ไปผิวปากให้ฟัง ก่อนไปภรรยาได้เตือนว่าห้ามผิวปากระหว่างทาง แต่เขาก็ลืม เสือจึงได้ยินเสียงผิวปาก และรู้ว่าภรรยาเขาเป็นหญิงที่สวย จึงไปที่บ้านชายคนนั้นและฆ่าภรรยาเขาตาย เพราะจะได้กลับมาเกิดเป็นเสือ ฝ่ายสามีเมื่อกลับมาถึงก็เสียใจมาก ฝ่ายญาติจึงบอกให้เขานั่งข้างหลุมศพภรรยา หากต้องการตัวภรรยากลับมา แต่เขาก็ผล็อยหลับไป เสือจึงมาและเรียกวิญญาณของภรรยาเขาไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบแต่รอยเท้าเสือ จึงตามรอยเท้านั้นไปจนพบ และคิดจะพาภรรยาเขากลับ ระหว่างที่เสือหลับจึงฆ่าเสือและพาตัวภรรยากลับมาได้ อย่างไรก็ดี ภรรยาได้บอกสามีว่า นางได้ตายไปแล้ว ให้เอาตัวนางฝังไว้ และภายใน 13 วันให้มาขุด ฝ่ายสามีก็ร้อนใจ เวลาผ่านไปเพียง 10 วันก็รีบมาขุดจึงพบแต่ซากเน่าเปื่อย แต่ระหว่างทางกลับเขาก็ได้ยินเสียงภรรยาบอกว่า ให้กลับมาขุดอีกภายใน 3 วัน เขาจึงทำตา ทั้งสองจึงกลับมาบ้านได้ (หน้า 417-419) เสือผู้แต่งงานกับพี่สาวและหาคู่ให้น้องชาย: ครั้งหนึ่งมีพี่สาวกับน้องชายอาศัยอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งมีเสือมาพบและชอบฝ่ายหญิงจึงขอหญิงสาวแต่งงาน ฝ่ายหญิงจึงไปบอกน้องชายเพราะกลัวไม่ยอมรับ แต่ในที่สุดน้องชายก็ยอมรับเสือมาแต่งกับพี่สาว เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายหญิงสามารถแปลงเป็นเสือได้ วันหนึ่งเสือบอกกับน้องชายว่า จะหาคู่ครองให้ โดยให้น้องชายไปฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง แล้วเอาเลือดสุนัขมาให้กระเป๋าแล้วไว้บนหลังเสือ น้องชายก็ทำตาม หลังจากนั้นเสือก็ไปยังหมู่บ้านหนึ่งและเข้าไปจับตัวหญิงคนหนึ่งไว้ แล้วเอาเลือดสุนัขเทลงบนหิน เมื่อฝ่ายพ่อแม่กลับมาไม่พบลูกสาว เห็นแต่เลือด จึงเข้าใจว่า ลูกสาวตัวเองเสียชีวิตแล้ว ฝ่ายเสือได้พาหญิงสาวกับมาพบกับน้องชาย ต่อมาทั้งสองก็อยู่ด้วยกัน วันหนึ่งฝ่ายหญิงคิดถึงบ้าน เสือจึงพานางกลับมาพบพ่อกับแม่ของนาง ทั้งหมดจึงได้อยู่ร่วมกัน ส่วนเสือและพี่สาวก็อาศัยห่างออกไปเข้าไปในป่า ดังนั้นถ้าใครก็ตามอาศัยห่างออกไปจะกลายเป็นเสือ (หน้า 421-423) เสือไม่ยอมให้ภรรยาแต่งงานใหม่: มีครอบครัวหนึ่งสามีเสียชีวิตและกลายเป็นเสือ ภรรยาเสือต้องการที่จะแต่งงานใหม่ เสือเสียใจมาก และได้บอกว่า ถ้าหากแต่งงานจะทำให้ลูกๆเป็นเสือด้วย แต่ภรรยาของเขาก็ยังคิดจะแต่งงานใหม่ เมื่อเห็นดังนั้น ฝ่ายเสือจึงไปข่มขู่ชายที่จะมาแต่งงานด้วย ฝ่ายชายกลัวมากจึงไปปรึกษาญาติๆ ญาติของเขาจึงแนะนำไม่ให้เขาแต่งงานในที่สุด (หน้า 424-425) เสือแก้แค้นให้กับการตายของลูกชาย: ครอบครัวหนึ่งลูกชายออกไปรบแล้วไม่กลับบ้านอีกเลย ฝ่ายพ่อจึงไปบอกให้เสือช่วยตามหาลูกชาย แล้วจะตอบแทนเสือโดยหาคู่ครองให้ เมื่อเสือตามหาลูกชายจนพบแล้วนำร่างที่ตายแล้วของเขากลับมา พร้อมกับช่วยแก้แค้นให้ ฝ่ายพ่อจึงทำตามสัญญา ยกลูกสะใภ้ให้ แต่งงานด้วย ทั้งคู่ให้กำเนิดลูกและอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว วันหนึ่งเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นมาได้เล่นตะเกียบแล้วพลาดตะเกียบทิ่มแทงเข้าไปยังตาของเสือผู้เป็นพ่อ เสือหนีมาตายยังป่า สองแม่ลูกได้ออกตามหาจนพบ และนำตัวมาทำพิธี ระหว่างพิธีเสียงกลองได้ดังไปถึงเทพ Ntxig Nyoob เมื่อรู้เช่นนั้น จึงได้อนุญาตให้วิญญาณเสือเดินทางเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ แม้ว่าจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม (หน้า 425-426) ให้ลูกสาวเป็นเสมือนค่าภาษีแก่เสือ: ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่แถบมองโกล ไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐ จึงโดนบีบให้มาอาศัยอยู่บนภูเขาสูง เมื่ออยู่ที่นั่นก็ยังต้องเสียภาษีให้กับวิญญาณในป่า ไม่เช่นนั้นเสือจะมากิน พวกเขาจึงตั้งศาลให้วิญญาณอยู่ และส่งหญิงสาวมาเซ่นให้ทุกปี หลายปีผ่านไป ชายคนหนึ่งเดินทางเข้ามา และซักถามจนรู้ความจริง เขาจึงไปดักรอที่ศาลจนเสือมาแล้วก็ฆ่าเสือตาย ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีการส่งหญิงสาวมาเซ่นอีกต่อไป (หน้า 432-433) ลูกชายมังกรช่วยชีวิตลูกสาวของเทพ Yawm Saub จากเสือ: เมื่อเกิดจลาจลจากการปกครองของพี่ชาย เสือไดเข้ากุมอำนาจแทน แต่เทพ Yawm Saub ได้เข้ามาเจรจากับเสือในฐานะตัวแทนของม้ง ให้ร่วมกันปกครอง ในเงื่อนไขว่าจะต้องส่งหญิงสาวมาให้เสือกินทุกปี จนถึงคราวของลูกสาว Yawm Saub เขาได้เอาลูกสาวใส่กรงเหล็กส่งให้เสือกิน ลูกชายของมังกรมาพบเข้า จึงเอาธนูยิงเสือตาย แล้วลูกชายมังกรกับลูกสาวของ Yawm Saub ก็แต่งงานกัน (หน้า 437-438) ทำไมม้งไม่ควรกลายเป็นเสือ: นานมาแล้วมีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งตัวใหญ่ วันหนึ่งคนตัวเล็กมาบอกคนตัวใหญ่ว่า เขากำลังจะกลายเป็นเสือและจะอาศัยอยู่ตรงที่ทางเดินระหว่างเมือง 2 เมือง เมื่อชายตัวเล็กกลายเป็นเสือ เขาก็เที่ยวฆ่าพ่อค้าที่ร่ำรวยที่ผ่านทางแถวนั้น ไม่นานนักเขาก็ร่ำรวย ฝ่ายชายตัวใหญ่คิดถึงชายตัวเล็ก จึงเดินทางไปหา ชายตัวเล็กที่กลายเป็นเสือไปแล้วได้ชวนชายตัวใหญ่ร่วมมือกันฆ่าราชาแห่งเสือ เพื่อยึดครองเมืองทั้งเมือง เมื่อทำสำเร็จทั้งสองก็อยู่ร่วมกันจนทั้งคู่มีลูกสืบสกุล ลูกของชายตัวเล็กได้กลายเป็นราชาแห่งเสือที่โหดเหี้ยม ทุกปีชาวบ้านต้องส่งหญิงสาวมาเป็นภรรยาของเขา จนวันหนึ่งถึงคราวหญิงที่เป็นคู่รักของลูกชายชายตัวใหญ่ เขาไม่พอใจจึงได้ลงมือฆ่าราชาแห่งเสือจนตาย (หน้า 441-443) ทำไมเสือจึงไม่ปกครองโลกอีกต่อไป: คู่หมั้นชายของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งถูกพ่อของเธอพามาบูชาให้แก่เสือ ได้นำวัวมาแทนที่หญิงสาวของตน แล้วนำเธอกลับบ้าน เสือเมื่อมาถึงจึงพบแต่วัว และโกรธมากที่ถูกหลอก ฝ่ายชายหญิงทั้งสองได้หลบหนีมาอยู่ที่บ้านของพ่อฝ่ายชาย เสือตามมาจนพบ แต่ไม่สามารถเข้าบ้านได้ เพราะผู้เป็นพ่อได้ขอร้องให้เจ้าที่บ้านช่วยปกป้อง ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่มีใครลูกสาวมาบูชาแก่เสืออีกเลย (หน้า 445-446)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้เขียนมองว่า แรงกดดันจากการเป็นชนกลุ่มน้อย ที่ถูกบีบคั้นจากคนพื้นราบ นำมาสู่การถ่ายทอดความคิดทางอุดมคติ ที่พยายามแก้ไขโครงสร้างความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นผ่านมายังคนทรง เป็นบริบทความคิดอุดมคติที่เหนือธรรมชาติ ผู้ทรงสามารถกองทหารวิญญาณสู้รบกับกษัตริย์แห่งเทพในโลกวิญญาณได้ (หน้า 294)

Social Cultural and Identity Change

ผลจากนโยบายจากภาครัฐ 3 ประการ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คือ 1. ผลจากนโยบายให้การจัดตั้งนิคมพัฒนาตนเอง ต้องการให้คนม้งปักหลักทำกินอยู่ที่เดิม และไม่ให้มีการโยกย้ายถิ่นฐาน 2. เมื่อมีการตั้งถิ่นฐาน ภาครัฐได้เข้าจัดหาระบบสาธารณูปโภคและปัจจัยพื้นฐานให้ ทำให้เกิดโครงการต่างๆ เช่น โครงการส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจแทนการเพาะปลูกฝิ่น การจัดตั้งโรงเรียน เป็นตัน 3. ผลจากข้างต้น ได้นำคนม้งอพยพลงมาจากภูเขาสูง ความพยายามของรัฐที่ต้องการให้คนม้งเลิกปลูกฝิ่น รวมถึงการขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้การที่บุตรหลานของคนม้งได้รับโอกาสทางการศึกษา จากการจัดตั้งโรงเรียน (หน้า 107) ผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัจจัยทางภายนอกเหล่านี้ ได้ทำให้คนม้งต้องปรับตัวเอง จากเดิมเป็นที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัว และโยกย้ายถิ่นฐาน มาสู่การอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และระบบเศรษฐกิจในครอบครัวของตนเอง จากเดิมเป็นสังคมเกษตรแบบพึ่งตนเอง คือปลูกเพื่อพออยู่พอกิน มาสู่สังคมเกษตรกรรมที่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินเองได้เพื่อการผลิตแบบชลประทาน และมีระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับภายนอกมากขึ้น (หน้า 115) ผลจากการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับชาวพื้นราบ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อทางสังคมด้วย เพื่อป้องกันการเหยียดเชื้อชาติคนม้งบางส่วนเปลี่ยนมาใช้ชื่อไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นม้งที่มีฐานะ เพื่อไม่ให้รู้สึกแปลกแยกจากสังคมเมือง ขณะที่คนม้งที่ยากจนกว่า พยายามที่จะรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ การเข้านับถือคริสต์ของคนม้งเหล่านี้ ก็เป็นอีกทางหนึ่งในความพยายามที่จะยกฐาะนทางชนชั้นของตนให้เท่าเทียบกับไทย ผู้เขียนอธิบายว่า เพราะมิชชันนารี่เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่มีความเจริญกว่าไทย การถือคริสต์จึงถือว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกับมิชชันนารี่ที่เป็นชาวอเมริกัน (หน้า 176)

Map/Illustration

แผนที่ที่ตั้งของแต่ละหมู่บ้านคนม้ง (หน้า 102) แผนภาพลักษณะการตั้งหมู่บ้านของคนม้ง (หน้า 124) ตารางและแผนภูมิอธิบายเศรษฐกิจเกษตรกรรมของคนม้ง (หน้า 136-142) แผนที่นิคม Paklang (หน้า 151) แผนที่หมู่บ้าน Small Valley Village (หน้า 186) แสดงตารางเพาะปลูกพืชไร่ของคนม้งที่หนองหอยและ Hin Fon (หน้า 183, 191-201) แสดงแผนภูมิ ลำดับสายเลือดของคนม้งที่อพยพลงมาจากหนองหอย และ Hin Fon (หน้า 204) แสดงการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด, ความต้องการบริโภคข้าว และการเป็นเจ้าของสัตว์เศรษฐกิจ (หน้า 213, 215-210) แสดงรายละเอียดการประกอบพิธีกรรมของคนทรง (หน้า 274, 276, 278-280, 282, 287, 289, 290, 291) แผนภูมิภาพแสดงลำดับชั้นเทพและวิญญาณของคนม้ง (หน้า 468)

Text Analyst บุญยงค์ ประภัสสรชัยกุล Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ม้งขาว, ม้งเขียว, เจ้าที่และวิญญาณบรรพบุรุษ, ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม, คนทรง, เทพของคนม้ง, ความเชื่อหลังความตาย, ฮวงจุ้ย, ทิศและเขตแดน, ลัทธิเต๋า, เทวนิยมของคนม้ง, เศรษฐกิจชายขอบ, เศรษฐกิจพึ่งพิงตนเอง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง