|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
‘Mao Shan’,ฉาน,เงี้ยว,ประวัติศาสตร์,การขยายอำนาจ,ยูนนาน,พม่า,อินเดีย |
Author |
Padmeswar Gogoi |
Title |
The Political Expansion of the Mao Shan |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
13 |
Year |
2499 |
Source |
Journal of the Siam Society Vol. XLIV part 2 |
Abstract |
‘Mao Shan’ อพยพสู่พม่าเมื่อศตวรรษที่ 13 สร้างอาณาจักรอยู่ในเขตยูนนานและทางตอนเหนือของพม่า มีศูนย์กลางขยายออกไปทางหุบเขา ‘Shweli’ จนถึงด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกของหุบเขา ‘Brahmaputra’ หรือแคว้นอัสสัม คนไทยอพยพลงมายังดินเเดนพม่าเมื่อราว 2,000 ปีมาแล้วในช่วงคริสตวรรษที่ 6 มีการอพยพครั้งใหญ่ของไทยจากภูเขาทางใต้ของยูนนานสู่หุบเขา ‘น้ำเมา’ (Shweli) และพื้นที่ใกล้เคียง ช่วงศตวรรษที่ 13 ‘Mao Shan’ มีอำนาจในเขตยูนนานและทางเหนือของพม่า หุบเขา‘Shweli’ เป็นศูนย์กลางอำนาจของไทยทางการเมืองเป็นครั้งแรก มีชุมชนขยายออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งคือรัฐฉานในปัจจุบัน จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 ได้อพยพสู่ทางทิศตะวันตกและเข้าปกครองเมือง ‘Wehsali Lông’ หรืออัสสัม อาณาจักรฉานแห่งน่านเจ้าได้แตกสลายลงเมื่อมองโกลได้ชัยชนะในปี ค.ศ. 1253 เหตุนี้เองทำให้เกิดการอพยพของคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทยออกจากยูนนานไปยังทางทิศตะวันตกและทางใต้ ก่อนกุบไลข่านนำทัพบุกรุกนั้น คนไทยได้อพยพลงใต้ตามลำน้ำแม่โขงและแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งถิ่นฐานคือสยามแตกออกเป็นรัฐเล็กมากมาย จากรัฐไทยเล็กๆ กลายมาเป็นอาณาจักรไทย ได้แก่อาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรอยุธยา |
|
Focus |
ศึกษาประวัติศาสตร์ของ ‘Mao Shan’ ที่แผ่ขยายอำนาจทางการเมืองสู่พม่าและแคว้นอัสสัม (หน้า 125) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษา ‘Mao Shan’ กลุ่มคนไทยที่อพยพเข้าไปอยู่ในพม่าเมื่อศตวรรษที่ 13 (หน้า 125) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในปี ค.ศ. 1283 มีการใช้ตัวอักษร ‘Kanji’ บาลี และขอมใช้ในสยาม (หน้า 136) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เชื่อกันว่า ‘Mao Shan’ เป็นกลุ่มคนไทยที่อพยพไปยังพม่าเมื่อราว 2,000 ปีมาแล้ว ด้วยเหตุผลของสงครามหรือความกดดันจากอิทธิพลจีน ในช่วงคริสตวรรษที่ 6 มีการอพยพครั้งใหญ่ของไทยจากภูเขาทางใต้ของยูนนานสู่หุบเขา ‘Nam Mao’(Shweli) และพื้นที่ใกล้เคียง (หน้า 125) ช่วงศตวรรษที่ 13 ‘Mao Shan’ มีอำนาจในเขตยูนนานและทางเหนือของพม่า เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองและสังคมของคนในพื้นที่และคนภายนอก (หน้า 125) หุบเขา ‘Shweli’ เป็นศูนย์กลางอำนาจของไทยทางการเมืองเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 และมีชุมชนขยายออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งคือรัฐฉานในปัจจุบัน ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 ได้อพยพสู่ทางทิศตะวันตกและเข้าปกครองเมือง ‘Wehsali Lông’ หรืออัสสัม (หน้า 126) ในศตวรรษที่ 7 มีอาณาจักรฉานที่เรืองอำนาจชื่อ ‘Mong-Mao-Long’ ใกล้กับแม่น้ำ ‘Shweli’ อาณาจักรนี้สถาปนาโดย ‘Mao Shan’ ซึ่งตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำ ‘Shweli’ และได้เรียกแม่น้ำนี้ว่า “น้ำเมา” (Nam Mao) และในบางครั้งได้เมือง “Cheila” (ปัจจุบันคือ Se Lan ซึ่งอยู่ห่างจาก “น้ำคำ” ประมาณ 13 ไมล์) เป็นศูนย์กลางการปกครอง ส่วนเมืองเมาปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของยูนนาน ตรงข้ามกัน Se Lan และอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำ ‘Shweli’ หรือน้ำเมา นอกจาก “Cheila” แล้ว เมืองหลวงของรัฐเมาในอดีตอีกแห่งหนึ่งคือ ปางคำ (หน้า 126) อาณาจักรฉานแห่งน่านเจ้าได้แตกสลายลงเมื่อมองโกลได้ชัยชนะใน ‘Ta-li’ เมื่อปี ค.ศ. 1253 ทำให้เกิดการอพยพของคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทยออกจากยูนนานไปยังทางทิศตะวันตกและทางใต้ 30 ปีต่อมาหลังจากกองทัพจีนมองโกลได้ชัยชนะ กองทัพก็ย้ายไปถึงชายแดนพม่าเพื่อรุกราน กุบไลข่านได้ขอทำสนธิสัญญาถาวรกับกษัตริย์ Narathihapateแห่งอาณาจักรพุกาม แต่กลับถูกปฏิเสธจึงได้เกิดสงครามซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาก ฉานได้แตกออกเป็นรัฐมากมายและมีผู้ปกครองรัฐเอง การเดินทัพของกุบไลข่านในค.ศ. 1284 คราวนั้นได้นำทัพผ่านทางดินแดนของ ‘Mao’ ก่อนกุบไลข่านนำทัพบุกรุก ‘Ta-li’ คนไทยได้อพยพลงใต้ตามลำน้ำแม่โขงและแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งถิ่นฐานคือสยามซึ่งในครานั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักวรรดิเขมร มีรัฐต่างๆ เช่น เมืองฝาง (Muang Fang) เมืองซาว (Muang Sao) เมืองพะเยา กษัตริย์ Anawarahta ได้โจมตีและทำให้จักวรรดิเขมรอ่อนกำลังลง และได้นำพุทธศาสนาเผยแผ่สู่สยามและพม่า แต่เมื่ออำนาจของพม่าที่เข้าควบคุมสยามได้ถูกขจัดไป ก็ได้มีรัฐไทยอีกหลายรัฐได้อิสระ และคนไทยได้สู้เพื่อต่อต้านการปกครองของเขมรจนได้รับชัยชนะ จากรัฐไทยเล็กๆ กลายมาเป็นอาณาจักรไทย ได้แก่อาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรอยุธยา(หน้า 128) การอพยพของไทยสู่ประเทศพม่ามีเมื่อศตวรรษที่ 6 ในช่วงที่ทางเหนือของพม่ามีราชวงศ์ศากยะแห่งอินเดียปกครอง (หน้า 129) ซึ่งมีราชวงศ์ Anawrahta ปกครองอยู่ในระหว่างนั้น แต่ช่วงล่มสลายของอาณาจักรพุกาม และการเพิ่มของการอพยพจากน่านเจ้าและ Möng-Mao คนไทยได้ยืนหยัดความเป็นเอกเทศ ไม่ว่าเจ้า Anawrahta จะลดฐานะของเมืองเมาลงหรือไม่ก็ตาม กษัตริย์องค์ต่อๆ มาก็ประสพความสำเร็จในการปกครองเรื่อยมาจนกระทั่งใน Pam Yao Pöng สิ้นพระชนม์ในค.ศ. 1210 (หน้า 130) ประวัติศาสตร์เมื่อสมัยศตวรรษที่ 13 ผู้ปกครองเมือเมาได้ขยายอาณาเขตไปไกลรวมถึงบางส่วนของสยาม ในช่วงต้น ค.ศ. 568 เมือง ‘Kaing’ เมือง ‘Nyaung’ เมือง ‘Ri’ และเมือง ‘Ram’ ล้วนเป็นเมืองหลวงของอาณาเขตปกครองของเมืองเมา ‘Mao Shan’ ได้ครอบครองทางตะวันออกของอัสสัมเมื่อปี ค.ศ. 1220 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่าและประเทศใกล้เคียงในช่วงศตวรรษที่ 13 นี้เอง ‘Mau’ ทำให้จักวรรดิพม่าแตกลงโดยอาจได้รับความช่วยเหลือจากจีนมองโกล ในปี ค.ศ. 1293 ได้ผนวก ‘Zimmé’ (ของฉาน) เข้ามาด้วย อย่างไรก็ตามจักรวรรดิ ‘Mau’ หมดอำนาจลงในปี ค.ศ. 1350 เมื่อสยามเข้ามาตีจนถึง ‘Zimmé’ (หน้า 135-136) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีเรื่องราวของกษัตริย์ Anawrahta แห่งเมืองพุกาม (ค.ศ. 1044-1077) ว่าได้เสด็จเยือนน่านเจ้าและอภิเษกกับเจ้าหญิง Sao-Môn-La ธิดาของกษัตริย์ ‘mao Shan’ ตามเอกสารของ ‘Hsen Wi’ เจ้าหญิง Sao-Môn-La เป็นธิดาของ Sao-Hôm-Möng ในปี ค.ศ. 1047 กษัตริย์ Anawrahta Mangsaw ได้เสด็จไปยัง ‘Möng Wong’ เพื่อหาพระบรมสารีริกธาตุทั้ง 5 ของพระพุทธเจ้า และขากลับได้ประทับที่ ‘Möng-Mao’ และ ‘Möng Nam’ อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้พบกับเจ้าหญิง (หน้า 126-127) ได้กล่าวถึงราชวงศ์ศากยะแห่งอินเดียที่เข้ามาปกครองตอนเหนือของพม่าในราวศตวรรษที่ 6 ว่าเกิดสงครามระหว่าง ‘Kapilavastu’ กับรัฐใกล้เคียง เจ้าชาย Abbi Rajah กษัตริย์ศากยะองค์แรกได้เข้ามาพม่าพร้อมกองทหารเมื่อ 923 ปีก่อนคริสตศักราช โดยเข้ามาทาง ‘Arakan’ หรือ ‘Sangassarattha’ เมืองหลวงตั้งอยุ่ในพื้นที่เมืองเก่าในพุกามเรียกว่า ‘Chindue’ ทางฝั่งแม่น้ำอิรวดีด้านซ้าย พระองค์ได้นำประเพณีก่อนพุทธศาสนาที่ได้รับจากคนทางแคว้นหิมาลายันทางตอนเหนือของอินเดีย ทายาทผู้สืบบัลลังก์ต่อมามี Bhinnakarajah ผู้ซึ่งครองราชย์ในสมัยพุทธกาล ระหว่างนี้กองทัพจีนได้เข้ามาบุกรุกและทำลายพุกาม การรุกรานนี้ทำให้กษัตริย์แห่งศากยะ Dhaja Rajah ต้องลี้ภัยไปยังพม่า ทรงสร้างอาณาจักรใหม่และสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่เบื้องหลังกำแพงเมืองเก่าทางเหนือของพุกาม หลังการถอนกำลังของกองทัพจีนราชวงศ์ของ Dhaja Rajah ได้ปกครอง ‘Tagaung’ (หน้า 129-130) จากเรื่องของพระพม่า ‘Tagaung Yazawin’ พบว่า ‘Pam Yao Pöng’ เป็นบุตรของเจ้า Taiplung ผู้ครอง ‘Möng Mao-Long’ อาณาจักรแบ่งอออกให้บุตรทั้ง 3 บุตรคนโต Tailung ได้ครอง ‘Möng Mao’ และบุตรคนกลาง Lengsham Phuchāng Khāng ได้ครอง ‘Möng-Mit’ และ ‘Kupklingdao’ ในหุบเขา ‘Shweli’ตามเอกสารอื่น ‘Burrua Pameoplung’ เป็นบุตรคนโตของเจ้า Tai plung บุตรคนที่สองคือ Phuchāng Khāng ได้บุตรของตนคนที่สามคือ Sukapha ช่วยให้สำเร็จในการครองบัลลังก์ เพราะค้นพบอาณาจักร ‘Ahom’ในอัสสัม 5 ปีต่อมาหลังการรุกรานของ ‘Sam-Lông-Hpa’ ในอัสสัม บุตรคนโตคือ Sujitpha ได้เข้าปกครองเมือง ‘Taip’ และ ‘Sukhranpha’ ส่วนบุตรคนที่สองได้ครอง ‘Tai-Pông’ อันมีเมือง ‘Mong Kawang’ และ ‘Mogaung’ เป็นเมืองหลวง (หน้า 130-131) เจ้าชาย ‘Tyao-Aim-Kham-Neng’ ได้ครองบัลลังก์เมืองเมาเพียง 7 ปีจึงฆ่าตัวตาย เจ้า Changeu ได้สืบบัลลังก์ต่อมาเพียง 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ทิ้งบุตร 2 พระองค์ไว้คือ Sao Hkan Hpã ซึ่งได้ครองบัลลังก์ต่อจากพระบิดาและผนวกเมืองต่างๆ ของ ‘Chindwin’ ซึ่งมีผู้ปกครองที่มีอำนาจมากในแคว้น ‘Mao Shan’ รวมทั้งเอาชนะ ‘Manipur’ และอัสสัม ส่วน Sam Lông Hpã ผู้น้องได้ก่อตั้ง ‘Sawbwa’ แห่ง‘Mong Kawang’และ ‘Mogaung’ ใน ค.ศ. 1215 และสร้างเมืองริมน้ำ ‘Nam Kawng’ (หน้า 131-134) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนเชื่อว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองในอดีตของรัฐฉานและพื้นที่ใกล้เคียงยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันเช่นความคล้ายคลึงกันทางภาษา การแต่งกาย ดนตรี ขนบธรรมเนียม และวิถีชีวิต (หน้า 137) |
|
|