|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,การรักษาพื้นบ้าน,สมุนไพร,เชียงราย |
Author |
พรรณี ชัยยาโน |
Title |
การอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรเพื่อการรักษาแบบพื้นบ้านของชนเผ่าลาฮู : กรณีศึกษาบ้าน บ้านแม่คำน้อย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
93 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษาการอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรเพื่อการรักษาแบบพื้นบ้านของลาฮู บ้านแม่คำน้อย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และศึกษาการรักษาพื้นบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น การรักษาจากหมอยา หมอผี ผู้สูงอายุที่มีความรู้เรื่องสมุนไพร ว่ารักษาอย่างไร มีการถ่ายทอดความรู้กันอย่างไร ทั้งนี้สมุนไพรที่ลาฮูใช้เป็นสมุนไพรที่เกิดขึ้นเองตามแหล่งธรรมชาติ ที่อยู่ในป่าเขา ไร่ นา และแหล่งน้ำ จะนำมาใช้เมื่อมีการเป็นไข้ไม่สบายหากเจ็บป่วยไม่มาก แต่ถ้าป่วยหนักก็จะให้หมอสมนุไพร หมอผี หรือไปรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย นอกจากนี้ ลาฮูยังใช้สมุนไพรเป็นอาหาร และใช้ในการประกอบพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ |
|
Focus |
ศึกษาการอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาแบบพื้นบ้าน และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรของลาฮู (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์ในการศึกษาเรียกตนเองว่า "ละหู่" หมายถึง "คน" ในภาษาต่างประเทศเขียนว่า "Lahu" ดังนั้น จึงมีคนเรียก "ละหู่" ว่า "ลาฮู" ชาติพันธุ์ "ละหู่" มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มูเซอ" เขียนในภาษาอังกฤษในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Mussuh, Mussoh, Musso คำว่า "มูเซอ" สันนิษฐานว่า เป็นคำที่มาจากภาษาไทยใหญ่ หมายถึง "นายพราน" (หน้า 18) ลาฮูแบ่งเป็น 4 กลุ่มดังต่อไปนี้ 1. ลาฮูยะ (Lahu nyi) หรือ มูเซอแดง กลุ่มนี้ชอบเรียกตนเองว่า "ละฮูยะ" หมายถึง "ชาวลาฮู" มีจำนวนมากที่สุด (หน้า 19) 2. ลาฮูนะ (Lahu na) หรือ มูเซอดำมีจำนวนมากเป็นอันดับสอง 3. ลาฮูนาเมี้ยว (Lahu na–Muey) หรือ มูเซอเซเล มีจำนวนมากเป็นที่สาม 4. ลาฮูซี (Lahu shi) หรือ มูเซอซี่ มีจำนวนน้อยกว่าทุกกลุ่ม (หน้า 19) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาฮูบ้านแม่คำน้อย พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ ในกลุ่มผู้ชายสามารถพูดและฟังภาษาไทยกลาง และภาษาคำเมืองได้ สำหรับคนสูงอายุส่วนมากพูด และฟังภาษาไทยไม่ได้ (หน้า 37) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการอพยพของลาฮู แต่เดิมลาฮู อยู่ในจีนและธิเบต และปกครองตนเองอย่างเสรี ภายหลังเมื่อจีนเปลี่ยนแปลง การปกครอง จีนจึงส่งตัวแทนเข้าไปปกครอง ผู้นำของลาฮูบางส่วนได้ก่อกบฏ ดังนั้นจีนจึงทำการปราบปราม ลาฮูจึงอพยพเข้ามาในพม่าและไทย (หน้า 18) ประวัติหมู่บ้านแม่คำน้อย บ้านแม่คำน้อย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2528 โดยกลุ่มแกนนำหมู่บ้านในขณะนั้น การก่อตั้งในครั้งแรกมี 25 หลังคาเรือน ภายหลังมีประชากรอพยพหนีการสู้รบระหว่างพม่าและว้าแดง ตามแนวเขตแดน โดยอพยพจากบ้านปางหนุน บ้านปูลอย มาเพิ่มเติมในภายหลัง (หน้า 23) |
|
Settlement Pattern |
บ้านลาฮู ทำด้วยไม้ไผ่ ในส่วนพื้นและฝาบ้านกั้นด้วยไม้ไผ่ บ้านปลูกติดพื้นดิน โดยจะปรับพื้นดินให้สูงขึ้น ในบ้านที่ยกพื้นสูง เสาจะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง สูง 1 เมตร หลังคามุงด้วยหญ้าคา บริเวณใต้ถุนบ้านจะเก็บอุปกรณ์ต่างๆ และเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ ควายและอื่นๆ บ้านบางหลังจะเป็นที่ตั้งของครกกระเดื่องตำข้าว บ้านลาฮู มักจะทำชานบ้าน ยื่นออกจากตัวบ้าน เพื่อเป็นที่พักผ่อน และตากพืชผักต่างๆ การใช้สอยเนื้อที่ในบ้าน จะแบ่งพื้นที่เป็นที่ตั้งเตาไฟ ทำกับข้าวและผิงไฟในหน้าหนาว (หน้า 24) อีกส่วนรอบครัวไฟจะเป็นที่แขวนเสื้อ และเป็นที่นอนของคนในบ้านและแขกที่มาเยี่ยม สำหรับส่วนที่เป็นห้องนอน และสถานที่ประกอบพิธี จะกั้นด้วยไม้ไผ่ (หน้า 24) |
|
Demography |
บ้านแม่คำน้อย มีจำนวน 54 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 182 คน (จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2543 ) เพศชาย 80 คน และหญิง 102 คน มีผู้ที่ได้รับสัญชาติไทย 27 คน มีบัตรประจำตัวประชาชน 6 คน และมีทะเบียนราษฎร์ (ทร.14) 5 ครอบครัว รวมทั้งหมด 27 คน (หน้า 23) |
|
Economy |
อาชีพ ส่วนใหญ่จะทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ลาฮูจะเพาะปลูกแบบตัดไม้โค่นป่าเผา และจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยจะมีการรักษาหวงห้ามแหล่งน้ำ ไม่ให้คนรุกล้ำพื้นที่ต้นน้ำ พืชที่ปลูกส่วนมากจะปลูกข้าวนา ข้าวโพด ขิง สัตว์เลี้ยง ได้แก่ ไก่ หมู ควาย ม้า สัตว์ที่เลี้ยงจะเลี้ยงไว้กิน ใช้งาน ประกอบพิธีกรรม และจำหน่าย สำหรับอาชีพเสริม ได้แก่ ค้าขาย และรับจ้าง (หน้า 20) ปฏิทินการเกษตรและพิธีกรรม มกราคม ถางไร่ดายหญ้า กุมภาพันธ์ พิธีปีใหม่ในหมู่บ้าน มีนาคม ถางไร่เผาป่า ปลูกข้าวไร่, ข้าวโพด เมษายน เซ่นไหว้ผีประจำทิศ ตั้งศาลผีไร่ก่อนเพาะปลูกข้าว พฤษภาคม ปลูกข้าว และทำบุญขวัญข้าว มิถุนายน - กรกฎาคม กำจัดวัชพืชต่างๆ ทำบุญต้นข้าว, ข้าวโพด สิงหาคม ทำบุญดอกข้าว กันยายน เลี้ยงผีบ้าน พิธีกินข้าวไร่ – ข้าวโพดใหม่ ตุลาคม จัดพิธีเลี้ยงผีไร่ ทำบุญข้าวโพด พฤศจิกายน พิธีกินข้าวใหม่ เก็บเกี่ยวข้าวเรียกขวัญ ธันวาคม ประกอบพิธีเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 24) อาหาร ส่วนใหญ่กินข้าวเจ้า กับข้าวเหมือนกับคนพื้นราบ อาหารพ่อค้าพื้นราบจะเอาไปขายหรือจะไปซื้อภายนอกหมู่บ้าน (หน้า 25) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของลาฮูเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว หากแต่งงานผู้ชายจะไปอยู่ที่บ้านผู้หญิงเป็นระยะเวลา 2-3 ปี จึงจะออกมาสร้างบ้านของตนเอง ครอบครัวลาฮู จะประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ลูกเขย และหลาน ในหมู่บ้านจะถือว่าเป็นญาติกัน จึงมีความสามัคคีรักใคร่กัน ช่วยเหลือกัน เมื่อมีงานพิธีต่างๆ เช่นงานศพ ซ่อมบ้านซึ่งจะช่วยกันโดยไม่คิดค่าว่าจ้าง (หน้า 19, 25) |
|
Political Organization |
บ้านแม่คำน้อย หมู่ 2 ตำบลเทิดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง การปกครองขึ้นกับบ้านแสนเมืองโก ซึ่งถือว่าเป็นหมู่บ้านบริวารบ้านแสนเมืองโก การปกครองจะมีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นคนหมู่บ้านแสนเมืองโก ในส่วนของบ้านแม่คำน้อย จะแบ่งเป็นกรรมการหมู่บ้าน โดยมีผู้นำหมู่บ้าน ผู้ช่วย และกรรมการทำหน้าที่ปกครองและบริหารงานในหมู่บ้าน และประสานงานกับหน่วยงานของทางราชการ ไปประชุมและนำข้อมูลข่าวสารมาแจ้งกับคนในหมู่บ้าน (หน้า 26-27) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ ลาฮูนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ “กื่อชา“ โดยเชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลก และมีความเชื่อเรื่องผี ผีที่นับถือได้แก่ ผีบ้าน ผีเรือน ผีป่า ผีน้ำ ผีบรรพบุรุษ สำหรับผู้นำศาสนาของลาฮูได้แก่ “ปู่จอง หรือ ตูโบ“นอกจากนี้ยังมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า19, 26) การนับถือศาสนาแบ่งได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่นับถือผีและศาสนาพุทธ การปฏิบัติส่วนหนึ่งจะทำตามความเชื่อเดิม ได้แก่ บูชาเทพเจ้า "กื่อชา" ภายหลังเมื่อมีการเผยแพร่ศาสนาพุทธ จึงมานับถือศาสนาพุทธ (หน้า 19-20, 41) 2. ผู้นับถือศาสนาคริสต์ แต่เดิมจะนับถือผีจึงมาเปลี่ยนนับถือศาสนาในภายหลัง (หน้า 20, 29) จากความเชื่อของลาฮู เชื่อว่าถ้าตายไปแล้ววิญญาณจะไปอยู่กับกื่อชา ถ้าทำดีชีวิตจะมีแต่ความสุข หากทำชั่วจะได้ไปเกิดเป็นแมลง หรือสัตว์ป่ายู่ตามป่าเขาลำเนาไพร (หน้า 20,43) ประเภทของผี ความเชื่อของลาฮู แบ่งผีออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น 1. ผี (เน) ได้แก่ผีดี ผีร้าย ผีบ้าน (เย่เน) หากไม่เคารพหรือจัดพิธีเซ่นไหว้ ผีจะโมโหและไม่ให้การดูแล 2. พระผู้เป็นเจ้า (กุยชา) ซึ่งลาฮูเชื่อถือต้องเซ่นไหว้บูชาทุกคน 3. วิญญาณหรือขวัญ (อ่อฮา) การเจ็บป่วยหากเป็นไม่มาก เชื่อว่าเป็นเพราะขวัญออกจากร่างกาย ฉะนั้นเมื่อมีการเป็นไข้ไม่สบาย จึงประกอบพิธีเรียกขวัญ ซึ่งหมอผีจะเป็นผู้ทำพิธี (หน้า 44) |
|
Education and Socialization |
ลาฮูในบ้านแม่คำน้อย ได้เรียนหนังสือตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศูนย์ศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขาบ้านคำน้อย ซึ่งการศึกษานอกโรงเรียนเป็นผู้ดูแล โดยทำการเปิดสอนภาษาไทย ให้กับนักเรียนและคนในหมู่บ้าน โดยเปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 มีครูอาสา 1 คน ประจำอยู่ที่นั่น โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านนาโต่ (วปรอ.344 อุปถัมภ์) อยู่ห่างจากบ้านแม่คำน้อย 1 กิโลเมตร สอนตั้งแต่ชั้น ป.1-ป.6 และโรงเรียนสอนภาษาจีนกลาง สนับสนุนโดยคนจีนไต้หวัน เปิดสอนภาษาจีนกลางให้กับเด็กและผู้ใหญ่ (หน้า 22-23, 26) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล การรักษายามป่วยไข้ มีทั้งการรักษาแผนปัจจุบัน และแพทย์พื้นบ้าน โดยจะรักษากับหมอพื้นบ้าน หรือหมอผีที่รักษาโดยการจัดเลี้ยงผี และการรักษาด้วยหมอสมุนไพร สำหรับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นจะไปรักษาที่สถานีอนามัยปางมะหัน ที่ตั้งอยู่ไกลจากหมู่บ้าน 5 กิโลเมตร กับสถานีอนามัยเล่าลิ่ว ที่ตั้งอยู่ไกลจากบ้านแม่คำน้อย 3 กิโลเมตร (หน้า 25, 46) สำหรับการรักษาพื้นบ้าน หากปวดหัว เวียนหัว จะรักษาโดยดึงผิวหนังบริเวณที่ปวด เพื่อให้หายปวด เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ มักไม่ค่อยดึงผิวหนัง หากป่วยมากๆ ก็จะให้หมอพื้นบ้านและหมอผี จัดพิธีเลี้ยงผี ส่วนในกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ หากเจ็บป่วยก็จะขอพรจากพระเจ้า เพื่อขอให้หายจากการป่วยไข้ ถ้าไม่ทุเลาก็จะไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย (หน้า 25, 33) แหล่งสมุนไพร แหล่งสมุนไพรของลาฮูเป็นพื้นที่ที่มีสมุนไพรเกิดขึ้นเอง ได้แก่ ในป่า ไร่ นา ส่วนการถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร ลาฮูจะถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่น โดยผ่านหมอพื้นบ้าน เช่น หมอผี หมอสมุนไพร และผู้สูงอายุที่ประกอบพิธีกรรม (หน้า 33, 51, 53-56, 61) ประเภทของสมุนไพร งานเขียนได้แบ่งสมุนไพรออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่ 1. สมุนไพรที่เป็นยา เช่น สมุนไพรที่นำมารักษา หากป่วยไข้ เช่น เกิดบาดแผล ไข้ ปวดหัว ท้องผูก ท้องร่วง ปวดเมื่อย 2. สมุนไพรที่เป็นอาหาร เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักกูดหรือด่ากุลุจ่า เก็บตามแหล่งน้ำ ยอกสะบ้า หรือมะลิจ่า นำยอดมาต้ม หรือผัดกับเนื้อหมู 3. สมุนไพรที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งหมอผี หมอยากับผู้สูงอายุจะทราบว่าควรนำสมุนไพรใดมาใช้ในการประกอบพิธี (หน้า 63-64) การอนุรักษ์สมุนไพรมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. ปัจจัยด้านกายภาพได้แก่แหล่งสมุนไพรในหมู่บ้านจะหาได้จากแหล่งธรรมชาติได้แก่ในป่า ตามแหล่งน้ำและรอบหมู่บ้านและแหล่งสมุนไพรที่ลาฮูร่วมกันปลูกในหมู่บ้านโดยจะใช้ร่วมกันได้แก่สมุนไพรที่ใช้รักษาเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย และทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านในในพื้นที่ที่เหมาะสมมีสมุนไพรเติบโตรอบๆ หมู่บ้านและสะดวกต่อการรักษาเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย (หน้า 30-35,58) 2. ปัจจัยด้านสังคมหรือกิจกรรมทางสังคม ได้แก่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่โดยแบ่งออกเป็นการอบรมสั่งสอน เช่น ผู้สูงอายุหรือพ่อแม่ให้การอบรมความรู้ด้านสมุนไพรและแหล่งสมุนไพรกับลูกหลาน ความคิดความเชื่อคือยังมีคนที่ศรัทธาต่อการรักษาแบบพื้นบ้านและใช้สมุนไพรรักษาเมื่อไม่สบาย เช่น ผู้สูงอายุที่อ่านหนังสือไม่ออกยังรักษาอาการเจ็บป่วยเช่นเมื่อกระดูกจะสมุนไพรเพราะไม่กล้าไปรักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากกลัวว่าหมอจะตัดแขนตัดขา การรักษาแบบพื้นบ้าน คือ การรักษาด้วยสมุนไพรหรือหมอพื้นบ้านที่เป็นการรักษาแบบองค์รวมที่เป็นการรักษาทั้งกายและใจ จิตวิญญาณซึ่งประกอบด้วยคนในชุมชนทุกคน (หน้า 58-59, 39-41) 3. โลกทัศน์หรือมุมมองต่อเรื่องสมุนไพร แหล่งสมุนไพร ภูมิปัญญาพื้นบ้าน คือ การให้ความสำคัญกับสมุนไพรว่าเป็นการรักษาแบบพื้นบ้านที่ต้องอนุรักษ์ไว้ หากมีการอนุรักษ์สมุนไพรหรือแหล่งสมุนไพรก็เหมือนกับรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น 4. แรงผลักดัน นโยบายของรัฐ คือ หากรัฐให้การสนับสนุนการใช้สมุนไพรและการรักษาแบบพื้นบ้านก็จะทำให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งสมุนไพรในชุมชนและทำให้มีการรักษาด้วยสมุนไพรกันต่อไป (หน้า 53, 59-60) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องดนตรีและการละเล่นที่ผู้เขียนกล่าวว่ามีความผูกพันกับความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ของลาฮู ได้แก่ ขลุ่ย ซึง แคนน้ำเต้า กลอง ฉาบ สำหรับเนื้อหาของเพลงลาฮูโดยมากจะเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว พืชและสัตว์ ส่วนการเต้นรำจะจัดในงานสังสรรค์ เทศกาลสำคัญ เช่น วันปีใหม่ (หน้า 20) การแต่งกาย ทุกวันนี้ลาฮูจะแต่งตัวเหมือนกับคนพื้นราบ การสวมใส่ชุดประจำเผ่าจะแต่งเมื่อมีงานพิธีสำคัญ เช่น วันปีใหม่ งานแต่งงาน สำหรับการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ของลาฮูนั้น เนื่องจากว่าอุปกรณ์ทอผ้าไม่มี และไม่มีคนสืบทอดการทอผ้าของลาฮู และประกอบกับการซื้อหาชุดสมัยใหม่มีความสะดวกและราคาถูก (หน้า 25) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพ กรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 13) ตาราง วงจรชีวิตพิธีกรรมและการเกษตรใน 1 ปี (หน้า 24) นโยบายเน้นหนักของกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2545 (ภาคผนวก หน้า 82-83) แผนที่ บ้านแม่คำน้อย (หน้า 91) อ. แม่ฟ้าหลวง (หน้า 92) |
|
|