|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คนเมือง,อาข่า,ลาหู่,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เมี่ยน,การดูแลสุขภาพ,การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ,ภาคเหนือ |
Author |
ยิ่งยง เทาประเสริฐ (บรรณาธิการ) |
Title |
ชาติพันธุ์ : ศักยภาพในการดูแลสุขภาพและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบริเวณลุ่มน้ำขนาดเล็กในภาคเหนือ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
147 |
Year |
2535 |
Source |
คณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ |
Abstract |
ในรายงานวิจัยนี้ได้ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย และนำเสนอให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่างก็มีวิถีทางของตนเองและมีศักยภาพในการดูแลสุขภาพ อย่างเช่น คนเมืองหรือไทยยวนที่อำเภอพญาเม็งรายมีภูมิปัญญาในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เพราะสอดคล้องกับความรู้ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น จึงควรพัฒนาศักยภาพในการดูแลสุขภาพในท้องถิ่นขึ้นมาเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพของประชาชน (หน้า 29-30) อาข่าและลาหู่ที่ดอยตุงต่างก็มีการดูแลรักษาสุขภาพตนเองอย่างมีระบบ เรียกว่า ระบบการแพทย์พื้นบ้าน ภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพนี้อาจถูกสืบสาน ปรุงแต่ง และคิดค้นขึ้นใหม่ตามการผันแปรของสภาพแวดล้อมปัจจุบันซึ่งการปรับตัวนี้ทำให้ระบบการแพทย์พื้นบ้านเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพของชุมชนและยังคงดำรงบทบาทอยู่ เนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถอุดช่องว่างทางวัฒนธรรมของชนเผ่าได้จึงควรสนับสนุนให้ระบบแพทย์พื้นบ้านมีขีดความสามารถในการรับใช้ชุมชนโดยไม่เสี่ยง และเป็นตัวช่วยส่งเสริมระบบการแพทย์ปัจจุบัน ในการดูแลสุขภาพพื้นฐานของชาวบ้าน (หน้า 65-66) ในชุมชนปกาเกอญอที่ตำบลหัวเมืองเดิมชุมชนเคยใช้ภูมิปัญญาของตนเองจัดสรรและจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด แต่เมื่อมาตรการการอนุรักษ์ป่าของรัฐบาลและกระแสของวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าไปทดแทนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งผลต่อชุมชนที่เคยเป็นอิสระและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เคยมีศักยภาพในการอนุรักษ์ทรัพยากรต่างๆ แฝงอยู่ในระบบความเชื่อและวิถีชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนิเวศวิทยาในท้องถิ่น เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของชุมชน ทำให้ชุมชนลดการพึ่งพาตนเองลงและต้องเพิ่มภาวะการพึ่งพาภายนอกมากขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนลดลง ชุมชนเมี่ยนเลาสิบเองก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกันเพราะแต่เดิมระบบการผลิตของเมี่ยนเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน ปลูกพืช ผักหลายชนิดปะปนในไร่เดียวทำให้มีอาหารบริโภคตลอดฤดูกาล การใช้ประโยชน์จากที่ดินที่สามารถขยายไปได้มาก แต่เมื่อนโยบายของรัฐในปี 2510 ให้อพยพชาวเขาจากภูเขา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในให้เข้ากับสถานการณ์ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นำความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เข้ามาสู่สังคมเมี่ยน (หน้า 146-147) |
|
Focus |
ศึกษาศักยภาพและภูมิปัญญาในการดูแลสุขภาพตนเอง และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ไทยล้านนา อาข่า ลาหู่ เย้า(เมี่ยน) และกะเหรี่ยง(ปกาเกอญอ) ที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดเล็กของภาคเหนือตอนบน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และลำปาง (หน้า 4-5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ในรายงานการวิจัยนี้ครอบคลุมการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม คือ ไทยยวน ไทยลื้อ ม้ง เมี่ยน ลาหู่ (หน้า 11) อาข่า ลาหู่ โดยแบ่งลาหู่เป็น ลาหู่ญิ(มูเซอแดง) และลาหู่นะ(มูเซอดำหรือมูเซอคริสต์) (หน้า 40) ปกาเกอญอ(กะเหรี่ยง) (หน้า 67) และ เมี่ยน(เย้า) (หน้า 98) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระบุเพียงว่าศึกษาหมู่บ้านในบริเวณดอยตุงในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม พ.ศ. 2536 (หน้า 42) |
|
History of the Group and Community |
ไทยยวนและไทยลื้อ อพยพมาจากจังหวัดน่าน แพร่ บางส่วนอพยพมาจากภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 11) อาข่าและลาหู่ที่อาศัยอยู่บริเวณดอยตุง เดิมอยู่ในแคว้นหยุนนานของประเทศจีน ได้อพยพสู่ภาคตะวันออกของพม่าและทางเหนือของลาว แล้วย้ายจากพม่าและลาวมาภาคเหนือของไทย ไม่ต่ำกว่า 70 ปี (หน้า 35) - หมู่บ้านเลาสิบตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี 2488 โดยการนำของนายเล่าหลู่ฟิน แซ่พ่าน หรือนายเลาสิบซึ่งเป็นเมี่ยน อพยพมาจากประเทศลาว ระยะแรกมีประมาณ 15-16 ครอบครัว นายเลาสิบมีน้องอีก 2 คน ได้ตั้งบ้านเล่าฉี่ก๋วย และบ้านผาเดื่อขึ้น ในปัจจุบันทั้ง 3 หมู่บ้านเป็นเครือญาติกัน (หน้า 102) |
|
Settlement Pattern |
ระบุเพียงว่าชุมชน 4 ชุมชนในตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองน่าน จ.ลำปาง (หน้า 72) |
|
Demography |
มีข้อมูลเฉพาะที่ชุมชนปกาเกอญอที่ตำบลหัวเมือง จังหวัดลำปางและชุมชนของเมี่ยนตำบลแม่สะลองนอก จังหวัดเชียงราย คือ - ชุมชนปกาเกอญอ บ้านแม่หมีนอก 27 หลังคาเรือน 30 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 129 คน ชาย 44 คน หญิง 35 คน เด็กชาย 29 คน เด็กหญิง 21 คน บ้านแม่หมีใน 21 หลังคาเรือน 22 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 115 คน ชาย 39 คน หญิง 40 คน เด็กชาย 16 คน เด็กหญิง 20 คน บ้านแม่ต๋อมใน 21 หลังคาเรือน 23 ครอบครัว จำนวนประชากร 149 คน ชาย 63 คน หญิง 54 คน เด็กชาย 19 คน เด็กหญิง 13 คน บ้านแม่ต๋อมนอก 12 หลังคาเรือน 12 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 61 คน ชาย 21 คน หญิง 22 คน เด็กชาย 10 คน หญิง 8 คน (หน้า 70) -ชุมชนเมี่ยน(เย้า) ตำบลแม่สะลองนอก จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย 21 หลังคาเรือน 29 ครอบครัว มีประชากรรวม 144 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 70 คน (หน้า 102) |
|
Economy |
มีข้อมูลเฉพาะที่ชุมชนปกาเกอญอที่ตำบลหัวเมือง จังหวัดลำปาง และชุมชนของเมี่ยนตำบลแม่สะลองนอก จังหวัดเชียงราย คือ คนในหมู่บ้านปกาเกอญอทั้ง 4 หมู่บ้านมีรายได้มาจากการขายสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ บางครอบครัวปลูกถั่วแดง ข้าวโพด ขิง และหัตถกรรม เช่น การทอผ้า จักรสาน (หน้า 71) สำหรับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของปกาเกอญอนั้นให้คุณค่ากับธรรมชาติทั้งดิน น้ำ และป่าไม้ มีความผูกพันและความเชื่อที่สะท้อนแนวคิด ปรัชญา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความอยู่รอดของคนและป่าที่แฝงไว้ในวิถีชีวิต (หน้า 78) มีการจำแนกป่าและต้นไม้ในเชิงอนุรักษ์ที่ใครเข้าไปแตะต้องไม่ได้ คือ ป่าสันกิ่วหลวง เชื่อว่าเป็นทางเดินของผี ป่าซับน้ำ เชื่อว่ามีผีแรงกว่าป่าอื่น ป่าช้าซึ่งแยกเป็นส่วนที่ฝังศพกับส่วนที่เอาสิ่งของผู้ตายไปไว้ ป่าโป่งเป็นป่าที่ผีน้ำอาศัยอยู่ ป่าต้นน้ำ ป่าน้ำซับน้ำซึม และป่าน้ำผุด และยังมีข้อห้ามในการใช้ไม้หลายชนิด เช่น ไม้สองนาง ไม้ที่ออกเป็นแฝดคู่กันถ้าตัดจะทำให้มีอันเป็นไป (หน้า 80-81) ชาวบ้านจะมีความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเลือกดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก เช่น การปักดูกไก่ การทำไร่ ในอดีตการทำไร่เป็นแบบหมุนเวียน แต่ละครัวเรือนมีไร่ข้าวตั้งแต่ 4 แปลงขึ้นไป โดยผู้นำจะเป็นผู้กำหนดการเพาะปลูกในทิศทางไหนของหมู่บ้าน โดยจะหมุนเวียนกันไปแปลงหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีแล้วปล่อยทิ้งไว้ 3,5,7 ปีจึงกลับมาทำใหม่ ทำให้สภาพดินมีการฟื้นตัว (หน้า 83-85, 88, 91) ทั้ง 4 หมู่บ้านจำเป็นต้องทำไร่ข้าวควบคู่กับการทำนา มีการแบ่งประเภทน้ำตามลักษณะและสถานที่เกิดและแบ่งตามลักษณะการใช้ประโยชน์ การจัดการเรื่องน้ำจะยึดตามความเชื่อที่มีการสืบทอดกันมานาน โดยเชื่อว่าแม่น้ำลำคลองทุกสายมีเจ้าของ คือ "นที" ถ้าไม่เคารพน้ำจะถูกลงโทษ (หน้า 94-96) แนวโน้มการใช้ทรัพยากรของชาวบ้าน มีการพึ่งสังคมภายนอกมากขึ้น มุ่งหวังผลทางเศรษฐกิจ เช่น ปลูกกาแฟ มีการอพยพแรงงานเข้าเมือง ระบบการผลิตแบบไร่หมุนเวียนถูกจำกัดพื้นที่ มีการทำซ้ำในพื้นที่เดิมมากขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรลดลง ระบบผู้นำที่ควบคุมดูแลการดำเนินชีวิตถูกลดบทบาทลง (หน้า 96-97) ส่วนในหมู่ 3 ซึ่งเป็นชุมชนของเมี่ยนอาชีพหลักของหมู่บ้าน คือ การทำไร่ข้าว รองมาคือ การปลูกข้าวโพด แต่ผลผลิตไม่เพียงพอสำหรับบริโภคโดยเฉพาะข้าวต้องมีการซื้อข้าวจากภายนอกมารับประทานประมาณครอบครัวละ 1–2 กระสอบต่อปี (หน้า 105) ในการผลิตและการจัดการดิน เมี่ยนให้ความสำคัญต่อการจำแนกดินเพื่อใช้เพาะปลูก โดยดูจาก 1.ลักษณะของดิน ซึ่ง แบ่งออกเป็น 4 ระดับ โดยนิยมใช้ระดับยอดเขา เป็นที่เพาะปลูกมากที่สุด 2.ลักษณะส่วนประกอบของดิน 3.การชิม ดินดีจะขม 4.สีดิน ถ้าสีดำมากๆ ถือว่าอุดมสมบูรณ์ 5.ดูจากพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ 6. ทิศรับแสงดินที่หันไปทางทิศตะวันออกจะเหมาะใช้เพาะปลูก 7. สังเกตจากพฤติกรรมสัตว์ (หน้า 107-110) การทำไร่ข้าว เป็นพืชหลัก จะปลูกในพื้นดินเดิมได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ส่วนใหญ่ปลูกข้าวเจ้า มีการปลูกพืชเสริมในไร่ด้วย (หน้า 110-112) ส่วนใหญ่เป็นพืชสวนครัว นอกจากนั้นมีการทำไร่ข้าวโพดและไร่ฝิ่น (หน้า 112-114) การจัดการทรัพยากรป่า จำแนกประเภทของป่าเป็น 1. ป่าชุมชนหรือป่าพิธีกรรม อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 - 32 ก.ม. 2. ป่าที่เกิดจากไร่เก่า 3. ป่าบริเวณหัวไร่ 4. ป่าที่เกิดจากการฝังศพ 5. เขตป่าธรรมชาติ (หน้า 116-118) การจัดการทรัพยากรน้ำ จำแนกประเภทน้ำเป็น 9 ชนิด เมื่อเกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร จะแก้ปัญหาโดย 1. ว่ากล่าวตักเตือน 2. การตกลงกันก่อน 3. ให้ผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน (หน้า 122) ในปัจจุบันการจัดการทรัพยากรมีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น มีการลดขั้นตอนวิธีการเลือกพื้นที่เพาะปลูกลง การถือครองที่ดินลดลง (หน้า 133-138) |
|
Belief System |
ไทยล้านนา/ยวนและลื้อ ในอำเภอพญาเม็งรายส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ มีบ้างที่นับถือศาสนาคริสต์ อิสลาม และผีบรรพบุรุษ (หน้า 11) ส่วนอาข่าที่ดอยตุง นับถือ "บัญญัติอาข่า" ซึ่งครอบคลุมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี และพิธีกรรมทุกอย่างในการดำเนินชีวิต(หน้า 36) และลาหู่ ในบริเวณใกล้เคียงนับถือทั้งอี่และเทพ ได้แก่ 1.ผี(เน) 2.พระผู้เป็นเจ้า (เทพเจ้ากุยซา) เชื่อว่ากุยซาเป็นผู้สร้างมนุษย์นอกจากนี้ยังเชื่อเรื่อง วิญญาณหรือขวัญ(อ่อฮา) ว่าเป็นภาคจิตของร่างกาย (หน้า 40) แต่ที่ตำบลหัวเมืองมีความหลากหลายในเรื่องความเชื่อ คือ บ้านแม่หมีใน นับถือผี 17 หลังคา คริสต์ 4 หลังคา บ้านแม่หมีนอก นับถือผี 21 หลังคา คริสต์ 10 หลังคา บ้านแม่ต๋อมใน นับถือผี 21 หลังคา คริสต์ 2 หลังคา บ้านแม่ต๋อมนอก นับถือผี 3 หลังคา คริสต์ 9 หลังคา (หน้า 71) มีพิธีกรรมและระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิต เช่น เมื่อมีเด็กเกิดใหม่จะเอาสายสะดือใส่กระบอกไผ่ไปติดกับต้นไม้ใหญ่ที่มีผลกินได้ซึ่งและห้ามตัดโดยเด็ดขาดเพราะเชื่อว่าขวัญของเด็กอยู่กับต้นไม้นั้น (หน้า 78-79) สำหรับหมู่บ้านเมี่ยนเลาสิบ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ และกลุ่มที่นับถือบรรพบุรุษ (หน้า 104) มีพิธีกรรมและระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวต ได้แก่ 1. ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับพื้นที่ เช่น การถางไร่ซึ่งต้องดูฤกษ์ยาม 2. พิธีกรรมเกี่ยวกับระบบการผลิต เช่น การทำขวัญข้าว 3. ความเชื่อหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น ถ้ามีการตัดต้นไม้ล้มทับลงน้ำต้องมีการขอขมา 4. พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับป่าและต้นไม้ เช่น ก่อนตัดต้นไม้ต้องมีการทำพิธีก่อน 5. พิธีกรรมที่เกี่ยวกับดิน 6. ความเชื่อที่เกี่ยวกับการสร้างบ้าน 7. พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการล่าสัตว์ (หน้า 123-133) |
|
Education and Socialization |
ไม่ได้ระบุข้อมูลในเรื่องนี้ในการศึกษาชุมชนไทยล้านนา/ยวนและลื้อที่อำเภอพญาเม็งราย และการศึกษาอาข่าและลาหู่ที่ดอยตุงแต่มีข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนปกาเกอญอที่ตำบลหัวเมือง จังหวัดลำปาง และบ้านเมี่ยนเลาสิบว่า มีหน่วยงานของกรมประชาสงเคราะห์และกรมการศึกษานอกโรงเรียน ในชุมชนของบ้านหัวเมืองโดยเน้นการอ่านออกเขียนได้ แต่มีแนวโน้มว่ามีเด็กออกไปเรียนที่ ต่างอำเภอมากขึ้น (หน้า 69-70) ส่วนประชากรบ้านเลาสิบส่วนใหญ่เรียนจบชั้นประถมศึกษา และมีการเรียนการสอนด้านวัฒนธรรมของเผ่าโดยวิทยากรในหมู่บ้านเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมของเผ่าเย้าไว้ (หน้า 104-105) |
|
Health and Medicine |
ในชุมชนไทยล้านนาผู้วิจัยได้ศึกษาระบบวิธีคิด ความรู้ความเชื่อเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพ การคงอยู่ การปรับตัวและการสืบทอดความรู้ของหมอเมือง โดยเลือกหมอเมืองจำนวน 5 คน ศึกษาประวัติ วิธีการวินิจฉัยโรค โรคที่รักษาบ่อย เช่น โป่ง ผีเข้า ค่ายกครู ตัวอย่างคนไข้ และการสืบทอดวิชา (หน้า 12-21) ผู้วิจัยจำแนกประเภทของหมอเมืองออกเป็น 1. หมอเมื่อ มีหน้าที่ทำนายโชคชะตาและหาสาเหตุของการเจ็บป่วยมีชื่อเรียกต่างกันตามลักษณะพิธีกรรม ได้แก่ หมอส่อง หมอถ้วยแก้ว ผีหม้อนึ่ง 2. หมอผี ใช้เวทย์มนต์คาถาลาผี ในรายที่ผีเข้า 3. หมอสู่ขวัญ มีหน้าที่ในงานพิธีกรรมต่างๆ เช่น แต่งงาน 4. หมอขวากซุย หมอเป่า ใช้คาถาเป่าให้กระดูกติดกัน หรือดับพิษ 5. หมอยา ใช้สมุนไพรในรูปแบบของยาต้ม หรือบดเป็นผง ต้องมีการขึ้นครูก่อนให้ยาคนไข้ไปรักษา เช่น โรค ดีซ่าน นิ่ว (หน้า 22) หมอเมืองมักใช้วิธีการรักษาหลายๆอย่างร่วมกัน เช่น เป่าพ่น-คาถา-น้ำมนต์ ใช้รักษา มะเฮ็ง ตุ่มปิ๊ด ตาแดง ไฟไหม้น้ำร้อนลวก โรคที่หมอเมืองรักษามีทั้งโรคแผนปัจจุบัน และโรคที่มีชื่อเรียกตามชื่อพื้นบ้าน ซึ่งผู้วิจัยได้อธิบายความหมายเฉพาะของโรคพื้นบ้าน เช่น มะเฮ็งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง (หน้า24-25) ซึ่งโรคพื้นบ้านต่างๆ เกี่ยวข้องกับความเชื่อพื้นบ้าน เช่น นิ่วเกิดจากธาตุไฟน้อยกว่าปกติ (หน้า 26) ส่วนวิธีการแก้ปัญหาสุขภาพที่หมอเมืองใช้จะมีหลากหลายและครอบคลุมทั้งทางกาย จิตใจ และสังคม เช่น การแก้คุณไสย เวทย์มนต์มีผลทางด้านจิตใจ (หน้า 27-28) การแก้ปัญหาพื้นบ้านจึงปรากฏเป็นพิธีกรรมต่างๆ อันมีความหมายในตัวและสามารถสื่อสารให้คนในวัฒนธรรมเดียวกันเข้าใจได้ง่ายและได้สืบทอดกันมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวล้านนา การสื่อสารระหว่างคนไข้กับหมอเมืองจึงเข้าใจกันดีกว่าการแพทย์ที่มีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมตะวันตก ช่องว่างระหว่างหมอกับคนไข้จึงมีน้อยกว่า แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปการสาธารณสุขและอนามัยมีมากขึ้น หมอเมืองบางคนมีการปรับเปลี่ยนบทบาทมาใช้ยาแผนปัจจุบันร่วมไปด้วย(หน้า 29) ส่วนในชุมชนที่ดอยตุงผู้วิจัยศึกษาถึงศักยภาพของภูมิปัญญาในการดูแลสุขาพของอาข่าและลาหู่โดยศึกษาจากหมอพื้นบ้านจำนวน 5 คน เกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งสามารถจำแนกประเภทของหมอพื้นบ้านได้เป็น 6 ประเภทด้วยกัน(หน้า 57-69) แต่ผู้ป่วยมักจะเลือกแนวทางผสมผสานในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ กล่าวคือ ผู้ป่วยอาจเลือกรักษากับหมอพื้นบ้านก่อนแล้วไม่พอใจอาจจะหันไปเลือกรักษาแบบแผนใหม่ หรืออาจกลับกัน หรืออาจเลือกใช้ทั้งสองระบบพร้อมกัน ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ชาวบ้านจะใช้การรักษาสุขภาพแบบ “การแพทย์พหุลักษณ์” ไม่ผูกขาดทางเลือกใดทางเลือกเดียว (หน้า 60) แนวคิดในการแก้ปัญหาทางสุขภาพของอาข่าและลาหู่ มี 2 แนว คือ การผิดผี ผิดบัญญัติ หรือถูกคุณไสย การที่คนไม่สบายอาจเกิดจากการกระทำของผี หรือการทำผิดบัญญัติ รวมทั้งถูกผีร้ายเข้าสิง จะใช้วิธีขับไล่ผี หรือขอขมาลาโทษผี เซ่นไหว้หรือเลี้ยงผี ถ้าขวัญหายก็จะทำพีเรียกขวัญโดยหมอสู่ขวัญ แต่ถ้าเป็นความผิดปกติของร่างกายที่สามารถระบุเหตุปัจจัยเป็นรูปธรรรม จะใช้วิธีการแก้ปัญหาสุขภาพตามประสบการณ์ เช่น กระดูกหัก อัมพาต ซึ่งการรักษาจะใช้หลักการประสานการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น เมื่อกระดูกหักจะดามด้วยเฝือก และเป่าคาถาไม่ให้เจ็บปวดและให้กระดูกติดกัน (หน้า 61-63) อาข่าลาหู่มีความเชื่อที่กำหนดแนวทางการดำเนินวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับสุขภาพ การเจ็บป่วยทุกอย่างมาจากการละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเห็นได้ว่าจารีตและขนบธรรมเนียมประเพณีตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ และภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพเป็นกุศโลบายที่จะนำไปสู่ภาวะที่สุขสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม ซึ่งภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพดังกล่าวอาจผันแปรไปตามสภาพแวดล้อมและสังคมจึงควรพัฒนาระบบการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านให้ร่วมสมัยเพื่อเป็นทางเลือกในการพึ่งพาตนเองทางสุขภาพในระดับพื้นฐานให้เคียงคู่ไปกับแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 64-65) สำหรับชุมชนที่หมู่บ้านแม่หมีนอก มีสถานีสาธารณสุขรับผิดชอบทั้ง 4 หมู่บ้าน เด็กทั้ง 4 หมู่บ้านมีอัตราการขาดสารอาหารสูง โรคที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง (หน้า71) แต่ที่ชุมชนเมี่ยนเสาสิบภายในหมู่บ้านยังไม่มีแหล่งบริการสาธารณสุขประจำ ชาวบ้านต้องใช้วิธีไปรักษาในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด และยังมีการใช้บริการด้านสมุนไพรอยู่ โรคที่พบบ่อย คือ ระบบทางเดินหายใจ(หวัด) และระบบทางเดินอาหาร (หน้า 105) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
บทที่ 2 ไม่ระบุ บทที่ 3 ไม่ระบุ บทที่ 4 การจำแนกและใช้ประโยชน์จากป่า (หน้า 76-78) บทที่ 5 ตารางที่ 1 แสดงโครงสร้างของประชากรจำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 102) ตารางการจัดจำแนกประเภทของดิน (หน้า 133) ตารางเปรียบเทียบระบบการผลิตในอดีตกับปัจจุบัน(กรณีบ้านเลาสิบ) (หน้า 135-137) |
|
|