|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),พิธีกรรม,มานุษยวิทยาการดนตรี,กาญจนบุรี |
Author |
โกวิท แก้วสุวรรณ |
Title |
'ดูทุหล่า' ในพิธีเรียกวีหล่าของชาวกะเหรี่ยงโป : กรณีศึกษากะเหรี่ยงโป บ้านเกาะสะเดิ่ง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
195 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ศึกษาความเชื่อเรื่องวีหล่าและบทบาทของพิธีกรรมเรียกวีหล่าที่มีต่อวีถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงโป ดูบทบาทของดูทุหล่าในพิธีกรรมเรียกวีหล่าในมุมมองทางมานุษยวิทยาการดนตรี |
|
Focus |
การศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับวีหล่าซึ่งเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตของกะเหรี่ยง โดยเป็นการวิเคราะห์การใช้เสียงในพิธี "ดูทุหล่า" (หน้า 18) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้เน้นการวิเคราะห์พิธีกรรมวีหล่าของกะเหรี่ยงโปที่บ้านเกาะสะเดิ่ง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพราะเป็นพิธีกรรมสำคัญมีจุดมุ่งหมายในการเยียวยาความไม่ปกติทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตของกะเหรี่ยง โดยให้ความสนใจกับขั้นตอนสำคัญที่เรียกว่า "ดูทุหล่า" ซึ่งเป็นการเรียก "วีหล่า" (ความหมายคล้าย "ขวัญ") ให้กลับคืนมา ทั้งนี้ได้พิจารณาจากมุมมองของมานุษยวิทยาการดนตรี คือ เน้นที่การวิเคราะห์ "การใช้เสียง" ซึ่งมี 2 ลักษณะประกอบกัน ลักษณะแรกเป็นการใช้สื่อสร้างภวังค์โดยการเคาะแบบสม่ำเสมอและลักษณะหลังเป็นการปลุกให้ตื่นจากภวังค์โดยการใช้เสียงเคาะถี่เร็วและดังเพื่อเป็นการสื่อสารกันระหว่างผู้ร่วมพิธีและกับ "วีหล่า" หากพิจารณาการใช้เสียงเคาะตามแนวคิดของ Boethris แล้วก็นับว่าเป็นเสียงดนตรีที่ถูกจัดให้มีความพอดีระหว่างการเคาะและการสอด ทำให้เกิดความงดงามและศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจและร่างกายของกะเหรี่ยงที่ร่วมพิธี เกิดการเรียนรู้ทางดนตรี สำหรับผู้ป่วยซึ่งดนตรีในร่างกายไม่ปกติ เมื่อได้ฟัง "ดูทุหล่า" ซึ่งในตอนแรกมีการใช้เสียงที่สม่ำเสมอเป็นปกติก็จะคืนเข้าสู่ภาวะปกติ (หน้า 150-185) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนชาวกะเหรี่ยงโป กลุ่มด้ายขาว บ้านเกาะสะเดิ่ง (หน้า 19-22) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ชาวกะเหรี่ยงโปใช้พูดจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลทิเบต-กะเหรี่ยง (Tibeto-Karen) ยังแยกย่อยเป็นกลุ่มทิเบต-พม่า (Tibeto-Burmese) และกลุ่มกะเหรี่ยง(Karen) ในกลุ่มกะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นสะกอ(S'Kaw) โป(Pwo) บะเว(Bwe) ตองตู(Pao) ซึ่งเป็นกลุ่มสาขาย่อยของกลุ่มจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) ภาษาพูดชาวบ้านเกาะสะเดิ่งใช้ภาษากะเหรี่ยงโปในการสื่อสารระหว่างกะเหรี่ยงด้วยกันและใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสารกับบุคคลภายนอก ส่วนภาษาเขียนจะใช้อักษรและไวยากรณ์ของชนชาติมอญเป็นภาษาเขียนสำหรับการสื่อสารกับกะเหรี่ยงโปด้วยกันและใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกับทางราชการและบุคคลภายนอก ชาวบ้านเกาะสะเดิ่งหลายคนยังมีความสามารถสื่อสารด้วยภาษาอื่นๆ ได้อีก เช่น ภาษากะเหรี่ยงสะกอ ภาษามอญ ภาษาพม่า บางรายสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้เช่นกัน (หน้า 24,39-40) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2537 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 (หน้า 22) |
|
History of the Group and Community |
ตามตำนานที่บอกเล่าในกลุ่มของชาวกะเหรี่ยงกล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานดั้งเดิมว่าบรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่ในดินแดนทางตอนเหนือของทิเบตเรียกว่า "ที่ฉิมีหยั่ว" ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำ 3 สาย คือแม่น้ำแยงซี แม่น้ำโขงและแม่น้ำคง(สาละวิน) เริ่มอพยพลงมาทางตอนใต้ตามแม่น้ำทั้งสามสาย แยกย้ายไปตามพื้นที่ต่างๆ ราว 1972 ปีก่อนพุทธกาลและตั้งถิ่นฐานแถวยูนนาน ประเทศจีน ราว 842 ปีก่อนพุทธกาล แล้วเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 585 ปีก่อนพุทธกาล คนไทยเรียกกะเหรี่ยงโปว่า "ยางโป" หมายถึง กะเหรี่ยงมอญ (Mon Karen) เพราะมีชุมชนปะปนกับชนชาติมอญและยังได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย เช่น พุทธศาสนาและภาษาเขียนซึ่งใช้ภาษามอญไม่เหมือนกลุ่มอื่นที่ใช้ภาษาเขียนตามแบบของพม่า ชาวกะเหรี่ยงโปในพื้นที่ อ.สังขละบุรี เดิมอาศัยอยู่ที่บ้านเมกะวะ เขตมะละแหม่ง ประเทศพม่า ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ได้ส่งตัวแทนเข้าไปติดต่อกับเจ้าเมืองกาญจนบุรีเพื่อขอเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณชายแดนไทยพม่า อยู่ใกล้กับด่านเจดีย์สามองค์ กระจายอยู่ตามลำห้วยลำธารต่างๆ ในบริเวณที่เรียกว่า "บี่เหล่อวโหว่" หมายถึง ห้วยดินแดง อยู่มาไม่นาน เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตปะปนกับคนในที่ราบ ชาวกะเหรี่ยงจึงได้ส่งตัวแทนไปกราบบังคมทูลต่อพระเจ้าแผ่นดินไทยเพื่อขออนุญาตย้ายออกไปอยู่ตามป่าเขานอกเมืองทางด้านตะวันตกของสยามประเทศ นับแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 24-33) |
|
Settlement Pattern |
ทำเลของหมู่บ้านตั้งอยู่ริมห้วยโรคี่เป็นที่ราบหุบเขา ในบริเวณที่ราบหุบเขาโก่เถอะเดิ่งซึ่งมีต้นโก่เถอะเดิ่งอยู่มากมาย ชาวกะเหรี่ยงมักตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ตามชื่อพรรณไม้ที่มีมากในบริเวณนั้นๆ เช่น ที่ราบหุบเขาที่มีต้นระกำ (คุ่ง)อยู่มากเรียกว่า "คุ่งหว่อง(หุบเขาระกำ)" เป็นต้น ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของกะเหรี่ยงที่เกาะสะเดิ่ง ต.ไล่โว่ เป็นแบบแนวยาวตามห้วยโรคี่ซึ่งไหลจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ มีทางเดินกลางหมู่บ้าน ขนานกับลำห้วยเป็นแนวยาวตลอดด้านที่ขึ้นไปเป็นต้นน้ำหัวบ้าน(เต่อว่องคูทอง) ด้านที่ลงไปทางปลายน้ำเป็นท้ายบ้าน(เต่อว่องไข้หล่อง) ด้านหัวบ้านและท้ายบ้านมีทางเดินไปไร่หรือไปหมู่บ้านอื่น ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีศาลประจำหมู่บ้าน เรียกว่า "ผู้ผะดู" อยู่บนเนินเดียวกันกับวัด ด้านทิศตะวันออกเป็นอาคารห้องเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านกองม่องทะ เมื่อข้ามห้วยโรคี่ไปทางทิศตะวันตกมีถนนดินเชื่อมต่อไปหมู่บ้านอื่นซึ่งตัดเลาะเลียบไปกับลำน้ำตัดจากถนนเป็นพื้นที่ราบเชิงเขาเป็นที่นาสำหรับชาวนาใกล้ๆ กับที่นาเป็นเนินเขาป่าช้าของหมู่บ้าน (หน้า 34-35) |
|
Demography |
ส่วนที่เกาะสะเดิ่งใน ต.ไล่โว่ มีประชากรกะเหรี่ยง 1830 คน (328 หลังคาเรือน) ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงโปจำนวน 32 หลังคาเรือน ประชากรจำนวน 171 คน (ผู้ชาย 60 คน ผู้หญิง 53 คน เด็ก 58 คน) มีทั้งชาวกะเหรี่ยงที่ถือสัญชาติไทย(151 คน คิดเป็นร้อยละ 85.5)และที่ยังไม่ได้สัญชาติถูกจัดประเภทเป็นชาวเขา(จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 14.5) (หน้า 36) |
|
Economy |
มีระบบการผลิตแบบเกษตรยังชีพและหาของป่า โดยปลูกแบบไร่หมุนเวียน(Land Rotation) เป็นการทำไร่แบบที่ใช้ประโยชน์จากพื้นดินในระยะเวลาที่สั้นแล้วทิ้งให้ป่าฟื้นตัวในระยะเวลายาวนาน ใช้วิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม คือ ใช้วิธีการตัดฟันและเผา (slash and Burn) อุปกรณ์ที่ใช้ คือ มีดและเสียม ไม่มีการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมี พืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพด ฝ้าย พริก เป็นต้น การทำลายวัชพืชในไร่ก็ใช้วิธีการถางตัด มิได้ถอนทิ้งทำลายอันเป็นวิธีการที่คงพรรณไม้ดั้งเดิมในพื้นที่ไร่นั้นไม่ให้สูญหายไปเป็นการผลิตเพื่อการบริโภคเมื่อเหลือจึงขาย การบริโภคของคนในชุมชนจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น การนิยมบริโภคผักกูด(ไก่กูดุ) ที่แตกยอดอ่อนในช่วงหน้าหนาวถึงหน้าร้อน เห็ดโคน(เข่อทุไขว่ย) และหน่อไม้(บอง)ที่มีมากในฤดูฝน (หน้า 50-60,85) |
|
Social Organization |
มีการแบ่งบทบาทและหน้าที่ของคนในชุมชนออกเป็นด้านต่างๆ ตามองค์ความรู้ของปัจเจกบุคคล หลักการของกะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของปัจเจกบุคคลกับพื้นที่ที่เป็นขอบเขตทางวัฒนธรรมในความดูแลของแต่ละคน โดยที่องค์ความรู้นั้นจะฝังอยู่กับระบบความเชื่อ ปัจเจกบุคคลใดมีความรู้จนได้รับการยกย่องเป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาเกี่ยวกับความเชื่อด้านใดก็ได้รับการยอมรับเป็นผู้นำในองค์ความรู้ด้านนั้นยกเว้นการเป็นผู้นำในสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมเฉพาะของผู้หญิงเท่านั้น ผู้หญิงเป็นผู้นำในการไหว้ผีบรรพบุรุษและสืบสายตระกูลนับถือเครือญาติทางสายแม่เป็นหลัก เมื่อมีการแต่งงาน ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวของผู้หญิงและต้องไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง โดยไม่กลับไปไหว้ผีบรรพบุรุษในสายตระกูลของตนเองอีก แต่ยังคงนับถือเครือญาติทางฝ่ายพ่ออยู่เช่นเดียวกับฝ่ายแม่ การสืบเชื้อสายตระกูลถือตามอาวุโสเป็นหลัก คือ ให้ผู้หญิงลำดับต้นของครอบครัวก่อน ในการเรียกเครือญาตินั้นไม่แยกสายตระกูล แต่เรียกตามลำดับการเกิดก่อนหลังและเพศในแต่ละระดับชั้น (หน้า 40-47) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยงกลุ่มลู้งอว่า(ด้ายขาว)บ้านเกาะสะเดิ่งจะมีอยู่ 2 ลักษณะคืออองเหฆ่ เป็นกะเหรี่ยงกลุ่มดั้งเดิมที่ยังไม่นับถือพุทธศาสนาหรือคริสตศาสนา แต่นับถือผีบรรพบุรุษ โดยยึดเอาต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งที่บรรพบุรุษเลือกไว้เป็นต้นไม้ประจำตระกูลเพื่อให้ผีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ เมื่อประกอบพิธีกรรมเรียกวี หล่าผูกมือด้วยด้ายขาว บ่าไจ่ยหรือบ่าเกียะ(ไหว้พระ)เดิมเป็นกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถืออองเหฆ่ ต่อมาปรับเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา แต่ยังคงการนับถือผีอยู่เมื่อประกอบพิธีกรรมเรียกวีหล่าผูกมือด้วยด้ายขาว กะเหรี่ยงกลุ่มลู้งบ่อง(ด้ายเหลือง)มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มย่อย คือ "ลู้งบ่องกลุ่ง(ด้ายเหลืองเจดีย์)" "ลู้งบ่องกะเดิ่ง(ด้ายเหลืองฉัตร)" และ "ลู้งบ่องไจ่ย(ด้ายเหลืองพระ)" กลุ่มลู้งบ่องกลุ่งและลู้งบ่องกะเดิ่งเป็นกะเหรี่ยงที่ยังไม่นำความเชื่อทางพุทธศาสนามาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม ส่วนลู้งบ่องไจ่ยเป็นกลุ่มลู้งบ่องที่ปรับเปลี่ยนความเชื่อทางพุทธศาสนามาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม เมื่อประกอบพิธีกรรมเรียกวีหล่าผูกมือด้วยด้ายเหลือง ผู้นำบ้านเกาะสะเดิ่งเป็นผู้นำบ้านที่สืบทอดมาจากการเป็นผู้บุกเบิกในการตั้งถิ่นฐานของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ ต.ไล่โว่ มีลักษณะเป็นกลุ่มบ้านกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายไปตามการหมุนเวียนทำไร่ของพื้นที่ต่างๆ บรรพบุรุษของผู้นำบ้านได้เข้ามาบุกเบิกที่ทำกินและตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เกาะสะเดิ่งเป็นกลุ่มแรก ต่อมาค่อยๆ มีผู้ตามมาตั้งครอบครัวมากขึ้นจึงเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้นำบ้านต้องเสาะหาองค์ความรู้หลักการของกะเหรี่ยงเพิ่มมากขึ้นเพื่อพัฒนาบทบาทและหน้าที่ของผู้นำบ้านให้เหมาะสมกับความซับซ้อนของชุมชน (หน้า 37-38,42) |
|
Belief System |
ความเชื่อของกะเหรี่ยงโปเป็นระบบความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องกรรม การทำบุญเป็นการสร้างสมบารมีให้มีชีวิตที่ดีกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นความเชื่อเรื่องผีหรือความเชื่อลัทธิฤาษีที่ให้ความสำคัญในจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ โดยเชื่อว่าสรรพสิ่งนั้นมีจิตวิญญาณและมีเจ้าของคอยดูแลสรรพสิ่งอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น มนุษย์ต้องขออนุญาตในการใช้สถานที่ เช่น การสร้างบ้านต้องทำพิธีเสี่ยงทาย(เก่อ) การหาพื้นที่ทำไร่ต้องทำพิธีตีป่า(ดุเหม่ยละ) เป็นต้น ชาวกะเหรี่ยงเชื่อในผีธรรมชาติหรือผีป่าทำหน้าที่ดูแลรักษาป่าและผู้อาศัยอยู่ในป่าทั้งหมด เจ้าแห่งดินจะนับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องให้ความเคารพในฐานะที่มนุษย์และสัตว์ต่างก็อาศัยพื้นดินเป็นที่อยู่ที่กิน ยาวข้าวคอยดูแลไร่และต้นข้าวและศาลยายตาหรือศาลต้นไม้ใหญ่(ผู้ผะดูหรือเสตผะดู)แสดงความเป็นหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงและเป็นสิ่งที่แสดงการได้รับอนุญาตการใช้สอยพื้นที่จากธรรมชาติเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนความเชื่อในเรื่องวีหล่าวิธีที่ให้วีหล่าอยู่คู่กับร่างกายเจ้าของวีหล่า คือ การผูกมือมัดวีหล่าให้ติดอยู่กับร่างกายไว้ตลอดเวลา โดยใช้ด้ายผูกติดกับข้อมือซึ่งจะมีสีต่างๆตามเชื้อสายของต้นตระกูลและวีหล่าข้าวเป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในข้าว พิธีกรรมเรียกวีหล่าแบ่งตามโอกาสที่เกิดขึ้นมี 3 ประเภท คือ 1. พิธีเรียกวีหล่าในช่วงสำคัญของชีวิตเป็นพิธีที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพ การผ่านขั้นตอนของชีวิต(Rite de passage) มี 2 ครั้ง คือ พิธีเรียกวีหล่าในการตั้งชื่อ(พลุเอเหม่ย)นิยมจัดขึ้นเมื่อทารกคลอดออกมากได้ราว 7 วัน กับพิธีเรียกวีหล่าในการแต่งงาน(เฉ่อไม้ยะ)มีจุดมุ่งหมาย คือ เรียกวีหล่าของคู่บ่าวสาวมาอยู่ร่วมกันและแสดงสถานภาพใหม่ 2. พิธีเรียกวีหล่าในช่วงสำคัญของปี เช่น งานบุญข้าวใหม่(โบวบือล้องคุ)เป็นการเรียกวีหล่าของยายข้าวให้มาอยู่กับคนกะเหรี่ยงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำไร่ในปีใหม่ การผูกมือหล่าเขาะวุเป็นการเรียกวีหล่าของคนให้กลับมาอยู่กับเจ้าของวีหล่า 3. พิธีเรียกวีหล่าในโอกาสอื่นๆ เช่น เจ็บป่วย สมาชิกในครอบครัวเสียชีวิต เกิดเหตุการณ์ผิดปกติอื่นๆ (หน้า 61-115) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในบ้านเกาะสะเดิ่งมีอยู่ทั้ง 2 แบบ คือ การศึกษาในระบบ (Formal education) การศึกษานอกระบบ (Non-Formal education) การศึกษาในระบบโรงเรียนใน ต.ไล่โว่มีอยู่ 3 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านกองม่องทะ โรงเรียนสุนทรเวช โรงเรียนบ้านหินตั้ง การศึกษานอกระบบมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1.การศึกษานอกระบบที่จัดโดยรัฐมีการจัดการ 2 รูปแบบ คือ การศึกษานอกโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการและการศึกษานอกโรงเรียนของหน่วยประสานงานจิตวิทยาชุมชน 2.การศึกษานอกระบบที่จัดโดยชุมชนมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การศึกษาที่วัดและการศึกษาที่จัดโดยกลุ่มเยาวชนของหมู่บ้าน (หน้า 48-50) |
|
Health and Medicine |
เมื่อชาวกะเหรี่ยงบ้านเกาะสะเดิ่งเจ็บป่วยโดยสาเหตุใดก็ตามมักนิยมใช้วิธี การรักษาด้วยตนเองเป็นอันดับแรกมีความสามารถในการเยียวยา การใช้สมุนไพร ถ้าอาการป่วยไม่หายจะไปปรึกษาผู้มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณในชุมชน โดยใช้วิธีการเสี่ยงทายแบบต่างๆ ถ้าสาเหตุมาจากผีร้ายหรือถูกสิ่งอื่นลงโทษต้องทำพิธีแต่แก้เสียผีด้วยการขอขมา พิธีกรรมดูทุหล่าเรียกวีหล่าให้กลับมา ชาวบ้านเกาะสะเดิ่งถือว่าเป็นวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอาการป่วยที่เรียกว่าหล่ากง (หน้า 102-109) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรม : การสร้างบ้านของคนกะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับบันไดและข่าไฟมาก ข้อกำหนดในการสร้างบ้าน ส่วนบันไดและข่าไฟใช้วัสดุจากไม้ไผ่เท่านั้น ด้านบนของ "ต้นบันได้(ฆ่องเธอว) ต้องตัดให้ปล้องบนเป็นรูอยู่เสมอมีต้นบันได ต้นพ่อ ต้นแม่และลูกๆ ซึ่งเป็นขั้นบันได สะท้อนความเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมออกมาในลักษณะของต้นบันไดทั้งสองด้านที่มีความยาวไม่เท่ากัน เครื่องมือเครื่องใช้ : ไม้พายทำจากไม้ไผ่ กะบะ ด้านการดนตรีมีคำกลางเรียกเครื่องดนตรีว่า "เฉ่อภุเฉ่ออู" หมายถึง เครื่องตีเครื่องเป่าที่ใช้ก็จะมีไม้พาย ต้นบันได ข่าไฟ ภาชนะใส่อุปกรณ์ผูกมือ (หน้า 120, 123, 157, 160) |
|
Folklore |
มีตำนานเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของป่าเป็นหุบเขาสูงล้อมรอบพื้นที่ป่าทั้งหมด ชาวกะเหรี่ยงเรียกพื้นที่เหล่านี้ว่า "คุยนี้คุยหว่อง" ซึ่งมีจิตวิญญาณแห่งป่าเขาดูแลอยู่ต้องยึดถือจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ หากผู้ใดละเมิดผิดจารีตทำให้จิตวิญญาณแห่งป่าเขาลงโทษให้มีอันเป็นไป มีนิทานเล่าเกี่ยวกับต้นข้าวว่าเป็นเทพธิดาปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์จึงอธิษฐานให้ตนเองเกิดบนโลกมนุษย์เป็นผู้หญิงและร่างกายมีกลิ่นหอมอาศัยอยู่ในป่า ในขณะนั้นมีฤาษีตนหนึ่งชื่อ "มีมิ(ตาไฟ)" นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่มาวันหนึ่งเทพธิดาได้เดินเข้าไปใกล้ฤาษี ฤาษีมีมิได้กลิ่นหอมจึงลืมตาดู ร่างของเทพธิดาก็ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่าน ฤาษีตกใจมากจึงได้อธิษฐานว่าถ้าผู้ที่กลายเป็นเถ้าถ่านนี้มีจิตใจบริสุทธิ์ก็ขอให้เถ้าถ่านกลับฟื้นขึ้นดังเดิมแล้วนำไม้ที่ เรียกว่า โคนตายปลายเป็นชี้ไปก็กลายเป็นเทพธิดาขึ้นมา เมื่อซักถามจนเข้าใจในความปรารถนาแล้ว ฤาษีจึงเสกให้กลายเป็นเถ้าถ่านอีกครั้งเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์พรมไปจนครบ 7 วันมีต้นข้าวงอกออกมา เมื่อสูงขึ้นก็ออกลูกเป็นผลข้าวผลเดียว ทานได้เลยโดยไม่ต้องตำ เมื่อผ่านไป 7 วัน ผลข้าวนั้นก็สุก ฤาษีก็ไปปลิดมาแล้วนั่งสมาธิเอาไม้โคนตายปลายเป็นตีลงไปที่ผลข้าวผลข้าวนั้นแตกกระจายไป 8 ทิศกลายเป็นพันธุ์ข้าวอาหารแก่มนุษย์และสัตว์โลกตั้งแต่บัดนั้น (หน้า 32, 65-66) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ตามประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวกะเหรี่ยงโปมีชุมชนปะปนอยู่กับชนชาติมอญ ปัจจุบันจะมีความสัมพันธ์กับกะเหรี่ยงชาวเขาที่โยกย้ายมาจากประเทศพม่าเข้ามาอาศัยและช่วยทำงานไร่กับญาติหรือคนรู้จัก (หน้า 2, 36) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตการแสดงความขอบคุณและการขอขมาแก่จิตวิญญาณของยายข้าว กระทำด้วยการกินข้าวหัวยุ้ง คือ การนำเอาเถาลิเภามาผูกวีหล่าของจิตวิญญาณนั้นให้อยู่ติดกับเครื่องมือทำมาหากินต่างๆ ต่อมาภายหลังได้มีการเรียกวีหล่าของยายข้าวเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิต คือ การนำด้ายมาผูกมือของแต่ละคนและเรียกวีหล่ายายข้าวให้มาอยู่กับมนุษย์ ในอดีตพิธีตีป่าเป็นพิธีกรรมสำคัญมากเกี่ยวกับการทำมาหากินเข้าป่าไปหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการทำไร่เป็นพิธีกรรมที่สร้างขวัญและกำลังใจและย้ำความถูกต้องในการกระทำแก่ชาวบ้านเกาะสะเดิ่ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมภายนอกอย่างการประกาศพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า การถูกหน่วยงานของรัฐกำหนดการใช้ทรัพยากรส่งผลกระทบต่อการทำไร่ พื้นที่สำหรับเลือกทำไร่เริ่มน้อยลง ปัญหาในการทำมาหากินมีมากขึ้นกว่าเดิม ความมั่นคงในชีวิตน้อยลง พิธีกรรมที่เคยช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดกลายเป็นตัวแปรที่สร้างความตึงเครียดให้แก่ชีวิต ตลอดจนการได้รับประกาศเป็นเขตมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2534 ทำให้มีการจัดการผืนป่าที่เชื่อมโยงกับองค์กรระหว่างประเทศกำหนดพื้นที่ใช้สอยที่เข้มงวดจนเกิดประเด็นการอพยพชาวกะเหรี่ยงออกจากพื้นที่อนุรักษ์ การใช้สอยวัสดุได้ใช้ไม้ไผ่เป็นหลัก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวัสดุอื่นที่ไม่มีในระบบนิเวศ เช่น เสื้อผ้าชนิดที่สามารถตัดเย็บได้เอง เริ่มปรับเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าที่ซึ้อจากภายนอกหรือภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ที่ผลิตขึ้นใช้เองก็เริ่มปรับเปลี่ยนมาเป็นภาชนะจากวัสดุอื่นไม่ว่าจะเป็นโลหะหรือพลาสติก ในขณะเดียวกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่เห็นได้ชัด คือ ภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองด้วยการสร้างเครื่องใช้ต่างๆจากวัสดุที่มีอยู่ในระบบนิเวศเริ่มสูญหายไปเพราะมีทางเลือกอื่น โดยไม่เป็นต้องพยายามเรียนรู้ภูมิปัญญาการสานทอเครื่องใช้ทำให้ศักยภาพของชุมชนในการพึ่งพาตนเองลดน้อยลง (หน้า 69, 86-87, 178-179) |
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 6 บันได (ฆ่อง) ภาพที่ 7 ข่าไฟ ภาพที่ 9 อุปกรณ์ผูกมือในพิธีผูกมือยายข้าว ภาพที่ 10 ผู้ประกอบพิธีกรรมเรียกวีหล่า ภาพที่ 13 ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมเรียกวีหล่า ยายข้าวในงานบุญข้าวใหม่ ภาพที่ 14 ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมพิธีผูกมือหล่าเขาะว (เป็นทางการ) ภาพที่ 18 การดูทุหล่าในพิธีผูกมือหล่าเขาะว (เป็นทางการ) ภาพที่ 19 ขณะดูทุหล่าเจ้าของวีหล่าต้องจับภาชนะอุปกรณ์ผูกมือ พิธีผูกมือเขาะว (เป็นทางการ) ภาพที่ 24 ผู้นำพิธีกรรม (โบวค) ผูกมือให้ผู้ประกอบพิธีกรรม ในพิธีผูกมือหล่าเขาะว (เป็นทางการ) |
|
|