|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไตดำ,การสร้างเรือน,ความเป็นอยู่,ความเชื่อ,ประเพณี,เลย |
Author |
ทวี พรมมา |
Title |
เรือนไทยดำบ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
502 |
Year |
2541 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา |
Abstract |
เนื้อหากล่าวถึงเรือนไทยดำบ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย โดยเป็นการศึกษาพัฒนาการด้านรูปแบบเรือนไทยดำ โครงสร้างรวมทั้งส่วนประกอบต่างๆ ของเรือนไทยดำ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ความเชื่อ และประเพณีต่างๆ การใช้สอยพื้นที่บ้าน เช่น การจัดสรรห้องเป็นห้องนอน ห้องพักผ่อน ห้องครัว ห้องบูชาผีเรือน หรือกะล่อห้อง ซึ่งรวมอยู่ในพื้นที่เรือน นอกจากนี้ เรือนไทยดำ ยังได้แสดงให้เห็นถึงการติดต่อทางสังคมของไทยดำกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ไทยอีสาน โดยได้นำรูปแบบเรือนของไทยอีสาน มาปรับปรุงจนเป็นเรือนไทยดำ พัฒนากระทั่งเข้ากับสภาพแวดล้อม ที่อยู่ การใช้ประโยชน์ และค่านิยมของไทยดำ |
|
Focus |
ศึกษาพัฒนาการด้านรูปแบบ โครงสร้างและส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยดำ และความสัมพันธ์ของเรือนกับวิถีชีวิตของไทยดำ (หน้า 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยดำ มีถิ่นฐาน อยู่ที่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย (หน้า 11) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดอยู่ในภาษาตระกูลไท รูปศัพท์ส่วนใหญ่เหมือนกับภาษาไทย แต่ไม่เหมือนกันที่ระบบเสียงวรรณยุกต์กับสระ เมื่อมีการติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น จึงพูดได้ทั้งภาษาไทยดำ และภาษาอีสาน และภาษาไทยภาคกลาง แต่สนทนากับไทยดำด้วยกัน จะใช้ภาษาไทยดำ สำหรับลักษณะภาษาไทยดำ เสียงสระเดี่ยว มี 19 หน่วยเสียง (หน้า 73,74) ส่วนภาษาไทยมาตรฐานจะมี 21 หน่วยเสียง (หน้า 74) เสียงที่ภาษาไทยดำไม่มี ได้แก่ เสียง ร และเสียง ช สำหรับเสียง ร ในภาษาไทยจะเป็นเสียง ฮ หรือ ล และเสียง ช จะเป็นเสียง จ สำหรับเสียง ด เกิดขึ้นตอนหลัง โดยจะใช้แทนเสียง ล และเสียง ญ จะเป็น ญ ขึ้นนาสิก ซึ่งเป็นเสียงที่ลมออกจมูกจะมีอยู่ในภาษาไทยดำและภาษาอีสาน (หน้า 74) เสียงพยัญชนะผสมต้นพยางค์ เสียงพยัญชนะผสมหรือเสียงควบกล้ำ จะมี 2 เสียง ได้แก่เสียงควบกล้ำ กว หรือ คว ตัวอย่างเช่น "กวาย" หมายถึง ควาย และ "ควาย" ก็หมายถึง ควาย (หน้า 74) สระเดี่ยวมี 18 หน่วยเสียง ประกอบด้วยสระเสียงสั้น 9 หน่วยเสียง ได้แก่ อิ เอะ แอะ อึ เออะ อะ อู โอะ เอาะ ส่วนสระเสียงยาว 9 เสียง ได้แก่ อี เอ แอ อื เออ อา อู โอ ออ (หน้า 75) เสียงสระผสม มี 7 หน่วยเสียง มีสระเสียงสั้น 3 หน่วยเสียง ได้แก่ อึ กับ อะ อิ กับ อะ อุ กับ อะ กับสระเสียงผสมเสียงยาว 4 หน่วยเสียง ได้แก่ อีกับอะ อู กับ อะ อื กับ อะ เออ กับ อึ (หน้า 75) เสียงวรรณยุกต์ มี 5 หน่วยเสียง 1) เสียงวรรณยุกต์ที่ 1 เสียงวรรณยุกต์เรียกว่า ต่ำ - ขึ้น - ตก ได้แก่คำซึ่งไม่มีรูปวรรณยุกต์ โดยใช้อักษรสูงกับอักษรกลาง ตัวอย่างเช่นคำว่า ขา ปี บิน (หน้า 75) 2) เสียงวรรณยุกต์ที่ 2 มีเสียงย่อย 2 เสียง ได้แก่ เสียงวรรณยุกต์เรียกว่า สูง - ขึ้น ได้แก่ คำที่มีรูปวรรณยุกต์เอก และใช้อักษรสูงและอักษรกลาง ตัวอย่าง เช่น คำว่า ฝา ไก่ ปา ห่าน และเสียงวรรณยุกต์เรียกว่า สูง - ระดับ ได้แก่ คำตาย เสียงสั้นยาว ซึ่งมีอักษรสูง กับอักษรกลางเป็นพยัญชนะต้น ลักษณะคล้ายเสียงวรรณยุกต์ตรีในภาษาไทย อาทิคำว่า ผัด ผาด กัด กาด (หน้า 75, 76) 3) เสียงวรรณยุกต์ที่ 3 เรียกว่า เสียงต่ำ - เลื่อนลง ได้แก่ คำถ้าเป็นอักษรต่ำจะผันด้วยรูปวรรณยุกต์เอก และถ้าเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลาง ผันด้วยวรรณยุกต์โท วรรณยุกต์จะใกล้เคียงกับเสียงวรรณยุกต์เอกของภาษาไทย อาทิคำว่า ข้า บ้าน 4) เสียงวรรณยุกต์ที่ 4 แบ่งเป็น 2 เสียงย่อย ได้แก่วรรณยุกต์ สูง - ขึ้น - ตก ได้แก่คำที่พยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำคำเป็น ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ตัวอย่างคำว่า นา มา วา, วรรณยุกต์ สูง - ตก คือคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำคำตายเสียงสั้นกับเสียงยาว อาทิคำว่า วัด วาด (หน้า 76) 5) เสียงวรรณยุกต์ที่ 5 เรียกว่า กลาง - เลื่อนลง คือคำที่มีพยัญชนะเป็นอักษรต่ำผันด้วยรูปวรรณยุกต์โท วรรณยุกต์นี้คล้ายวรรณยุกต์โทของภาษาไทย อาทิคำว่า ฟ้า ค้า (หน้า 76) คำและความหมายของภาษาไทยดำกับภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นคำเดียวกัน โดยจะไม่เหมือนกันที่เสียงวรรณยุกต์ และคำศัพท์บางตัว สำหรับคำไทยดำกับภาษาไทยมีความหมายเหมือนกันแต่ใช้คำต่างกัน เช่น ปี, พี หมายถึง อ้วน ปูม หมายถึง ท้อง เต็น หมายถึง สั้น,ทู่ และอื่นๆ (หน้า 76,77) และคำไทยดำไม่มีในภาษาไทย ตัวอย่างเช่น เป๋ง หมายถึง ไขน้ำเข้านา หรือปล่อยน้ำเข้านา , เปีย หมายถึง การสาวใยไหม และอื่นๆ (หน้า 77 ตารางตัวอักษรไทยดำหน้า 78 ,79) |
|
Study Period (Data Collection) |
สิงหาคม 2540 - กันยายน 2541 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการเข้ามาอยู่ในไทยของไทยดำที่บ้านนาป่าหนาด ตามรายงานวิจัย เมื่อก่อนนี้ผู้ไทดำตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย บริเวณที่ไทดำอยู่กันมากคือพื้นที่แม่น้ำดำ และแม่น้ำแดง กระทั่งประมาณพุทธศตวรรษที่19-20 เมื่อญวนกับจีนมีอำนาจสูงขึ้นไทดำจึงย้ายมาอยู่ในการปกครองของหลวงพระบาง โดยแยกย้ายกันไปอยู่ตามเมืองต่างๆ ได้แก่ แขวงเชียงขวาง เวียงจันทร์ คำม่วน สุวรรณเขต สาละวัน ภายหลังได้เกิดความแห้งแล้งและมีโรคระบาด จึงได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนผู้ไทบางกลุ่มยังคงอยู่ในเวียดนามและลาว (หน้า 13) ผู้ไทดำที่ย้ายเข้ามาอยู่ในไทย ได้กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ได้แก่ เพชรบุรี ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี พิษณุโลก เลย (หน้า 13) การเข้ามาอยู่บ้านนาป่าหนาดของไทยดำ ไทยดำที่เข้ามาอยู่บ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย ในอดีตเคยตั้งบ้านเรือนอยู่ทางภาคเหนือของลาวโดยอยู่ในการคุ้มครองของหลวงพระบาง ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยาม ภายหลังได้ย้ายเข้ามาอยู่ในไทยเนื่องจากกลุ่มฮ่อรุกราน (หน้า 24, 34) ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้ส่งกองทัพไปปราบฮ่อ และย้ายไทยดำมาอยู่ในราชอาณาจักรสยาม แต่ได้อยู่ชั่วคราวเพราะต้องการกลับไปอยู่ถิ่นฐานเดิม ครั้งอพยพกลับ ที่อยู่เดิมได้ตกเป็นของฝรั่งเศส ประกอบกับฝรั่งเศสได้ใช้แรงงานไทยดำอย่างหนัก (หน้า 34-35) ดังนั้นไทยดำจึงย้ายเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรสยามอีกครั้ง โดยได้มาขึ้นฝั่งที่บ้านสงาว อ.ปากชม จ.เลย แต่ได้พบกับความแห้งแล้ง และเกิดโรคระบาด กระทั่งได้ย้ายมาอยู่พื้นที่ที่เรียกว่า ห้วยป่าติ้ว หรือ "โคกป่ากุง" ตามคำเรียกของไทยดำ แต่เพราะว่าบริเวณนี้มีต้นหนาดขึ้นอยู่เยอะ ไทยดำจึงตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า "บ้านนาป่าหนาด" และพื้นที่หมู่บ้านเป็นพื้นที่สูงน้ำไม่ท่วม และมีห้วยที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน ชื่อห้วยป่าติ้ว จึงทำให้มีน้ำดื่ม น้ำใช้เพียงพอในการเพาะปลูก (หน้า 35) |
|
Settlement Pattern |
เรือนไทยดำ แบ่งออกเป็นบ้านแบบต่างๆ ดังต่อไปนี้ เรือนไทยดำแบบดั้งเดิม คือเรือนที่ไทยดำนำรูปแบบของเรือนแบบเดิมที่เคยอยู่ทางทิศเหนือของประเทศลาว (หน้า 168, 169, 449) ด้านยาวของเรือน อยู่ทางทิศตะวันออก กับทิศตะวันตก ด้านกว้างของเรือน อยู่ทางเหนือ และทิศใต้ พื้น และฝาทำด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา ตรงกลางพื้นเรือน เจาะเป็นเตาไฟ เหนือเตาไฟ จะเป็นส่ากับทั่นแฮ้ง เพื่อใช้เก็บอาหารและของใช้ (หน้า 168 ,169, 449) เรือนไม่กั้นเป็นห้อง คนในครอบครัว จะกางมุ้ง นอนตามทางยาว ที่บริเวณเสาที่นอนของหัวหน้าครอบครัว จะทำเป็นกะล่อห้อง ซึ่งเป็น ที่อยู่ของผีเรือน (หน้า 449 ,168 ภาพหน้า 170 แบบแปลนหน้า 171) เรือนเหย้า เรือนเหย้าเป็นแบบผสมเรือนไทยดำดั้งเดิมกับไทยอีสาน (หน้า 450,172) ประตู มี 2 บาน อยู่ทางด้านยาวของเรือน บ้านปล่อยโล่ง ไม่กั้นห้อง นับห้องจากความกว้างของช่วงเสา ซึ่งโดยทั่วไปจะมี 3 ห้อง เรือนเหย้าไม่มีก๊วนเฮือน กลางเรือนใหญ่จะเป็นเตาไฟเจาะลงไปในพื้นเรือน เรียกว่า "เตาไฟหล่ม " ซึ่งเป็นที่ทำอาหาร พื้นและฝาเรือนนอน ทำจากฟากไม้ไผ่ฝาเรือนไม่มีหน้าต่าง พื้นที่ว่างด้านนอก เรียกว่า "เสี่ย" ใช้รับแขกและนั่งเล่น บันไดทำด้วยไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็ง ขั้นบันไดมีจำนวนเป็นเลขคี่ (หน้า 172-174 ภาพหน้า 174 แปลนเรือน หน้า 175 ) เรือนจั่ว ตัวเรือนใช้วัสดุถาวร โดยนำรูปแบบเรือนของไทยอีสาน ที่เป็นหลังคาทรงจั่ว โดยมีเรือนนอนและเรือนไฟ หรือครัว แยกออกจากกัน มาดัดแปลง เป็นเรือนแบบไทยดำ (หน้า 451,176) เรือนจั่วแยกออกเป็นเรือนจั่วลักษณะกึ่งถาวรกับลักษณะถาวร (หน้า 451) เรือนจั่วลักษณะกึ่งถาวร ได้นำรูปแบบจากเรือนเกยของไทยอีสาน เรือนไฟแยกออกจากเรือนใหญ่ โดยจะทำส่ากับ ทั่นแฮ้งในเรือนไฟ เพื่อเก็บอาหารกับของใช้ (หน้า 451,177) เป็นเรือนชั้นเดียว ด้านจั่วเรือนอยู่ด้านทิศตะวันออก กับตะวันตก เสาทำด้วยไม้เนื้อแข็ง (หน้า 176) ตัวเรือนมีส่วนประกอบ ได้แก่ เรือนใหญ่ เป็นเรือน 3 ห้อง โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเสา ประตูมี 2 บานหน้าต่างมักจะเจาะทางด้านกว้างของเรือน (หน้า 176) การใช้สอยบ้าน ประกอบด้วยกะล่อห้อง ที่อยู่ของผีเรือน บางครั้งก็ใช้เป็นที่นอนของลูกชาย (หน้า 176) สำหรับห้องนอนของลูกสาว (ไทยดำเรียก "ห้องส่วม") อยู่ถัดกับห้องนอน พ่อ, แม่ ห้องนี้จะกั้นฝา และมีประตู ส่วนเรือนใหญ่ ทำเป็นจั่วสูง (หน้า 176) ฝาเรือนมีทั้งไม้เนื้อแข็ง กับไม้ไผ่สับฟาก ถัดจากเรือนนอน เป็นพื้นที่ว่างปล่อยโล่ง คลุมด้วยหลังคา ความยาวเท่ากับเรือนใหญ่ ส่วนที่ต่อกับเรือนนอน จะเป็น "ก๊วน" ซึ่งเป็นที่นอนของลูกชาย ส่วนที่เป็น " เสี่ย " จะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง กับฟากไม้ไผ่ ต่อจากนั้น เป็นชานโล่ง ไม่ได้มุงหลังคา ขั้นบันได มีจำนวนเลขคี่ (หน้า 177) เรือนไฟ หรือครัว อยู่ถัดจากชานหลังคาเรือนไฟ ทำเป็นทรงจั่วมุงหญ้าคา หน้าจั่วเรือนไฟ มุงด้วยหญ้าคา บางครั้งก็ปล่อยโล่ง ฝาเรือนจะเป็นไม้สับฟาก ด้านข้างเรือนไฟ จะเป็นชานเล็กๆ (หน้า 177 ภาพ หน้า 179 แบบแปลนหน้า 180 ) เรือนจั่วลักษณะถาวร แบ่งออกเป็น เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนใหญ่ อยู่ด้านหน้าเรือนไฟ ,เรือนจั่วเสาต่ำ ชนิดเรือนไฟอยู่ด้านข้างเรือนใหญ่,เรือนจั่วเสาสูง,เรือนจั่วสองชั้น (หน้า 451) เรือนจั่วเสาต่ำ สร้างจากไม้เนื้อแข็ง แบ่งเป็น 2 แบบ (หน้า 181 ) เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนใหญ่อยู่ด้านหน้าเรือนไฟ สร้างเพื่อป้องกันอันตรายจากลม (หน้า 451,183 ) เป็นเรือนชั้นเดียวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านจั่วของเรือนอยู่ทางทิศตะวันออก กับทิศตะวันตก ด้านหน้าเรือนนอนหันไปทางถนน (หน้า 181) เสาทำจากไม้เนื้อแข็ง (หน้า 181 ) เรือนนอน โดยมีขนาด 3-4 ห้อง ประตูอยู่ทางด้านหน้า กับด้านหลังของเรือน เป็นแบบบานคู่ กับบานเฟี้ยม หน้าต่างเรียกว่า "ปองเอี้ยม" หรือ "ปองต่าง" อยู่ทางด้านกว้างกับด้านยาวของเรือน สำหรับบานประตูกับบานห้าต่าง จะเป็นกรอบไม้โดยใส่สลักไม้ไผ่ เรียกว่า "บานบม" (หน้า 181) เรือนใหญ่ ด้านที่หันออกถนนจะเป็นพื้นที่ว่าง มีความกว้างประมาณ 1.50-2 เมตร โดยมีขนาดความกว้างเท่าขนาดความกว้างของเรือนนอน ไทยดำเรียกว่า "เสี่ย" ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างอเนกประสงค์ (หน้า 181) ต่อจากเสี่ย คือกะล่อห้อง ที่อยู่ของผีเรือน ห้องของพ่อแม่จะอยู่ถัดกับกะล่อห้อง ห้องของพ่อ แม่บางครั้งก็กั้น หรือปล่อยโล่ง ห้องของลูกสาว เรียกว่า "ห้องส่วม" อยู่ถัดจากห้องของพ่อแม่ เรือนเป็นแบบจั่วสูงและจั่วต่ำ มุงกระเบื้องดินขอกับสังกะสี หน้าจั่วเรือนทำด้วยไม้กระดาน (หน้า 182) เรือนใหญ่ กับเรือนไฟ หรือครัว ชานจะต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ และพื้นเรือนไฟ พื้นชานทำด้วยไม้เนื้อแข็ง หรือปีกไม้บันไดเรือน ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีจำนวนเป็นเลขคี่ ต่อจากชาน คือเรือนไฟ หรือครัว ส่วนนี้จะมีความสูงกว่าชานเรือนไฟ มีขนาด 2-3 ห้อง โดยจะปล่อยโล่ง ด้านในจะมีเตาไฟ และอุปกรณ์ทำครัวหลังคาเรือนไฟทรงจั่ว มุงหญ้าคา พื้นกับฝาเรือน จะกั้นด้วยไม้ฟาก (หน้า 182-183 ภาพหน้า 184 แปลนบ้านหน้า 185) เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนไฟอยู่ด้านข้างเรือนใหญ่ บ้านมีความยาวตามแนวของถนน กะล่อห้อง ที่อยู่ของผีเรือน อยู่ตรงข้ามกับเรือนไฟ หรือครัว บันไดเรือนวางพาดที่ชาน (หน้า 452,187,188) เป็นเรือนชั้นเดียว ด้านจั่วของเรือนอยู่ทางทิศตะวันออก กับตะวันตก เสาทำจากไม้เนื้อแข็ง (หน้า 186) เรือนนอน มีขนาด 3 ห้อง หรือ 3 ช่วงเสา มีประตู หรือ "ผัดตู " 2 บานโดยเป็นทั้งแบบบานเดียว กับหลายบานลักษณะบานเฟี้ยม (หน้า 186) หน้าต่างทำไว้ในด้านกว้างกับด้านยาวของบ้าน หน้าต่างมีทั้งทำจากไม้เนื้อแข็ง (หน้า 186) กะล่อห้อง ที่อยู่ของผีเรือน บางทีก็เป็นที่นอนของลูกชาย ห้องนี้จะไม่กั้นฝาห้อง (หน้า 186) ห้องส่วม หรือ ห้องนอนของลูกสาว อยู่ถัดจากห้องนอนพ่อ แม่ บางครั้งจะทำฝากั้นห้อง หรือกั้นด้วยตู่เสื้อผ้า ประตูกั้นด้วยผ้า เรือนนอนจะมีทั้งที่เป็นจั่วสูงกับจั่วต่ำ หลังคามุงสังกะสีหน้าจั่วเรือน เป็นไม้กระดาน (หน้า 186) เรือนใหญ่จะปูด้วยไม้กระดาน ฝาเรือนเป็นไม้กระดาน ออกจากเรือนนอน จะเป็น "เสี่ย" ส่วนนี้จะปล่อยโล่ง มุงหลังคา ความยาวเท่าเรือนนอน หลังคาเชื่อมกับเรือนนอนเสี่ยจะอยู่ต่ำกว่าพื้นเรือนนอน ทำจากไม้เนื้อแข็ง พื้นที่เสี่ย เสาริมสุดจะกั้นฝา 2 ด้าน ทำเป็นห้องนอน แต่ไม่มีประตู เรียก "ก๊วน" เป็นที่นอนของลูกชาย หรือแขกที่มาพัก (หน้า 186-187) บันได ทำจากไม้เนื้อแข็ง วางพาดที่ชาน ขั้นบันไดจะมีจำนวน 5 ขั้น หรือ 7 ขั้น เรือนไฟหรือครัว จะมีทั้งเป็นแบบเรือนกับเป็นเพิง เรือนไฟจะมีขนาด 2-3 ห้องเป็นห้องโล่ง หลังคาเรือนไฟ มุงสังกะสีทรงจั่ว (หน้า 187 ภาพหน้า 188 แบบแปลนหน้า 189 ) เรือนจั่วเสาสูง รูปแบบเหมือนเรือนเสาต่ำชนิดเรือนไฟ อยู่ด้านข้างเรือนใหญ่ (หน้า 452,190) เรือนนอนเป็นจั่วเสาสูงมุงกระเบื้องซีเมนต์ และสังกะสี จั่วเรือนทำจากไม้กระดานแบบตีซ้อนทับเกล็ดทางนอน ชานจั่วหรือ "ไพ่" ทำจากไม้เนื้อแข็งแบบตีซ้อนทับเกล็ดทางนอน กับกระเบื้องไม้พื้นเรือนใหญ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ฝาเรือนทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งเรือนไฟหลังคาทรงจั่วมุงหญ้าคา จั่ว เรือนไฟ มุงด้วยหญ้าคา ฝากับพื้นทำด้วยฟากไม้ไผ่ (หน้า 190, ภาพ หน้า 191 แบบแปลนหน้า 192) เรือนจั่วสองชั้น คือเรือนที่ได้แบบมาจากคนจีน (หน้า 452,193) ตัวเรือนเป็นแบบ 2 ชั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จั่วอยู่ด้าน ทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก เสาเป็นไม้เนื้อแข็ง ตัวเรือนขนาด 3 ห้อง หรือ 3 ช่วงเสา ชั้นล่างมีประตูด้านหน้าประตูหลายบาน เป็นแบบบานเฟี้ยมทำจากไม้เนื้อแข็ง สำหรับประตูด้านหลังเป็นบานคู่ชั้นล่างไม่มีช่องหน้าต่างพื้นลาดซีเมนต์ฝาทำจากไม้เนื้อแข็ง เรือนชั้นล่างจะปล่อยโล่ง (หน้า 193) เรือนไฟอยู่ด้านหลัง ต่อจากเรือนชั้นล่าง เรือนมีขนาด 2 ห้อง หลังคาทรงจั่วมุงหญ้าคา ฝากับพื้นเรือนไฟ ทำด้วยไม้สับฟาก บันได สูง 9 ขั้น สำหรับชั้นบน ด้านกว้างและยาว จะทำประตูที่ด้านหลัง 1 บาน ด้านบนไม่กั้นห้อง ส่วนกะล่อห้องที่อยู่ของผีเรือน จะอยู่ตรงข้ามกับบันไดเรือน พื้นเรือนปูด้วยไม้เนื้อแข็ง หลังคาเรือนทรงจั่วมุงกระเบื้องดินขอ จั่วเรือนทำจากไม้เนื้อแข็ง ส่วนชานจั่วทำด้วยกระเบื้องดินขอ (หน้า 193 ภาพหน้า 194 แบบแปลน หน้า 195) เรือนมุขเลี้ยว มี 2 แบบได้แก่ เรือนมุขเลี้ยวจั่ว กับเรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว (หน้า 453,196) เรือนมุขเลี้ยวจั่ว ตัวเรือนหักทำมุมฉาก ด้านจั่วของเรือนโดยมากอยู่ทางทิศใต้กับทิศตะวันออก หน้าเรือนหันออกทางถนน หลังคาทรงจั่ว ศัพท์ทางช่างเรียก "แบบหลังคาจั่วมนิลา" เป็นหลังคาจั่วผสมหลังคาปั้นหยา (หน้า 453 ,196) หลังคาเรือนใหญ่ ทำเป็นฝ้าเพดานด้วยไม้เนื้อแข็ง พื้นเรือนใหญ่ ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็ง ส่วนฝาทำจากไม้กระดานเนื้อแข็ง (หน้า 453) เสาทำจากไม้เนื้อแข็งถากเหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนนอน ขนาด 5 ห้อง ประตูเป็นแบบบานคู่ กับแบบหลายบาน เป็นแบบบานเฟี้ยม และมักทำหน้าต่างรอบเรือน เหนือประตูกับหน้าต่าง เป็นเกล็ดลมช่องระบายอากาศ กะล่อห้องที่อยู่ของผีเรือนไม่ค่อยกั้นฝาห้อง ห้องนอนพ่อ แม่ อาจจะกั้นหรือปล่อยโล่ง สำหรับห้องนอนของลูกสาวจะอยู่ถัดห้องพ่อ แม่ ส่วนห้องก๊วน ห้องนอนของลูกชายหรือแขกที่มาเยี่ยม จะอยู่ตรงข้ามกะล่อห้อง ห้องก๊วนจะเป็นห้องที่กั้นฝา มีทั้งที่มีประตูและไม่มีประตู (หน้า 196) พื้นที่ "เสี่ย" อยู่ถัดจากเรือนใหญ่ เป็นพื้นที่ว่างปล่อยโล่ง บันไดเป็นไม้เนื้อแข็ง วางพาดที่ชาน มีจำนวน 5-7 ขั้น เรือนไฟ หรือครัว จะอยู่ต่อจากชานโล่ง มีขนาด 2-3 ห้อง ด้านในปล่อยโล่ง หลังคาเรือนไฟทรงจั่ว มุงหญ้าคาหรือสังกะสี หน้าจั่วทำด้วยหญ้าคาหรือปล่อยโล่ง พื้นกับฝาทำจากฟากไม้ไผ่ หรือไม้กระดานแข็ง (หน้า 197 ภาพหน้า 198 แบบแปลนหน้า 199) เรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว คือเรือนที่ไม่ใช้จั่วเรือน ภาษาช่างเรียก "แบบหลังคาปั้นหยา ส่วนยาวของหลังคาส่วนหัวท้าย เป็นรูปด้านเอียง แบบตัดเหลี่ยม หลังคามีความลาดชัน หลังคาเรือนใหญ่บางแห่งไม่ทำฝ้าเพดาน หากทำฝ้าเพดานก็จะเป็นไม้กระดานเนื้อแข็ง พื้นและฝาเรือนเป็นไม้กระดานเนื้อแข็ง (หน้า 453, 200) บ้านเป็นเรือนชั้นเดียวหักทำมุมฉาก หันหน้าเรือนออกถนน เสาทำด้วยไม้เนื้อแข็ง (หน้า 200) พื้นที่ "เสี่ย" จะต่อจากเรือนใหญ่ ด้านห้องก๊วน เป็นพื้นที่ว่างปล่อยโล่ง มีหลังคาคลุม บริเวณเสี่ย จะทำเป็นระเบียง สำหรับชานโล่ง เป็นแบบชายปล่อยโล่งกับหลังคาคลุม ชานมีโครงสร้างแยกต่างหากกับเรือนใหญ่ กับเรือนไฟ มีบันไดกับทางลาดวางพาด แบบเดียวกับเรือนมุขเลี้ยวจั่ว เรือนไฟหรือครัว หลังคาทรงจั่ว มุงหลังคากับสังกะสี พื้นฝา เป็นไม้ไผ่สับฟาก กับไม้กระดาน (หน้า 200) |
|
Demography |
ประชากรบ้านนาป่าหนาด หมู่ 4 กับหมู่ 12 ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ. เลย มีจำนวนประชากรจากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2540 ดังนี้ หมู่ 4 มีจำนวนครัวเรือน 103 ครัวเรือน มีประชากรรวม 505 คน เป็นชาย 260 คน เป็นหญิง 245 คน (ตาราง หน้า 55) หมู่ 12 มีจำนวนครัวเรือน 11 4 ครัวเรือน มีประชากรรวม 480 คน เป็นชาย 261 คน เป็นหญิง 219 คน รวมประชากรทั้งสองหมู่มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 985 คน (หน้า 55) จำนวนประชากรคิดเป็นชาย 52.89 % เป็นหญิง 47.11% (หน้า 56) |
|
Economy |
อาชีพ ทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก เช่น การทำนา โดยจะทำนาปี ซึ่งเรียกว่า "นาดำ" โดยจะทำในเดือนพฤษภาคม จากนั้นจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม สำหรับการใช้แรงงานจะมีการช่วยเหลือกัน หรือเรียกว่า ลงแขกทำงาน ส่วนอุปกรณ์ เช่น คราด แอก ไถ ก็จะทำใช้เอง ส่วนผู้ที่จ้างรถไถนาจะจ้างเหมาในราคม 1,500-2,000 บาทต่อที่นา หากแรงงานไม่เพียงพอก็จะจ้างดำนา วันละ 100 บาท/คน ในหน้าเก็บเกี่ยวจะจ้างวันละ 110 ต่อวัน (หน้า 44, 45) การทำไร่ พืชที่ปลูก ได้แก่ ฝ้าย โดยจะปลูกเอาไว้ทำเครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ เสื้อผ้า หมอน มุ้ง ผ้าห่ม การปลูกจะปลูกในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ส่วนหน้าเก็บเกี่ยวจะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม - มกราคม (หน้า 46) ข้าวโพด ไทยดำบ้านนาป่าหนาด เริ่มปลูกตั้งแต่ พ.ศ. 2517 - 2518 การปลูกจะเริ่มในเดือนเมษายน - มิถุนายน ส่วนหน้าเก็บเกี่ยวจะอยู่ในเดือนสิงหาคม - ตุลาคม พันธุ์ข้าวโพดที่ปลูกส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ที่ใช้ทำอาหารสัตว์ (หน้า 47) ถั่วเหลือง ในหมู่บ้านเริ่มปลูกถั่วเหลือง เมื่อ พ.ศ.2529 จะปลูก 2 แบบ คือ ปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดในนา เมื่อเผาที่นาแล้วก็จะไถคราดเตรียมดิน เริ่มปลูกราวเดือนธันวาคม - มกราคม ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม จะเก็บเกี่ยว และเริ่มทำนาซึ่งเป็นการปลูกพืชแบบหมุนเวียน สำหรับการปลูกถั่วเหลืองเป็นพืชไร่ จะเริ่มปลูกประมาณเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม และในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ก็จะเป็นหน้าเก็บเกี่ยว (หน้า 48) มะขามหวาน เมื่อก่อนจะปลูกไว้กินในครอบครัว แต่จะปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้ พันธุ์ที่ปลูก เช่น พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู การเก็บผลผลิตจะเก็บในระหว่างเดือนเดือนธันวาคม - มกราคม โดยจะมีผู้มารับซื้อในหมู่บ้าน (หน้า 49) การเลี้ยงสัตว์ จะเลี้ยงไว้กินในครอบครัว ไว้ขาย และใช้ในการประกอบพิธีกรรม สัตว์ที่เลี้ยงได้แก่ หมู เป็ด ไก่ ปลา สำหรับสัตว์ที่เลี้ยงไว้ประกอบพิธีกรรมจะเป็นพันธุ์พื้นเมือง เช่น หมูดำหรือหมูกี้กับไก่บ้าน สำหรับไก่ที่เลี้ยงไว้ขายจะเป็นพันธุ์เกษตร (หน้า 50) นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังทำอาชีพค้าขาย สำหรับการค้าขายจะมี 2 แบบ คือ (หน้า 50) การค้าที่เปิดเป็นร้านค้า ทางร้านจะซื้อของมาจากอำเภอเชียงคาน และในจังหวัดของที่ขาย เช่น น้ำอัดลม สุรา ยาสีฟัน ผงซักฟอก และอื่นๆ การค้าขายที่ซื้อขายกันเองในหมู่บ้าน โดยจะเอาสินค้าที่ทำขึ้นเองหรือหามาได้ ไปขายให้เพื่อนบ้าน ของที่ขาย จำพวก เครื่องจักสาน สัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ และพืชผัก (หน้า 51) ส่วนงานอื่นที่ทำ เช่น ทำงานข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ เป็นครู ตำรวจ พยาบาล และอื่นๆ กับทำงานรับจ้างและบริการทั่วไป เช่น งานก่อสร้าง พนักงานโรงงาน (หน้า 52) ด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ในหมู่บ้านมีกลุ่มออมทรัพย์ คนที่เป็นสมาชิกสามารถสู้ได้ ไม่เกิน คนละ 5,000 บาท โดยทางสหกรณ์จะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มฌาปนกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้เสียชีวิต, กลุ่มแม่บ้านทอผ้าเพื่อส่งเสริมและจำหน่ายการทอผ้า กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง (หน้า 52-54 ) ส่วนสภาพเศรษฐกิจของครอบครัว ไทยดำบ้านนาป่าหนาดในแต่ละครอบครัว มีเครื่องอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องเสียง โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น รถยนต์ จักรยานยนต์ รถไถนา ฯลฯ ใช้ในครัวเรือน ขึ้นอยู่กับฐานะเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัวว่าจะมีความสามารถหารายได้ ได้เท่าไรซึ่งคนในหมู่บ้านจะซื้อสิ่งของเหล่านี้ทั้งเงินสด และเงินผ่อน (หน้า 62) อาหาร แบ่งออกได้ตามแหล่งที่มาดังนี้ อาหารที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ อาทิ จากแหล่งน้ำและป่า เช่น กุ้ง หอย ปลา กบ เขียด สัตว์และแมลงต่างๆ ผักก้าน ผักโป้งหรือผักตบ ผักหญ้าฮูด ผักแว่น อาหารที่ผลิตขึ้นเอง เช่น อาหารเนื้อสัตว์ที่ได้จากสัตว์เลี้ยง อาทิ หมู เป็ด ไก่ ควาย และอื่นๆ กับผักที่ปลูกเองเช่น ผักกาด มะเขือ หอม พริก ตะไคร้ ชะอม อาหารที่ซื้อจากตลาด เช่น อาหารที่พ่อค้าจากภายนอกมาขายในหมู่บ้าน และซื้อที่ร้านค้าในหมู่บ้าน เช่น เนื้อ ผัก ผลไม้ (หน้า 124-125) ประเภทอาหาร อาหารที่ไทยดำรับประทานที่กล่าวไว้ในงานเขียนได้แบ่งเป็นอาหารคาว ได้แก่ แจ่วบอนโอด หรือ แจ่วบอนอ๊ด ทำจากใบบอนคัน การทำจะนำใบบอนคันมาบ่มให้เหลือง ประมาณ 3 วัน จากนั้นก็จะนำไปตากแดด 1 - 2 วัน แล้วก็เอาไปแช่น้ำที่เหลือจาการแช่ข้าว หรือที่ไทยดำเรียกว่า "น้ำข้าวหม่า หรือ น้ำหม่าข้าว" แล้วก็จะฉีกใบบอนเป็นชิ้นขนาดเล็ก จากนั้นก็จะใช้มือนวดให้นิ่ม จากนั้นก็จะนำไปหมักในไห ใช้ขี้เถ้าปิดปากไหไม่ให้ลมเข้า โดยใช้เวลาหมัก 5 วัน จากนั้นก็จะนำใบบอนออกมาจากไห แล้วนึ่งให้สุก ถ้าจะกินก็จะนำคลุกเคล้ากับหัวหอม กระเทียม พริก หากต้องการจะเก็บไว้กินให้นานๆ ก็จะนำใบบอนที่หมักในไหมานึ่งให้สุกแล้วตากแดดจนแห้ง แล้วก็เก็บไว้ในถุงพลาสติก เพื่อนำมาถนอมเอาไว้กินต่อไป (หน้า 125) หน่อปิ้ง การทำจะเอาหน่อไม้มาตัดยาว 3- 5 นิ้ว ผ่าตามความยาว 4 ส่วน หลังจากนั้นก็จะนำมาแช่น้ำสะอาด 3 วัน ถ้าจะทำกับข้าว ก็จะผสมขี้เถ้าคลุกเข้าด้วยกัน ถ้าเอาขี้เถ้าที่ร่อนมาผสมน้อย ก็จะทำให้หน่อไม้นั้นเปรี้ยว แต่ถ้าไม่อยากให้ขี้เถ้ามีรสเปรี้ยว ก็ผสมขี้เถ้าแต่พอดี จากนั้นก็จะนำมาล้างน้ำและทำกับข้าว สำหรับอาหารที่ทำได้แก่ ซุปหน่อปิ้ง แกงหน่อปิ้ง (หน้า 126) จุ๊บผัก หรือ ซุปผัก ในหมู่บ้านมีผักเป็นจำนวนมาก ไทยดำก็จะนำผักมาทำซุป ได้แก่ จุ๊บผักแว่น โดยจะนำผักแว่นมาล้างและตัดให้สั้น จากนั้นจะนำเห็ดกระด้างหรือเห็ดลมมาแช่น้ำ และหั่นเป็นชิ้นขนาดเล็ก และนำใบย่านางมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็จะนึ่งใส่หวด พร้อมกับผักแว่น เห็ดกระด้าง และย่านาง นานราว 20 นาที จากนั้นก็จะเทลงใส่ถาด ต้มน้ำปลาร้า ตำพริกแห้ง ข่าอ่อน กระเทียมใส่ลงในน้ำต้มปลาร้า แล้วนำมาราดที่ผักแว่น เห็ดกระด้างกับย่านาง ผสมเข้าด้วยกัน (หน้า 126) จุ๊บผักกาด ขั้นตอนการทำก็คล้ายๆ กับจุ๊บผักแว่น คือนำผักไปนึ่งแล้วผสมกับน้ำปลาร้าและเครื่องปรุงอื่นๆ (หน้า 127) อาหารหวาน ได้แก่ ขนมที่ทำกันเอง เช่น ข้าวเหนียวแดง ข้าวต้มมัด ขนมหมก หรือขนมเทียน เป็นต้น ส่วนผลไม้จะเป็นผลไม้ที่ปลูกเอง ได้แก่ กล้วย ขนุน มะพร้าว มะขาม ลำไย มะม่วง และอื่นๆ หากเป็นผลไม้ถิ่นอื่น เช่น ทุเรียน เงาะ ส้ม องุ่น ฯลฯ ก็จะไปซื้อที่ตลาด หรือจะมีพ่อค้ามาขายในหมู่บ้าน (หน้า 127) อาหารเสริม ได้แก่ อาหารเสริมเด็กอ่อน เช่นข้าวบดกับกล้วย, อาหารเสริมสำหรับคนที่เพิ่งหายป่วย หรือหลังคลอดลูก เช่น แกงหัวปลีจะช่วยทำให้มีน้ำนมมาก (หน้า 127) อาหารที่กินในเวลาปกติ จะกินง่ายๆ เป็นอาหารรสจัด กินกับข้าวเหนียว บางทีจะทำต้มหรือแกง แต่จะไม่ค่อยกินอาหารผัดหรือแกงกะทิ (หน้า 128) อาหารที่กินในโอกาสพิเศษ หากมีแขกมาเยี่ยมบ้านกระทันหันก็จะจับ ไก่ที่เลี้ยงไว้ทำอาหารต้อนรับ สำหรับอาหารพิเศษส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เป็นเนื้อทั้งหมด เช่น ต้ม ลาบ ก้อย (หน้า 129) แต่ถ้าหากเลี้ยงผีบ้าน ผีเรือน ก็จะใช้ เหล้า กับจุ๊บหมู (หน้า 130) |
|
Social Organization |
สังคม สังคมบ้านนาป่าหนาด เมื่อก่อนนี้จะเป็นสังคมแบบช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เช่น การสร้างบ้าน เพื่อนบ้านก็จะมาช่วยเหลือแรงงาน โดยเจ้าของบ้านจะเตรียมอุปกรณ์เอาไว้ให้ และเลี้ยงข้าวปลาอาหาร การสร้างบ้านจะช่วยจนเสร็จ แล้วก็สลับไปช่วยเหลือบ้านอื่นต่อไป ในทุกวันนี้การสร้างบ้านได้จ้างช่างมาสร้างบ้านเป็นเงินจำนวนมาก เนื่องจากการสร้างบ้านนั้นต้องใช้ความสามารถในทางช่าง และเป็นเครื่องวัดฐานะในทางสังคม (หน้า 459) ครอบครัว ไทยดำตอนที่มาอยู่บ้านนาป่าหนาดเริ่มแรก การใช้สกุลจะใช้ แซ่ หรือสกุลแบบจีน ซึ่งไทยดำ เรียกว่า "ซิง" แปลว่า แซ่ สกุลหรือตระกูล ทั้งนี้ไทยดำจะสืบสกุลทางพ่อ ถ้าแต่งงานภรรยา และลูกที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลของสามี (หน้า 68) ถ้าหากผู้หญิงแต่งงานกับคนในตระกูลใด ก็ต้องทำตามประเพณีของตระกูลนั้น โดยแต่ละซิงหรือตระกูลจะมีข้อห้ามไม่เหมือนกัน อาทิ ซิงก๋วงไม่ให้กินเนื้อเสือ ซิงเรืองไม่ให้กินเห็ดที่เกิดตามตอไม้ (หน้า 69, 72) ลักษณะครอบครัว เป็นแบบครอบครัวขยาย ซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ลูกเขย สะใภ้ หลานและญาติ พ่อหรือญาติฝ่ายพ่อจะได้รับความรับถือมากกว่าญาติฝ่ายแม่ เนื่องจากพ่อเป็นผู้นำครอบครัว และหารายได้เลี้ยงคนในบ้าน (หน้า 69, 73) ความสัมพันธ์ด้านสังคมของเรือนไทยดำ ครอบครัวไทยดำจะอยู่รวมกันแบบเครือญาติ อยู่อาศัยร่วมกันแบบครอบครัวต้น (Stem Family)เพื่อสะดวกในการดูแลและเลี้ยงดูคนในบ้าน (หน้า 443) |
|
Political Organization |
บ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย เป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนา และป้องกันตนเอง (หน้า 66) หรือ อ.พ.ป. เมื่อ พ.ศ. 2524 ในหมู่บ้าน มีคณะกรรมการ ปกครองหมู่บ้าน โดยแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆ ดังนี้ (หน้า 67) 1) คณะกรรมการกลาง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ และประสานงานกับทางการ (หน้า 67) 2) ฝ่ายปกครอง ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้านและทำหน้าที่ประนีประนอมหากเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทในหมู่บ้าน (หน้า 67) 3) ฝ่ายพัฒนา ทำหน้าที่พัฒนาหมู่บ้านและซ่อมแซมสาธารณสมบัติในหมู่บ้าน ส่งเสริมการประกอบอาชีพ และจัดตั้งกลุ่มองค์กรภายในหมู่บ้าน (หน้า 67) 4) ฝ่ายป้องกัน ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน (หน้า 67) 5) ฝ่ายสวัสดิการและสังคม ช่วยเหลือคนจน และผู้ประสบภัย (หน้า 67) สร้างสวนสาธารณะที่พักผ่อน สนามเด็กเล่น(หน้า 68) 6) ฝ่ายศึกษาและวัฒนธรรม ส่งเสริมด้านการศึกษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ตั้งกลุ่มการศึกษาผู้ใหญ่ กลุ่มเยาวชน จัดกิจกรรมทางประเพณีต่างๆ (หน้า 68) 7) ฝ่ายสาธารณสุข ทำหน้าที่รักษาพยาบาล และรักษาสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้าน และอื่นๆ (หน้า 68) 8) ฝ่ายคลัง ทำหน้าที่ด้านการเงินภายในหมู่บ้าน และดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับด้านการเงินของหมู่บ้าน (หน้า 68) |
|
Belief System |
ความเชื่อ ไทยดำมีความเชื่อเรื่องผี เพราะว่าผีมีความสำคัญต่อสังคมไทยดำ เช่น การสั่งสอนลูกหลานให้ทำตามจารีตประเพณีต่างๆ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผีสามารถทำให้มีความสุข และทำให้เดือดร้อนเจ็บไข้ไม่สบาย การรักษาพยาบาลจะรักษาจากความเชื่อเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี พร้อมกับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 71) การนับถือผียังคงมีการนับถือมาจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งไทยดำแต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว หรือไทยอีสาน เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน จึงมีการสร้างวัดชื่อ "วัดศรีโพนแก้ว" (หน้า 81) วัดแห่งนี้สร้างเมื่อ พ.ศ.2502 โดยอดีตผู้ใหญ่บ้านนาป่าหนาด และอดีตกำนันตำบลเขาแก้ว พร้อมด้วยชาวบ้านได้ร่วมกันสร้าง เนื้อที่วัดศรีโพนแก้ว มีเนื้อที่จำนวน 12 ไร่ ทุกวันนี้มีพระประจำอยู่ที่วัด หนึ่งรูป เนื่องจากว่าไทยดำไม่นับถือศาสนาพุทธ และไม่ชอบจัดงานบวช รวมทั้งจัดงานที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา (หน้า 81-82) สำหรับความเชื่อเรื่องผีนั้น ไทยดำนับถือผีแถนมากกว่าผีอื่นๆ โดยเชื่อว่าผีแถนเป็นผู้สร้างคนและทุกอย่างบนโลก สำหรับผีแถนที่ไทยดำนับถือมีดังต่อไปนี้ (หน้า 83) 1) แถนหลวง ทำหน้าที่ดูแลการทำงานของแถนทั้งหลาย และเป็นหัวหน้าของแถนทั้งหมด (หน้า 83) 2) แถนแนน ทำหน้าที่กำหนดขวัญของคน กำหนดอายุของคนว่าจะให้อายุยืน หรืออายุสั้น (หน้า 83) 3) แถนเคอ มีหน้าที่กำหนดโชคชะตากับส่งคนให้มาเกิดบนโลกใบนี้ (หน้า 83) 4) แถนเคาะ ทำหน้าที่ดลบันดาลให้เกิดการเจ็บป่วย และทำให้คนมีเคราะห์ (หน้า 83) 6) แถนแม่นาง ทำหน้าที่ให้คนเจริญเติบโต และดลให้แม่มีนมมากพอที่ จะเลี้ยงลูกกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ (หน้า 83) ทั้งนี้แถนจะอยู่บนฟ้า ไทยดำจะไม่สร้างศาล หรือที่อยู่ให้แถน นอกจากนี้ก็จะไม่มีพิธีเซ่นไหว้แถนเป็นการเฉพาะ การเซ่นไหว้จะทำรวมกับพิธีกรรมอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นพิธี ต้นเคอ พิธีกรรมออกกรรม และอื่นๆ (หน้า 83) ผีเจ้าบ้าน คือผีที่ทำหน้าที่คุ้มกันรักษาให้ไทยดำอยู่อย่างมีความสุข ไม่ให้ภัยร้ายมากร้ำกราย ไทยดำถือว่าผีเจ้าบ้านเป็นผีของส่วนรวม ไม่ได้เป็นผีของตระกูลใด ผีนี้จะเป็นวิญญาณอยู่ในธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อาทิ พื้นดิน แม่น้ำ ภูเขา ผีนี้จะเป็นผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นผี ปู่ย่า ตา ยาย ของไทยดำบ้านาป่าหนาด ผี นี้จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ ไทยดำจะสร้างที่อยู่ให้ผีเจ้าบ้าน เป็นศาลตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของบ้านนาป่าหนาด ไทยดำเรียกว่า "หอหรือหอรักษา" สำหรับหอเจ้าบ้าน หรือหอรักษาแบ่งได้ดังนี้ (หน้า 83-84) 1. หอเจ้าที่เมืองแถงหรือเจ้าปู่หัวขาว เป็นหอใหญ่ของหมู่บ้านเป็นที่อยู่ของผีที่มาจากเมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูที่อยู่ทางทิศเหนือของเวียดนาม อันเป็นที่อยู่เดิมของไทยดำ ผีเจ้าเมืองแถงคือผีที่ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครอง ไทยดำ และทำให้มีน้ำบริโภคและอุปโภค ให้มีน้ำเพื่อทำการเกษตรกรรมให้มีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 84) 2. หอเจ้าอนุวงศ์ ไทยดำเคยไปอยู่ในเวียงจันทน์มาก่อน หลังจากที่ฮ่อรุกราน ชาวเวียงจันทน์ให้ความเคารพเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์ของประเทศลาว เนื่องจากพระองค์เป็นผู้นำเพื่อเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้ลาวเป็นเมืองขึ้นของประเทศสยาม ไทยดำเมื่อไปอยู่เวียงจันทน์ เมื่อทราบประวัติของเจ้าอนุวงศ์จากคนลาว ดังนั้นจึงให้ความเคารพแม้กระทั่งย้ายมาอยู่บ้านนาป่าหนาดก็ให้ความเคารพเช่นเดิม (หน้า 85) 3. หอเจ้าภูแก้ว ภูแก้ว คือภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของบ้านนาป่าหนาด ซึ่งบริเวณนี้เป็นพื้นที่ทำไร่นาและเก็บของป่าของไทยดำ ดังนั้นการที่หมู่บ้านอุดมสมบูรณ์ ไทยดำเชื่อว่าเป็นเพราะฝีมือของผีภูแก้ว (หน้า 85 ภาพหน้า 86) 4. หอเจ้าภูหวด ภูหวดเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน พื้นที่ดังกล่าวเป็นบริเวณทำไร่ นา และหาของป่าของไทยดำ ตามความเชื่อของไทยดำ เชื่อว่า ผีภูหวดมักทำให้เกิดความแห้งแล้งกันดาร ถ้าทำไม่ถูกต้อง กับผีภูหวด ผีภูหวดก็จะทำให้ฝนไม่ตกตกตามฤดูกาล ดังนั้นไทยดำจึงสร้างศาลเพื่อเซ่นไหว้และเป็นที่อยู่ของผีภูหวด (หน้า 86 ภาพหน้า 87) ผีมดกับผีมนต์ ผีมดคือคนที่ทำหน้าที่รักษาคนเจ็บป่วย เนื่องจากไทยดำเชื่อว่า ในร่างกายคนเรามีขวัญอยู่ประจำ การที่เจ็บป่วยเป็นเพราะว่าขวัญออกจากร่าง ดังนั้นจึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ สำหรับความเชื่อว่าขวัญหายนั้น ไทยดำเชื่อว่า เป็นฝีมือของผีชนิดต่างๆ ทั้งนี้ผีมดแม้ว่าทำหน้าที่รักษาคน แต่บางครั้งก็ทำให้คนเจ็บป่วยได้เหมือนกัน สำหรับผีมดที่ทำหน้าที่รักษาคนไข้ คนที่เป็นร่างทรงของผีมด เรียกว่า "หมอมด หรือ มด " (หน้า 88) คนที่จะมาเป็นผีมดจะต้องเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากผีมด ทั้งนี้คนที่มีเชื้อสายของผีมด ตอนที่เกิดมาครั้งแรกก็จะมีสายรกพันมาจากบริเวณก้น พันมาบริเวณคออีกทั้งยังมีกลิ่นหอม (หน้า 89, 95) เด็กที่เกิดมาลักษณะดังกล่าว เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ อายุราว 30 ปี ก็จะต้องศึกษาวิชาผีมดกับหมอผีคนที่เป็นมาก่อนหน้านั้น เมื่อได้ทำการรักษาผู้ป่วย ไทยดำจะเรียกว่า "หมอมด" คนที่ทำหน้าที่หมอมด จะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สำหรับหมอมด เมื่อผีมดมาจับนั้นไทยดำเชื่อว่าผีมดมาอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีวิชาผีมดในตัว ดังนั้นต้องนับถือผีมด (หน้า 89 ,96) ในกลุ่มคนที่เป็นหมอมดจะต้องศึกษาวิชาผีมนต์ ทั้งนี้วิชาผีมนต์คือวิชาเวทมนต์ทั้งหลายที่นำมารักษาคนที่เป็นไข้ไม่สบาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ไทยดำจะเรียกหมอมดว่า "หมอมดหมอมนต์" เนื่องจากต้องศึกษาทั้งวิชาหมอมดและหมอมนต์สำหรับคนที่ไม่เรียนวิชาผีมนต์ ไทยดำจะเรียกว่า "หมอมด" สำหรับคนที่ศึกษาวิชาผีมนต์แต่ไม่เป็นหมอมดยังไม่มีในบ้านนาป่าหนาด อนึ่งการประกอบพิธีที่เกี่ยวกับผีมดกับผีมนต์จะอยู่ในพิธีต้นเคอกับพิธีเลี้ยงปางหรือ แซปาง (หน้า 89) ผีเรือน ได้แก่ ผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นเมื่อปู่ ย่า ตา ยาย เสียชีวิตไปแล้ว ผู้ที่เป็นญาติจะทำพิธีเชิญให้มาอยู่บนบ้าน ให้มาทำหน้าที่เป็นผีเรือน บางครั้งไทยดำจะเรียกว่า "ผีเฮือน หรือผีด้ำ หรือ ผีเชื้อ" ทั้งนี้ไทยดำเชื่อว่าเมื่อบรรพบุรุษทั้งหลายที่อยู่ในสกุลเดียวกันเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณก็จะกลับมาคุ้มครองป้องกันคนในบ้านที่เคยอยู่เมื่อครั้งยังมีชีวิต (หน้า 89) สำหรับคนที่กระทำผิดต่อผีเรือนก็จะประกอบพิธีขอขมาผีเรือน หรือเรียกกันว่า "คารวะผีเรือน" ในส่วนการเซ่นไหว้ผีเรือนของไทยดำ แบ่งเป็น 3 อย่าง ได้แก่ การเซ่นแบบประจำ 5 หรือ 10 วัน การเซ่นประจำปี กับการเซ่นครั้งใหญ่ (หน้า 90) ประเพณีและพิธีกรรม ของไทยดำบ้านนาป่าหนาดมีดังต่อไปนี้ (หน้า 90) 1. พิธีกรรมเกี่ยวกับผีเจ้าบ้าน เป็นผีที่คุ้มครองรักษาไทยดำในบ้านนาป่าหนาด ตลอดจนพืช และสัตว์ที่เลี้ยง ไทยดำจะตั้งศาลให้เป็นที่อยู่ของผีเจ้าบ้าน เรียกว่า "หอ หรือ หอรักษา" สำหรับหอรักษาในหมู่บ้านมี 4 หอประกอบด้วย หอเจ้าที่เมืองแถงหรือเจ้าปู่หัวขาว, หอเจ้าอนุวงศ์, หอเจ้าภูแก้ว และหอเจ้าภูหวด สำหรับการเซ่นไหว้ผีเจ้าบ้าน จะทำพิธีบูชาทุกวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ (หน้า 90-91) การประกอบพิธี ไทยดำจะนำดอกยี่โถ 1 คู่ ใส่กรวยใบตอง 1 อัน โดยนำไปไว้ที่บ้านจ้ำหรือบ้านเจ้าเชื้อ โดยจ้ำหรือเจ้าเชื้อก็จะนำดอกไม้ไปบูชาที่หอรักษา โดยจะนำดอกไม้ใส่ถาด 4 ถาดไปไหว้ที่หอรักษา4 หอ โดยวางไว้หอละ 1 ถาด จากนั้นจ้ำหรือเจ้าเชื้อก็จะบอกกล่าวต่อหอรักษา สำหรับการเลี้ยงใหญ่จะทำในเดือน 6 หรือ เดือนพฤษภาคมในแต่ละปี การเลี้ยงจะนำหมูมาเชือดและต้มจนสุก แล้วทำอาหารเป็นเครื่องเซ่น เพื่อไหว้หอ ทั้ง 4 หอ (หน้า 91) สำหรับการเลี้ยงผีเจ้าบ้านประจำปีครั้งที่ 2 พิธีจะประกอบเมื่อถึงเดือน 12 หรือ เดือนพฤศจิกายนในแต่ละปี การเซ่นไหว้จะนำเนื้อไก่มาทำกับข้าว เพื่อไหว้หอทั้ง 4 หอ สำหรับการเลี้ยงในเดือน 6 หรือ เดือนพฤษภาคม กับเดือน 12 หรือเดือนพฤศจิกายน การเลี้ยงผีเจ้าบ้าน จ้ำจะเป็นผู้บอกวันเซ่นไหว้ (หน้า 91) 2. พิธีกรรมเกี่ยวกับผีมดและผีมนต์ พิธีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (หน้า 96) พิธีต้นเคอ (เฮ็ดเวียกใหญ่) การทำบุญเหมือนกับการทำบุญสะเดาะเคราะห์ของคนไทยอีสาน การทำบุญเกิดจากเชื่อว่า ผีทำให้คนมีเคราะห์และเป็นไข้ไม่สบาย ถ้าอยากให้ร่างกายหายจากไข้ ต้องทำพิธีไล่ผีออกจากร่างกาย แล้วก็เรียกขวัญที่หนีไปกลับคืนมาเข้าร่างกาย หากมีครอบครัวใดเจ็บป่วยก็จะให้หมอเยื้อง หรือหมอหักไม้เสี่ยงทาย หากผลเสี่ยงทายออกมาว่ามีผีอื่นที่ไม่ใช่ผีเรือนทำร้าย ก็จะประกอบพิธีต้นเคอ สำหรับคนที่ทำพิธีต้นเคอ ได้แก่ หมอมดที่แต่งชุดดำ หมอปี่ 2 คน กับหมอขวัญ ที่แต่งตัวเหมือนกับแต่งในชีวิตประจำวัน (หน้า 96) เมื่อรู้ว่ามีญาติป่วย ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวเปลือกใส่กระบุงขนาดเล็กหรือ ใส่ขันกับขันธ์ 5 ได้แก่ ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ และเงินจำนวนหนึ่ง นำไปมอบให้หมอมด เพื่อเป็นค่ามารักษาคนที่ไม่สบาย จากนั้นหมอมดจะนำสิ่งของดังกล่าว ไปบูชาผีมดผีมนต์เพื่อบอกให้มารักษาผู้ป่วย ขั้นต่อไปหมอมดก็จะไปบอกหมอปี่ เพื่อมาเป่าปี่ในการประกอบพิธี และเจ้าของบ้านจะมอบอาหารเช่นเนื้อหมูให้กับหมอปี่ เพราะไม่ได้รับค่าตอบแทน สำหรับของที่เจ้าของบ้านจะต้องเตรียมเพื่อใช้ในพิธี ได้แก่ หมู 1 ตัว ไก่ 1 ตัว ไข่ไก่ 1 ฟอง ข้าวสาร 2 ถ้วย เหล้าขาว 1 ขวด ชุดไทยดำ 1 ชุด กับเสื้อผ้าที่ใส่ในเวลาปกติของคนในบ้านคนละ 1 ชุด นอกจากนี้จะต้องเตรียม หวี กระจก แหวน สร้อยลูกปัด อย่างละ 1 อัน และปอยไหม 1 ปอย (หน้า 97) ในวันประกอบพิธี เจ้าของบ้านจะเตรียมสำรับหมู 4 สำรับ และสำรับไก่ 1 สำรับ หมอมดจะนั่งด้านหน้าเครื่องเซ่น หมอปี่นั่งด้านข้าง และให้ญาตินั่งล้อมเครื่องเซ่นไหว้ ต่อไปหมอมดจะขับมด หมอปี่จะเป่าปี่ ถ้าหมอมดเป็นผู้หญิง ก็จะขับอานนี จากนั้นก็จะขับมดเซ่นไหว้ผีแถน แล้วก็จะเสี่ยงทายว่าแถนมารับเครื่องเซ่นแล้วหรือไม่ ต่อไปก็จะทำการเสี่ยงทาย โดยจะนำข้าวสารใส่ถ้วยแล้วนำไข่วางบนนั้น การเสี่ยงทายจะโปรยข้าวลงบนไข่ แล้วอธิษฐาน ว่าเป็นเลขคู่หรือคี่ เหมือนกับคำอธิษฐานหรือไม่ แต่ถ้าไม่ตรงกับคำอธิษฐานก็จะเสี่ยงทายอีกรอบกระทั่งตรงกับคำอธิษฐาน (หน้า 97-98) จากนั้นก็จะขับมดเชิญผีต่างๆ มารับเครื่องเซ่น การขับมดแต่ละบทจะใช้เวลาราว 10 นาที สำหรับขึ้นตอนก็จะเหมือนกันเพียงแต่เปลี่ยนชื่อผี จากนั้นก็จะเสี่ยงทายเหมือนกัน เมื่อขับมดเรียบร้อยก็จะทำพิธีเรียกขวัญให้มาเข้าร่างคนไข้ (หน้า 98) พิธีเลี้ยงปาง เป็นพิธีที่ทำการรักษาคนป่วย โดยผ่านร่างทรงหมอมด เพื่อไล่ผีและเรียกขวัญให้กลับคืนมาเข้าร่างเช่นเดิม พิธีเลี้ยงปาง หรือ แซปาง มาจากคำว่า แซ ซึ่งหมายถึง สนุกสนาน กับ ปาง หมายถึง ต้นดอกไม้ การประกอบพิธีจะทำ 3 - 4 ปี ต่อครั้ง การประกอบพิธีจะอยู่ระหว่างเดือน 6 หรือพฤษภาคม การจัดพิธีจะทำ 3 วันต่อกัน โดยเริ่มจากเวลา 18.00 - 23.00 น.ของแต่ละวัน (หน้า 99) สำหรับผู้ประกอบพิธีได้แก่หมอมด และหมอปี่จะทำหน้าที่เป่าปีเมื่อหมอมดขับชมปาง แล้วลูกเลี้ยงหมอมดก็จะรำเมื่อหมอมดขับมด สำหรับคนที่ประกอบพิธีเลี้ยงปางจะแต่งตัวด้วยชุดไทยดำ วันเลี้ยงปาง ลูกเลี้ยงหมอมดจะนำไก่ 1 ตัว เหล้า 1 ขวด เผือก มัน กล้วย อ้อย นำมาที่เรือนหมอมด เพื่อเป็นเครื่องเซ่นไหว้ผีมดกับผีมนต์ในช่วงเช้า จากนั้นหมอมดก็จะจัดสำรับ 9 สำรับ โดยจะนำไปวางไว้ที่หน้าหิ้งผี 4 สำรับ หน้าหิ้งผีมนต์ 4 สำรับ และอีก 1 สำรับที่เหลือจะทำเป็นพานตั้งคาย (หน้า 99-100) โดยจะมีขันธ์ 5 ได้แก่ ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ ขันธุ์ 8 ได้แก่ ดอกไม้ 8 คู่ เทียน 8 คู่ และขันธุ์ 12 ได้แก่ ดอกไม้ 12 คู่ เทียน 12 คู่ จากนั้นก็จะนำเทียนแผ่นวางบนพาน แล้วนำดอกฝ้ายวางกลางเทียนแผ่นดังกล่าว จากนั้นก็จะนำพานตั้งคายไปวางหน้าหิ้งผีมดผีมนต์ ช่วงบ่ายจะเตรียมเครื่องเซ่นไหว้โดยเชือดหมูกับไก่ เพื่อนำไปประกอบพิธีในช่วงเย็น การประกอบพิธีจะจัดสำรับ ได้แก่หมูต้ม ไก่ต้ม ผลไม้ ข้าวต้มห่อใบตอง ข้าวเหนียวใส่กระติบ เหล้า 1 แก้ว น้ำใส่ขวด จากนั้นหมอมดกับลูกเลี้ยง จะนั่งล้อมที่ตั้งสำรับ หมอมดก็จะเรียกผีมากินเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อคิดว่าผีกินอิ่มแล้วก็จะจะนำสำรับออกจากที่ทำพิธี (หน้า 100) เมื่อเลี้ยงผีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกเลี้ยงก็จะยกต้นไม้ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้มาวางที่ลานบ้าน วางไหเหล้าแกลบไว้ ดาบวางไว้โคนต้นไม้ วาง "ผ้าฮ้างดำ " จำนวนเท่าลูกเลี้ยงบนต้นไม้ หมอมดก็จะหยิบดาบ แล้วขับแปซาง และรำดาบรอบต้นไม้ หมอปี่ก็จะเป่าปี่ และลูกเลี้ยงและคนที่มาเข้าร่วมพิธีก็จะกระทุ้งบั้งบู้ (ทำด้วยไม้ไผ่ยาว 1 เมตร) เมื่อขับปางเรียบร้อยแล้ว หมอมดก็จะนำผ้าฮ้างดำบนต้นไม้พาดบ่าให้กับลูกเลี้ยงจนครบทุกคน แล้วลูกเลี้ยงก็จะรำอย่างครื้นเครง (หน้า 101) พิธีกรรมเกี่ยวกับผีเรือน ประกอบด้วยพิธีดังต่อไปนี้ (หน้า 103) พิธีศพ ถ้ามีคนเสียชีวิตเจ้าของบ้านจะยิงปืนหรือจุดประทัดเพื่อบอกให้คนรู้ และมาช่วยเตรียมงานเช่นทำโลงศพ ประกอบอาหาร สำหรับคนตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายโหง ไทยดำจะไม่นำศพเข้าบ้าน แต่จะจัดพิธีรอบบ้าน เช่นลานบ้าน หรือใต้ต้นไม้ สำหรับผู้ที่ประกอบพิธีคือหมอผี หรือ หมอเสน (หน้า 103) การทำศพ เมื่อมีคนเสียชีวิต ญาติผู้ตายจะช่วยกันอาบน้ำศพ แต่งหน้า แต่งตัว ให้ผู้ตาย สำหรับชุดที่ใส่ให้ผู้เสียชีวิต เรียกว่าชุด "ก๊อล้อง" จะปักด้านในออกด้านนอก หากไม่มีชุดนี้ก็จะใส่ชุดตามปกติ (หน้า 104) เมื่อแต่งตัวแล้ว ญาติก็จำนำศพใส่ถุงด้ายดิบแล้วเย็บ จากนั้นก็จะนำด้าย หรือไหม 1 ปอย วางบนศพจำนวน 3 ท่อน ได้แก่ ส่วนหัว ท้อง และขา หากเป็นคนร่ำรวย ญาติจะเอาเงิน หรือทองใส่มือให้กับผู้ตาย ขั้นตอนนี้เรียกว่า "ดอยศพ" ซึ่งจะหันศีรษะผู้ตายไปทางทิศตะวันออก และหันเท้าไปทางทิศตะวันตก ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนเรียกวิญญาณผู้เสียชีวิตมากินอาหาร ญาติผู้เสียชีวิตจะนำไก่มาครอบครัวละ 1 ตัว แล้วนำมาทุบหัวกับบันไดบ้าน ให้ญาติคนนั้นเชือดจะไม่ให้คนอื่นทำ เมื่อฆ่าไก่แล้วก็ถอนขน แล้วควักเครื่องในออก (หน้า 104) ส่วนขนเมื่อถอนแล้วก็จะนำใส่กล่อง เอาไปที่ป่าช้ากับศพคนตาย จากนั้นก็จะนำไก่มาต้มแล้วใส่ในชามหรือถาด จากนั้นก็จะนำข้าวเหนียวใส่กระติบ 1 กระติบวางไว้ด้านบนหัวของคนตาย (หน้า 105) จากนั้นญาติก็จะนั่งล้อมศพ แล้วหมอผีก็จะเรียกวิญญาณคนตายมากินข้าวโดยเคาะพื้นแรง ๆ 3 ที จากนั้นหมอผีก็จะปั้นข้าวเหนียว ส่งให้ญาติๆ ส่งต่อกัน แล้วส่งกลับมาให้หมอผี จากนั้นหมอผีก็จะเก็บไว้ในกระติบ จากนั้นก็จะนำน้ำหอมพรมหน้าศพ ปิดถุงแล้วนำศพเข้าโลง ปิดโลงแล้วเตรียมศพไปยังป่าช้า ตอนนำศพเข้าโลงจะหันหัวศพไปทิศใต้ และหันเท้าไปทางทิศเหนือ (หน้า 105) การตั้งศพจะขึ้นอยู่กับเจ้าของบ้านว่าจะตั้งกี่วัน แต่โดยมากจะตั้งเพียงวันเดียว แล้วนำไปยังป่าช้าในวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงป่าช้าแล้วก็จะทำพิธีเสี่ยงทายหาที่ฝังศพ จากนั้นก็จะขุดหลุมลึก 1 - 1.5 เมตร ก่อนจะปิดฝาโลงก็จะล้างหน้าศพ แล้วก็จะปิดฝาโลงแล้วเอาดินกลบ (หน้า 106) จากนั้นก็จะนำหนามวางเหนือหลุมศพ สำหรับกล่องขนไก่ก็จะนำไปทิ้งที่ป่าช้า ช่วงเย็นจะทำพิธีเรียกขวัญให้ญาติผู้ตาย และร่วมกินอาหาร ตอนเช้าญาติจะนำอาหารไปให้คนตายกินที่ป่าช้า โดยจะส่งจนครบ 3 วัน บางครั้งก็จะส่งหลายวันกว่านั้นแล้วแต่หมอผี จะบอกว่าวันไหนจะตรงกับวันดี (หน้า 107) ขั้นต่อไปหมอผีจะทำพิธีเรียกวิญญาณคนตายมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านจะทำห้องให้เป็นที่อยู่ของผู้เสียชีวิต เรียกว่า "กะล่อห้อง" (หน้า 107) พิธีเชิญผีขึ้นเรือน จะทำพิธีเพื่อเชิญญาติที่เสียชีวิตให้มาอยู่กับครอบครัว คนที่ตายจะเป็นคนที่ตายที่ไม่ใช่ตายด้วยอุบัติเหตุ และจะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปี แต่ทั้งนี้ก็จะมีการอนุโลมถ้าหากอายุน้อยกว่า 20 ปีถ้าแต่งงานแล้ว ก็จะได้รับเชิญให้ขึ้นบ้านเช่นกัน สำหรับคนที่ประกอบพิธีจะเป็นหมอผี หรือหมอเสน และผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะเป็นญาติฝ่ายตนและฝ่ายภรรยา และเพื่อนบ้าน การเชิญหมอผีจะเป็นผู้กำหนดวัน ตอนเช้าญาติผู้ตายจะฆ่าหมูแล้วทำอาหาร นำใส่สำรับเพื่อไปเชิญผีที่ป่าช้า (หน้า 110) เมื่อหมอผีและญาติผู้ตายกับจากป่าช้า ญาติก็จะมารวมกันที่กะล่อห้อง จากนั้นหมอผีก็จะนำถาดไก่ที่วางที่ชานเล้าเข้า แล้วนำมานั่งที่ใต้ถุนบ้านมุมเสากะล่อห้องที่เป็นช่อง ขั้นต่อไปหมอผีก็จะเชิญวิญญาณให้มาอยู่ที่กะล่อห้อง เมื่อเชิญแล้วหมอผีก็จะเอาถาดไก่กลับบ้านของตนเอง เมื่อมาถึงบ้านหมอผีก็จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็จะกลับมาที่กะล่อห้อง เพื่อเชิญผีเรือนมากินเครื่องเซ่น โดยจะเชิญผีเรือนจนครบทุกตน ขณะที่หมอผีทำพิธีจะห้ามคนตระกูลอื่นเข้าไปในกะล่อห้อง (หน้า 111) เมื่อเชิญผีเรือนมากินจนครบแล้ว ก็จะนำเครื่องเซ่นมามอบให้กับผู้เข้าร่วมพิธี จากนั้นญาติๆและเพื่อนบ้านก็จะผูกข้อไม้ข้อมือด้วยด้ายสีดำ ให้กับคนในบ้านผู้ตาย ก็จบขั้นตอนการทำพิธี (หน้า 111) พิธีเซ่นผีเรือน หรือไทยดำเรียกว่า "พิธีเสนเฮือน" มาจากคำภาษาไทยดำ "เสน " แปลว่า เซ่น หรือสังเวย พิธีนี้จะทำการเซ่นผีเรือนที่อาศัยอยู่กะล่อห้องไทยดำเชื่อว่า การเซ่นไหว้จะทำให้ญาติที่เสียชีวิตไปแล้วไม้หิวโหย การเซ่นไหว้ เป็นหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัว ซึ่งจะประกอบพิธีอยู่เป็นประจำ (หน้า 112) การประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนบ้านนาป่าหนาด แบ่งเป็น 2 อย่างคือ เสนผู้ท้าว คือพิธีเซ่นผีเรือนในกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเจ้านายชนชั้นปกครอง กับเสนผู้น้อยคือพิธีเซ่นผีเรือนในกลุ่มผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากสามัญชน สำหรับค่าตอบแทนแก่หมอเสนที่ทำพิธีนั้น ผู้จัดจะมอบให้ครั้งละ 10 - 50 บาท (หน้า 113) การเซ่นแบบประจำหรือวันปาดตง จะเซ่นทุก 5 วันกับ 10 วัน ทั้งนี้ผีผู้ท้าวจะเซ่นผีเรือนทุก 5 วัน ส่วนผีผู้น้อยจะเซ่นผีเรือนทุก 10 วัน (หน้า 113) การเซ่นประจำปี จะจัดปีละ 1 ครั้งและจะทำเป็นพิเศษ โดยจะใช้เนื้อไก่เป็นเครื่องเซ่นไหว้ สำหรับลูกหลานที่แต่งงานไปแล้ว จะกลับมาทำพิธีและนำอาหารมาจัดร่วมกัน (หน้า 115) การเซ่นครั้งใหญ่ จะจัด 3-4 ปีต่อครั้ง (หน้า 116) โดย หมอเสนจะเป็นผู้ประกอบพิธีกับญาติพี่น้องที่อยู่ในซิง หรือในตระกูลดังกล่าว สำหรับอาหารที่ใช้ประกอบพิธีได้แก่ หมู การจัดพิธีจะทำในช่วงเดือน 3 หรือกุมภาพันธ์ ถึงเดือน 4 หรือ มีนาคม (หน้า 117) พิธีเข้ากรรมและออกกรรม วันเข้ากรรมเป็นเวลาที่ผีเรือนไปเฝ้าแถนที่อยู่บนเมืองฟ้า โดยจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 หรือ สิงหาคม กระทั่งถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือ กันยายน เป็นเวลา 1 เดือน สำหรับวันออกกรรมคือวันที่ผีเรือนลาแถนลงมาจากเมืองฟ้า เพื่อมาอยู่ที่กะล่อห้องในครอบครัว ในช่วงหลังจากวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือ กันยายน ทั้งนี้ไทยดำบ้านนาป่าหนาดจะมีวันเข้ากรรมตรงกัน แต่วันออกกรรมจะไม่ตรงกันแล้วแต่ความสมัครใจ โดยจะเป็นหลังจากวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือกันยายน (หน้า 120) พิธีขอขมาผีเรือน หากไทยดำไม่สบายหรือมีเคราะห์ ก็จะไปเชิญหมอเยื้อง หรือหมอหักไม้ เพื่อมาเสี่ยงทายว่าไม่สบาย หรือมีเคราะห์เพราะเหตุใด (หน้า 121) การคารวะผีเรือน จะทำเมื่อเกิดเรื่องไม่ร้ายแรง หรือทำผิดจารีตประเพณี เพราะไม่เจตนา อาทิเช่น ไม่ได้เซ่นไหว้ผีเรือนวันปาดตง คนในครอบครัวมีเรื่องกัน ให้คนตระกูลอื่นเข้าในกะล่อห้อง การประกอบพิธีส่วนใหญ่จะเป็นช่วง 18.00 - 20.00 น. โดยหมอเสนจะกล่าวคำขอขมาผีเรือน หรือไทยดำเรียกว่า "คำวาน" เมื่อกล่าวจบญาติของผู้ป่วยก็จะกราบที่กะล่อห้อง 3 ครั้ง ก็จบพิธี ต่อมาญาติๆ ก็จะช่วยกันผูกข้อไม้ข้อมือให้กับผู้ป่วย และอวยพรให้หายป่วยไวๆ (หน้า 121) พิธีแปงเฮือน คำว่า "แปงเฮือน" ในภาษาไทยดำ คือ การทำให้ถูกระเบียบ เช่น ทำผิดประเพณี แล้วยอมรับผิดแล้วทำให้ถูกตามข้อปฏิบัติ สำหรับความผิดที่หนักได้แก่ แต่งงานโดยไม่บอกให้ผู้ใหญ่รับรู้ หรือหญิงสาวนำผู้ชายมาอยู่ที่บ้านของตน โดยไม่ถูกต้องตามประเพณี จึงทำให้ผีเรือนโกรธ และทำให้คนนั้นมีเคราะห์ สำหรับคนที่ประกอบพิธี ได้แก่หมอเสน ญาติผู้ใหญ่ของผู้ทำผิด 3 คน กับผู้ร่วมพิธี ได้แก่ ผู้ทำผิดและญาติ การทำผิดหมอเยื้องจะเป็นคนบอกว่าทำผิกมากแค่ไหน ถ้าทำผิดมากหมอเยื้องก็จะบอก " แปงควาย" หรือต้องฆ่าควาย เพื่อเซ่นไหว้ผีเรือน แต่ถ้าทำผิดไม่มาก ก็จะ " แปงหมู " (หน้า 122-123) เมื่อถึงวันทำพิธี หมอเสนและญาติผู้ใหญ่ (เฒ่าแก่) ของผู้ทำผิดทั้ง 3 คนจะเข้าไปในกะล่อห้อง แล้วออกมานั่งข้างห้อง หมอเสนจะบอกผู้ทำผิดให้ยกสำรับอาหารไปวางที่หน้าเฒ่าแก่ แล้วหมอเสนจะบอกให้เฒ่าแก่ ยกโทษให้ผู้ทำผิด เมื่อเฒ่าแก่ยกโทษแล้ว หมอเสนก็จะให้ผู้ทำผิดยกสำรับอาหารไปวางไว้ที่กะล่อห้อง หมอเสนก็จะบอกให้เฒ่าแก่ยกโทษให้ผู้ทำผิดอีกครั้งก็จบพิธี จากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน (หน้า 123) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของไทยดำบ้านนาป่าหนาด มีอยู่ 4 ระดับ ได้แก่ 1. ในหมู่บ้านมีโรงเรียนชื่อ โรงเรียนบ้านนาป่าหนาด เปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นปีที่ 6 โรงเรียนแห่งนี้เดิมมีชื่อว่า โรงเรียนประชาบาลตำบลนาซ่าว 2 บ้านนาแบน สร้างเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2476 ตั้งอยู่ที่บ้านนาแบน ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย พ.ศ. 2483 ได้ย้ายมายังที่ตั้งทุกวันนี้และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนประชาบาลเขาแก้ว 1 บ้านนาแบน กระทั่ง พ.ศ. 2496 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนบ้านนาป่าหนาด (หน้า 56) 2. ระดับมัธยมศึกษา นักเรียนในหมู่บ้านเมื่อจบชั้นประถมศึกษาจะไปเรียนต่อที่ โรงเรียนเขาแก้ววิทยาสรรพ์ โรงเรียนมัธยมประจำตำบลเขาแก้ว ซึ่งตั้งเมื่อ พ.ศ.2527 เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง ปีที่ 6 (หน้า 57, 58) 3. ระดับอุดมศึกษา ไทยดำบ้านนาป่าหนาดได้ส่งลูกหลานไปเรียนในระดับอุดมศึกษาที่ตังจังหวัด สถาบันที่เรียน อาทิ สถาบันราชภัฏเลย วิทยาลัยอาชีวเลย วิทยาลัยเทคนิคเลย บางครั้งก็ไปเรียนที่จังหวัดใกล้เคียง (หน้า 59) 4. การศึกษานอกโรงเรียน จะมีศูนย์ประจำที่ อ.เชียงคาน จ.เลย และมีศูนย์นัดพบกลุ่มที่โรงเรียนเขาแก้ววิทยาสรรพ์ ไทยดำที่เรียนจะทำงานควบคู่กัน (หน้า 59) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล ไทยดำบ้านนาป่าหนาดจะรักษาตนเองในยามเจ็บป่วย โดยการรักษาด้วยแพทย์แผนโบราณ เช่น การรักษาด้วยไสยศาสตร์ หรือเสี่ยงทาย และรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 60, 61) การรักษาพื้นบ้าน หมอเยื้อง เมื่อไม่สบายหมอเยื้องจะรักษาโดยการเสี่ยงทาย โดยจะนำข้าวสารครึ่งลิตร หมาก 1-2 ลูก พลู 10 ใบ และเสื้อผู้ป่วย 1 ตัว เงิน 20-30 บาท จากนั้นหมอเยื้องจะนำสิ่งของของผู้ป่วยใส่พาน แล้วท่องคาถา การเสี่ยงทายจะเอาผ้าเปียว หรือแพรที่สำหรับจับเสี่ยงทาย เมื่อท่องคาถาก็จะเสี่ยงทาย โดยยกชายผ้าเปียวขึ้น แล้วนำส่วนที่เป็นลูกตุ้มลง หมอเยื้องก็จะบอกชื่อผู้ป่วยและเรียกชื่อผีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผีแถน ผีเรือน ผีมด ผีไร่ ผีนา (หน้า 60,142) เมื่อเรียกชื่อผีใดแล้วผ้าเปียวแกว่งก็หมายความว่า เป็นผีมือของผีชนิดนั้นที่ทำให้ไม่สบาย ก็จะประกอบพิธีไล่ผีและเลี้ยงผีดังกล่าว แต่ถ้าเสี่ยงทายแล้วผ้าไม่แกว่ง ก็หมายความว่าการเจ็บป่วยนั้นไม่ใช่ฝีมือผี หมอเยื้องก็จะบอกให้ไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนโบราณ (หน้า 60,143) หมอหักไม้ การเสี่ยงทายหมอหักไม้จะเอาเส้นตอก ยาวประมาณ 1 ฟุต 5- 6 เส้น ดอกไม้และเทียนอย่างละ 1 คู่ และเงินตามกำลังศรัทธาของคนที่มาเสี่ยงทาย วางลงในขันหมาก จากนั้นหมอหักไม้ จะหยิบตอกมา 1 เส้น แล้วหักตอกเป็นท่อน ยาว 1-2 เซนติเมตร เมื่อหักก็จะท่องคาถาไปด้วย จากนั้นก็จะนับท่อนตอกที่หัก และบอกผลการทำนาย หมอหักไม้จะทำการหักตอก 3 เส้น และทำนายตอกที่หักว่าเป็นจำนวนคู่หรือจำนวนคี่ (หน้า 143-144) การเซ่นไหว้ผีเรือน เมื่อหมอเยื้อง หรือหมอหักไม้เสี่ยงทายแล้วรู้ว่าคนป่วยไม่สบาย เพราะผีเรือนทำ เมื่อรู้ก็จะพิธีเซ่นไหว้และขอขมาผีเรือน หมอเสนจะเป็นผู้ทำพิธี จะทำพิธีช่วงเย็น คือ เวลา 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ญาติผู้ป่วยจะเตรียมผ้าขาว ยาวประมาณ 1 เมตร จำนวน 1 ชิ้น ปอกคอ 1 อัน ต่องคอ 1 อัน เส้นฝ้ายยาว 1 วา กับขันหมาก 1 ขัน โดยจะนำของเหล่านี้ใส่ในถาดแล้วปิดด้วยผ้าขาว แล้วหมอเสนก็จะนำถาดนี้ไปวางที่กะล่อห้อง (หน้า 144) คนป่วยและญาติก็จะเข้าไปในกะล่อห้องด้วย จากนั้นหมอผีก็จะทำพิธีไหว้ ผีเรือน ต่อไปหมอเสนและญาติก็จะผูกข้อไม้ข้อมือให้กับผู้ป่วย เนื่องจากไทยดำเชื่อว่าคนป่วยเพราะขวัญออกจากร่าง เมื่อทำพิธีไหว้ผีเรือนแล้ว ขวัญก็จะกลับมาเข้าร่างเหมือนเดิม ผู้ป่วยก็จะหายจากการเจ็บป่วย (หน้า 144) พิธีต้นเคอ หากการเจ็บป่วยเกิดจากการทำของผี ญาติของผู้ป่วยก็จะประกอบพิธีต้นเคอ โดยญาติผู้ป่วยจะไปหาหมอมด โดยนำข้าวเปลือก กระบุงเล็ก ๆ 1 กระบุง กับขันธ์ 5 ประกอบด้วย ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ และเงินจำนวนหนึ่ง ไปมอบให้หมอมดเพื่อจะได้มารักษาผู้ป่วย หมอมดจะนำสิ่งของเหล่านี้ ไปบูชาผีมด ผีมนต์ และในวันประกอบพิธีหมอมดก็จะไปบอกหมอปี่ให้มาเป่าปีในวันทำพิธีต้นเคอ (หน้า 145) สำหรับของที่ต้องเตรียมในพิธี เช่น หมู 1 ตัว ไก่ 1 ตัว ไข่ไก่ 1 ฟอง ข้าวสาร 2 ถ้วย เหล้าขาว 1 ขวด ชุดไทยดำ 1 ชุด ชุดที่ใส่ในชีวิตประจำวันของสมาชิกทุกคนในครอบครัว คนละ 1 ชุด ปอยไหม 1 ปอย หวี กระจก แหวน สร้อยลูกปัด ชนิดละ 1 อัน ในวันประกอบพิธีหมอมดจะนั่งหน้าเครื่องเซ่น หมอปี่จะอยู่ด้านข้าง ญาติๆ จะนั่งรอบๆเครื่องเซ่นไหว้ (หน้า 145) ต่อไปหมอมดก็จะขับมด และหมอปี่ก็จะเป่าปี่ แต่ถ้าเป็นหมอมดผู้หญิงก็จะ ขับอานนี การขับจะเซ่นไหว้ผีแถนก่อน เมื่อขับมดแล้ว หมอมดก็จะดื่มเหล้า 1 แก้ว แล้วก็จะเสี่ยงทายว่าแถนมารับเครื่องเซ่นหรือยังแล้วก็จะเสี่ยงทายเม็ดข้าวสารที่โปรยบนไข่ ว่าเป็นเลขคู่หรือเลขคี่ เช่น เป็นเลข 1 หรือ เลข 2 ก็แสดงว่าผีแถนมารับเครื่องเซ่น หากไม่ตรงคำอธิษฐานก็จะเสี่ยงทายใหม่ แต่ถ้าผีแถนมารับแล้วก็จะเรียกชื่อผีอื่นๆ ต่อไป การประกอบพิธีจะใช้เวลาประมาณ 1 วัน บางครั้งก็เป็น 1 วัน 1 คืน เมื่อขับมดแล้วก็จะทำพิธีเรียกขวัญเพื่อให้มาเข้าร่างกายคนป่วย (หน้า 146) จากนั้นหมอขวัญก็จะเสี่ยงทายว่า ขวัญมาเข้าร่างคนป่วยแล้วหรือยัง หากมาแล้วก็จะผูกข้อไม้ข้อมือให้ผู้ป่วย จากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นอันเสร็จพิธี (หน้า 146) อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้การประกอบพิธีต้นเคอที่บ้านนาป่าหนาด ไม่มีแล้วเนื่องจากขาดหมอมดซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธี (หน้า 147) สมุนไพรจากพืช กล่าวถึงสมุนไพรที่ไทยดำใช้รักษา ซึ่งได้จากส่วนต่างๆ ของพืชหลายชนิด สมุนไพรจากหัวหรือเหง้าของพืช เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หญ้าแห้วหมู (หน้า 137) สมุนไพรจากราก เช่น ผักเสี้ยนผี หญ้าคา มะเฟือง กระท้อน มะเดื่อ (หน้า 137) สมุนไพรจากเปลือกพืช เช่น แค งิ้ว ตูมกา ฝรั่ง เพกา (หน้า 137) สมุนไพรจากแก่นพืช เช่น ปีบ เข็มขาว หว้า งิ้ว มะไฟ ขี้เหล็ก (หน้า 138) สมุนไพรจากใบพืช เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แมงลัก กระเพรา พลู โหระพา (หน้า 138) สมุนไพรจากดอกพืช เช่น คำฝอย แค สะเดา (หน้า 138) สมุนไพรจากผล เช่น มะกรูด มะนาว มะขาม มะยม มะเกลือ มะแว้ง กล้วย พริก (หน้า 138) สมุนไพรที่มาจากสัตว์ ได้แก่ น้ำผึ้ง ฟันหมูป่า ฟันเสือ ฟันจระเข้ กระดูกปลาฝาหรือตะพาบน้ำ เขากวาง ดีงู (หน้า 138) สมุนไพรจากแร่ธาตุ ได้แก่ จากดิน หิน เกลือ หินปูน สารส้ม และอื่นๆ (หน้า 138) สรรพคุณของสมุนไพร ซึ่งมีรสชาติต่างๆ ดังนี้ รสฝาด สรรพคุณ สมานแผลภายนอกและภายใน คุมธาตุ แก้ท้องร่วง ได้แก่ ผลมะตูมอ่อน ผลสมอ รากทับทิม (หน้า 138) รสหวาน สรรพคุณ บำรุงกำลัง ได้แก่ น้ำอ้อย น้ำผึ้ง อ้อยดำ (หน้า 138) รสมัน สรรพคุณ เพิ่มพลังงาน บำรุงไขข้อและเส้นเอ็น ได้แก่ เมล็ดถั่ว เมล็ดงา (หน้า 138) รสเค็ม สรรพคุณรักษาโรคผิวหนังเน่าเปื่อย น้ำเหลืองเสียกัดเมือกมันในลำไส้ บำรุงธาตุช่วยย่อยอาหาร เพิ่มน้ำในร่างกาย ได้แก่ เกลือ ใบกระชาย (หน้า 138) รสเปรี้ยว สรรพคุณแก้เสมหะ แก้ไอ ฟอกเลือด แก้กระหายน่ำ แก้เลือดออกตามไรฟัน ได้แก่ มะกรูด มะขาม มะยม มะนาว (หน้า 138) รสขม สรรพคุณ ทำให้เจริญอาหาร แก้ร้อนใน บำรุงน้ำดี บำรุง โลหิต ได้แก่ บอระเพ็ด มะระ สะเดา ขี้เหล็ก (หน้า 138) รสเผ็ดร้อน สรรพคุณแก้ลมจุกเสียด เคล็ดขัดยอก บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารที่กิน ได้แก่ตำลึง ผักบุ้ง ข้าวโพด (หน้า 138) รสจืด สรรพคุณ ขับปัสสาวะ (หน้า 138) ถอนพิษ ปวดแสบปวดร้อน ได้แก่ ใบบัวบก (หน้า 139) รสหอมเย็น สรรพคุณบำรุงจิตใจ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อ่อนเพลีย ได้แก่ ใบบัวบก (หน้า 139) การรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ไทยดำจะไปรักษาที่สถานีอนามัยตำบลเขาแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด หมู่ 12 สถานีอนามัยแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2506 โดยสำนักงานสาธารณสุข จ.เลย โดยจะทำหน้าที่รักษาพยาบาล วางแผนครอบครัว ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน และอื่นๆ แต่ถ้าป่วยหนัก ไทยดำบ้านนาป่าหนาด ก็จะไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด (หน้า 61,142) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชาย ไว้ผมมวยโพกศีรษะ นุ่งกางเกงขาแคบ สวมเสื้อแขนยาว บางครั้งจะใส่เครื่องประดับเป็นกำไลหรือแหวน (หน้า 12) ชายไทยดำบ้านนาป่าหนาด การแต่งตัวแบบเก่าจะสวมหมวก ซึ่งเวลาปกติไทยดำจะไม่สวมหมวก นอกจากจะใส่หมวกเมื่อมีการประกอบพิธี หมวกที่สวมจะเหมือนกับหมวกมุสลิมจะจะสูงกว่านั้น มีสีดำหรือสีน้ำเงินล้วน ไม่ประดับลวดลาย สวมเสื้อแขนยาว สีดำหรือสีครามเข้มสีเดียว เสื้อไม่มีปก ด้านหน้าจะผ่าเสื้อ ตั้งแต่คอถึงชายเสื้อ บางครั้งจะผ่าเยื้องทางด้านซ้าย ประดับด้วยกระดุมเงินเรียงกัน ตั้งแต่คอ กระทั่งถึงเอว ชายเสื้อด้านหลังจะยาวกว่าด้านหน้า เวลาสวมจะปล่อยชายเสื้อ บางครั้งก็จะคาดเอวด้วยผ้า เรียกว่า "กะเหล็บ" (หน้า 132) สวมกางเกงขายาวสีดำปลายขาแคบ หรือเรียกว่า "โซ่งหัวโล่ง" (หน้า 132) สวมรองเท้าทำจากหนังควาย หรือทำจากไม้ รูปร่างเหมือนกับรองเท้าแตะ แบบคีบสอดสายไว้ที่นิ้วเท้าเมื่อสวม (หน้า 133) ผู้หญิง ผมยาวจะเกล้าผมไว้บนศีรษะ สวมเสื้อแขนยาว นุ่งผ้าซิ่นสีดำ รัดเอวด้วยผ้าสีดำ หากแต่งงานแล้วจะเกล้าผมทรงสูง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสมรสแล้ว เครื่องประดับอื่น จะสวมปลอกคอ ต่างหู กำไลเงิน (หน้า 12) หญิงไทยดำบ้านนาป่าหนาด เมื่อก่อนจะไว้ผมยาวมวยผมเอาไว้ หากยังเป็นโสดก็จะมวยผมต่ำไว้ที่ท้ายทอย บางครั้งเอียงทางขวา ไทยดำเรียกว่า "ขอดผม" หากแต่งงานแล้วจะเกล้าผมสูงไว้บนหัวกับคลุมผม เรียกว่า "ผ้าเปียวเบ๊าะ" (หน้า133 ) เสื้อที่สวมได้แก่ เสื้อแลงเอิ๊ก กับเสื้อฮีหรือเสื้อขับอานนี สำหรับ "เสื้อแลงเอิ๊ก" คือ เสื้อสีดำแบบจีน ไม่มีปกเสื้อ เสื้อยาวจนถึงเอว ด้านหน้าจะผ่าเสื้อและติดกระดุมรูปผีเสื้อ หรือ แมงกะบี้ โดยจะติดตั้งแต่คอกระทั่งถึงเอว เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวจนถึงข้อมือ สำหรับ "เสื้อฮี " หรือ "เสื้อขับอานนี" คือ เสื้อสีดำคอวีเสื้อยาวจนถึงข้อเท้า เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ ปลายแขนเสื้อ ประดับด้วยแถบผ้าสี ชายเสื้อ และอกเสื้อ เสื้อฮีหรือเสื้อขับอานนี้ จะตัดเป็นทรงขนาดใส่พอหลวมๆ ไม่รัดรูปเวลาใส่ (หน้า 133) สวมซิ่นต่อหัวต่อตีน มีสีดำล้วน ลายแตงโมตามแนวตั้ง เวลาสวมจะให้ซิ่นสูงกว่าครึ่งน่อง เครื่องประดับ จะประดับศีรษะด้วยปิ่นปักผม สวมต่างพวง หรือ ตุ้มหู ใส่ เป๊าะกอ หรือ ปอกคอ เป๊าะแขน หรือกำไลมือ กับเป๊าะแกง หรือกำไลข้อเท้า เครื่องประดับจะทำด้วยเงิน (หน้า 133) สวมรองเท้าทำจากหนังควาย หรือทำจากไม้ รูปร่างเหมือนกับรองเท้าแตะ แบบคีบสอดสายไว้ที่ง่ามนิ้วเท้า (หน้า 133) การแต่งกายทุกวันนี้ แบ่งการแต่งกายออกเป็น 3 แบบ ดังนี้ ชุดทำงาน ผู้ชาย สวมกางเกงขาสั้น หรือกางเกงขายาวสีเข้ม สวมเสื้อผ้าฝ้าย หรือผ้าโทเร แขนสั้นหรือแขนยาวสีดำ น้ำเงิน น้ำตาล โพกหัวด้วยผ้าขาวม้า หรือใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว เมื่อไปทำงานนอกบ้าน (หน้า 134) ผู้หญิง นุ่งผ้าถุงสีดำหรือสีเข้ม สวมเสื้อแขนยาวสีเข้ม ใช้ผ้าขาวม้า หรือผ้าอื่นคลุมหัว และใบหน้า เพื่อป้องกันแดดขณะทำงานกลางแดด (หน้า 134) ชุดอยู่กับบ้าน ผู้ชาย นุ่งผ้าขาวม้า หรือสวมกางเกง สวมเสื้อคล้ายกับชุดที่ใส่ทำงาน หรือไม่สวมเสื้อ (หน้า 134) ผู้หญิง ชอบสวมเสื้อหมากกะแล่ง กับเสื้อแขนสั้น นุ่งผ้าถุง (หน้า 134) ชุดในประเพณีและพิธีกรรม ผู้ชาย สวมเสื้อมด ซึ่งเป็นเสื้อสำหรับหมอมด ซึ่งมีขาวแถบสีแดง และสวมหมวกสีแดง หากหมอมดเสียชีวิต ญาติก็จะนำเสื้อไปฝังพร้อมกับร่างนั้น ทุกวันนี้บ้านนาป่าหนาดไม่มีหมอมด เสื้อแบบนี้จึงไม่มีใครสวม (หน้า 135) ผู้หญิง สวมเสื้อฮี หรือเสื้อขับอานี ซึ่งเป็นเสื้อสีดำล้วนคอวี เสื้อยาวเกือบจรดข้อเท้า แขนเสื้อทรงกระบอกยาวเกือบถึงข้อมือ ประดับด้วยแถบผ้าสี ที่ปลายแขน ชายเสื้อ ที่หน้าอกจากไหล่จนถึงระดับปลายนิ้วของคนที่ใส่เสื้อ ทุกวันนี้ไทยดำได้ใส่เสื้อฮีในพิธีแซปาง ที่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อก่อนนี้หากเจ้าของเสื้อตาย ญาติก็จะนำเสื้อฮีฝังพร้อมกับร่างผู้ตาย (หน้า 135) ทุกวันนี้ไทยดำบ้านนาป่าหนาดจะแต่งตัวด้วยชุดสมัยใหม่ การแต่งกายแบบเดิมจะใส่เมื่อมีงานเทศกาล หญิงวัยรุ่นไม่ค่อยชอบสวมผ้าซิ่น เพราะเห็นว่าไม่ทันสมัย และชอบสวมใส่กางเกงยีน (หน้า 136) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ของเรือนกับวิถีชีวิตของไทยดำ งานเขียนได้ศึกษาการใช้สอยบ้านที่สัมพันธ์กับการใช้สอยบ้าน เช่น การแบ่งพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เพื่อให้เกิดความสะดวกในใช้ใช้บ้าน และมีความสัมพันธ์กับความเชื่อของไทยดำเช่นการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับผีเรือน เช่นไทดำได้สร้างกะล่อห้องบนบ้านเพื่อเป็นที่อยู่ของผีเรือน การแบ่งพื้นที่ใช้สอยบ้านให้พอกับสมาชิกในบ้าน นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่ใต้ถุนบ้านเพื่อใช้ เป็นที่นั่งพักผ่อน หรือทำงาน และเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ และใช้พื้นที่รอบบ้านเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ในงานเขียนได้แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 8 ส่วน ได้แก่ กะล่อห้อง ห้องนอน ก๊วน เสี่ย ชาน เรือนไฟ ร้านแอ่งน้ำ บันได ใต้ถุนบ้าน และลานบ้าน นอกจากการสร้างบ้านต้องสัมพันธ์กับการใช้สอยและความเชื่อแล้ว ยังต้องมีความสัมพันธ์ด้านภูมิศาสตร์ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เรือนไทยดำแบบดั้งเดิมได้สร้างบ้านแบบที่เคยสร้างในทางภาคเหนือของประเทศลาวที่มีอากาศหนาว ดังนั้นจึงให้พื้นที่บ้านถูกแดดมากที่สุด เป็นต้น การสร้างบ้านต้องสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ เช่น การสร้างบ้านต้องมีการเอาแรงช่วยกันทำงาน ดังนั้นเจ้าของบ้านต้องเตรียมอาหารไว้เลี้ยงให้พียงพอกับเพื่อนบ้านที่มาช่วยงาน และสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม เช่นใช้พื้นที่นอกชานบ้านเป็นที่เลี้ยงดูและอบรมลูกหลาน (หน้า 418-443) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง ครัวเรือน และประชากรบ้านนาป่าหนาด (หน้า 55) เสียงสระเดี่ยวของภาษาไทยดำบ้านนาป่าหนาด (หน้า 75) ตัวอักษรไทยดำ (หน้า 78) เปรียบเทียบการหาฤกษ์เดือน วันในการปลูกสร้างเรือน (หน้า 155) เทคนิควิธีการที่ไทยดำนำมาใช้กับการสร้างเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม และเรือนเหย้า, เรือนจั่ว, เรือนมุขเลี้ยว (หน้า 378, 381, 383) การใช้ประโยชน์พื้นที่ของเรือนไทยดำ (หน้า 424) ความสัมพันธ์ทางด้านการติดต่อของเรือนไทยดำ (หน้า 426) ระบบส่วนปิดล้อมของเรือนไทยดำ (หน้า 427) แผนที่ บ้านนาป่าหนาดในอดีตและปัจจุบัน (หน้า 37, 38, 40) ภาพ ภาพตัดขวางแสดงทำเลที่ตั้งถิ่นฐานของไทดำบ้านนาป่าหนาด (หน้า 39) ลักษณะภูมิประเทศบ้านนาป่าหนาด (หน้า 41) ลำห้วยป่าติ้ว หรือห้วยแล้ง (หน้า 43) สภาพทุ่งนา (หน้า 46) ไร่ข้าวโพด (หน้า 47) ไร่ถั่วเหลือง (หน้า 48) ไร่มะขามหวาน (หน้า 49) หมูดำหรือหมูกี้ที่ผู้ไทเลี้ยงไว้ขาย (หน้า 50) ร้านค้าในบ้านนาป่าหนาด (หน้า 51) โรงเรียนบ้านนาป่าหนาด (หน้า 57) โรงเรียนเขาแก้ววิทยาสรรพ์ (หน้า 59) สถานีอนามัย, ถนนเข้าบ้านนาป่าหนาด (หน้า 61, 63) แหล่งผลิตน้ำประปาบ้านนาป่าหนาดที่ห้วยป่าติ้ว (หน้า 64) วัดศรีโพนแก้ว (หน้า 82) ภูแก้ว (หน้า 86) ภูหวด (หน้า 87) ศาลหรือหอผีเจ้าบ้าน (หน้า 88) การเลี้ยงปาง (หน้า 102) การทอผ้า, การแต่งกายของไทยดำ (หน้า 132,134, 135) เสื้อฮีของหญิงผู้ไท (หน้า 136 ) ยาพื้นบ้านแก้โรคท้อง (หน้า 141) การเสี่ยงทายเม็ดข้าวสารในหลุม บนไข่ไก่ของไทยดำ (หน้า 149,150) การแก้เคล็ดด้วยการคราดพื้นที่ (หน้า 151) การย้ายแม่ธรณี (หน้า 152) เรือนไทยดำแบบดั้งเดิม แบบแปลน (หน้า 170, 171) เรือนเหย้า, แบบแปลน (หน้า 174,175) เรือนจั่วลักษณะกึ่งถาวร, แบบแปลน (หน้า 179,180) เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนใหญ่อยู่ด้านหน้าเรือนไฟ, แบบแปลน (หน้า 184,185) เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนไฟอยู่ด้านข้างเรือนใหญ่ , แบบแปลน (หน้า188,189) เรือนจั่วสูง, แบบแปลน (หน้า 191,192) เรือนจั่วสองชั้น, แบบแปลน (หน้า 194,195) เรือนมุขเลี้ยวจั่ว, แบบแปลน (หน้า 198,199) เรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว, แบบแปลน (หน้า 201, 202) เสาเรือนแบบต่างๆ และโครงสร้างเสา (หน้า 205, 208) ไม้ปิง (หน้า 206) ขางวาน (หน้า 210) พื้นฟาก (หน้า 211) ไม้แนบฟาก (หน้า 212) โครงสร้างพื้นเรือนไทยดำ (หน้า 213) การบากปลายไม้กอบต๊อดของเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม, การสอดเข้าเดือยไม้กอบต๊อดของเรือนเหย้า (หน้า 215) ไม้ตะพาน (หน้า 216) ไม้ตะพานด้านยาวปิดด้านสกัดหรือด้านกว้าง (หน้า 217) ไม้ตะพานด้านสกัด หรือด้านกว้างปิดด้านยาว (หน้า 217) ไม้ตะพานคอสอง (หน้า 218) ไม้เซนฝาของเรือนไทยดำดั้งเดิมและเรือนเหย้า (หน้า 219) ไม้เซนฝาของเรือนที่แป้นแอ้มแบบดีซ้อนทับเกล็ดทางนอน, สลับกับแป้นแอ้มแบบตีซ้อนทับเกล็ดทางตั้ง (หน้า 220) ฝาเรือนไม้ไผ่สับฟาก (หน้า 222) ฝาเรือนไม้ไผ่สับฟากผสมกับแป้นแอ้มแบบตีซ้อนทับเกล็ดทางนอน (หน้า 223) แป้นแอ้มทางซ้อนทับเกล็ดทางนอน สลับกับแป้นแอ้มแบบตีซ้อนทับเกล็ดทางตั้ง (หน้า 223, 224) แสดงเกล็ดลมของเรือนไทยดำแบบต่างๆ (หน้า 225) ไม้แนบเซนฝาฟากไม้ไผ่ (หน้า 226) ไม้มอบฝา (หน้า 227) ประตูเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก สานขัดธรรมดาลักษณะบานเดียว, ตอกยึดตะปู ลักษณะบานเดียว, ตีประกบด้วยไม้เนื้อแข็ง ลักษณะบานเดียว แบบที่ 1, แบบที่ 2 ( หน้า 229, 230, 231, 232) แสดงประตูเรือนของไทยดำ ทำด้วยไม้ไผ่สับฟากสานขัดด้วยลาย สองปกติตีประกบด้วยไม้เนื้อแข็ง ลักษณะบานเดียว (หน้า 233) ประตูเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งแผ่นหนา ลักษณะบานคู่ (หน้า 234) ประตูทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งหลายแผ่น ตอกด้วยตะปู ลักษณะบานเดียว (หน้า 235)ประตูทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งหลายแผ่น ตอกยึดด้วยตะปูตีประกบด้วยไม้เนื้อแข็ง ลักษณะบานเดียว (หน้า 236) ประตูเรือนแบบเซาะร่องลักษณะบานเดียว, แบบบานบมลักษณะบานคู่ (หน้า 237,238) ประตูเรือน ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งแผ่นหนา ลักษณะบานเฟี้ยม (หน้า 239) ประตู แบบเซาะร่องลักษณะบานเฟี้ยม, แบบบานบมลักษณะบานเฟี้ยม, แบบบานบมพิเศษลักษณะบานคู่ (หน้า 240,241,242) ไม้แขนนางผัดตูของเรือนไทยดำ (หน้า 243) ไม้โบกผัดตูของเรือนไทยดำ (หน้า 244) หน้าต่างเรือนไทยดำ แบบไม่มีบานหน้าต่าง (หน้า 246) หน้าต่างเรือน ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งแผ่นหนา ลักษณะบานคู่ (หน้า 246) หน้าต่างเรือน ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งหลายแผ่น ตอกด้วยตะปู ลักษณะบานเดียว (หน้า 247) หน้าต่างเรือน แบบเซาะร่องลักษณะบานคู่ (หน้า 247) หน้าต่างเรือน แบบบานบมลักษณะบานคู่ (หน้า 248) หน้าต่างเรือน แบบบานบมมีเกล็ดลมลักษณะบานคู่ (หน้า 248) โครงสร้างของฝาเรือน (หน้า 249) ขื่อของเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม (หน้า 250) ดั้งของเรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว (หน้า 251) ไม้เสียยัว, ไม้แปบน ของเรือนไทยดำแบบดั้งเดิมและเรือนเหย้า (หน้า 252, 253) ไม้ฮ่าวจ๊าย (หน้า 254) ไม้แก (หน้า 255) ไม้กลอน (หน้า 256) ไม้ม๊อบหัวกลอน (หน้า 257) ไม้ป้านลมของเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม (หน้า 258) ไม้ป้านลมของเรือนจั่ว (หน้า 258) ยอดป้านลมของเรือนไทยดำ (หน้า 259) ไม้ก๊บบัวของเรือนเหย้า (หน้า 260) ไม้ก๊บบัวของเรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว (หน้า 260) ไม้คันกอง (หน้า 261) ไม้หลบแป (หน้า 262) หลบหลังคาทำด้วยไพหญ้าคา (หน้า 263) หลบหลังคาทำด้วยซีเมนต์ (หน้า 263) ไม้แทงตาหนู (หน้า 264) สีหน้าเรือน ทำด้วยไพหญ้าคาลักษณะปิดทึบแบบจั่วสูง, เปิดโล่งช่วงบนแบบจั่วสูง (หน้า 266) สีหน้าเรือน ทำด้วยไม้ไผ่สับฟากลายสองปกติแบบจั่วสูง (หน้า 267) สีหน้าเรือน ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งตีซ้อนทับเกล็ด ทางนอน มีเกล็ดลมแบบจั่วมนิลา,ทางนอนแบบจั่วต่ำ, ทางตั้งแบบจั่วสูง , ทางนอนแบบจั่วสูง, ทางนอนแบบจั่วมนิลา (หน้า 267, 268, 269) ไพ่เรือนของไทยดำ ทำด้วยไพหญ้าคาคลุมปิดทับ (หน้า 270) ไพ่เรือนไทยดำ ทำด้วยไพหญ้าคาเปิดโล่งช่วงบน (หน้า 271) ไพ่เรือน ทำด้วยไพหญ้าคา (หน้า 272) ไพ่เรือน ทำด้วยกระเบื้องไม้ (หน้า 273) ไพ่เรือน ทำด้วยกระเบื้องขอ (หน้า 274) ไพ่เรือน ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งตีซ้อนทับเกล็ดทางนอน (หน้า 275) ไพ่เรือนทำด้วยสังกะสี (หน้า 276) ไม้เซนสีหน้า (หน้า 277) ไม้เคร่าไผ่ (หน้า 278) ไม้กลอนไผ่ (หน้า 279) ไม้ป้านตีนหญ้า (หน้า 280) ไม้แขนนาง (หน้า 281) ฝ้าเพดานของเรือนไทยดำ (หน้า 282) ไม้เคร่าฝ้าเพดาน (หน้า 283) โครงสร้างหลังคาเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม (หน้า 284) โครงสร้างหลังคาเรือนเหย้า (หน้า 285 ) โครงสร้างหลังคาเรือนจั่ว (หน้า 286) โครงสร้างหลังคาเรือนมุขเลี้ยวจั่ว (หน้า 287) โครงสร้างหลังคาเรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว (หน้า 288) กะล่อห้อง (หน้า 291) ห้องนอนพ่อแม่ (หน้า 292) ห้องส่วม (หน้า 293) เตาไฟหล่ม (หน้า 294) ส่า (หน้า 295) ทั่นแฮ้ง (หน้า 296) ก๊วน (หน้า 297) เสี่ย (หน้า 298) ราวระเบียงเสี่ยของเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งลักษณะแนวนอนแบบท่อนเดียว (หน้า 299) ราวระเบียงเสี่ย ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกสานขัดธรรมดาลักษณะแนวตั้ง (หน้า 299) ราวระเบียงเสี่ยของเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งลักษณะแนวตั้ง แบบที่ 1, แบบที่ 2 (หน้า 300) ราวระเบียงเสี่ยของเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งลักษณะแนวเฉียง,ลักษณะแนวตั้งผสมแนวนอน , แนวตั้งผสมแนวเฉียง (หน้า 301,302) ราวระเบียงเสี่ยเรือนไทยดำ ทำด้วยไม้ไผ่หลายลำ ลักษณะแนวนอน (หน้า 302) ชาน (หน้า 304) บันไดเรือน (หน้า 305) บันไดเรือนไทยดำ แบบทำเดือยใส่สลัก (หน้า 306) บันได แบบบากประกบ (หน้า 307) บันได แบบบากอมตลอด (หน้า 308) บันได แบบชนธรรมดา (หน้า 309) บันไดแบบหนุนขั้นบันได (หน้า 310) ทางลาด (หน้า 311) ร้านแอ่งน้ำ (หน้า 313) เรือนไฟ (หน้า 314) ส่าภายในเรือนไฟที่แยกออกจากเรือนนอน (หน้า 315) ทั่นแฮ้งภายในเรือนไฟที่แยกออกมาจากเรือนนอน (หน้า 315) ไม้ไผ่ป่า (หน้า 317) ไม้ไผ่ข้าวหลาม (หน้า 318) ไม้ไผ่เฮี้ยะ (หน้า 319) ไม้ไผ่ซาง (หน้า 320) หวาย (หน้า 321) เถาย่านาง (หน้า 322) หญ้าคา (หน้า 325) ไม้เต็ง (หน้า 327) ไม้รัง (หน้า 328) ไม้พลวง (หน้า 330) ไม้ตะเคียน (หน้า 331) ไม้ยาง (หน้า 333) ไม้ประดู่ (หน้า 334) ไม้ตะแบกนา (หน้า 336) ไม้แดง (หน้า 337) การมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินขอ (หน้า 339) ขั้นตอนการผลิตกระเบื้องดินขอ ของช่างญวน ที่ไทยดำบ้านนาป่าหนาดใช้มุงหลังคาเรือน (หน้า 340) การมุงหลังคาด้วยกระเบื้องซีเมนต์ , มุงด้วยสังกะสี (หน้า 342,343) การฟันไม้ไผ่ลำตรงให้ล้มไปทางขวา (หน้า 345) การฟันไม้ไผ่ที่ลำคดไปทางขวา (หน้า 346) การจักและลักษณะของตอกปื้น, ตอกตะแคง (หน้า 347, 348) การสับฟากไม้ไผ่ (หน้า 349) ลายขัดหนึ่งชิด (หน้า 350) ลายสองปรกติ (หน้า 351) การบากขบกอบต๊อดของเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม (หน้า 352) การเข้าไม้แบบใช้เดือยในลักษณะตัว T, ตัว L (หน้า 353) การใช้ไลหรือสลักของไม้กลอนกับไม้ก๊บบัว (หน้า 354) ขั้นตอนการผูกแบบฮั้ดน๊อง ,แบบกำวาง (หน้า 356,357) แสดงโฮงไพหญ้าคาแบบห้อยขา, แบบนั่งกับพื้นดิน (หน้า 358,359) ฮ้านไพหญ้าคา (หน้า 359) ขั้นตอนการไพหญ้าคา (หน้า 360) การโค่นต้นไม้ (หน้า 362) การเลื่อยไม้ (หน้า 364) การเข้าไม้แบบชนธรรมดา (หน้า 365) การเข้าไม้แบบบากอมตลอด (หน้า 366) การเข้าไม้แบบใช้เดือยในตัวลักษณะตัว T ของดั้งกับขื่อ, ตัว L ของเสากับขื่อ (หน้า 367, 368) การเข้าไม้แบบบากประกบ (หน้า 369) การต่อไม้แบบบังใบ (หน้า 370) การต่อไม้แบบบังใบเฉียง (หน้า 371) การต่อไม้แบบบังใบเฉียงหยัก (หน้า 372) การต่อไม้แบบต่อชน (หน้า 373) การใช้สลักของลูกบันไดกับแม่บันได (หน้า 374) การบากท้องและหนุนตง (หน้า 375) การตีฝานอน (หน้า 376) การตีฝานอนสลับตั้ง (หน้า 377) การตีฝ้าเพดาน (หน้า 378) การวางผังเรือนไทยดำแบบดั้งเดิมที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 379) การวางผังของเรือนเหย้าที่สัมพันธ์กับสภาพอากาศ (หน้า 390) การวางผังของเรือนจั่วลักษณะกึ่งถาวรที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 391) การวางผังของเรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนใหญ่อยู่ด้านหน้าเรือนไฟที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 392) การวางผังของเรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนไฟอยู่ด้านข้างเรือนใหญ่ ที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 393) การวางผังของเรือนจั่วเสาสูง,จั่วสองชั้นที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 394) การวางผังของเรือนมุขเลี้ยวจั่วที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ (หน้า 396, 397) การเปลี่ยนจากที่ว่างภายในเรือนออกสู่ที่ว่างภายนอกเรือน (หน้า 399) การไหลไปเทมาในที่ว่างของแปลนเรือนไทยดำแบบดั้งเดิม, เรือนเหย้า, เรือนจั่วลักษณะกึ่งถาวร, เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนใหญ่อยู่ด้านหน้าเรือนไฟ,เรือนจั่วเสาต่ำชนิดเรือนไฟอยู่ด้านข้างเรือนใหญ่ (หน้า 400, 401, 402, 403, 404) การไหลไปเทมาในที่ว่างของแปลนเรือนจั่วสูง, เรือนจั่ว สองชั้น, เรือนมุขเลี้ยวจั่ว, เรือนมุขเลี้ยวล้มจั่ว (หน้า 405, 406, 407, 408) การไหลไปเทมาในที่ว่างของรูปด้านเรือนที่มีใต้ถุนต่ำกว่าระดับความสูงมาตรฐานของมนุษย์ ,ใต้ถุนสูงกว่าระดับความสูงมาตรฐานของมนุษย์ (หน้า 409, 410) การไหลไปเทมาในที่ว่างของรูปตัดขวาง (หน้า 411) |
|
|