|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ประเพณี,วัฒนธรรม,พิธีแต่งงาน,อุดรธานี |
Author |
มนัสกมล ทองสมบัติ |
Title |
ประเพณีพะซูของชาวผู้ไทยบ้านหนองหญ้าไซ ตำบลหนองหญ้าไซ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
236 |
Year |
2536 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม |
Abstract |
กล่าวถึงประเพณี "พะซู "หรือ "ปะซู " หรือการแต่งงานของผู้ไทย บ้านหนองหย้าไซ ต.หนองหญ้าไซ อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี โดยงานเขียนได้ระบุองค์ประกอบต่างๆ ของการจัดงาน พะซู เช่น การปฏิบัติ พิธีกรรม วิถีชีวิต อาหารในพิธี และความเชื่อต่างๆ ที่อยู่ในแต่ละขั้นตอนของงานพะซู เช่น การบัก การโอม การมอบหับไข่ไท้งา การกินดอง การกินก่าว การกินซอด นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความเชื่อของผู้ไทยในการ ล้างเท้าเขย สะใภ้ การสมมาสิ่งของ การสู่ขวัญ การปูที่นอน การเฆี่ยนเขย งานพะซูได้บอกถึงสภาพความเป็นอยู่ ความเชื่อ และวัฒนธรรมของผู้ไทย ว่างานพะซูในแต่ละขั้นตอนนั้นมีความสำคัญและมีการปฏิบัติอย่างไร |
|
Focus |
ศึกษาเพื่อให้ทราบองค์ประกอบ ขั้นตอน คติความเชื่อ ของงานพะซู และความสัมพันธ์ของงานพะซู ที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้ไทย บ้านหนองหญ้าไซ ตำบลหนองหญ้า อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี (หน้า 4, 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาผู้ไท ที่บ้านหนองหญ้าไซ ต.หนองหญ้าไซ อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ไทยมีภาษาพูดเป็นของตนเอง การพูดคุยในกลุ่มจะพูดภาษาพูดของตนเอง ผู้ไทยชอบพูดภาษาพูดของตนเอง สำหรับการติดต่อกับชนกลุ่มอื่นก็จะใช้ภาษาผู้ไทย ยกเว้นแต่ชนกลุ่มที่พูดด้วยไม่เข้าใจจึงจะใช้ภาษาที่ทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจ (หน้า 71) |
|
Study Period (Data Collection) |
เริ่มจากเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติอำเภอวังสามหมอ อำเภอวังสามหมอ แยกเขตการปกครองมาจาก อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี โดยขึ้นเป็นอำเภอเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2518 และได้ยกขึ้นเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2524 (หน้า 64) ประวัติการเข้ามาอยู่ในไทยของผู้ไทย ผู้ไทยอพยพเข้ามาในไทยหลายครั้ง เช่นในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แม่ทัพฝ่ายไทย ได้กวาดต้อนผู้ไทยภายหลังจากการทำสงคราม จากเมืองวัง เมืองเชโปน เมืองพิณ เมืองของ และเมืองมหาชัย สำหรับกลุ่มผู้ไทยจากเมืองวังได้ให้เข้ามาอยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอเขา (หน้า 34) ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีและสมัยรัชกาลที่ 1 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ฝ่ายไทยได้กวาดผู้ไทย ให้เข้ามาอยู่ในภาคกลางของไทยใน จ.เพชรบุรี แทนคนไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไป เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 (หน้า 37) ในรัชกาลที่ 3 สมัยรัตนโกสินทร์ ทางการไทยได้กวาดต้อนผู้ไทยมาจากลาว โดยให้เข้ามาอยู่ในภาคอีสาน ที่ จ.กาฬสินธุ์ เช่น อ.กุฉินารายณ์ อ.สหัสขันธ์ จ.สกลนคร เช่น อ.พรรณานิคม อ.วาริชภูมิ จ.นครพนม เช่น อ.เรณูนคร เมื่อผู้ไทยได้เข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ได้ตั้งเป็นเมือง เช่น กุดสิมนารายณ์ คำชะอี เมืองพรรณานิคม เมืองเรณูนคร ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่มีผู้ไทยอยู่ เช่น อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด อุดรธานี (หน้า 2, 37) การอพยพของผู้ไทยไปตั้งถิ่นฐานยังสถานที่ต่างๆ เมื่อก่อนนี้ผู้ไทย ตั้งถิ่นที่อยู่ที่ มณฑลฮูลหนำ กุยจิว กวางไฟ กวางตุ้ง การอพยพแยกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ย้ายไปตามลำน้ำแดงของญวนเหนือ , กลุ่มที่ 2 ย้ายไปทางตะวันออกไปรวมกับกลุ่มที่ย้ายมาจากเสฉวน ซึ่งในตอนแรกไปทางกวางตุ้ง กับไหหลำกลุ่มที่ 3 ย้ายไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไปทางเมืองแสนหวีตองอู หงสาวดี ไปทางเมืองยะไข่ แม่น้ำอิราวดี กระทั่งมาถึงแคว้นหริภุญไชย (หน้า 9) กลุ่มที่ 4 ย้ายมาทางใต้ตามลำน้ำโขงอยู่ที่เมืองประชุม (เสียมบ้า) แล้วแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ 1 บ้านตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองแถน หรือเดียนเบียนฟู กลุ่มที่ 2 มาตั้งบ้านเรือนที่เมืองรุ่ง (หน้า 9) แล้วย้ายตามลำน้ำโขงไปทางเขมรัฐ นครเงินยางพะเยาว์ นครเขลางค์ สุโขทัย พระบาง หรือนครสวรรค์ ศรีวิชัย หรือ นครชัยศรี ไชยา ศิริธรรมนคร หรือ นครศรีธรรมราช และสงขลา ส่วนกลุ่มที่ 3 ย้ายไปทางเมืองละโว้ อโยธยา จันทบุรี (หน้า 10) ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน ในปี พ.ศ.2460 ท้าววรบุตรกับเพื่อนจำนวน 9 คนจากบ้านคำกั้ง ต.เหล่าใหญ่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้ออกหาที่อยู่ใหม่เนื่องจากที่อยู่เดิมแห้งแล้ง และถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในสมัยนั้น (หน้า 88) เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบัน ซึ่งมีครอบครัวกลุ่มคนลาวอาศัยอยู่ 4-5 ครอบครัว ผู้ไทยจึงตัดสินใจซื้อที่ดินด้วยราคา 24 บาทในสมัยนั้น เมื่อซื้อที่ดินได้แล้วจึงกลับไปเรียกญาติพี่น้อง ในหมู่บ้านเดิมมาอยู่ด้วย (หน้า 89) |
|
Settlement Pattern |
เฮินซู (เรือนหอ) ผู้ไทยมักจะสร้างเป็นแบบยกพื้นสูง ในอดีตจะไม่สร้างเฮินซูและที่อยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก เนื่องจากเชื่อว่าจะทำให้คนที่อยู่เดือดร้อน สำหรับ ที่อยู่ของผู้ไทย จะสร้างหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศใต้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยเจริญรุ่งเรือง บริเวณที่สร้างจะต้องไม่สร้างค่อมจอมปลวก (หน้า 178) เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งอัปมงคล ดังนั้นหากมีจอมปลวกก็จะขุดออกแล้วปรับดินให้เรียบ ก่อนสร้างเรือนหอ หรือสร้างบ้าน (หน้า 178,179) สำหรับหน้าดินนั้นผู้ไทย จะชิมหน้าดิน ถ้าดินเค็มเชื่อว่า คนที่อยู่จะโชคไม่ดี แต่ถ้าดินจืดหรือหวาน เชื่อว่าเหมาะกับการสร้างบ้านและจะทำให้ชีวิตก้าวหน้าและอยู่อย่างเป็นสุข (หน้า 179) เสาบ้านจะทำด้วยไม้กลม สร้างเป็นใต้ถุนสูง มี 1 ห้องนอน มีนอกชานเพื่อใช้ตั้งโอ่งน้ำและเป็นห้องครัว หลังคาจะใช้หญ้าคา หรือใบตองมุง พื้นบ้านจะทำด้วยไม้จริงหรือไม้ฟาก ฝาบ้านจะทำจากใบตอง ไม้ หรือฟากไม้ไผ่ (หน้า 103,114) การเลือกวัน, เดือน การสร้างในวันอาทิตย์และอังคารถือว่าไม่ดี วันที่ดีระดับกลางๆ ได้แก่ วันพุธ จันทร์ พฤหัสบดี สำหรับวันที่เป็นมงคลได้แก่วันศุกร์และวันเสาร์ (หน้า 182,183) สำหรับการเลือกเดือนได้แก่ เดือนเจียง จะฉิบหาย, เดือนยี่ จะมีโชคลาภ, เดือนสามจะไฟไหม้, เดือนสี่จะมีข้าวของเงินทองเยอะ, เดือนห้า จะเดือดร้อน, เดือนหก จะอยู่มีความสุข (หน้า 183) เดือนเจ็ด เจ้าของบ้านอาจเสียชีวิต, เดือนแปดจะเสียสัตว์สองเท้าหรือสี่เท้า, เดือนเก้าจะมีลาภ, เดือนสิบจะป่วยไข้, เดือนสิบเอ็ด จะฉิบหาย, เดือนสิบสองจะมีโชคลาภ (หน้า 183) นาควัน คือวันสำหรับสร้างบ้าน (หน้า 183) เชื่อว่าการเลือกนาควัน แม้ว่าจะสร้างบ้านในวันที่ไม่เป็นมงคล แต่ถ้าทำให้ถูกนาควัน ความอัปมงคลทั้งหลายก็จะเปลี่ยนเป็นสิ่งดี แต่ต้องให้รู้ว่านาคหันหัวไปทางไหน ก็ให้เหยียบหัวนาคไปทางหาง ก็จะเป็นศิริมงคล สำหรับการหันหัวของนาควัน รายงานระบุดังนี้ (หน้า 184) วันอาทิตย์ นาคหันหัวไปทางทิศบูรพา หางชี้ไปทางทิศปัจจิม (หน้า 184) วันจันทร์ นาคหันหัวไปทางทิศอาคเนย์ หางชี้ไปทางทิศพายัพ วันอังคาร นาคหันหัวทางทิศปัจจิม หางชี้ทางทิศบูรพา วันพุธ นาคหัวหัวไปทางทิศอุดร หางชี้ทางทิศทักษิณ วันพฤหัสบดี นาคหันหัวไปทางทิศอีสาน หางชี้ทางทิศหรดี วันศุกร์ นาคหันหัวไปทิศทักษิณ หางชี้ทิศอุดร วันเสาร์ นาคหันหัวไปทางทิศพายัพ หางชี้ทิศอาคเนย์ (หน้า 184) นาคเดือน เพื่อให้รู้ว่านาคหันหัวและหางไปทางทิศไหน สำหรับนาคเดือน การหันหัวและชี้หางไปแต่ละทิศมีดังนี้ (หน้า 184) เดือนเจียง, ยี่, สาม นาคหันหัวไปทางทิศทักษิณหางชี้ทิศอุดร ท้องไปทางทิศปัจจิม หลังไปทางทิศบูรพา (หน้า 184) เดือนสี่, ห้า ,หก นาคหันหัวไปทางทิศปัจจิม หางชี้ไปทิศบูรพา ท้องไปทางทิศทักษิณ หลังไปทางทิศอุดร เดือนเจ็ด, แปด ,เก้า นาคหันหัวไปทางทิศบูรพา หางชี้ไปทางทิศปัจฉิม ท้องไปทางทิศอุดร และหลังไปทางทิศทักษิณ เดือนสิบ,สิบเอ็ด ,สิบสอง นาคหันหัวไปทางทิศอุดรหางไปทางทิศทักษิณ ท้องไปทางทิศบูรพา หลังชี้ไปทางทิศอุดร (หน้า 184) บันได ลูกเขยจะไม่ใช้บันไดกับพ่อตา และแม่ยาย หากลูกเขยไปอยู่บ้านกับพ่อตา แม่ยาย ผู้ไทยจะมีประเพณี ให้ลูกเขยซื้อห้องกับบันไดจากพ่อตาย แม่ยาย สำหรับการขึ้นลงบันไดให้ขึ้นทางทิศใต้ หรือ ทิศตะวันตก เพื่อแสดงความความเคารพและความอ่อนน้อม (หน้า 167,168) ส่วนพ่อตา แม่ยายจะขึ้นลงบันไดด้านทิศเหนือ และทิศตะวันออก ราคาการซื้อบันได 3 แต่ทุกวันนี้ราคาได้เปลี่ยนไปตามสมควร ส่วนสะใภ้จะไม่ระบุข้อห้ามเอาไว้ เพียงแต่บอกว่าถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่ขึ้นบันไดด้านทิศเหนือ และทิศตะวันออก (หน้า 111,184,185) |
|
Demography |
เดิมทีผู้ไทยในหมู่บ้านหนองหญ้าไซ ได้ย้ายมาจากเมืองกุดสิมนารายณ์ (อำเภอกุฉินารายณ์) จ.กาฬสินธุ์ ประชากรบ้านหนองหญ้าไซ เป็นผู้ไทย 95% เป็นคนไทยลาว 5% (หน้า 2) หมู่บ้านแบ่งเขตการปกครองเป็น 3 หมู่ ได้แก่ หมู่ 1 มีประชากร 1005 คน หญิง 508 คน ชาย 497 คน จำนวน 193 ครอบครัว หมู่ 6 มีประชากร 705 คน หญิงจำนวน 345 คน ชาย 360 คน 150 ครอบครัว หมู่ 7 มีประชากร 626 คน หญิง 304 คน ชาย 322 คน 115 ครอบครัว (หน้า 92) ประชากรในการศึกษา การเก็บข้อมูลภาคสนามผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลจาก หมอมอ 1 คน หมอสูตรขวัญ 3 คน พ่อล่าม 10 คน หนุ่มสาว 40 คน และคนที่สมรสแล้วจำนวน 72 คน (หน้า 197) |
|
Economy |
ความเป็นอยู่ ผู้ไทยบ้านหนองหญ้าไซ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และค้าขายเป็นอาชีพหลัก คนในหมู่บ้านจะทำไร่ ทำสวน หากมีเวลาว่างก็จะค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้านเมื่อว่างจากการทำไร่นา ในเดือนมกราคม ถึงเมษายน แม่บ้านผู้ไทยก็จะทอผ้า เอาไว้ใช้ในครอบครัว เช่น ทำผ้าห่ม ผ้าขาวม้า หมอน ซิ่น โสร่ง (หน้า 171) อาหาร แบ่งออกเป็นอาหารในงานพะซูสำหรับเลี้ยงแขกเหรื่อในแต่ละขั้นตอน กับอาหารสำหรับเลี้ยงผี สำหรับอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อมีดังนี้ การโอม (การสู่ขอ) จะฆ่าไก่ทำลาบกับแกง เพื่อเลี้ยงเจ้าโคตรลุงตา ของเจ้าบ่าว เจ้าสาว (หน้า 173,175) การมอบหับ หรือการมอบหับไข่ไท้งา คือ วันส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว แขกจะมามากกว่าวันที่มีการโอม ในวันนี้จะฆ่าหมู โยดูว่าแขกมาจำนวนเท่าไหร่ ก็จะฆ่าให้เพียงพอกับจำนวนผู้มางาน อาหารที่ทำจะเป็นลาบ หรือแกง (หน้า 173) การทำปองแปง จะทำหลังจากการมอบหับหรือการส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว ราว 3 ถึง 4 เดือน อาหารที่ทำเลี้ยงแขกเหรื่อจะเป็นเนื้อไก่ (หน้า 173) การทำพะซู จะทำห่างจากการทำปองแปง โดยอาจห่างหลายปีหรือหลายเดือนแล้วแต่จะกำหนเด อาหารที่ทำในงานต้องเป็นเนื้อหมูเท่านั้น ไม่นิยมใช้เนื้อสัตว์ชนิดอื่น (หน้า 173) การกินดอง ผู้ไทยถือว่าการกินดอง คือการกินวัว กับข้าวในงานจะเป็นเนื้อวัวเท่านั้น โดยมากจะทำลาบ แกง และต้ม (หน้า 173) การกินก่าว อาหารที่ต้นรับแขกจะทำด้วยเนื้อวัว (หน้า 173) ไม่ใช้เนื้อสัตว์อื่นเหมือนกับการกินดอง (หน้า 174) การกินซอด อาหารที่นำมาเลี้ยงแขกเหรื่อจะเป็นเนื้อควายเท่านั้น การกินซอดถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของงานพะซู อาหารที่นำมาเลี้ยงแขกจะเป็นเนื้อควาย เป็นควายที่ได้จากฝ่ายเจ้าสาว เรียกว่า "กินควายปู่ถุน" ควายปู่ถุน หมายถึง ควายที่เป็นมรดก จากปู่ ย่า ตา ยาย การกินฝ่ายหญิงจะเรียกเงินจำนวน 6 บาทจากฝ่ายชาย และฝ่ายชายก็จะจ่ายเพื่อเป็นค่าธรรมมเนียม ควายปู่ถุน (หน้า 174) อาหารสำหรับเลี้ยงผี การเลี้ยงผีจะทำทุกขั้นตอนของการจัดเลี้ยง แขกที่มางานกินอาหารชนิดไหน ผีก็จะกินอาหารแบบเดียวกัน อาทิ ทำปองแปงคนกินอาหารที่ทำจากไก่ ผีก็จะกินไก่ การทำพะซู คนกินอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหมู ผีก็จะกินเนื้อหมูเช่นกัน สำหรับการเลี้ยงผีจะต่างกับการเลี้ยงแขกเหรื่อคือจะเพิ่มของหวาน สำหรับของหวานจะนำน้ำอ้อย แล้วใช้มีดเฉือนแล้วผสมน้ำใส่ถ้วยใบเล็กๆ ผู้ไทยเรียกสำรับเลี้ยงผีว่า "พาหวาน" (หน้า 108,169,174) เมื่อจัดสำหรับแล้วจะนำไปห้องที่ทำไว้เป็นที่อยู่ของผี แล้วบอกผีว่าเป็นพาหวานที่ทำในขั้นตอนใด เช่น การโอม และบอกว่าเลี้ยงผีให้ใครเป็นต้น ทั้งนี้การเลี้ยงจะเลี้ยงก่อนเลี้ยงแขกในทุกขั้นตอนของการทำพิธี เมื่อเลี้ยงผีแล้วจากนั้นก็จะเลี้ยงอาหารผู้ที่มาร่วมงาน (หน้า 175) |
|
Social Organization |
ครอบครัว ในอดีตผู้ไทยจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ เช่น ปู่ ย่า ป้า ลุง อา ลูกหลาน แต่ในปัจจุบันความเป็นอยู่ได้เปลี่ยนจากเดิม คือพ่อ แม่ จะแยกไปอยู่ต่างหาก โดยจะไปสร้างบ้านอยู่กัน 2 คน ใกล้บ้านพ่อ แม่ ติดต่อกันง่าย และลูกที่ออกมาสร้างครอบครัวใหม่ ก็มักจะส่งอาหารไปให้พ่อ แม่เป็นบางโอกาส เพราะเป็นการแสดงถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ (หน้า 195, 196) งานพะซู หรือ งานแต่งงานของผู้ไทย ผู้ไทยเรียกงานแต่งงานว่า "พะซู" หรือ "ปะซู" บางครั้งเรียกว่า "กินดอง" การจัดงานจะจัดพิธีให้ครบทุกขั้นตอน ไม่ให้ขาดแม้ตอนหนึ่ง ตอนใด เพราะว่าในแต่ละขั้นตอนนั้นมีคติความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำพธี (หน้า 3, 99) งานพะซู จะจัดในช่วงเดือน 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 12 ไม่ค่อยจัดในช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นระยะที่พระจำพรรษา (หน้า 7,111,195) งานพะซูไม่นิยมจัดเดือนคี่ เพราะมีความเชื่อเรื่องคำว่า "คู่"เพราะหากแต่งงานอยู่ด้วยกันจะได้อยู่ไปตลอดชีวิตจนแก่เฒ่า (หน้า 111) ประเพณีนี้เป็นการผสมทางวัฒนธรรมของจีนกับลาว เพราะว่าผู้ไทยเคยตั้งบ้านเรือนอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย ในจีน (หน้า 12) ขั้นตอนการทำพะซู แบ่งออกเป็น 8 ขั้นตอน ได้แก่ การบัก การโอม การมอบหับ การทำปองแปง การทำพะซู หรือปะซู การกินดอง การกินก่าว การซอด (หน้า 100) 1. การบัก คือ การที่ฝ่ายผู้หญิงไปถามฝ่ายผู้ชายว่าจะแต่งงานกับฝ่ายหญิง เป็นสามีภรรยาหรือไม่ ส่วนการตกลงวันที่จะไปสู่ขอจะตกลงกันต่อไป (หน้า 85, 100, 198) 2. การโอม คือ การหมั้น โดยจะให้ล่ามซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องประเพณีผู้ไทยเป็นอย่างแตกฉานความประพฤติดี น่านับถือ (หน้า 160) พาไปทำพิธีหมั้นฝ่ายหญิง โดยในวันไปหมั้นฝ่ายชายจะนำกระหยัง 4 ใบ (เหมือนกระบุง ด้านล่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีขาตั้งขนาดเล็กๆ (หน้า 141) และเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ 4 คน เพื่อมาสะพายกระหยัง และในกระหยังจะใส่ข้าวต้ม 4 มัด มัดหนึ่งจะมี จำนวน 4 ห่อ (16 มัด) เมื่อทำพิธีแล้วญาติของฝ่ายหญิงจะให้กระหยังกับล่าม 2 ใบ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งจะนำไปแจกให้ญาติๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าทำพิธีหมั้นแล้ว (หน้า 86, 100, 101, 165,198) 3. การมอบหับ คือการส่งตัวเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว ของที่ฝ่ายชายต้องเตรียมไว้ได้แก่ หับซึ่งสานจากไม้ไผ่เป็นตาห่างๆ มีรูปร่างเหมือนกับสุ่มไก่ใบเล็ก จำนวน 16 ใบ ไข่ต้ม 16 ฟอง ถุงใส่เมล็ดงา 16 ห่อ แล้วแบ่งใส่หับอย่างละอัน และจะต้องมีคนหาบ 8 คนเพื่อหาบไปบ้านเจ้าสาว ผู้ไทยเรียก "การมอบหับไข่ไท้งา " (หน้า 103,198) ครั้นฝ่ายผู้หญิง รับหับไข้ไท้งา ก็จะมอบกลับให้ฝ่ายชาย ครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายว่า หากเป็นผัวเมียกันแล้วถ้ามีการหย่าเกิดขึ้น คนที่เป็นเมียจะส่งลูกหลานให้พ่อกับแม่ดูแล (หน้า 104) 4. การทำปองแปง คือการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย การทำปองแปงจะทำภายหลังมอบหับไข่ไท้งาน 3 ถึง 4 เดือน ของที่ใช้ประกอบพิธีเช่น ถ้วย 1 ใบ ไห 1 ใบ เหล้า 1 ไห เงิน 1 สตางค์ ไก่ต้ม 1 ตัว ( หน้า 104,198 ) เมื่อมอบให้เจ้าโคตรลุงตาฝ่ายหญิง ทางฝ่ายหญิงจะมอบของทุกสิ่งให้คืนฝ่ายชายเพื่อนำกลับไปเลี้ยงผีของฝ่ายชาย เมื่อทำพธีเลี้ยงผีก็จะนำมาเลี้ยงญาติพี่น้องทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ( หน้า 105 ) 5. พะซู หรือ ปะซู จะทำนานจากการทำปองแปงเท่าไหร่ก็แล้วแต่ความสมัครใจของผู้จัดงาน ส่วนใหญ่จะทำหลังจากมีลูกแล้ว การทำพะซูจะเป็นการเลี้ยงอาหารญาติพี่น้องทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง อาหารที่เลี้ยงในงานจะเป็นเนื้อหมูเท่านั้น ไม่ใช้เนื้อสัตว์อื่น (หน้า 105,173 ,198,199 ) 6. การกินดอง คือ การเข้าผีทั้งฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย และจะจัดเมื่อมีญาติถามจะกินดอง (หน้า 105) ผู้ไทยถือว่าการกินดอง คือการกินวัว กับข้าวในงานจะเป็นเนื้อวัวเท่านั้น โดยมากจะทำลาบ แกง และต้ม (หน้า173,199) 7. การกินก่าว คือ การเลี้ยงญาติทั้งสองฝ่ายแบบเดียวกับกินดอง (หน้า 105) อาหารที่เลี้ยงทำด้วยเนื้อวัว (หน้า 173) ไม่ใช้เนื้อสัตว์อื่น (หน้า 174) 8. การกินซอด เป็นขั้นตอนสุดท้ายของงานพะซู อาหารที่เลี้ยงจะเป็นเนื้อวัว หรือเนื้อควาย (หน้า 106,174) สำหรับอาหารที่นำมาเลี้ยงแขกหากเป็นเนื้อควาย ต้องเป็นควายจากฝ่ายเจ้าสาว เรียกว่า "กินควายปู่ถุน" "ควายปู่ถุน" หมายถึงควายที่เป็นมรดก จากปู่ ย่า ตา ยาย การกินฝ่ายหญิงจะเรียกเงินจำนวน 6 บาทจากฝ่ายชาย และฝ่ายชายก็จะจ่ายเพื่อเป็นค่าทำเนียม ควายปู่ถุน (หน้า 106,174,199 ขั้นตอนดูภาพ หน้า 107) การเปลี่ยนแปลงของการจัดงานพะซู 1. การทำพะซูในอดีต (ประมาณ พ.ศ.2460 - 2485) การจัดพิธีจะไม่มีการยกเว้นขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไม่ว่ากรณีใดๆ (หน้า 100) 2. การทำพะซูในปัจจุบัน (คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2485 ถึงทุกวันนี้) (หน้า 100) ขั้นตอนมีดังนี้ (หน้า 108) 2.1 ขั้นเตรียมการ หากฝ่ายชายเกิดความรักต่อฝ่ายหญิง และต้องการที่จะแต่งงานมีครอบครัวด้วย ก็จะตกลงกัน โดยฝ่ายชาย จะไปตกลงกับเจ้าโคตรเจ้าตา (ญาติผู้ใหญ่, หน้า 203) ของฝ่ายหญิง แล้วบอกกล่าวญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ เตรียมอาหารต่างๆ เครื่องสมมาหรือเครื่องนุ่งห่ม และหาพ่อล่าม (หน้า 108, 200) 2.2 ขั้นดำเนินการ โดยแบ่งออกเป็น 16 ขั้นตอน ได้แก่ 2.2.1 แห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว เมื่อถึงฤกษ์ที่กำหนด พ่อล่ามจะนำขบวนเจ้าบ่าว ออกจากบ้าน มุ่งไปบ้านเจ้าสาว ของที่พ่อล่ามนำไปด้วย ประกอบด้วย ย่าม 1 ใบ ตะปู 1 ดอก จีบหมาก จีบพลู ค้อน ดาบ ส่วนเจ้าบ่าวมือซ้ายจะถือไข่ มือขวาถือกาน้ำ ก่อนเข้าพาขวัญ เจ้าบ่าวจะต้องวางไข่ไว้ในที่คิดว่าจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองก็ให้วางไข่ เพราะเชื่อว่าไข่จะช่วยดูดสิ่งไม่เป็นมงคล สิ่งร้ายๆ ออกจากตัวเจ้าบ่าว (หน้า 117,146, 200) 2.2.2 การขอขึ้นบ้านเจ้าสาวต้องขึ้นทางทิศตะวันตก หรือทิศใต้ ในระหว่างขึ้นนั้นฝ่ายหญิงจะมากั้นบันไดและเรียกค่าผ่านทางกับฝ่ายเจ้าบ่าว (หน้า 117-118) 2.2.3 การล้างเท้าลูกเขย ญาติของฝ่ายหญิงจะช่วยกันล้างเท้าของเจ้าบ่าว ด้วยน้ำขมิ้นหรือน้ำผสมแป้งหอม เพื่อล้างสิ่งไม่เป็นมงคลต่างๆ ออกจากเท้าเจ้าบ่าวก่อนที่จะขึ้นไปบนบ้าน (หน้า 117-118, 200 ภาพหน้า 19) 2.2.4 การปูที่นอน คนที่ช่วยปูที่นอนต้องมีสามีและไม่เป็นม่าย มีครอบครัวที่มีความสุข เพื่อเป็นเคล็ดให้คู่บ่าวสาวมีชีวิตเป็นสุขเมื่อแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว (หน้า 117-119,166, 200) 2.2.6 การผูกแขนพี่สาวของผู้เป็นเจ้าสาวกับเจ้าสาว หากเจ้าสาวมีพี่สาวที่ยังเป็นโสด ยังไม่แต่งงานจะผูกแขนพี่สาวก่อน เพราะว่าน้องแต่งงานก่อนพี่สาว ไม่ให้ขวัญน้องสาวข่มขวัญของพี่ ทำให้อยู่เย็นเป็นสุขและปลอบใจพี่สาว (หน้า 120) 2.2.7 มอบค่าดองหรือมอบค่าสินสอดจะทำการมอบต่อหน้าของญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นพยานและเพื่อความสบายใจ (หน้า 120, 201) 2.2.8 การนำเจ้าสาวมาสู่พาขวัญ แม่ล่ามจะพาเจ้าสาวออกจากห้องมาที่พาขวัญ โดยเจ้าสาวจะถือกาน้ำกับไข่ 1 ฟอง และหาที่ซ่อนไข่ก่อนเข้าพาขวัญ ทั้งนี้ผู้ไทยเชื่อว่าไข่จะดูดสิ่งไม่ดีออกจากร่างเจ้าสาว (หน้า 121) 2.2.9 การสู่ขวัญคู่บ่าวสาว ก่อนสู่ขวัญ ผู้หลักผู้ใหญ่จะผูกข้อมือให้หมอสูตรขวัญก่อนที่จะทำพิธี จากนั้นหมอสูตรก็จะจุดธูปไหว้ครูและทำพิธีสูตรขวัญคู่บ่าวสาว (หน้า 121, 201 คำสู่ขวัญหน้า 121-128) 2.2.10 การผูกข้อไม้ข้อมือญาติแต่ละฝ่ายจะผูกข้อมือคู่บ่าวสาวหลังสู่ขวัญเรียบร้อยแล้ว เพื่ออวยพรให้เจ่าวบ่า เจ้าสาวมีความสุข (หน้า 129, 201) 2.2.11 การจ้ำหวันกับการดูไข่ ดูคางไก่ คือ การดูไข่ ดูกระดูคางไก่ การจ้ำหวันหมอสูตร หมอสูตรจะปั้นข้าวเหนียว 1 ปั้น ไข่ 1 ฟอง หรือข้าวเหนียวและไก่ต้ม ปั้นเป็นคำนำไปใส่มือเจ้าบ่าว เจ้าสาวเปลี่ยนกันไปมา และอวยพรให้ทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาว (หน้า 129) จากนั้นก็จะทำนายชีวิตคู่จากการดูคางไก่ และไข่ต้มว่า คู่บ่าวสาวจะมีชีวิตคู่ราบรื่น หรือไม่ (หน้า 130, 201) 2.2.12 ป้อนข้าวเจ้าบ่าว เจ้าสาว (หน้า 117) พ่อล่ามจะนำไข่ต้มที่ทำนายชีวิตคู่ของคู่บ่าวสาวมาป้อน การป้อนจะไขว้มือป้อน ดังคำว่า "มือขวาป้อนไข่อ้าย มือซ้ายป้อนไข่นาง " คือเจ้าบ่าวจะนั่งฝั่งซ้าย เจ้าสาวจะนั่งฝั่งขวาของพ่อล่าม หลังจากนั้น ก็จะเอาข้าวเหนียวจิ้มเกลือและข้าวสาร (หน้า 130, 201) 2.2.13 เฆี่ยนเขย (หน้า 117) โคตรลุงตาของเจ้าสาวอบรบเจ้าบ่าว โดยพ่อล่ามเป็นผู้รับเฆี่ยน (หน้า 131-136, 201) 2.2.14 การสมมาญาติฝ่ายเจ้าบ่าว (หน้า 117) คือ การขมาต่อญาติผู้ใหญ่ โดยเจ้าบ่าว เจ้าสาวจะมอบสิ่งของให้ญาติๆ ที่มาร่วมงาน เช่น ผ้าห่มนวม หมอน ผ้าขาวม้า ซิ่น โสร่ง (หน้า 137,166, 202) 2.2.15 การเลี้ยงอาหารลูกเขย หรือกินพาข้าวลูกเขย (หน้า 117) คือ การเลี้ยงข้าวคนที่จะมาเป็นลูกเขย (หน้า 138, 202) 2.2.16 การไปบ้านปู่ย่าของลูกสะใภ้ (หน้า 117) คือ เจ้าสาวไปบ้านพ่อแม่ของเจ้าบ่าว โดยพ่อล่ามจะเป็นคนพาญาติพี่น้องของเจ้าสาวไป ก่อนขึ้นบ้านก็จะทำพิธีล้างเท้า โดยนำใบตอง ใบยอหรือใบตูมวางบนหินลับมีด ให้ญาติรุ่นน้องที่เป็นโสดเป็นคนล้าง เมื่อขึ้นบ้านฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะเลี้ยงอาหารเจ้าสาวและญาติ จากนั้นเจ้าสาวก็จะตักน้ำใส่ตุ่มและผ่าฟืนให้ย่าเอาไว้จุดไฟ (หน้า 138, 202) 2.2.17 การส่งตัวคู่บ่าวสาว (หน้า 117) ญาติผู้ใหญ่จะหาตัวแทนหรือหาคนพาเจ้าบ่าวไปส่งบ้านเจ้าสาว ในเวลากลางคืน (หน้า 138,166,167) |
|
Political Organization |
ผู้ไทยบ้านหนองหญ้าไซ เชื่อถือผู้นำหมู่บ้าน หากเรื่องใดผู้นำหมู่บ้านเห็นว่าสิ่งไม่มีความยุติธรรม คนในหมู่บ้านก็จะคิดเช่นนั้นและจะไม่ให้ความร่วมมือ (หน้า 72) ผู้นำหมู่บ้านคนแรก คือ ท้าววรบุตร ผู้นำหมู่บ้านตั้งแต่คนแรกถึงคนปัจจุบัน(เริ่มเป็น พ.ศ. 2533 )เป็นคนที่ 10 บ้านหนองหญ้าไซ ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. 2501 อยู่ตำบลนายูง อ.กุมภวาปี ได้รับการยกฐานะเป็นตำบลใน พ.ศ. 2501 (หน้า 91) กระทั่ง พ.ศ.2519 ได้มาขึ้นกับ กิ่งอำเภอวังสามหมอทุกวันนี้ (พ.ศ.2535) หมู่บ้านมีอายุ 75 ปี (หน้า 91) ศาลาประชาธิปไตย ในหมู่บ้านสร้างศาลาประชาธิปไตย เพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆในหมู่บ้าน ซึ่งศาลาแห่งนี้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ในปี พ.ศ.2528 โครงการทหารกองหนุนจังหวัดอุดรธานี (กนช.) ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้ทหารร่วมเป็นกลุ่มพลัง ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยาทหาร ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการระหว่าง พ.ศ. 2526-2533 (หน้า 97) คณะกรรมการ ของ กนช. ประกอบด้วยปลัดอำเภอ เกษตรตำบล พัฒนาการตำบล สาธารณสุขตำบล และอาจารย์ใหญ่ ได้ประชุมเพื่อตกลงสร้างศาลา โดยได้รับงบประมาณจำนวน 3 หมื่นบาท จาก ศกนช. กอ. รมน. ศาลานี้ใช้เป็นที่ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง (หน้า 97) สมาชิกผู้แทนราษฎร และกิจกรรมด้านประชาธิปไตย และเป็นสถานที่พบปะปรึกษากับเจ้าที่ฝ่ายปกครอง ในแต่ละเดือนจะจัดประชุม 1 ครั้งในกลุ่มสมาชิก กนช. (หน้า 98) |
|
Belief System |
ผู้ไทยมีความเชื่อและพิธีกรรม ที่มีรากฐานมาจากความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิม และความเชื่อในพุทธศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นในกิจกรรมต่างๆ ในรอบปี ประเพณีในรอบปี สำหรับประเพณีของผู้ไทย ในรอบหนึ่งปีมีด้วยกันดังนี้ บุญบ้องไฟ วันงานชาวบ้านจะนำบ้องไฟมาแห่รอบโบสถ์ เมื่อแห่แล้วก็จะนำบ้องไฟไปเก็บไว้บนกุฏิ ในวันรุ่งขึ้นก็จะนำบ้องไฟมาพาดที่บันได ซึ่งจะทำไว้บนต้นไม้ที่ลำต้นสูง บริเวณริมทุ่ง ถ้าจุดแล้วบ้องไฟขึ้นคนที่แห่ก็จะพาช่างทำบ้องไฟไปแห่เพื่อขอเหล้าสาโทในบ้าแต่ละหลัง แต่ถ้าบ้องไฟจุดไม่ขึ้น ผู้ชมก็จะจับช่างทำบ้องไฟจับโยนลงบ่อโคลนที่ทำเอาไว้ บุญบ้องไฟจะจัดตั้งแต่เดือน 6 ถึงกลางเดือน 8 (หน้า 75) บุญพระเวส (มหาชาติ) การทำบุญจะแบ่งกัณฑ์เทศน์จำนวน 13 กัณฑ์ ออกเป็นจำนวนหลายผูก แล้วแจกให้กับแต่ละวัดเพื่อนิมนต์พระมาเทศน์ในวันงาน เมื่อถึงวันงานคืนแรกพระจะเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสน หรือ เทศน์พวงมาลัย ตอนเช้าอีกวันจะเทศน์ศักราช ต่อไปก็จะเทศน์พระเวศ โดยเรียงตามลำดัลกัณฑ์ ซึ่งในแต่ละกัณฑ์จะแบ่ง 5 ถึง 6 ตอน เมื่อพระเทศน์จบ พระรูปอื่นก็จะเทศน์ต่อ ทุกกัณฑ์ที่เทศน์เป็นทำนองร้อยเอ็ด (หน้า 75) บุญพระเวศจะจัดในเดือน 4 (หน้า 76) บุญวันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 การทำบุญชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปทำบุญที่วัด และพระจะนำก้านกล้วยมาทำเป็นรูปเรือ เอาไว้ที่กลางวัด คนที่มาทำบุญจะนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปัก ตอนเช้าชาวบ้านจะมาไหว้อีกครั้ง และพระก็จะนำรูปเรืออีกลำ โดยนำไปลอยในน้ำ โยเรียกว่า ล่องเรือไฟ (หน้า 76) บุญข้าวจี่ จัดในเดือน 3 ชาวบ้านและพระจะไปตัดต้นข้าวจี่ ซึ่งมีลักษณะเหมือนต้นปอ เมื่อตัดได้แล้วจะนำมากองที่วัด ตอนเช้าชาวบ้านจะนำข้าวเหนียวมาโอบไม้ย่างไฟ ทาไข่ใส่เกลือและน้ำอ้อย เมื่อปิ้งแล้วก็จะนำไปถวายพระ (หน้า 76) บุญข้าวประดับดิน จะทำหลังจากเดือน 8 ตอนเช้าคนจะนำอาหารและหมาก บุหรี่ไปวางไว้พื้นดินในบริเวณวัดเพื่อเลี้ยงญาติพี่น้องที่ล่วงลับ เมื่อถึงช่วงบิณฑบาตก็จะไปทำบุญใส่บาตร (หน้า 76) บุญข้าวสาก โดยเริ่มตั้งแต่เดือน 10 เพ็ญ คนที่มาทำบุญจะทำให้ผีที่เป็นญาติ กับผีที่ไร้ญาติ การทำบุญ วันขึ้น14 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจะนำอาหารคาว หวานไปใส่บาตร ช่วงเพลจะทำอาหารไปถวายพระ และจะมีห่อข้าวน้อย ห่อหมาก บุหรี่ โยจะนำไปรวมที่ศาลาวัด เมื่อถวายอาหารพระแล้ว ก็จะนำห่อข้าวน้อย ไปวางไว้บริเวณโบสถ์วิหาร และผูกที่ต้นไม้ เพื่อทำบุญให้ผีไร้ญาติ เมื่อพระฉันอาหารแล้วเสร็จ ชาวบ้านก็จะไปกรวดน้ำ ให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว (หน้า 77) บุญกฐิณ จะทำบุญในช่วงออกพรรษา โดยชาวบ้านจะจัดองกฐินไปถวายพระ ชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านและที่ตั้งกองกฐิน และทำความสะอาดทางที่ไปทอดกฐิน (หน้า 77) ตอนกลางคืนจะมีงานมหรสพ เช่น หมอลำแสดงให้ชม (หน้า 78) วันสงกรานต์ ในวันก่อนวันเนา 1 วัน พระจะนำพระพุทธรูปองค์เขนาดเล็ก โดยนำไปตั้งบนร้านกลางวัด ในวันต่อมาจะเป็นวันเนา ตอนเย็นชาวบ้านก็จะนำดอกไม้ น้ำอบน้ำหอมต่างๆมารดน้ำพระพุทธรูป ในวันนี้จะเล่นสงกรานต์และทำบุญ (หน้า 78) การนับถือผี ผีเชื้อ คือการนับถือผีบรรพบุรุษ การเซ่นไหว้จะแก้ด้วย วัว เป็ด ไก่ เหล้า และของหวาน การเซ่นไหว้คนที่เป็นลูกเขยต้องระวังตัวขณะทำพิธี เพื่อไม่ให้ผิดผี หรือผู้ไทยเรียกว่า " ขะลำ " สำหรับข้อปฏิบัติเช่น ไม่ให้รับสิ่งของจากมือแม่ยาย และไม่ให้สัมผัสลูก หลานฝ่ายพ่อตา แม่ยาย ส่วนลูกสะใภ้ก็ทำเหมือนกัน โดยจะเปลี่ยนจากแม่ยาย มาเป็นปู่ (หน้า 81) ผีเรือน ผู้ไทยจะทำพิธีรับผีขึ้นมาอยู่บนบ้านเรือน หรือ เรียกว่าการกล่าวเอาผี เพื่อปกปักรักษาคนในบ้าน ซึ่งมีข้อห้ามหรือขะลำ หลายอย่าง เช่น การขึ้นบันได ผู้ที่เป็นลูกเขยต้องถอดรองเท้า หากนุ่งโสร่ง หรือผ้าขาวม้าต้องนุ่งกระเบนเหน็บ (หน้า 81) ขะลำ (คะลำ) ผู้ไทยมีความเชื่อเรื่องข้อห้ามต่างๆ เรียกว่า "ขะลำ" ซึ่งความเชื่อเรื่องขะลำ ทำให้ผู้ไทย (หน้า 3) ทำตามข้อปฏิบัติในพิธีกรรมทั้งหลาย เพราะถ้าหากทำตามสิ่งที่เคยทำตามกันมาก็จะทำให้เกิดความสุข (หน้า 4,186-188) วัดโพธิ์ศรี พระจวนเป็นผู้ริเริ่มสร้างวัด ซึ่งพระรูปนี้ได้ตาม 9 ครอบครัวที่เป็นผู้สร้างหมู่บ้าน ในภายหลัง 4 ถึง 5 ปี พื้นที่สร้างวัดเป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซในทุกวันนี้ พ.ศ.2475 ได้สร้างศาลาและใช้เป็นอาคารเรียนด้วยพร้อมกัน ใน พ.ศ.2482 วัดได้ย้ายมาสร้าง ณ พื้นที่ที่อยู่ทุกวันนี้ เนื้อที่วัดมีจำนวน 16 ไร่ (หน้า 95) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ โรงเรียนแห่งนี้ เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2476 โดยใช้ศาลาวัดโพธิ์ศรี บ้านหนองหญ้าไซ โดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนประถมบริบูรณ์ ตำบลนายูง 2 (วัดบ้านหนองหญ้าไซ ) ในเวลานั้นได้เปิดสอนเฉพาะชั้น ป.1 โรงเรียนมีครูใหญ่ กับครูน้อย มีนักเรียนจำนวน 84 คน เป็นนักเรียนชาย 43 คน และนักเรียนหญิง จำนวน 41 คน ในปี พ.ศ.2481 ได้ย้ายโรงเรียนมายังพื้นที่ปัจจุบัน (หน้า 93) โดยได้สร้างอาคารเรียน จำนวน 3 ห้องเรียน อาคารเรียนเป็นแบบ ป. 1ช. และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ" ตำบลหนองหญ้าไซ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 (หน้า 93) พ.ศ.2513 ได้เปิดสอนระดับประถมศึกษาตอนปลายในระดับชั้น ป.5 - ป.7 ในปี พ.ศ. 2521 ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดอุดรธานี ให้เป็นโรงเรียนผู้นำในการใช้หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2525 ได้เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลักสูตรใหม่แทนหลักสูตรเก่า( หน้า 94) โรงเรียนมีเนื้อที่จำนวน 44.2 ไร่ (หน้า 94) อาคารเรียนจำนวน 3 หลัง จำนวนห้องเรียน 16 ห้อง อาคารประกอบต่างๆ 16 หลัง มีครูจำนวน 19 คน เป็นชาย 14 คน หญิง 5 คน มีจำนวนนักเรียน 349 คน เป็นนักเรียนชายจำนวน 164 คน และเป็นนักเรียนหญิงจำนวน 185 คน (หน้า 95) |
|
Health and Medicine |
สถานีอนามัย ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2511 เปิดทำการรักษา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2514 มีเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน กระทั่ง พ.ศ.2519 ได้ย้ายสถานีอนามัยจากบริเวณเดิมบริเวณกลางหมู่บ้าน ไปสร้างในพื้นที่ติดถนนวังสามหมอ - ศรีธาตุ บริเวณนี้มีเนื้อที่จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 27 ตาราง (หน้า 96) มีเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2514 ถึง พ.ศ.2532 จำนวน 7 คน (หน้า 97) การรักษาด้วยหมอเหยา หากเจ็บป่วยเพราะผีทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นการผิดผีปู่ ย่า ตา ยาย การรักษาจะให้หมอเหยา หรือ หมอลำส่อง รักษาโดยทำการเสี่ยงทาย ถ้าหมอเหยาทายว่าผู้ทำผิดนั้น ผีอยากกินอะไรเช่น หมู หรือควายซึ่งผู้เขียนระบุว่าทุกวันนี้หมอเหยาจะใช้วิธีใช้ไก่สมมติว่าเป็นหมู หรือควาย ในการทำพิธี (หน้า 66, 79, 83) สำหรับสิ่งของที่เตรียมไปให้หมอเหยาหรือหมอลำส่องทำพิธี ประกอบด้วย เทียน 2 คู่ เทียนเล็ก 5 คู่ เงินฮ่อย (เงินรางหนักรางละ 4 บาท) 4 ฮ่อย บันหมากเบ็งหรือบายศรี 1 คู่ สะพานผ้าได้แก่ผ้าสีขาวที่โยงจากที่ตั้งเครื่องบูชา แล้วนำมาไว้ที่บายศรี ไข่ไก่ จำนวน 2 ฟอง ข้าวสารข้าวเหนียว 1 ถ้วย แส้หวาย 1 ต้น ดอกไม้พุ่ม 1 พุ่ม และพานขวัญเล็ก (คายเล็ก) ซึ่งมีสิ่งของต่างๆ เช่น หมากพลู เงิน 1 สลึง (หน้า 67,79) พร้อมด้วย เครื่องแต่งกายของชายและหญิง เช่น ซิ่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม เสื้อผู้หญิง ผ้าแพร แหวน กำไล สร้อย จากนั้นจะให้คนเป่าแคน ซึ่งเรียกว่าหมอม้าหรือหมอลำส่อง (คนส่องผี) พอผีเข้าคนทรงก็จะตัวสั่นจากนั้นก็จะวางพานดอกไม้ แล้วนำเครื่องแต่งตัวที่เตรียมไว้มาสวม จากนั้นก็ดื่มเหล้า สำหรับผีที่เข้าทรงจะเข้ามลำดับ ได้แก่ 1. ชื่อหมอเฒ่า 2. ชื่อหมอน้อยปริศาจ หรือ ปีศาจ 3. ชื่อหูระมาน หรือ หนุมาน 4. ชื่อพระยาข่าสามแสน (หน้า 67,80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ในอดีตผู้ไทยจะมีการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม คือ ผู้หญิง จะนุ่งผ้าซิ่นใช้ผ้าสีดำ หากไม่สวมเสื้อ จะนำแขนเสื้อผูกสะพายแล่งที่บ่าแทนผ้า เครื่องประดับ จะสวมกำไลเงินและต่างหูเงิน หรือทองเหลือง สำหรับคนที่มีฐานะ ก็จะผูกผ้ามนต์ขิต หรือผ้าเก็บดอกสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ที่หัว เพื่อป้องกันผมยุ่งผมฟู หากสวมเสื้อแขนยาว เสื้อจะเป็นเสื้อแขนกระบอก ติดกระดุมเป็นแถว บางครั้งติดกระดุมเสื้อ 30 ถึง 50 เม็ด (หน้า 65,73) ผู้ชาย จะสวมกางเกงผ้าด้ายตาเมล็ดงาสีดำ บางครั้งจะสวมผ้าขาวม้าสีขาว สวมเสื้อทอด้วยด้ายสีดำ เวลามีงานบุญผู้ชายจะสวมผ้าไหมสวมเสื้อด้านในแล้วห่มผ้าขิต แล้วมวยผมบนศีรษะ (หน้า 66, 73) การแต่งกายของผู้ไทยทุกวันนี้ จะแต่งตัวเหมือนกับคนอีสานโดยทั่วไป แต่ถ้ามีงานสำคัญก็จะแต่งตัวแบบผู้ไทย โดยจะสวมเสื้อแขนยาวด้ายสีดำ ชายเสื้อประดับด้วยกระดุมซึ่งเป็นเหรียญสตางค์แดง (หน้า 66) เครื่องแต่งกายและเครื่องนุ่งห่มในงานพะซู เครื่องแต่งกายและเครื่องนุ่งห่มในงานพะซู แบ่งเป็น 4 อย่าง คือ 1) เครื่องแต่งกายที่เจ้าบ่าว เจ้าสาว สวมในพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าว จะสวมโสร่ง สวมเสื้อดำหม้อดินหรือเสื้อผ้าไหม นำผ้าขาวม้าคาดเอว เจ้าสาว สวมเสื้อสีดำมีแถบบริเวณรอบคอ และประดับด้วยแถบต่อถึงสาบเสื้อทางด้านหน้า ทั้งรอบปลายแขนกับชายเสื้อ สำหรับผู้ที่ฐานะร่ำรวย บริเวณสาบเสื้อละชายเสื้อ จะประดับด้วยเงินเหรียญสตางค์ แทนกระดุม นุ่งซิ่นไหม (หน้า 176) 2) เครื่องแต่งกายที่แขกเหรื่อสวมใส่มาร่วมงาน (หน้า 176) การแต่งตัวจะเน้นที่ความสวยงาม เช่น นุ่งซิ่นไหม เสื้อไหม ผ้าขิด ผ้าโสร่ง โดยมากจะเป็นที่ทอเอง (หน้า 177) 3) เครื่องแต่งกายเครื่องนุ่งห่มที่ใช้สมมาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว (หน้า 176) ได้แก่ ผ้าห่มนวม ผ้าห่มเหยียบ หมอน ที่นอน สาด (เสื่อ) ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง ผ้าแพรวา ผ้าซิ่นฝ้าย ซิ่นไหม (หน้า 112,113,137,177) 4) เครื่องแต่งกายและเครื่องนุ่งห่มที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวนำเพื่อใช้หลังจากจัดพิธีแต่งงาน (หน้า176) ได้แก่ ผ้าห่มนวม ผ้าห่มเหยียบ หมอน มุ้ง ที่นอน สาด(เสื่อ) ซึ่งพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่า กับเจ้าสาวจะเตรียมไว้ให้ (หน้า 177) ผ้าแพมน ในอดีตหญิงสูงอายุผู้ไทยจะใช้โพกหัว กันผมยุ่ง เนื่องจากผู้ไทยชอบไว้ผมยาวแล้วมวยผมไว้บนศีรษะ ผ้าแพมนเป็นรูสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อใช้ก็จะพับทแยง พันเป็นเส้นกลมแล้วมัดศีษระ (หน้า 144) ย่าม ใช้ใส่สิ่งของ ในงานพะซู ล่ามจะใส่ดาบ และฆ้อนไปบ้านเจ้าสาว ในอดีตผู้ไทยจะใช้ "ถงเทว" สันนิษฐานว่า น่าจะมาจะคำว่า ถุงที่ใส่ของเทียวไปเทียวมา "ถงเทว" จึงน่าจะมาจากคำว่า "เทียว" คนผู้ไทยเรียกว่า "เทว" เมื่อออกเสียงพูด (หน้า 145) กะหยัง รูปร่างคล้ายกระบุง มุมล่างหรือก้นกระหยัง ทรงสี่เหลี่ยมมีขาตั้งขนาดเล็ก (หน้า 141) ด้านบนเป็นทรงกลม มีหู 2 ข้าง ใช้เชือกผูกเป็นที่สะพายเวลาใช้งาน กะหยังจะมีความสูง 30 ถึง 50 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ถึง 40 เซนติเมตร กระหยังที่ใช้จะมีขนาดที่ไม่เหมือนกัน อาทิถ้าใช้เก็บใบหม่อน เพื่อนำมาเลี้ยงไหม กะหยังจะมีรูปร่างใหญ่ แต่ถ้าหากใช้ในงานพะซู จะมีขนาด 30 ถึง 40 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร (หน้า 142) หับ คือภาชนะที่ใส่ไข่ เพื่อไป "มอบหับไข่ไท้งา " หับมีขนาดเล็ก สูงราว 20 เซนติเมตร ช่วงล่างจะมีขนาด 14 ถึง 20 เซนติเมตร ด้านล่างจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านบนจะจับมัดติดกันผูกเชือกเป็นสายเพื่อสอดคาด หรือไม้คานที่ใช้หาบ (หน้า 142) การลำผู้ไทย คือ การร้องเพลงที่เป็นทำนองเดิมของผู้ไทย คนที่ขับร้อง หรือผู้ลำ คือ "หมอลำ" โดยจะมีทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เวลารำอาจจะลำคนเดียว บางครั้งก็รำหลายคน ลำผู้ไทยแบ่งเป็น 7 อย่างได้แก่ การลำเลาะบ้าน การลำเลาะภู การลำเลาะตูบการลำเสี่ยงโชคชะตา การรำอวยพร การลำลงข่วง การลำในพิธีเหยา การลำแต่ละอย่างจะมีเนื้อหาไม่เหมือนกัน (หน้า 8, 9) |
|
Folklore |
ตำนานความเป็นมาผู้ไทยปกครองข่า และผู้ไทยถูกสาปแช่ง นานมาแล้วผู้ไทยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง โดยขึ้นกับเมืองไร่เมืองปุง ทั้งสองเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ต่อมาเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูได้เกิดความแห้งแล้ง ท้าวก่าหัวหน้าของผู้ไทย จึงชักชวนผู้ไทยราว 1 หมื่นคนมาขึ้นกับเจ้าอนุรุทกุมาร เจ้าเมืองเวียงจันทร์ ฉะนั้นเจ้าอนุรุทกุมารจึงให้ผู้ไทยไปอยู่ที่เมืองวัง (หน้า 31-32) ที่เมืองวังแห่งนี้มีชาติพันธุ์ข่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อผู้ไทยมาอยู่ พวกข่าจึงอยากจะเป็นผู้ปกครองของกลุ่มผู้ไทย และฝ่ายผู้ไทยก็ต้องการที่จะปกครองกลุ่มชาติพันธุ์ข่า เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเดิมพันกันว่า หากฝ่ายใดยิงหน้าไม้ ให้ลูกหน้าไม้ติดที่หน้าผาได้ ฝ่ายที่ชนะก็จะได้ปกครองอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วจึงไปที่ผาบุญ หรือ เขาบุญ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองวัง (หน้า 32) เมื่อไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ข่า ได้ยิงก่อน ลูกดอกไปถูกหน้าผาก็กระเด็นตกยังพื้น แต่ฝ่ายผู้ไทยได้นำขี้สูด (ชันนางโรง) ติดที่ปลายลูกดอก ยิงเพียงแผ่วเบาลูกดอกก็ติดบริเวณหน้าผา ดังนั้นผู้ไทยจึงได้ปกครองชาติพันธุ์ข่าในเมืองวัง เมื่อเจ้าอนุรุทกุมารทราบ จึงแต่งตั้งให้ท้าวก่าเป็นหัวหน้าปกครองผู้ไทยกับกลุ่มข่า โดยยกฐานะขึ้นเป็นพระยาก่า (หน้า 33) ทุกสิ้นปีผู้ไทยจะทำมีดอีโต้ไปมอบส่วยให้เมืองเวียงจันทน์ ปีละ 500 เล่ม แต่เนื่องจากเมืองวังอยู่ใกล้เมืองคำรั้ว อันเป็นของชาติพันธุ์ญวน โดยผู้ไทยได้มอบขี้ผึ้งปึก ละ 5 ชั่ง จำนวน 5 ปึก ไปส่งส่วยให้เมืองคำรั่ว เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ญวน มารุกราน (หน้า 33) ในเวลาต่อมาเมื่อพระยาก่าเสียชีวิต เจ้าอนุรุทกุมาร จึงแต่งตั้งพระยาติโชขึ้นเป็นเจ้าเมืองวัง และเมื่อพระยาติโชเสียชีวิตแล้ว ท้าวก่ำบุตรคนที่สองของพระยาก่า ก็ได้ขึ้นปกครองเมืองวัง เมื่อเป็นเข้าเมืองพระยาก่ำ ได้แต่งตั้งท้าวแก้ง น้องชายขึ้นเป็นอุปฮาด โดยให้อยู่อีกหมู่บ้าน ท้าวแก้งเป็นคนซื่อสัตย์ประชาชนจึงรักชอบพอน้ำใจเป็นจำนวนมาก (หน้า 33) ดังนั้นพระยาก่ำจึงเกิดความระแวง และได้สั่งให้ท้าวแก้วมาหาที่เมืองวัง เมื่อท้าวแก้วและนางหมอหลวงผู้เป็นภรรยาจึงมาที่เมือง พระยาก่ำจึงใช้หอกแทงท้าวแก้วเสียชีวิต ภรรยาของท้าวแก้วจึงกลับมาบอกนางลาว มารดาของท้าวแก้ว (หน้า 33) ดังนั้นเธอจึงสาปแช่งว่า คนผู้ไทยแม้เป็นพี่น้องยังฆ่ากันได้ลงคอ ต่อไปขอให้คนกลุ่มนี้อย่าอายุยืน หากเป็นเจ้านายก็ขออย่าให้เจริญรุ่งเรือง และอย่าให้ได้อยู่บ้านพื้นและฝากระดาน (หน้า 34) ที่มาการตั้งชื่อหมู่บ้าน เรื่องมีอยู่ว่า ที่นาที่ท้าววรบุตรซื้อไว้นั้น เป็นนาที่อยู่ติดลำห้วย ทุกวันนี้เรียกว่าห้วยวังเฮือ บริเวณนี้มีหญ้าที่เป็นปล้องกลมๆ ต้นขนาดเล็ก เลื้อยตามดิน ลักษณะใบเรียวปลายแหลม มีขนที่ขอบใบ ชาวบ้านเรียกว่า "หญ้าไซ " และบริเวณนี้มีหนองน้ำ ดังนั้นคนจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านหนองหญ้าไซ " ในเวลานั้นท้าววรบุตร ทำหน้าที่ผู้นำหมู่บ้าน และหมู่บ้านอยู่ในเขตการปกครองของ อำเภอกุมภวาปี (หน้า 90) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
งานพะซูในทุกวันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านอาหาร และเครื่องแต่งกายของเจ้าบ่าว เจ้าสาว อาหาร จะมีหลายชนิด ไม่ใช่มีแต่อาหารที่ปรุงจากเนื้อวัว หมู และไก่ เช่นเมื่อก่อน ทุกวันนี้จะทำอาหารหลายอย่าง ทั้งอาหารของผู้ไทย อาหารอีสาน อาหารของคนไทยภาคกลาง เครื่องแต่งกาย ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว และแขกเหรื่อ จะมีการเปลี่ยนแปลงคือ ผู้หญิงจะสวมชุดไทยในแบบต่างๆ ส่วนฝ่ายชายจะแต่งตัวตามสมัยนิยมทั่วไป (หน้า193) |
|
Map/Illustration |
แผนผัง บ้านหนองหญ้าไซ (หน้า 233) แผนที่ อ.สามหมอ (หน้า 234) จ.อุดรธานี (หน้า 235) ภาพ การแสดงขั้นตอนต่างๆ ในงานพะซูของผู้ไทย บ้านหนองไซ (หน้า 107) การเย็บขันหมากเบ็งเพื่อประกอบเป็นพานบายศรี (หน้า 116) การล้างเท้าเขยก่อนขึ้นบ้าน (หน้า 119) การผูกแขนบ่าวสาว (หน้า 128) การป้อนข้าวบ่าวสาว (หน้า 131) |
|
|