|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผ้าไหมแพรวา,ผู้ไท,ไทอีสาน,การพัฒนาการทอผ้าและการจำหน่าย,กาฬสินธุ์ |
Author |
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, นันทิยา จันทร์อ่อน, สุดใจ ศรีบ้านโพน |
Title |
รูปแบบศิลปะและการจัดการผ้าทอที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งและการพึ่งตนเองของชุมชนท้องถิ่น : ศึกษากรณีผ้าไหมแพรวา สายวัฒนธรรมผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
265 |
Year |
2545 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ |
Abstract |
กล่าวถึงรูปแบบและการทอผ้าไหมแพรวาซึ่งเป็นวัฒนธรรมการทอผ้าของผู้ไท จ.กาฬสินธุ์ ในงานเขียนได้ระบุถึงการผลิตและการจำหน่าย และการส่งเสริมกระบวนการทอผ้าไหมแพรวา ซึ่งการทอผ้าได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถได้เสด็จมายัง จ.กาฬสินธุ์ จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งกลุ่มทอผ้าซึ่งเป็นกลุ่มสตรีที่มีความสามารถในการทอผ้าใช้ในครัวเรือนมาแต่เดิม ให้มาร่วมกันและทางการก็ได้เข้ามาสนับสนุนโดย สนับสนุนด้านการออกแบบ กระบวนการผลิต และส่งเสริมในการจำหน่ายหาตลาดให้กับสมาชิกที่เข้ารวมกลุ่มเพื่อทอผ้าไหมแพรวา |
|
Focus |
วิเคราะห์รูปแบบศิลปะของผ้าไหมแพรวาสายวัฒนธรรมผู้ไท ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เช่น ความต้องการของผู้บริโภค ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภคและศึกษาหลักการผ้าไหมแพรวาสายวัฒนธรรมผู้ไท ใน จ.กาฬสินธุ์ เช่น การผลิต การจำหน่าย และการส่งเสริมสนับสนุน (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชุมชนทั้งสองแห่งที่ต่างชาติพันธุ์กัน ประชาชนที่อยู่บ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ไท ส่วนประชาชนที่อยู่หมู่บ้านสิงห์สะอาด ต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นไทลาว (หน้ากิตติกรรมประกาศ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวบ้านโพนจะใช้ภาษา 2 แบบได้แก่ หากเป็นคนที่อยู่ในวัยเรียนจะใช้ภาษาพื้นเมืองคือไทย - อีสานคุยกับคนที่เป็นไทลาว แต่ถ้าคุยกับชาวบ้านโพนด้วยกันจะพูดภาษาผู้ไท ส่วนการใช้ภาษาเขียนจะใช้ตัวเขียนภาษาไทย สำหรับชาวบ้านสิงห์สะอาดใช้ภาษาไทลาว (หน้า 122) |
|
Study Period (Data Collection) |
กรกฎาคม 2540 - มิถุนายน 2541 (หน้า 2) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการอพยพของผู้ไทเข้าประเทศไทย การอพยพแบ่งเป็น 2 ครั้งใหญ่ๆ ดังนี้ 1) สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี กับสมัยรัชกาลที่ 1 ของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยฝ่ายไทยได้ยกกองกำลังทหารไปตีเมืองลานช้าง จากนั้นก็ได้อพยพผู้ไทมาอยู่ภาคกลางของไทย เช่นผู้ไท ที่อยู่ จ.เพชรบุรี (หน้า 113) 2) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ฝ่ายไทยได้ยกกองกำลังไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อปราบกบฏแล้วก็ได้ต้อนผู้ไทที่อยู่ในประเทศลาวจากเมืองวัง เมืองคำเกิด เมือองคำม่วน เมืองมหาชัย โดยอพยพเข้ามาอยู่ที่เมืองกาฬสินธุ์ กับนครพนม ในภาคอีสานของประเทศไทย (หน้า 113) วิวัฒนาการการทอผ้าแพรวาของผู้ไท บ้านโพน แบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้ ช่วงแรก เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2520 โดยมีตัวแทนทอผ้าในหมู่บ้านรับไหมมาจากในวัง แล้วแบ่งให้กลุ่มแม่บ้านทอแล้วเก็บส่งไปในวัง เมื่อได้ค่าทอแล้วก็จะนำมาแบ่งให้กับคนทอ สำหรับผ้าที่ทอในช่วงแรกเป็นผ้าสไบเฉียง สีแดงลาย (หน้า 123) ช่วงที่สอง กลุ่มผู้ทอผ้าแพรวาได้เริ่มพัฒนารูปแบบผ้าใน พ.ศ.2530 โดยได้เริ่มจากที่ทอเพียงสีแดงแล้วเริ่มพัฒนามาทอเป็นสีอื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มลวดลาย เช่น เพิ่มลายจกดาว ลายล่วง (หน้า 123) สำหรับการปรับเปลี่ยนเช่นแต่เดิมทอเป็นลายปกติต่อมาได้ปรับปรุงเป็นลายรูปสัตว์ เช่น รูปไดโนเสาร์ ช้าง นาค และอื่นๆ จนทำให้สามารถขายได้ในราคาดีขึ้นจากที่เคยขายได้ในราคา 2,200 บาท ก็ขายได้ในราคา 4,500 บาท (หน้า 125) |
|
Demography |
ระบุถึงหมู่บ้านที่ผลิตผ้าไหมจำนวน 36 หมู่บ้าน ครอบครัวกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 1,014 ครอบครัว ในการทอได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ทอโดยใช้ทุนของตนเอง จำนวน 644 ครอบครัว กับกลุ่มที่รับจ้างทอมีจำนวน 370 ครอบครัว (หน้า 2) ประชากรบ้านโพน อ.คำม่วง ประชากรส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายผู้ไท ในการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2545 มีจำนวน 3,815 คน 932 หลังคาเรือน แบ่งเป็นเพศชายจำนวน 1,901 คน หญิง 1,914 คน (หน้า 120) ประชากรบ้านสิงห์สะอาด ต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ หมู่บ้านแบ่งเป็นหมู่ 6 กับหมู่ 13 ประชากรในแต่ละหมู่แยกได้ดังนี้ หมู่ 6 มีจำนวน 104 หลังคาเรือน ประชากร จำนวน 680 คน,หมู่ 13 มีจำนวน 142 หลังคาเรือน มีประชากรรวมจำนวน 870 คน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ลาวไท ส่วนชาติพันธุ์ผู้ไท มีจำนวนไม่มาก (หน้า 140) |
|
Economy |
การเลี้ยงไหม กิจกรรมการเลี้ยงไหม มีกระบวนการผลิต จำแนกได้ 5 ขั้นตอนคือ 1) อุปกรณ์การเลี้ยงไหม ได้แก่ กระด้ง จ่อ ชั้นสำหรับวางกระด้ง ผ้าคลุมกระด้ง ตะกร้าใส่ใบหม่อน มีดกับเขียงเพื่อหั่นใบหม่อน (หน้า 61,62) 2) วิธีเลี้ยงไหม จะนำไข่ไหม มาใส่กระด้ง ซึ่งเมื่อไข่ไหมอายุ 9 วัน ก็จะแตกไข่ การเลี้ยงจะเลี้ยงโดยให้อาหารด้วยใบหม่อน ในแต่ละวันจะให้อาหาร 5-6 ครั้ง การเลี้ยงฝักตัวไหมจะใช้เวลา ราว 45 วัน (หน้า 62) 3) การสาวไหม อุปกรณ์ที่ใช้ เช่น เตาถ่าน มะโคงซึ่งเป็นไม้โค้งงอเหมือนวงครุ นำมาวางไว้ที่ปากหม้อ โดยจะมีไม้แบนเจาะรูตรงกลาง เหนือไม้จะมีรอกขนาดเล็กเป็นทรงกลม, หม้อต้มไหม ไม้มะหืบ รูปร่างคล้ายแปรงทำจากฟางข้าวและกระบุง (หน้า 63) 4) การรังไหม อุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ หลา มีรูปร่างคล้ายกงล้อ มีดุมเพื่อเพื่อปั่นเส้นไหม (หน้า 64) กระบอกน้อย เพื่อพันเส้นไหม ขันน้ำ แปะรังไหม คล้ายจานเป็นกระเบื้อง อักไหม ไม้กลมมีรูตรงกลางทั้งสองด้านคล้ายกระบอก ห่างเห็นคือขาตั้งเพื่อใช้สอดอักไหม (หน้า 65) 5) การฟอกไหม อุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ หม้อ เตาไฟ น้ำด่าง (หน้า 65) 6) การย้อมไหม อุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ หม้อ เตาไฟ สี (หน้า 66 ภาพหน้า 67-70) การทอลายผ้าแพรวา อุปกรณ์ที่ใช้ได้แก่ ฟืม คือกรอบไม้สี่เหลี่ยมมีฟันเป็นซี่ๆ คล้ายกับหวี ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง, เขาหรือเหาทำด้วยเส้นด้ายทำเอาไว้กันเส้นไหมไม่ให้เลื่อน,หูกทอผ้า คือเครื่องมือทอผ้า คนทอจะนั่งทอ หูกทอผ้าจะเป็นโครงสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่ และมีอุปกรณ์อื่นๆ (หน้า 72, 73) นำเส้นไหมที่เตรียมไว้ใส่กระสวย เก็บขิดโดยจะพลิกด้านล่างเอาไว้ทางด้านหน้า คนทอจะผูกปมเส้นไหม ที่สอดสลับของแต่ละแถว (หน้า 74) สำหรับการเก็บลายขิดแบ่งเป็นสามส่วน ได้แก่ แถบชายผ้าทั้งสองด้าน ซึ่งอยู่ถัดจากชายผ้าที่เรียกว่า ดอกเล็ก กับส่วนที่เก็บลายขิดส่วนสุดท้าย เรียกว่าลายขิดดอกลายผ้า (หน้า 75) สำหรับการประดิษฐ์ลวดลายผ้าแบ่งออกเป็น 1) การทอส่วนชายครุย 2) การทอลายเล็ก 3) การทอส่วนที่เป็นพื้นแดง 4) ทอลายเชิงผ้า 5) ทอลายหลักหรือลายใหญ่ (หน้า 75) กลุ่มผ้าไหมแพรวาบ้านโพน เป็นกลุ่มสตรีที่ก่อตั้งกลุ่มเมื่อ พ.ศ.2524 หลังจากที่พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมราษฎรใน อ.คำม่วง พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริต่อกลุ่มแม่บ้านเพื่อให้รวมกลุ่มกันผลิตผ้าไหม หลังจากที่พระองค์ทรงพอพระทัยในฝีมือการทอผ้าแพรวาของราษฎร กระทั่งราษฎรจึงได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นโดยมีประธานดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และมีคณะกรรมการในปัจจุบันจำนวน 300 คน ซึ่งแต่เดิมมีจำนวนราษฎร 45 คน โดยทางกลุ่มได้ทำการสนับสนุนส่งเสริมการทอผ้าและการจำหน่าย โดยสมาชิกจะนำผลผลิตที่ทอมาได้มาวางขายที่ศูนย์โดยจะมีตัวแทนจำหน่าย ครั้งละ 5 คนต่อสัปดาห์ เมื่อขายได้จะหักรายได้จำนวน 2% โดยจะคิดเป็นค่าบำรุงศูนย์กับค่าจ้างสมาชิกที่มาขายอย่างละ 1% (หน้า 126 ภาพศูนย์วิจิตรแพรวา หน้า 127) ชุมชนบ้านสิงห์สะอาด คือชุมชนไทยลาวที่ทอผ้าไหมแพรวาแบบของผู้ไทเพื่อวางขาย กระทั่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก (หน้า 137,138 ภาพหน้า 139) ชุมชนได้ตั้งขึ้นหลังจากการสร้างเขื่อนลำปาว ซึ่งทางการได้ช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อน (หน้า 140) เนื่องจากการสร้างเขื่อน โดยหมู่บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน โดยนิคมสร้างตนเองได้ให้ความดูแลหมู่บ้านทั้งหมดจำนวน 84 หมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านต่างๆ ได้ตั้งขึ้นหลังปี พ.ศ. 2510 ซึ่งทางนิคมฯ ได้แบ่งที่ดินทำกินกับชาวบ้านครัวเรือนละ 13 ไร่ กับเป็นที่สร้างบ้านเรือนจำนวน 2 ไร่ (หน้า 142) สำหรับการช่วยเหลือทางนิคมได้สนับสนุน การสร้างอาชีพ เช่นการผลิตอาหารแห้ง ปลาร้าบอง ของชำร่วยของที่ระลึก และผ้าไหมแพรวา สำหรับร้านขายผ้าไหมได้ตั้งร้านชื่อ "บ้านแพรวา" (หน้า 142 ภาพหน้า 143-146) บ้านแห่งนี้ทางสมาชิกได้ขอรับเงินประชาสงเคราะห์ที่ออกให้ 4000 บาท ต่อคน รวมเป็นเงิน 3 แสนบาทโดยได้นำเงินมาสร้างบ้านแพรวา สำหรับกลุ่มสมาชิกในครั้งแรกมีจำนวน 75 คน โดยแบ่งออกเป็นฝ่ายผลิตที่เป็นสมาชิก กับฝ่ายจำหน่ายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานจำนวน 1 คน ในร้านจะขายสินค้าที่ทำโดยนิคมสร้างตนเองลำปาว จ.กาฬสินธุ์ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงาน ของที่ขายเช่นผ้าไหม ผ้าฝ้าย เครื่องจักรสาน ของที่ระลึก (หน้า 147 ภาพหน้า 148,149) |
|
Social Organization |
กล่าวถึงบทบาทของหญิง ชาย ในการทอผ้า ว่าส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของผู้หญิง เช่น การทอ ขบวนการในการทอ ส่วนผู้ชายจะช่วยในขั้นตอนการเพาะปลูก เช่น ปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน (หน้า 31) ซึ่งสังคมจะกำหนดบทบาทการทอผ้าแก่ผู้หญิง ตั้งแต่ยังเด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ผ้าที่ทอจะนำมาใช้เป็นของกำนัลแก่ญาติผู้ใหญ่ เช่น มอบเป็นของกำนัลให้ญาติฝ่ายชายในพิธีแต่งงาน เป็นของตอบแทนให้กับหมอตำแย เมื่อมาทำคลอด ใช้เป็นผ้าคลุมศพ (หน้า 32) การลงข่วง คือการที่กลุ่มชาวบ้านจะมาปั่นไหมและปั่นฝ้ายด้วยกันในตอนกลางคืน ของฤดูหนาว โดยมากจะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อรู้วันกำหนดลงข่วง กลุ่มหญิงสาวจะช่วยกันไปหาฟืน หรือเรียกว่า "ไปเอาหลัว" จากนั้นหลังจากกินข้าวเย็นแล้วก็จะมาทำงานปั่นด้ายรอบกองไฟ คนหนุ่มในหมู่บ้านหรือต่างหมู่บ้านก็จะมาคุยด้วยหรือเรียกว่า "เกี้ยวสาว" ส่วนคนอีสานจะเรียกว่า "เล่นสาว" ซึ่งคนหนุ่มจะถือโอกาสนี้บอกรักหรือฝากรักกับผู้หญิงที่ตนรัก โดยผ่านถ้อยคำที่เรียกว่า "ผญา" (หน้า 33) ซึ่งเป็นกลอนพื้นบ้านที่มีความไพเราะ(หน้า 35) |
|
Belief System |
ความเชื่อ คนในหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธและนับถือผีบรรพบรุษ ซึ่งทำพิธีไหว้เรียกว่า "เซ่นเฮือนแก้ว" นอกจากนี้ยังนับถือผีอื่นเช่นผีตาแฮก หรือผีนา เวลาประกอบพิธีกรรมจะประกอบพิธีที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผี ในหมู่บ้านมีวัดจำนวน 3 แห่ง การประกอบพิธีกรรมจะทำตามประเพณีฮีตสิบสองกับประเพณีทางศาสนาพุทธ เช่น งานบุญบั้งไฟ บุญเผวส บุญเข้าพรรษา บุญออกพรรษาบุญกฐิน (หน้า 122) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชาย สวมกางเกงขาแคบ สวมใส่เสื้อสีคราม หรือ สีดำ (หน้า 122) ผู้หญิง สวมซิ่นมัดหมี่ ใส่เสื้อแขนกระบอกสีดำ หรือสีคราม หากเป็นหญิงสูงอายุ จะสวมเสื้อคอกระเช้าสีขาว แล้วห่มด้วยผ้าเฉียงบ่าสีขาว หากเวลามีงานสำคัญ ผู้หญิงจะสวมเสื้อแขนกระบอกสีครามหรือสีดำ สวมซิ่นมัดหมี่สีเข้ม ห่มผ้าสไบผ้าแพรวาสีแดง (หน้า 123) แพรวา เป็นผ้าไหมทอมือของผู้ไท คำว่า "แพร" คือชื่อเรียกผ้าของชาวอีสานหรือไทลาว ที่เรียกผ้าว่า "ผ้าแพร" คำว่า "วา" คือขนาดความยาวของผ้าที่ยาว 1 วา หรือราว 2 เมตร (หน้า 1,51) รูปแบบและลวดลายของผ้าแพรวา โครงสร้างแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ ได้แก่ ส่วนของชายคุยชายทั้งสองด้านของผ้าจะปล่อยเส้นไหม ที่เป็นเส้นยืนของด้านกว้าง โดยจะปล่อยให้ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วจะรวบเป็นปอยขนาดเล็กด้านละประมาณ 70 เส้น กับส่วนของผืนผ้า ซึ่งแบ่งเป็นสี่ส่วน ได้แก่ 1) ส่วนชายครุย ซึ่งจะถักเป็นเกลียวด้านละ 70 เส้น (หน้า 77,78) 2) ลายเล็ก หรือลายคั่น ได้แก่ ลายที่ทอบนชายผ้าทั้งสองด้าน ซึ่งจะทอด้านขวางของแนวนอน ซึ่งความกว้างของลายเล็กจะกว้างราว 4 - 6 เซนติเมตร ซึ่งเส้นลายเล็กจะคั่นระหว่างลายใหญ่เป็นช่วงๆ (หน้า 80) 3) ลายเชิงผ้า ได้แก่ลายที่ทอไว้ชิดกับลายเล็กๆ ก่อนจะทอลายใหญ่ โยลายเชิงผ้าจะอยู่สองแถวของแต่ละด้านของผืนผ้า ซึ่งจะวางแนวนอนหรือแนวขวางของด้านกว้างของผ้า ซึ่งลายเชิงผ้าจะกว้างราว 4 -10 เซนติเมตร (หน้า 80) 4) ลายใหญ่ ได้แก่ลายที่อยู่แนวขวางหรือแนวนอน ลายใหญ่จะมีความกว้างแถวละ 8-12 เซนติเมตร ผ้าแพรวาในแต่ละผืนลายใหญ่จะมีราว 13 แภว สำหรับองค์ประกอบของลายใหญ่จะอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน โยจะแบ่งเป็นสามส่วนได้แก่ ลายหลักหรือลายใน,ลายนอกและเครือลาย (หน้า 80) ลวดลาย ลายเล็ก หรือ ลานคั่น แบ่งออกเป็น 3 ลายย่อย ได้แก่ 1) ลายช่อดอกไม้ 2) ลายงูลอย 3) ลายขอ 4) ลายขอก่าย 5) ลายตาบ้ง (หน้า 81) 6) ลายจุ้มตีนหมา 7) ลายดอกดาว 8)ลายดอกบัว 9) ลายหอยืน 10) ลายหอนอน 11) ลายขาเข 12) ลายดอกกระบวนน้อย 13) ลายช่อตีนพาน (หน้า 83, 56, 58) ลายใหญ่ แบ่งออกเป็น 1) ลายใบบุ่น (หน้า 84) 2) ลายกาบแบด 3) ลานจันกึ่ง 4) ลายนาค (หน้า 85) ประเภทของผ้า ผ้าไหมแพรวาแบ่งออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่ 1) ผ้าล่วง ผ้าจะมี 2 สี คือ สีหนึ่งเป็นสีพื้นส่วนอีกสีจะเป็นสีลาย การทอไม่ซับซ้อนราคาขายผืนละ 1,200 -1,700 บาท (หน้า 93,229) 2) ผ้าจก หรือ ผ้าลายจก ,ลายหยอดหรือลายจกดาว มี 2 สี โดยจะมีสีพื้น โยจะเพิ่มลายดอกขนาดเล็กลงบนผ้า โดยใช้นิ้วมือ "จก" หรือ หยิบเส้นด้าย ที่จะทำเป็นลวดลายมาจากผ้าล่วง เมื่อขายจะมีราคาแพงกว่าผ้าล่วงประมาณ 500 บาท ราคาขายราว 1,500 - 2,000 บาท (หน้า 93, 229) 3) ผ้าเกาะหรือผ้าลายเกาะ ผ้ามีขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน โดยจะใช้เวลา ในการผลิตผ้าแต่ละผืนตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปราคาตั้งแต่ 3, 000 - 10,000 บาท (หน้า 96, 229, 230) ผ้าพื้นเมือง งานเขียนได้กล่าวถึงผ้าพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ผ้าจก (หน้า 8-17) สี วัสดุที่ใช้ย้อมเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่นการย้อมผ้ามัดหมี่จะใช้สีต่างๆ อาทิเช่น สีแดงย้อมจากครั่ง สีครามย้อมจากต้น ราก ใบของต้นคราม ดำ ย้อมด้วยสมอ แหน เปลือกสมอ ผลมะเกลืออ่อน รากชะพลู , แสด ย้อมจากดอกคำแสดและใบ ,สีกากีแกมเขียว ย้อมจากรากขนุน เปลือกเพกา สมอป่า, สีไพลย้อมด้วยแก่นยอป่า, สีเหลืองย้อมจาก หัวขมิ้น บางครั้งก็ใช้ขมิ้นกับใบฝรั่ง หรือรากยอป่า แก่นขนุน (หน้า 24, 55) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
กล่าวถึงโครงการในพระราชดำริที่มีผลต่อการทอผ้าไหมแพรวาและวิถีชีวิตของชาวบ้านโพน จ.กาฬสินธุ์ ที่ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นการสนับสนุนให้ชาวบ้านมีรายได้ พัฒนาการทอผ้าไหมแพรวาเพื่อให้เป็นที่พอใจของตลาด ส่งเสริมบทบาทสตรีเพราะสามารถทอผ้าเป็นรายได้เสริม เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม นอกจากนี้ จ.กาฬสินธุ์ ได้ส่งเสริมให้ชุมชนบ้านโพนเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่นการสร้างศูนย์วิจิตรแพรวา โดยได้ใช้ผ้าไหมแพรวานำเสนอเพื่อให้เกิดความน่าสนใจทางวัฒนธรรม และสนับสนุนโดยจัดงานผ้าไหมแพรวาเป็นงานประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ จัดการประกวดผ้าไหมแพรวา สร้างพิพิธภัณฑ์ของดีเมืองกาฬสินธุ์ (หน้า 167- 226) |
|
|