|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,วิถีชีวิต,เศรษฐกิจ,ครอบครัว,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เชียงราย |
Author |
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ |
Title |
เย้า |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
38 |
Year |
2545 |
Source |
ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2506 โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์) |
Abstract |
เย้าเป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายชาวจีน มีนิสัยรักสะอาด เย้ามักเลือกทำเลที่ตั้งหมู่บ้านบนไหล่เขา พื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ไม่นิยมอยู่บนยอดเขาสูงเพราะกลัว ลมพายุ เดิมชนชาติเย้ามีตัวหนังสือของตนเองไม่ได้ใช้ตัวอักษรจีนอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ดี เย้ามีภาษาพูดเป็นของตนเอง ซึ่งมีคำคล้ายภาษาแม้ว เย้าปลูกข้าวทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียวพันธุ์ต่าง ๆ มีฝีมือในการปลูกฝิ่นเหนือกว่าชาวเขาเผ่าอื่นๆ เพราะรู้จักเลือกที่ดิน จนทำให้ฝิ่นเป็นสินค้าสำคัญของเย้า แต่เมื่อรัฐบาลให้เลิกปลูกและสูบฝิ่น เย้าก็หันมาทำไร่ชาซึ่งสร้างรายได้ดี มีม้าเป็นพาหนะที่สำคัญของเผ่าในการบรรทุกของ เย้ามีขนบธรรมเนียมในการใช้ตะเกียบแบบจีน และมีการเลี้ยงน้ำชาผู้มาเยือนบ้าน มีตำนานและประวัติศาสตร์ของชนเผ่าสืบทอดกันมายาวนาน มีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีและธรรมเนียมเที่ยวสาวต่างหมู่บ้าน หญิงสาวเย้าไม่ถือเรื่องความบริสุทธิ์ นอกจากนี้ตามประเพณียังถือว่าค่าตัวของหญิงที่มีลูกติดแพงกว่าหญิงสาวทั่วไป ลูกที่ไม่มีพ่อก็ถือว่าเป็น "ลูกผีให้" เย้ามักใช้เงินแต่งงานมากกว่าทุกเผ่าถือเป็นการซื้อผู้หญิงมาเป็นภรรยา บางครั้งต้องไปกู้เงินเสียดอกเบี้ยแพง แล้วนำหญิงมาทำงานหาเงินให้สามีใช้หนี้ไม่ต่างจากทาสของสามี ชายเย้าจึงมักมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ปล่อยให้ผู้หญิงทำงาน ทั้งยังสะสมเงินไว้แต่งงานหาภรรยามาบำเรอความสุขทางเพศ หญิงเย้าแม้มีครรภ์ก็ต้องทำงานทุกอย่าง มีสภาพไม่ต่างจากทาสหรือสัตว์เลี้ยงที่ถูกผู้ชายซื้อไว้เพื่อนำมาใช้งาน หมู่บ้านเย้ามีหมอผีหรือ "ซิบเมี้ยนเมี่ยน" เป็นตัวแทนประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อเรื่องผีและโชคลาง ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ ของเย้า เช่น พิธีกินข้าวใหม่ พิธีเสี่ยงทายพื้นที่ฝังศพ เป็นต้น |
|
Focus |
เน้นศึกษาวิถีชีวิต ประวัติความเป็นมาและตำนานของชนเผ่าเย้า |
|
Ethnic Group in the Focus |
เย้า หรือ หม่านในมณฑลยูนนานถูกเรียกชื่อต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ในตังเกี๋ย เวียดนามเหนือแบ่งเป็น 6 กลุ่มคือ หม่านตาปัน หม่านลานแตน หม่านกวางก๊ก หม่านเกาลาน หม่านกวางเกา หม่านกวางตรัง เหนือตังเกี๋ยขึ้นไปในเขตยูนนานเรียก "ซันตังเย้า" และ "เตียวเซียนเย้า" (หน้า 322) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาเย้ามีคำคล้ายภาษาแม้วซึ่งคล้ายกับภาษาจีนกลาง เย้ารู้ภาษาจีนกลางและภาษาจีนฮ่อในระดับอ่านออกเขียนได้ เย้าที่อยู่ในอำเภอแม่จันรู้ภาษามูเซอ ลีซูและอาข่าพวกที่อยู่ในจังหวัดน่านรู้ภาษาลาวและไทยเหนือเล็กน้อย มีเพียงบางคนที่รู้ภาษาจีนกลาง เย้ามีคำนำหน้าว่า "เลา" ตรงกับภาษาไทยว่า "นาย" หรือ "คุณ" หญิงมีคำนำหน้าว่า "อ่ำ" ตรงกับคำว่า "นาง" ใช้ได้ทั้งหญิงสาวและหญิงที่แต่งงานแล้ว เดิมทีชนชาติเย้ามีตัวอักษรใช้เป็นของตัวเอง ไม่ได้ใช้ตัวอักษรจีนอย่างในปัจจุบัน เมื่อเกิดสงครามก็ขาดผู้สืบทอด กลายเป็นชนชาติที่ไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเอง คำศัพท์ภาษาเย้า เช่น ปาก เรียกว่า "จื่อแปง" "หยุ้ย" กาน้ำชา เรียกว่า "จ่าแป่ง" หู เรียกว่า "น่อม" งู เรียกว่า "นาง" ชาม เรียกว่า "โต่งปุ้น" (หน้า 328-330) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เย้ามีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชนชาติของตน กล่าวคือ ครั้งหนึ่งเย้าเคยมีอาณาจักรเป็นของตนเองกว้างใหญ่ไพศาล (หน้า 336) ถิ่นฐานเดิมของเย้าอยู่ตอนกลางของจีน บริเวณมณฑลฮูนาน เกียงสีและไกวเจา ภายหลังได้ย้ายลงมาตอนใต้บริเวณเขตมณฑลกวางตุ้ง กวางสี และยูนนาน เมื่อแผ่นดินแห้งแล้งและถูกเจ้าของประเทศรุกรานก็พากันอพยพลงมาอยู่บริเวณตังเกี๋ย เวียดนามเหนือ ลาวเหนือ รัฐเชียงตุงด้านตะวันออกของพม่าและภาคเหนือของไทย เย้าสืบเชื้อสายมาจากจีน มีชื่อเรียกขานและเครื่องแต่งกายต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น (หน้า 321-322) มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า พ้าวก๋อกับพ้าวต่อเป็นต้นตระกูลของเย้า พ้าวก๋อเป็นชาย พ้าวต่อเป็นหญิงทั้งคู่อาศัยอยู่ในแผ่นดินตอนเหนือของจีน มีบุตรทายาทสืบตระกูลสืบมา ภายหลังมาตั้งเมืองหลวงบริเวณเมืองน่ำกิง อาณาเขตของเย้าเวลานั้นกินอาณาบริเวณกว้างขวางจรดแม่น้ำใหญ่และทะเลหลวง ต่อมากษัตริย์เย้าสวรรคตหาผู้สืบสันตติวงศ์ไม่ได้ ประจวบกับดินฟ้าอากาศแปรปรวน เพาะปลูกไม่ได้ผล ข้าศึกศัตรูก็ยกทัพมาย่ำยี เย้าพากันอพยพหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองล่อขางฉวน ใกล้กวางตุ้ง แต่ก็มักถูกเจ้าของประเทศรุกรานเสมอ ต่อมาจีนทำสงครามกับฮวน ตาดได้เกณฑ์เย้ามาเป็นทหารแนวหน้า เย้าถูกพวกฮวนฆ่าตายมากเห็นว่าอยู่ไปก็ตายเปล่า จึงหนีภัยจากมณฑลกวางตุ้งมายูนนาน กวางสี อาศัยหลบอยู่ตามป่าเขา บ้านเมืองจีนยุคนั้นเดือดร้อนวุ่นวาย แตกเป็นก๊กเป็นเหล่า ก็มักรุกรานเผ่าอื่น เย้าบางพวกอพยพเข้าไปอยู่ในตังเกี๋ยเวียดนามเหนือ บ้างก็มาอยู่ลาวตอนเหนือ บ้างก็อยู่ตามภูเขาด้านตะวันออกของฝั่งโขง รัฐเชียงตุงของพม่า จึงได้ทยอยเข้ามาอยู่ในเขตภาคเหนือของไทยในที่สุด (หน้า 321-324) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของเย้ามักสร้างเป็นโรงเรือนขนาดยาว กว้างขวางใหญ่โต ตัวบ้านใช้ไม้ไผ่ล้วน มีเสาที่ใช้ไม้จริง หลังคามุงด้วยใบคา ใบก้อหรือฟากไม้ไผ่แบบแปลนบ้านเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า นิยมปลูกโรงคร่อมพื้นดิน ใช้พื้นดินแทนพื้นบ้าน มีเตาไฟ 2 เตาตั้งอยู่ตอนหน้าและตอนหลังใกล้ประตูบ้าน ที่รับแขกตอนหน้ายกร้านสูง ใช้เป็นที่นอนสำหรับรับแขก ห้องนอนกั้นเป็นห้อง ๆ มีแท่นบูชาวิญญาณบรรพบุรุษตั้งไว้ที่ข้างฝาในที่สูง ข้างบ้านมีโรงม้า ยุ้งข้าว คอกหมู เล้าไก่รอบบ้าน บางหมู่บ้านสร้างยุ้งข้าวติด ๆ กัน สวนข้างบ้านหรือหลังบ้านนิยมปลูกพืชผักผลไม้ (หน้า 25-26, 327-328) |
|
Demography |
เย้าในภาคเหนือของประเทศไทย (ในช่วงเวลาที่เขียนงานนี้ซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ.2506) มีทั้งหมด 12,000 คน คิดเป็น 1,300 หลังคาเรือน 80 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งมี 10 -30 หลังคาเรือน จังหวัดเชียงรายมีจำนวนประชากรถึง 7,000 คน ใน ต.ผาช้างน้อย อ.ปง (หน้า 325) เย้าบนดอยช้างทิศตะวันตก อ.เมือง จ.เชียงราย มีเย้าอยู่ 4 ตอนในเขตตำบลแม่กรณ์ คือ ที่บ้านผาหลั่งมีเย้า 25 หลังคาเรือน บ้านห้วยมะเลี่ยม 18 หลังคาเรือน บ้านใหม่ 40 หลังคาเรือน บ้านห้วยชมพู 200 หลังคาเรือนเศษ (หน้า 326) เย้าที่แต่เดิมอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองสิงห์ แขวงหัวของประเทศลาวมีจำนวน 22 หลังคาเรือน จำนวนนี้ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ดอยหลวง อำเภอเชียงของ จ.เชียงราย แล้วย้ายไปอยู่อำเภออื่นในจังหวัดเดียวกัน ก่อนข้ามไปอยู่ในอำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอนโยกย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อย ๆ แล้วกลับมาอยู่ที่ดอยแม่สะลอง อำเภอแม่จัน และบ้านโป่งผาหลั่ง กลุ่มเย้าที่อยู่บริเวณดอยผาแดง อ.เชียงคำ และดอยช้างน้อย ดอยภูลังกา อ.ปง จ.เชียงรายอยู่นานกว่าเย้ากลุ่มอื่น ๆ (หน้า 351) |
|
Economy |
เย้า ประกอบอาชีพปลูกข้าวบนพื้นที่สูง 600-1,000 เมตร นอกจากนี้ยังปลูกข้าวโพด ฝ้าย พริก ถั่ว มันเทศ มันฝรั่ง ฟักแฟง พืชผักและฝิ่น ทั้งยังเลี้ยงสัตว์เช่น ไก่ หมู ม้า ฬ่อ เย้ามีความสามารถทางการค้าขายมากกว่าทุกเผ่า สามารถนำหน่อไม้มาทำกระดาษไหว้เจ้า ทอผ้า ปั่นฝ้าย ปักไหม และสามารถนำต้นกัญชามาทอผ้า มีฝีมือปักชั้นเยี่ยม เย้าปลูกฝิ่นเป็นสินค้าสำคัญ ทั้งปลูกและซื้อขาย โดยจะเลือกปลูกให้พื้นที่ที่ดินดำแดงค่อนข้างหยุ่นตัว และมีหินปูน ครอบครัวหนึ่งทำไร่ไม่ต่ำกว่า 10 ไร่ ปลูกฝิ่น 3 ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็จะลำเลียงเข้าสู่หมู่บ้าน เย้าจะปลูกทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ข้าวเจ้ามี 8 พันธุ์ ข้าวเหนียวมี 4 พันธุ์ เย้ารับประทานข้าวนึ่ง ไม่นิยมหุง นิยมสูบบุหรี่มวนใบตองหรือกล้องยา และบ้องยา เคี้ยวหมากอย่างลีซอ แต่ไม่ดื่มสุรา มักต้มน้ำชาไว้ดื่มเสมอ มีธรรมเนียมการับประทานอาหารคล้ายคลึงกับจีน คือ การใช้ตะเกียบ ชอบทานไก่และเนื้อหมูไม่นิยมอาหารรสเผ็ดร้อน ชอบรสจืดๆ เค็ม ๆ ในเทศกาลจะมีการกินเลี้ยงอาหาร อาทิ ไก่ตอนต้ม ผักดอง เต้าหู้ หมูหัน ดื่มสุรากลั่นจากข้าวโพด (หน้า 334 -335) |
|
Social Organization |
เย้ามีการเกี้ยวพาราสีกันโดยใช้การร้องเพลงโต้ตอบกันเป็นสื่อ ถือเป็นประเพณีนิยมของเย้า ไม่มีการเขียนกลอนยาวหรือจดหมายจีบกัน หากชายหนุ่มร้องเพลงก่อนแล้วหญิงสาวไม่ร้องตอบ แสดงว่าไม่ชอบ หนุ่มเย้ามีการเที่ยวสาวและนัดแนะออกมาสนทนากันบริเวณลานดินใกล้หมู่บ้าน หากหญิงสาวพอใจรักใครก็มีเพศสัมพันธ์กันได้ ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนัก หญิงสาวเย้ามักเลือกชายที่ตนพึงพอใจเท่านั้น ถือว่าวัยสาวเป็นวัยที่มีเสรีภาพในการแสวงหาความสุข เมื่อตั้งครรภ์ก็มักแจ้งชื่อชายที่ตนชอบให้บิดามารดารับทราบ มีการเสียค่าปรับตามธรรมเนียมหมู่บ้าน หากชายพอใจหญิงสาวคนใด ก็จะจัดเฒ่าแก่ไปสู่ขอพร้อมนำของกำนัล เช่น กำไลมือโลหะเงิน ไก่ สุรา มามอบให้ มีการตรวจสอบดวงชะตาว่าต้องกันหรือไม่ หากหญิงตั้งครรภ์มีลูกติดโดยไม่เคยแต่งงานมาก่อน ถือว่าลูกนั้นเป็นลูกผีให้ มักไม่รังเกียจซ้ำค่าตัวหญิงมีลูกติดกลับแพงกว่าหญิงสาวทั่วไป เย้าเป็นชนเผ่าที่ใช้เงินในการแต่งงานมากกว่าชาวเขาทุกเผ่า ผู้ชายบางคนหากไม่มีเงินก็มักไปกู้มาสู่ขอ เป็นเหมือนการซื้อหญิงมาเป็นภรรยา ซ้ำหญิงที่เป็นภรรยาต้องทำงานหนักหาเงินให้สามีใช้หนี้ หญิงเมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่ต่างจากทาสของชาย ต้องทำงานทุกอย่าง เมื่อสามีเสียชีวิตก็ต้องอยู่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี หากแต่งงานใหม่ บุตรที่เกิดจากสามีเดิมจะนำไปด้วยไม่ได้ ต้องมอบให้พ่อแม่สามีเพราะเย้าต้องการลูกชายไว้สืบแซ่สกุล ถือชายเป็นใหญ่เช่นเดียวกับสังคมแม้ว ครอบครัวใดไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวเลย ก็มักไปหาซื้อเด็กชายมาสืบสกุล ซึ่งมักซื้อมาจากมูเซอแดง ชายมีสิทธิแต่งงานใหม่โดยไม่ต้องเลิกร้างจากภรรยาตนเอง และหญิงก็ไม่มีสิทธิหึงหวงหรือห้ามปราม ชายเย้ามีภรรยาได้ไม่เกิน 3 คน ภรรยาน้อยต้องเคารพเชื่อฟังภรรยาหลวงและนับถือเหมือนมารดาบังเกิดเกล้า การหย่าร้างมีน้อย ฝ่ายใดผิดจะถูกปรับไหม (หน้า 339-345) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านเย้าในจังหวัดน่านปัจจุบันมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านปกครอง กำนันที่บ้านเย้าเป็นตำแหน่งที่สืบทอดจากการสืบสกุลต่อกันมา 5 รุ่น (หน้า 326) ในหมู่บ้านเย้ามีคนซึ่งอายุเลยวัยกลางคนเป็นหัวหน้าปกครอง เมื่อเกิดคดีความใด ๆ ก็มักไต่สวนคดีความและตัดสินกันเอง หากเป็นคดีปล้นฆ่าจึงแจ้งที่อำเภอ หรือจับตัวส่งให้เจ้าหน้าที่ของทางบ้านเมือง (หน้า 350) |
|
Belief System |
เย้านับถือผีและดวงวิญญาณบรรพบุรุษ (ผีเรือน) แบ่งออกเป็น 3 รุ่นคือ รุ่นทวด รุ่นปู่ รุ่นบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำแท่นบูชาเรียก "เมี่ยนเตีย" เย้านับถือผีฟ้า เรียกว่า "เมี่ยนหุ่ง" ผีลม เรียกว่า "สะเตี๋ย" ผีหลวงเรียก "เจี่ยหุ่งเมี้ยน" ผีหลวงเป็นผีหมู่บ้านหรือผีประจำเมือง มีการเซ่นหมูทุกหลังคาเรือน ส่วนเมี่ยนเตียต้องเซ่นวันละ 3 เวลาโดยเฉพาะบ้านเย้าหัวโบราณ ในหมู่บ้าน มีหมอผีหรือหมอสอนศาสนาเป็นตัวแทนของพระเจ้า (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรม (หน้า 346) ในพิธีศพของเย้าจะยังมีการเสี่ยงทายไข่ไก่หาพื้นที่ฝังศพ มีการเซ่นผีเรือนแล้วนำอาหารมาเซ่นที่หลุมศพอีกด้วย การไว้ทุกข์มักแต่งชุดขาว มีการทำบุญให้ผู้ตาย (หน้า 350) ในพิธีกินข้าวใหม่ก็มีการฆ่าหมู ไก่และปลามาเซ่นดวงวิญญาณบรรพบุรุษ งานปีใหม่ของเย้า ชาวบ้านตีนเขาเรียกว่า "กินเจี๋ยง" แต่ชาวเหนือเรียก "กินวอ" มีการเลี้ยงสุราอาหาร งานปีใหม่มักมีการตำข้าวปุกและต้มสุราข้าวโพด สุราข้าวเปลือก นำไปเซ่นผีเรือนพร้อมหมูต้ม ไก่ต้มมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองและนำอาหารไปเซ่นหลุมฝังศพบรรพบุรุษ พร้อมยิงปืนขึ้นฟ้า (หน้า 347-348) |
|
Education and Socialization |
เย้าเป็นชนเผ่าที่มีการศึกษาในระบบของไทยดีกว่าเผ่าอื่น ๆ ทุกเผ่า (หน้า 328) บุตรหลานของเย้าที่จังหวัดน่านได้รับการศึกษาเล่าเรียนจากตัวเมือง (หน้า 326) |
|
Health and Medicine |
เย้ามีการเชื้อเชิญหมอผี (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) มาเสี่ยงทาย ดูว่าผีที่ไหนมาก็ไปส่งเคราะห์บนบาน ส่วนมากนิยมบนด้วยไก่ แต่หากเป็นมากมักใช้ทั้งหมูและไก่กับสุรา 1 ขวด หมอผีจะกล่าวขออภัยที่แทนผู้ป่วยที่ได้ล่วงเกินต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ป่วยเจ็บหนัก ก็มักกล่าวคำวิงวอนดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ให้ช่วยเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ ทำทุกวันจนกว่าจะหาย บ้างก็ต้มสมุนไพรรากไม้รับประทาน รู้จักยาแก้ไข้ควินินและยาแก้ปวด ปัจจุบันมักส่งผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง (หน้า 349) การคลอดบุตรมารดาทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมาทำคลอด 3 วันแรกห้ามไม่ให้มารดาลุกไปไหนให้อยู่ไฟ 20 วันหรือ 1 เดือน รับประทานไก่ต้ม ไข่ต้ม นำรกเด็กไปแขวนตามกิ่งไม้ (หน้า 345) เย้าเป็นเผ่าที่รักความสะอาด และรักษาสุขอนามัยอยู่เสมอ มักอาบน้ำซักเสื้อผ้า ล้างถ้วยล้างชามภาชนะต่าง ๆ ก่อนนำมาใส่อาหาร เย้าเกลียดความสกปรก (หน้า 328) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เย้ามีการเต้นรำอย่างมูเซอ เย้าถนัดในการร้องเพลง เนื้อเพลงมักแสดงถึงวัฒนธรรมของชนเผ่า มีความหมายลึกซึ้งไพเราะ เครื่องดนตรีของเย้าคล้ายจีน เช่น พิณแบบจีน ผ่าง ฆ้อง ปี่ชะวา ไม่มีแคนอย่างมูเซอและแม้ว ใช้แจ้งให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษมารับเครื่องเซ่นในพิธีต่าง ๆ หญิงมักมีเครื่องเป่าส่งสัญญาณนัดแนะระหว่างชายหนุ่ม ทำด้วยทองแดงขนาดเท่าไม้ขีดไฟ ใช้ปากคาบและใช้มือดีด (หน้า 333) |
|
Folklore |
เย้ามีการเชื้อเชิญหมอผี (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) มาเสี่ยงทาย ดูว่าผีที่ไหนมาก็ไปส่งเคราะห์บนบาน ส่วนมากนิยมบนด้วยไก่ แต่หากเป็นมากมักใช้ทั้งหมูและไก่กับสุรา 1 ขวด หมอผีจะกล่าวขออภัยที่แทนผู้ป่วยที่ได้ล่วงเกินต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ป่วยเจ็บหนักก็มักกล่าวคำวิงวอนดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ให้ช่วยเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ ทำทุกวันจนกว่าจะหาย บ้างก็ต้มสมุนไพรรากไม้รับประทาน รู้จักยาแก้ไข้ควินินและยาแก้ปวด ปัจจุบันมักส่งผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง (หน้า 349) การคลอดบุตรมารดาทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมาทำคลอด 3 วันแรกห้ามไม่ให้มารดาลุกไปไหนให้อยู่ไฟ 20 วันหรือ 1 เดือน รับประทานไก่ต้ม ไข่ต้ม นำรกเด็กไปแขวนตามกิ่งไม้ (หน้า 345) เย้าเป็นเผ่าที่รักความสะอาด และรักษาสุขอนามัยอยู่เสมอ มักอาบน้ำซักเสื้อผ้า ล้างถ้วยล้างชามภาชนะต่าง ๆ ก่อนนำมาใส่อาหาร เย้าเกลียดความสกปรก (หน้า 328) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เย้าในเขตสิบสองจุไทย ถูกชาวจีนเรียกว่า "ตินปานเย้า" กับ "ลันเตี้ยนเย้า" อยู่ในเขตเมืองไลและภูฝาง เย้าพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยถูกชาวจีนเรียกว่า "ตินปานเย้า" หรือ "เย้าภูเขา" ตั้งบ้านเรือนบนภูเขาสูง ส่วนเย้าเผ่าที่แต่งกายด้วยชุดดำ ไว้ผมยาว เกล้ามวยผม โพกผ้าที่ศีรษะ เสื้อดำปักไหมเป็นลาย มีไหมพรมแดงทำเป็นพู่ปุยติด ขอบเสื้อถึงเอว เรียกว่า "ลันเตี้ยน" หรือ "ลันแตน" อยู่ในดินแดนสิบสองปันนาและลาวตอนเหนือ (หน้า 324) ชนชาติเย้าสืบสายมาจากชาวจีน มักเรียกตนเองว่า "แข่" หมายถึง ชาวจีน คนจีนในมณฑลยูนนานมักเรียกชนเผ่านี้ว่า เย้ายิ่น แปลว่า "คนเย้า" ไทยลื้อและลาวเรียกว่า "ย้าว" จีนมักถือว่าเย้าเป็นพวกป่าเถื่อน จึงเรียกว่า "หม่าน" ในยูนนานมีพวกหม่านหรือเย้าถูกเรียกแตกต่างกันไปตามเครื่องแต่งกายและตามแต่ละท้องถิ่น ในเวียดนามเหนือแบ่งเย้าหรือหม่านเป็น 6 กลุ่ม คือ หม่านตาปัน หม่านกวางก๊ก หม่านเกาลาน หม่านกวางเกา หม่ายกวางตรัง หม่านลานแตน (หน้า 322) โดยทั่วไป เย้าจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายชาวจีน ผิวกายขาวเหลือง รูปทรงสมส่วน ประเปรียว ไม่นิยมสักหมึก ผมไม่หยิก ริมฝีปากบาง หญิงผิวขาวค่อนข้างท้วม มีเลือดฝาด เย้ารักความสะอาดนับเป็นชนชาติที่มีสุขอนามัย วัฒนธรรมและการศึกษาดีกว่าทุกเผ่า (หน้า 328) ชายเย้ามักพูดเก่ง พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก รู้จักต้อนรับแขกแปลกหน้า หญิงนิยมโกนคิ้ว แต่ไม่เขียนคิ้วหรือทารูซ นิยมเกล้าผมแล้วใช้ผ้าโพกศีรษะ สีดำมีลวดลายปัก ปิดมวยผมไว้ บางคนใช้ผ้าแถบสีขาวคาดทับไขว้บนผ้าโพกอีกชั้นหนึ่ง เย้ามีภาษาพูดและศัพท์เฉพาะเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าของตนเอง (หน้า 330, 331) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แต่เดิมเย้าเคยมีตัวหนังสือและภาษาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อทำการรบพุ่งกับจีนบ่อยครั้งต้องอพยพโยกย้ายเสมอ ประกอบกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่รู้หนังสือก็เสียชีวิตลงมาก ทำให้บุตรหลานไม่มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดเอกลักษณ์ทางภาษา ขาดผู้สอนและผู้สืบทอดจนกลายเป็นชนชาติที่ไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเองไป (หน้า 329) อย่างไรก็ดี เย้าจัดว่าเป็นชนเผ่าที่มีสุขอนามัยในชีวิตประจำวันและการศึกษาดีกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ (หน้า 328) |
|
Map/Illustration |
วิถีชีวิตของชาวเย้า (320, 352,356) หมู่บ้านชาวเย้า (352, 354) หญิงชาวเย้า (353, 353) แข่เย้า (354) เย้าหัวแดง (355) |
|
|