สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,นิทาน,โลกทัศน์,พะเยา
Author สุภาพร วิสารทวงศ์
Title วรรณกรรมไทยเย้าจากตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 350 Year 2529
Source ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก
Abstract

เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านของไทยเย้าในตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา มีเนื้อหาครอบคลุมวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทาน ภาพสะท้อนสังคมและโลกทรรศน์ทางสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น ชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม ที่ปรากฏในนิทานตามกฏวรรณกรรมพื้นบ้านของสติธ ธอมป์สัน (หน้า 68-70)

Focus

โลกทรรศน์ ภาพสะท้อนสังคม ประเพณี และวิถีชีวิต ที่ปรากฏในนิทานไทยเย้าตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้า ที่อาศัยอยู่บริเวณตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา

Language and Linguistic Affiliations

เย้ามีภาษาเป็นของตัวเอง ภาษาเย้าจัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต เป็นภาษาที่มีเสียงสูงต่ำ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากภาษาจีนค่อนข้างมาก ภาษาเย้าไม่มีตัวอักษรเป็นของตนเอง จึงใช้ตัวอักษรจีนในการเขียนภาษาเย้า เย้าที่อยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่พูดภาษาไทยเหนือได้พอรู้เรื่อง บ้างก็พูดไทยกลางได้ ส่วนคนสูงอายุจะพูดจีนกลางและจีนฮ่อได้ (หน้า 24)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

เย้าเป็นชนชาติที่เก่าแก่ อยู่ในจีน-ทิเบต ถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันออกของมณฑลไกวเจา มณฑลยูนนาน มณฑลฮุนหนำและมณฑลกวางสี ในประเทศจีน ต่อมาการทำมาหากินฝืดเคืองและถูกรบกวนจากเจ้าของประเทศ จึงอพยพลงมาทางใต้เรื่อย ๆ เย้าที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยอพยพมาจากลาวเป็นส่วนใหญ่ โดยตอนแรกจะอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน แต่ต่อมาถูกขับไล่เนื่องจากพื้นที่บริเวณประเทศลาวไม่พอทำกิน นายจั่นควร แซ่ตั้ง จึงเข้ามาติดต่อขอพื้นที่ทำกินบริเวณตอนเหนือของจังหวัดน่านและทางตะวันออกของจังหวัดเชียงรายจากเจ้าราชวงศ์น่าน อันได้แก่ บริเวณภูลังกา เทือกเขาผีปันน้ำ ตลอดจนพื้นที่ตำบลผาช้างน้อยในปัจจุบัน ซึ่งต้องมีการจ่ายบรรณาการทุก ๆ ปี ต่อมานายจั่นควร แซ่ตั้ง ได้รับแต่งตั้งเป็น "พญาคีรีศรีสมบัติ" ปกครองชาวชุมชนเย้าแถบนั้นตลอดมา และเมื่อมีพระราชบัญญัตินามสกุลในสมัยรัชกาลที่ 6 ผู้ที่นามสกุลแซ่ตั้งก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุล "ศรีสมบัติ" ตามราชทินนามของนายจั่นควร แซ่ตั้ง ผู้เป็นต้นตระกูล ต่อมาตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านมักเป็นของบุตรหลานที่สืบเชื้อสายมาจากพญาคีรีศรีสมบัติทั้งสิ้น (หน้า 16,17,21)

Settlement Pattern

เย้านิยมตั้งบ้านเรือนบนไหล่เขา บริเวณต้นน้ำลำธาร สูงประมาณ 3,000-3,500 ฟุต นิยมปลูกบ้านคร่อมดินโดยใช้ดินเป็นพื้นบ้าน ลักษณะบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้ามุงหลังคาด้วยหญ้าคาหรือใบหวาย ฝาบ้านจะเป็นไม้เนื้ออ่อนผ่าด้วยขวานและลิ่ม แล้วถากให้เรียบ การกั้นฝาบ้านจะกั้นในแนวตั้ง บ้างก็ใช้ไม่ไผ่หรือฟางข้าวผสมดินโคลนก่อเป็นกำแพงฝาผนัง ภายในบ้านหากมีสมาชิกหลายคนจะแบ่งเป็นห้อง ๆ ด้านหลังมีประตูทางเข้า 2 ข้าง ด้านหน้ามี 1 ประตูเรียกว่าประตูผี โดยปกติจะปิดตาย จะเปิดใช้ก็ต่อเมื่อส่งลูกสาวออกไปแต่งงานหรือนำลูกสะใภ้เข้าบ้าน และใช้ยกศพออกจากบ้าน (หน้า 21)

Demography

อำเภอปงแบ่งการปกครองออกเป็น 6 ตำบล คือ ตำบลควร มี 13 หมู่บ้าน ตำบลงิม มี 17 หมู่บ้าน ตำบลนาปรัง มี 6 หมู่บ้าน ตำบลปง มี 14 หมู่บ้าน ตำบลออย มี 11 หมู่บ้าน และตำบลผาช้างน้อย มี 7 หมู่บ้าน ประชากรในตำบลผาช้างน้อย(สำรวจปี 2528) มีทั้งสิ้น 2,763 คน ประกอบไปด้วย 7 หมู่บ้านได้แก่ บ้านใหม่ปางค่า บ้านห้วยกอก บ้านปางพริก บ้านปางมะโอ บ้านน้ำต้ม ซึ่งทั้ง 5 หมู่บ้านดังกล่าวจะเป็นไทยเย้า ส่วนอีก 2 หมู่บ้าน คือ บ้านปางมะค่าเหนือ และบ้านสิบสองพัฒนา จะเป็นแม้ว (หน้า 19)

Economy

ไทยเย้ามีความขยันขันแข็งมาก รายได้ของไทยเย้าจึงสูงกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ แต่เดิมมีความชำนาญในการปลูกฝิ่นมาก ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจดี ไทยเย้าทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย ส่งผลให้ป่าไม้ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้แก่ ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด และมันฝรั่ง (หน้า 23)

Social Organization

ชาวไทยเย้าเปิดโอกาสให้ชายหญิงได้เลือกคู่ครองด้วยตนเอง หากทั้งคู่พึงใจต่อกันสามารถร่วมหลับนอนกันได้ หลังจากนั้นหากไม่พอใจกันก็สามารถเลิกราไปหาคนที่ถูกใจคนใหม่ได้ ไทยเย้าให้ความสำคัญกับบุพการีอย่างสูงสุด โดยให้ความสำคัญกับพ่อแม่มากกว่าภรรยา ผู้เป็นสะใภ้จะต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของพ่อแม่สามีอย่างเคร่งครัด การแต่งงานของไทยเย้าแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือแต่งงานเล็ก เรียกว่า "โจ๋วชิงต้า" และแต่งงานใหญ่ เรียกว่า "ต้มโจ๋วชิงต้า" งานแต่งงานเล็กนั้นจะทำที่บ้านฝ่ายหญิง โดยฝ่ายหญิงต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เลี้ยงอาหารแขกเพียงมื้อเดียว ไม่มีพิธีให้โอวาท แต่จะมีการประกาศสัญญาสิ่งที่ฝ่ายชายจะกระทำต่อฝ่ายหญิง ส่วนพิธีแต่งงานใหญ่จะทำที่บ้านฝ่ายชาย เป็นพีธีที่มีความยิ่งใหญ่และสิ้นเปลือง กินเลี้ยงกัน 3 วัน 3 คืน คืนแรกให้บ่าวสาวพักในกระต๊อบเล็ก ๆ วันรุ่งขึ้นต้องนำเจ้าสาวมาเข้าประตูผี มีการฟ้อนรำของผู้ชายในตอนเที่ยงคืนจนถึงรุ่งสางของวันที่ 3 จึงจะมีพิธีไหว้ และอบรมสั่งสอนบ่าวสาวเกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติในการครองเรือน (หน้า 25, 26, 71)

Political Organization

ชาวไทยเย้าจะไม่มีหัวหน้าเผ่าหรือหัวหน้าใหญ่ที่มีอำนาจในการปกครองหมู่บ้าน มีแต่หัวหน้าที่ได้รับการคัดเลือกมาจากผู้อาวุโสของหมู่บ้าน เมื่อเกิดคดีต่าง ๆ ขึ้นภายในหมู่บ้านพวกเย้าจะตัดสินความกันเอง นอกจากคดีปล้นสะดม หรือฆ่ากันตาย จึงจะนำความไปแจ้งเจ้าหน้าที่อำเภอ (หน้า 22-23)

Belief System

ความเชื่อ ไทยเย้ามีความเชื่อเรื่องภูติผี โดยเชื่อว่าทุกหนทุกแห่งมีผีสิงสถิตอยู่ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ผีดีและผีร้าย ผีดีจะอยู่บนสวรรค์ ส่วนผีร้ายจะอยู่ตามป่าเขา ชาวไทยเย้าจะต้องไหว้ผีเรือนและผีบรรพบุรุษเป็นประจำ บ้านที่ค่อนข้างหัวโบราณจะไหว้วันละ 3 เวลา ในหมู่บ้านเย้าจะมีหมอสอนศาสนาสำหรับเป็นผู้นำในการประกอบพิธีต่าง ๆ เรียกว่า "ซิมเมี้ยนเมี่ยน" ประเพณีและพิธีกรรม ประเพณีขึ้นปีใหม่ เรียกว่า "เจียงเหียง" มีกำหนด 3 วัน วันแรกทุกบ้านจะต้องมีพิธีเซ่นผีเรือน ด้วย หมู ไก่ สุรา ที่บริเวณหลุมศพบรรพบุรุษที่ป่าช้า พร้อมกับเผาชื่อของบรรพบุรุษพร้อมกระดาษเงินกระดาษทอง มีการยิงปืนขึ้นฟ้าในตอนเย็น วันที่สองเป็นวันขึ้นต้นปีใหม่ ยิงปืนขึ้นฟ้า 4 นัด นำดอกไม้เครื่องหอมมาบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ ขอพรให้ร่ำรวยมีความสุข วันที่สามเป็นวันจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองและเดินทางไปเยี่ยมเยียนกันภายในหมู่บ้าน (หน้า 25) งานศพ ถ้าเด็กตายต้องเซ่นดวงวิญญาณด้วยการฆ่าไก่ 1 ตัว แต่ถ้าผู้ใหญ่ตายต้องฆ่าหมู 1 ตัว สถานที่ฝังศพจะใช้การเสี่ยงทายโดยการโยนไข่ไก่ ถ้าไข่ไก่แตกบริเวณใดก็ฝังศพบริเวณนั้น ส่วนการไว้ทุกข์นั้นแต่งกายด้วยสีขาว(หน้า 26-27) พิธีกินข้าวใหม่ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวไร่เสร็จ ทุกบ้านจะต้องนำหมู ไก่ ปลา และข้าว มาทำพิธีเซ่นสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษก่อนที่บุคคลในครอบครัวจะรับประทานข้าวใหม่และอาหารนั้น การบวช มีสองแบบคือบวชน้อยหรือ "กั้วตั้ง" ผู้บวชต้องมีอายุ 12 ปีขึ้นไป จะใช้เวลา 2-3 วัน อีกแบบหนึ่งคือบวชใหญ่ หรือ "โต้ยไช" ผู้บวชต้องผ่านพิธีบวชน้อยมาก่อน ระหว่างที่บวชห้ามรับประทานเนื้อสัตว์และน้ำมันหมู สำรวมกายวาจาและอารมณ์ ห้ามยุ่งเกียวกับผู้หญิง (หน้า 27)

Education and Socialization

ชาวไทยเย้าจะยกย่องผู้ที่มีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ ด้านหมอผี หรือแม้แต่คาถาอาคมก็ตามดังที่ปรากฏในนิทานหลาย ๆ เรื่อง ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ทำให้ชาวไทยเย้านิยมส่งลูกหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียนของรัฐบาลเป็นจำนวนมากกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ ซึ่งก็พบว่ามีชาวไทยเย้าจำนวนมากที่ได้ประกอบอาชีพรับราชการครู ทหาร พยาบาล หรือเป็นผู้ชำนาญการในสาขาวิชาต่าง ๆ อีกด้วย

Health and Medicine

เมื่อมีสมาชิกในบ้านเกิดจ็บป่วยขึ้นมาจะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ด้วยหมูหรือไก่ นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ทำหน้าที่รักษาคนป่วยหรือเป็นหมอประจำหมู่บ้านเรียกว่า "ซิมเมี้ยนเมี่ยน" (หน้า 23-24)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของผู้หญิงเย้า จะทาผมด้วยขี้ผึ้งจนเหนียวและพันด้วยผ้าสีแดง ตามด้วยผ้าสีน้ำเงินปนดำ การโพกศีรษะแต่ละท้องถิ่นจะไม่เหมือนกัน สวมเสื้อคลุมสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มยาวถึงข้อเท้า เวลาสวมชายด้านหน้าทั้งสองจะแฉกไขว้กันแล้วพันรอบเอวไปผูกเงื่อนด้านหลัง ส่วนแผ่นหลังปล่อยไว้ปิดด้านหลัง ใช้รองนั่งกันกางเกงเปื้อน ผู้หญิงเย้าจะนุ่งกางเกงทำจากผ้าสีน้ำเงินเข้มปนดำ ปักลวดลายที่ขากางเกง สีสันสะดุดตาเมื่อสวมเสื้อนุ่งกางเกงแล้วคาดด้วยผ้าคาดเอวเช่นเดียวกับผ้าโพกศีรษะ ส่วนเครื่องประดับบนร่างกายและเสื้อผ้าล้วนทำมาจากเงินทั้งสิ้น การแต่งกายของผู้ชายเย้า นุ่งกางเกงขายาวสีดำคล้ายกางเกงจีน ขลิบขอบกางเกงด้วยไหมสีแดง สวมเสื้อดำอกไขว้แบบเสื้อคนจีน ติดกระดุมที่คอและรักแร้เป็นแนวลงไปถึงเอว กระดุมเป็นรูปกลม ๆ ที่ทำจากเงิน ปัจจุบันผู้ชายเย้าไม่นิยมสวมเครื่องแต่งกายแบบประเพณีเดิม หันมาแต่งกายคล้ายคนไทยพื้นราบมากขึ้น ส่วนผู้หญิงยังคงรักษาแบบดั้งเดิมไว้อยู่ (หน้า 22-23)

Folklore

นิทานไทยเย้าที่รวบรวมได้มีทั้งหมด 75 เรื่อง จำแนกประเภทตามรูปแบบนิทานได้ดังนี้ นิทานทรงเครื่อง นิทานคติ นิทานเรื่องสัตว์ นิยายชีวิต นิทานมุขตลกและนิทานเรื่องผี นิทานเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงโลกทรรศน์ของชาวไทยเย้าในด้านต่าง ๆ ได้แก่โลกทรรศน์ที่ไทยเย้ามีต่อมนุษย์ ต่อธรรมชาติ และต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โลกทรรศน์ที่ไทยเย้ามีต่อมนุษย์ โลกทรรศน์ต่อสถานภาพของมนุษย์ เช่น ไทยเย้าจะนิยมยกย่องผู้ที่มีฐานะดี สตรีต้องมีความขยันขันแข็งมีสติปัญญา เป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดี ส่วนบุรุษต้องมีความขยันขันข็ง กล้าหาญ มีติปัญญา นิยมประกอบอาชีพค้าขาย และยกย่องผู้ที่มีความรู้และนิยมส่งลูกหลานให้เรียนสูง ๆ โลกทรรศน์ที่มีต่อระบบครอบครัวและเครือญาติ ได้แก่ ชายหญิงมีโอกาสเลือกคู่ครองด้วยตนเองอย่างเสรี พ่อแม่มีความสำคัญมากกว่าภรรยา บุตรพึงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ พี่มีหน้าที่อุปการะน้อง เด็กต้องเชื่อฟังผู้อาวุโส โลกทรรศน์ที่มีต่อกลุ่มชนและสังคม ได้แก่ ถือว่าชนชั้นปกครองคือบุคคลธรรมดา นิยมความเป็นอิสระ มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครอง นิยมประชาธิปไตย โลกทรรศน์ที่มีต่อเชื้อชาติ ได้แก่ การไม่รังเกียจคนต่างเผ่า โลกทรรศน์ที่มีต่อการดำเนินชีวิต ได้แก่ นิยมความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตาธรรม ยึดถือความกตัญญู โลกทรรศน์ต่อจารีตประเพณี ได้แก่ รักความสนุกสนาน นิยมความสวยงาม ตัวอย่างนิทานที่แสดงให้เห็นว่าไทยเย้ายกย่องคนมีฐานะดีได้แก่เรื่อง "เซียวฟุ้งซิ่น" เซียวฟุ้งซิ่นเป็นชายหาปลาที่ยากจนมาก ได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าเมือง เจ้าเมืองไม่พอใจและรังเกียจลูกเขยมาก ต่อมาเซียวฟุ้งซิ่นค้นพบแหล่งทองคำมีฐานะร่ำรวยขึ้น เจ้าเมืองก็ให้การยอมรับ และยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้ โลกทรรศน์ที่ไทยเย้ามีต่อธรรมชาติ ได้แก่ มีความผูกพันกับธรรมชาติ เห็นว่าธรรมชาติเป็นแหล่งขุมทรัพย์ มีความรักและหวงแหนธรรมชาติ เชื่อว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติย่อมมีสาเหตุ เชื่อว่าธรรมชาติเกี่ยวข้องกับผี ตัวอย่างนิทานที่แสดงให้เห็นว่าไทยเย้าเชื่อว่าธรรมชาติเกี่ยวข้องกับผี ได้แก่เรื่อง ผีต้นไม้ กล่าวถึงผีต้นไม้แปลงร่างเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีแอบมาหลับนอนกับสาวเย้า เมื่อหญิงสาวทราบว่าชายหนุ่มไม่ใช่มนุษย์ จึงนำเรื่องไปบอกชาวบ้าน ผีต้นไม้โกรธมาก จึงสาปนางให้กลายเป็นใบ้ตลอดชีวิต โลกทรรศน์ของไทยเย้าที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ได้แก่ เชื่อในเรื่องดวงวิญญาณและภูติผีปีศาจ เชื่อเรื่องขวัญ เชื่อเรื่องดวงชะตาราศี เชื่อเรื่องภพชาติ เชื่อในกฏแห่งกรรม เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เชื่อเรื่องพรหมลิขิต และเชื่อเรื่องคาถาอาคม ตัวอย่างนิทานที่แสดงให้เห็นว่าไทยเย้ามีความเชื่อเรื่องสวรรค์มีจริง ได้แก่เรื่อง ปลาช่อน กล่าวถึง นางฟ้าแปลงร่างเป็นปลาช่อน ที่ตายายคู่หนึ่งเก็บมาเลี้ยง เมื่อตายายออกไปทำไร่ ปลาช่อนกลายร่างออกมาเป็นมนุษย์ช่วยทำงานบ้าน และทำกับข้าวไว้ให้ตากับยายทุกวัน ตายายสงสัยจึงแอบดูและรู้ความจริงว่าเป็นปลาช่อนตัวที่เลี้ยงไว้นั่นเอง เมื่อความจริงปรากฏนางฟ้าไม่สามารถอยู่บนโลกได้ต่อไป นางฟ้าจึงได้นำตากับยายขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วย

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ปรากฏ

Social Cultural and Identity Change

เนื่องจากไทยเย้ามีการติดต่อสื่อสารกับคนไทยลานนาอยู่เสมอ จึงรับเอาวัฒนธรรมของไทยลานนามามากมาย และพร้อมที่จะนำเอาวัฒนธรรมใหม่เหล่านี้มาปรับใช้ในท้องถิ่นของตนอีกด้วย ดังที่ปรากฏในนิทานเรื่อง การศึกษาต่อ ปริญญา ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ตะวันออกกลาง และศาลาไทย (หน้า 51) นอกจากนี้การค้าขายระหว่างไทยเย้ากับไทยลานนายังส่งผลให้ไทยเย้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและทันสมัยมากขึ้น สังเกตได้จากการมีข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัยกว่าในอดีต เช่น วิทยุ เครื่องบันทึกเสียง หม้อหุงข้าวไฟฟ้า จักรยานยนต์ แม้กระทั่งรถยนต์ เมื่อชาวไทยเย้ามองเห็นประโยชน์ที่ได้จากการปรับตัวให้เข้ากับคนต่างถิ่น เห็นว่าต้องพึ่งพาอาศัยคนต่างถิ่นโดยเฉพาะคนไทยลานนา จึงเริ่มรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทยมากขึ้น ทำให้นิยมส่งลูกหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียนรัฐบาลมากขึ้นเป็นลำดับ (หน้า 71)

Map/Illustration

มีการนำแผนที่และภาพถ่ายของชาวไทยเย้าเพื่อประกอบการอธิบายข้อมูลให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น อันได้แก่ แผนที่สังเขปแสดงอาณาเขตของจังหวัดพะเยา แผนที่สังเขปอำเภอปง แผนที่แสดงถิ่นของชาวไทยเย้าจำแนกตามอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน แผนที่แสดงถิ่นของชาวไทยเย้าในตำบลผาช้างน้อย ภาพถ่ายของวิทยาผู้ให้ข้อมูล ภาพถ่ายการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชาวไทยเย้าอันได้แก่ การเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง การทำพิธีเรียกผีบรรพบุรุษ

Text Analyst มุจลินทร์ ลักษณะวงษ์ Date of Report 18 ส.ค. 2557
TAG เย้า, นิทาน, โลกทัศน์, พะเยา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง