|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อูรักลาโว้ย,ชาวเล,วิถีชีวิต,การจัดสวัสดิการ,ภูเก็ต,พังงา,ภาคใต้ |
Author |
ธนา วสวานนท์ |
Title |
แนวทางในการจัดสวัสดิการให้แก่ชนกลุ่มน้อยในจังหวัดภาคใต้ : จากกรณีศึกษาเรื่องของชาวเลในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
178 |
Year |
2523 |
Source |
หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ผู้เขียนได้ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ของชาวเลในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงา โดยศึกษาเกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ การศึกษา สุขอนามัย และบริการด้านต่างๆ ที่ได้รับในปัจจุบัน และได้การสำรวจความต้องการด้านสวัสดิการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ ยังศึกษาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชนกลุ่มน้อยชาวเลในเขตพื้นที่ศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้เน้นถึงสาเหตุสำคัญของปัญหาว่ามาจากความยากจน และการที่คนในพื้นที่ปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยชาวเลอย่างมีเงื่อนไข ประกอบกับภาครัฐยังไม่มีนโยบายด้านสวัสดิการ หรือส่งเสริมการพัฒนาชนกลุ่มน้อยชาวเลที่ชัดเจน จากประเด็นศึกษาทั้งหมดข้างต้น ผู้เขียนได้สรุปผลการศึกษาเป็นแนวทางในการจัดสวัสดิการให้แก่ชนกลุ่มน้อยชาวเลในจังหวัดภาคใต้ เพื่อนำข้อมูลเสนอหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป (หน้า 146-157) |
|
Focus |
แนวทางการจัดสวัสดิการเพื่อพัฒนา ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ และสำรวจความต้องการด้านสวัสดิการของชาวเลในจังหวัดภูเก็ตและพังงา |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล หรือชาวน้ำ ที่อพยพร่อนเร่ทำมาหากินบริเวณจังหวัดภาคใต้ของไทย (ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูล) กลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากชนพื้นเมืองในประเทศมาเลเซีย หรืออินโดนีเซียตอนเหนือ ผู้เขียนได้อ้างผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านชาติพันธุ์ของชาวเลเพื่อบอกถึงลักษณะทางชาติพันธุ์ว่าเป็นกลุ่มชนที่มักตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเกาะน้อยใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เรียกชาวเลว่า "ไทยใหม่" (หน้า 40) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวเลมีภาษาพูดเป็นของตนเองคล้ายภาษามาเลย์ ซึ่งมีรากเหง้าของภาษามาจากถิ่นเดียวกัน (หน้า 30-32) ส่วนชาวเลในพื้นที่ศึกษาจังหวัดพังงามีภาษาพูดเป็นของตนเองแตกต่างจากชาวเลในจังหวัดภูเก็ต (หน้า 44,49) โดยทั่วไปจะใช้ภาษาไทยกลางในลักษณะผสม แต่ส่วนใหญ่อ่านและเขียนภาษาไทยยังไม่ได้ (หน้า 91-92) |
|
Study Period (Data Collection) |
รวมระยะเวลาในการศึกษา 10 เดือน (เตรียมแบบสอบถามและทำการทดสอบ 3 เดือนเก็บข้อมูลภาคสนาม 3 เดือน, วิเคราะห์และสรุปผล 4 เดือน - ไม่ระบุช่วงเวลา) |
|
History of the Group and Community |
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าชาวเลในพื้นที่ศึกษาเริ่มอพยพมาตั้งถิ่นฐานเมื่อใด แต่ปรากฏในเอกสารว่าในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แหลมมลายู หรือชื่อเดิมเรียก แหลมสการามาเซ็ม ตั้งแต่บริเวณคอคอดกระของไทยลงไปเป็นถิ่นเดิมที่ชาวเลอาศัยอยู่ก่อนจะอพยพมาไทย ซึ่งในอดีตมีคน 4 จำพวกอาศัยอยู่ คือ กาฮาซี ซาไก เซียมัง และ โอรังลาโอด หรือไทยเรียกว่า "ชาวน้ำ" ที่มักอาศัยอยู่ตามเกาะและชายชายฝั่งทะเลตะวันตก มีเรือเป็นพาหนะเร่ร่อนไม่เป็นที่ ต่อมามีพวกเม๊ง (มอญ) จากแคว้นสุวรรณภูมิเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ประปรายตามบริเวณนี้ และมีการติดต่อทางเรือระหว่างชาวอินเดียจากชมพูทวีปมากขึ้น จึงทำให้คนพวกนี้เป็นคนเถื่อนไปโดยธรรมชาติ (หน้า 29-31) |
|
Settlement Pattern |
เมื่ออพยพมาสู่ประเทศไทยแล้ว ต่อมามีการอพยพเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างชาวเลกลุ่มเล็กๆ เพื่อแสวงหาแหล่งทำมาหากินที่ดีกว่าไปเรื่อยๆ กระจัดกระจายตามชายฝั่งทะเล และหมู่เกาะต่าง ๆ ตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปถึงจังหวัดสตูล (หน้า 30-31) เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ชาวเลไม่สร้างบ้านเรือนที่ถาวร ดังนั้นชาวเลส่วนใหญ่จึงไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ความถนัดในอาชีพประมงเพียงอย่างเดียวทำให้ชาวเลต้องการอยู่อาศัยบริเวณติดชายฝั่งทะเละเท่านั้น ซึ่งทางราชการไม่สามารถจัดสรรที่ดินที่ติดชายทะเลดังกล่าวให้ได้ ชาวเลจึงอาศัยอยู่ในที่ดินที่มีเจ้าของโดยเฉพาะในพื้นที่ศึกษาบริเวณเกาะสิเหร่ และท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ตมีเป็นปัญหาชาวเลอพยพ และส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายไปอยู่ในสถานที่ทางราชการจัดให้ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากทะเลและแหล่งทำมาหากิน (หน้า 4,64-66,118-120) ปัจจุบันชาวเลในบางหมู่บ้านเริ่มสร้างบ้านแบบอยู่อย่างถาวร (หน้า 31) |
|
Demography |
ชุมชนชาวเลในจังหวัดภูเก็ต 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านสะบำ มีจำนวนประชากรประมาณ 90-100 คน หมู่บ้านหาดราไวย์ มีประชากรประมาณ 750-800 คน และหมู่บ้านแหลมตุ๊กแก มีจำนวน 80 ครัวเรือน ส่วนชุมชนชาวเลในจังหวัดพังงา 2 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านไทยใหม่ มีจำนวน 53 ครัวเรือน และหมู่บ้านขนิม มีจำนวน 19 หลังคาเรือน (หน้า 41-45) ชาวเลส่วนใหญ่มีบุตรระหว่าง 3-4 คน (หน้า 21, 62) ในพื้นที่ศึกษามีปัญหาการเสียชีวิตของบุตรชาวเลในอัตราสูงสาเหตุมาจากการที่ไม่พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนที่จำเป็นให้ครบทุกชนิดตามที่ทางสาธารณสุขกำหนดซึ่งมีผลทำให้เด็กเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ง่าย ประกอบกับชาวเลส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมคุมกำเนิดจึงมีผลกระทบถึงการดำรงชีวิตและปัญหาสุขภาพอนามัย (หน้า 105-109) |
|
Economy |
ชาวเลมีอาชีพทำประมงเป็นหลัก และเนื่องจากไม่มีความถนัดอย่างอื่น งานที่ทำได้นอกจากนั้นคืออาชีพรับจ้าง ซึ่งชาวเลเองยอมรับสภาพการจ้างงานและสภาพงานนั้น เช่น การจ้างงานที่ไม่ต่อเนื่อง การจ่ายค่าจ้างในเป็นอัตราที่ถูกกว่าค่าจ้างชาวพื้นเมือง (หน้า 55-61, 73,67,74) ชาวเลมีรายได้ต่ำ ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา ทำให้มีสภาพที่ยากจน และขาดแคลนในการดำรงชีวิต (หน้า 70-71,81,126) แม้ชาวเลจะมีฐานะยากจน แต่ก็ไม่นิยมการกู้ยืม เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงประกอบกับยังไม่มีหลักแหล่งประกอบอาชีพที่มั่นคง หรืออยู่ในฐานะที่ดีพอจะรับผิดชอบหนี้สินได้ (หน้า 68-69, 84-85) อย่างไรก็ดี ในฤดูที่ชาวเลสามารถออกเรือทำการประมงได้ ก็จะมีรายรับจากการทำงานมากพอเก็บออมได้บ้าง (หน้า 72) สินค้าที่ได้จากการทำประมงชาวเลส่วนใหญ่จะขายผ่านคนกลางที่มารับซื้อถึงบริเวณหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ ซึ่งราคารับซื้อสินจากทะเลที่คนกลางรับซื้อจากชาวเลและชาวประมงพื้นเมืองแตกต่างกัน (หน้า 72-79) และแม้จะมีอาชีพหลักคือการทำประมงแต่มีชาวเลจำนวนน้อยมากที่มีเรือหาปลาเป็นของตนเอง เนื่องจากขาดเงินลงทุนในการประกอบอาชีพ (หน้า 83-87) ชาวเลส่วนใหญ่จึงออกเรือประมงในฐานะลูกเรือ ที่ได้ค่าแรงจากเจ้าของเรือ (หน้า 57) ในพื้นที่ศึกษาไม่มีชาวเลครอบครัวใดมีอาชีพเพาะปลูก (หน้า 55-56) |
|
Social Organization |
ไม่ค่อยมีการหย่าร้างในสังคมชาวเล (หน้า 54) ในครอบครัวชาวเลส่วนใหญ่จะมีสมาชิกที่ประกอบอาชีพเพียง 1 คนเท่านั้น (หน้า 57-58) และสืบเนื่องจากตามประเพณีทำบุญเดือนสิบของภาคใต้ จะมีการจ้างให้คนมาแสดงบทบาทเป็นเปรตเพื่อรับส่วนบุญ จึงทำให้มีชาวเลจำนวนมากที่ยังอยู่ในวัยทำงานมักมีการกระทำคล้ายขอทานซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทางจังหวัดควบคุมดูแลอยู่ (หน้า 46-47,124) นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐยังมีไม่เพียงพอต่อชาวเลที่ต้องการรับบริการ ไม่ว่าจะเป็นงานประชาสงค์เคราะห์ หรืองานพัฒนาชุมชน ยกเว้นงานอนามัย (หน้า 126-127,132 ) ในชุมชนชาวเลที่ศึกษายังขาดแคลนแม้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แหล่งกักเก็บน้ำ ไฟฟ้า (หน้า 128-131) |
|
Political Organization |
ชาวเลเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนน้อยจึงไม่มีปัญหาทางด้านการปกครอง (หน้า 2) เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สารวัตรกำนัน ฯลฯ มีบทบาทในการปกครอง และประสานงานระหว่างหน่วยราชการกับชุมชนชาวเล (หน้า 40,93) ชาวเลในพื้นที่ศึกษา มีความสนใจและแสดงความคิดเห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มตนเองว่าแร้นแค้นขาดแคลน และบุคคลภายนอกมักปฏิบัติต่อกลุ่มของตนด้วยความเอารัดเอาเปรียบ จากการที่ต้องทำตามเงื่อนไขของเจ้าของที่ดินที่ตนอาศัย (หน้า 5,42-44,55) ทางราชการจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการจัดทำโครงการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยให้ แต่ไม่สำเร็จ เพราะที่ดินอยู่ไกลจากทะเล ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการทำอาชีพประมง(หน้า 64,65) |
|
Belief System |
ชาวเลจะนับถือศาสนาตามประชากรส่วนใหญ่ที่ชาวเลอพยพมาอยู่อาศัย แต่เป็นแบบไม่เคร่งครัด เช่น นับถือศาสนาพุทธและยังคงรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อดั้งเดิมเหนียวแน่น เช่น พิธีการเกิด จะนิยมให้หมอตำแยที่เป็นชาวเลด้วยกันประกอบพิธีทำคลอด พิธีการแต่งงาน เป็นแบบเรียบง่าย ไม่มีงานเลี้ยงใดๆ ส่วนพิธีการตาย จะนำศพที่ห่อด้วยฟากไม้ไผ่หามไปสู่ป่าช้า ใช้วิธีฝังเป็นหลัก บางครั้งนำไปฝังในถ้ำบนเกาะต่าง ๆ ชาวเลยังนับถือผีบรรพบุรุษ โดยชาวเลแต่ละเกาะจะนับถือบรรพบุรุษต่างองค์กัน มีชื่อเรียกต่างกันไป ซึ่งจะสร้างศาลเจ้าไว้เพื่อบูชาในแต่ละเกาะ (หน้า 32-35,38,53) ชาวเลมีประเพณีที่สำคัญคือ พิธีลอยเรือพระเคราะห์ในเดือน 10 เป็นการเสี่ยงทายเกี่ยวกับโชคลาภในการทำมาหากิน และลอยเคราะห์กรรมออกไป นอกจากนั้นยังมีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ โดยเฉพาะการรักษาโรคด้วยเวทย์มนต์คาถา (หน้า 103-104) อย่างไรก็ดี ความเชื่อถือดั้งเดิมเริ่มเสื่อมคลายลง เมื่อรับเอาวัฒนธรรมอย่างใหม่เข้าใช้ปะปน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีหมอศาสนาคริสต์เดินทางเข้าไปเผยแพร่ศาสนาในชุมชนพร้อมกับให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ (หน้า 32-42,53) |
|
Education and Socialization |
เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของการให้เด็กมาเป็นแรงงานในครอบครัวมากกว่าให้เรียนหนังสือ ดังนั้นเด็กๆ ชาวเลจำนวนมากจึงเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ จากการศึกษาพบว่ามีชาวเลที่อ่านภาษาไทยไม่ได้จำนวนมากที่สุด คณะมิชชั่นนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา มีการจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ในชุมชนเป็นสวัสดิการ (หน้า 89-90,94) นอกจากปัญหาความขาดแคลน ชาวเลมักมีทัศนคติต่อตนเองว่าไม่ฉลาด และไม่ได้รับการยอมรับจากคนพื้นเมืองเท่าที่ควรซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้ปกครองไม่ค่อยสนับสนุนให้เด็กเข้าเรียนอย่างจริงจัง (หน้า 96-99) |
|
Health and Medicine |
ชาวเลมีรายได้ต่ำ ทำให้ส่งผลกระทบถึงการดำรงชีวิต ไม่ค่อยสนใจเรื่องอนามัยของตนเองและความสะอาดของหมู่บ้าน จึงทำให้มีปัญหาด้านสุขอนามัย และสุขาภิบาลที่ไม่ดีในหมู่บ้าน (หน้า 42-44, 62-63) เกือบทุกหมู่บ้านในพื้นที่ศึกษา ส่วนใหญ่ไม่มีส้วมใช้ ไม่มีที่ทิ้งขยะในหมู่บ้าน ไม่มีที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน ประกอบกับชาวเลไม่ค่อยเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าน้าที่ด้านสุขอนามัย จึงทำให้แก้ปัญหาได้เพียงบางส่วน (หน้า 42-44,110-111) อย่างไรก็ดี สถานีอนามัยในชุมชนมีบริการรักษาพยาบาลเพียงพอ ต่อชาวเล ความเชื่อถือในการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันมีมากขึ้นกว่าในอดีตที่เชื่อถือในเรื่องการรักษาแบบไสยศาสตร์ (หน้า 102-103) การปฏิเสธการคุมกำเนิดทุกรูปแบบ ในท่ามกลางสภาพความยากจนขัดสน ส่งผลให้เป็นความยากลำบากของชาวเลในการเลี้ยงดูบุตรต่อมา (105-107) ชาวเลจะคุ้นเคยกับการดื่มสุราเป็นประจำ โดยเฉพาะในการจัดงานพิธีกรรมต่างๆ จึงเป็นโอกาสให้เกิดอาการของโรคพิษสุราเรื้อรังสูง (หน้า 114-117) ในเด็กๆ ชาวเลไม่พบว่าเป็นโรคขาดสารอาหาร เพราะได้กินอาหารทะเลซึ่งมีโปรตีนสูง และอาศัยอยู่ใกล้ทะเลซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ (หน้า 62-63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มีร้องรำทำเพลงของชาวเลในงานบุญตลอดช่วงที่มีการทำบุญพิธีซึ่งเป็นประเพณีทางศาสนา เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงในงานพิธีที่สำคัญ คือ กลองรำมะนา คล้ายกลองของชาวมลายู ภายหลังนำกลองแขก และไวโอลินมาใช้ด้วย เนื้อเพลงและภาษที่ร้องเป็นภาษามาลายู แบบโบราณ คล้ายมะโย่ง หรือเป็นแบบรองเง็ง (หน้า 37-38) |
|
Folklore |
ในงานที่ศึกษาปรากฏเพียงว่า เรื่องราวความเป็นมาของบรรพบุรุษชาวเล ความรักใคร่สรรเสริญถึงสิ่งต่าง ๆ ถูกเล่าผ่านเนื้อร้องเพลง ภาษามลายูที่ร้องเป็นบทๆ ในงานบุญพิธีเท่านั้น (หน้า 37) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เชื้อชาติของชาวเลเป็นชนชาติย่อยของพวกมองโกลลอยด์ (Mongoloid) (หน้า 2-5) การติดต่ออย่างใกล้ชิดกับคนท้องถิ่นที่ชาวเลเคลื่อนย้ายไปเพื่อทำมาหากินทำให้ชาวเลรับวัฒนธรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตจากคนพื้นเมืองถิ่นนั้นมาด้วย เข่น คนไทย คนจีน และคนมลายู (หน้า 2-4) อย่างไรก็ดี ชาวเลมีทัศนคติต่อตนเองว่าไม่ฉลาด และไม่ได้รับการยอมรับจากคนพื้นเมืองเท่าที่ควร ซึ่งความสัมพันธ์ปัจจุบันเป็นไปเพื่อการประโยชน์ในการประกอบอาชีพเท่านั้น (หน้า 98-99) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของชาวเล โดยบรรยายสภาพความเปลี่ยนแปลงทั่วไปตามกาลเวลา กล่าวคือ ในหมู่บ้านสะบำ และบ้านหาดราไวย์ในอดีตการปลูกบ้านเรือนของชาวเลเป็นแบบไม่ถาวรมักทำด้วยไม้ และหญ้าหรือใบไม้แห้ง บ้างก็อาศัยอยู่ในเรือ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวเลเริ่มมีวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่น (ที่เรียกว่าแบบคนบก) มากขึ้น ส่วนชาวเลในหมู่บ้านแหลมตุ๊กแก หลังจากพบปัญหาเงื่อนไขในการเช่าที่ดินเพื่ออยู่อาศัย ทางราชการจึงมีโครงการจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้ ที่หมู่บ้านไทยใหม่ ได้รับทุนจากพ่อค้าประชาชน และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดสร้างโรงเรียนไทยใหม่ เพื่อให้เด็กๆ ชาวเลมาเข้าเรียนในโรงเรียนมากขึ้น อุปกรณ์หาปลาโบราณบางอย่างของชาวเลเอง เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็เลิกใช้ไป และพวกเขากลับมีอาชีพเป็นลูกเรือรับจ้างหาปลาให้กับเจ้าของเรือมากขึ้น ภายในหมู่บ้านของชาวเลได้จัดการปกครองแบบเป็นทางการมากขึ้น คือมีผู้ใหญ่บ้าน และชาวเลเองเป็นพวกชอบเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ปะปน โดยเฉพาะเมื่อมีหมอสอนศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้าน ทำให้ลัทธิความเชื้อเดิม เช่น การรักษาแบบไสยศาสตร์ เริ่มเสื่อมคลายลง (หน้า 40-41) ชุมชนมีความเจริญขึ้น การทำมาหากินให้มีรายได้พอใช้จ่ายในครัวเรือนเป็นเรื่องสำคัญกว่า (หน้า 103-104) |
|
Other Issues |
แนวทางการจัดสวัสดิการ เพื่อสมารถตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาให้กับชาวเลในจังหวัดภาคใต้ โดยเน้นการประสานงานร่วมกับของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านงบประมาณและการลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ในการให้ความช่วยเหลือ อย่างพอเพียง และโอกาสในการแสวงหาความร่วมมือช่วยเหลือชาวเลจากหน่วยงานภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การศึกษา พัฒนาอาชีพในสาขาที่ชาวเลสนใจ เป็นต้น นอกจากนั้น ผู้เขียนยังได้เสนอให้มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับชาวเล โดยจัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเลขึ้น เพื่อสามาถนำผลวิจัยและข้อเสนอแนะไปใช้เป็นแนวทางดำเนินนโยบายที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อชนกลุ่มน้อยชาวเล (หน้า 145,153-156) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่จังหวัดแสดงที่อยู่ของชาวเลในปัจจุบัน และแสดงอาณาเขตเมื่อครั้งชาวเลอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ประกอบกับแผนที่แสดงบริเวณที่ดินในเขตจังหวัดภูเก็ตซึ่งทางราชการจะจัดให้ชาวเลได้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ (หน้า 158-161) |
|
|