สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การจัดการทรัพยากร,สิทธิชุมชน,การปรับตัว,มายาคติ,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,เชียงใหม่
Author อะภัย วาณิชประดิษฐ์
Title พลวัตของความรู้ท้องถิ่นในฐานะปฏิบัติการของการอ้างสิทธิเหนือทรัพยากรบนที่สูง: กรณีศึกษาชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 225 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้เขียนได้ค้นพบหลักการสำคัญ 3 ประการ จากการปฏิบัติการของความรู้ท้องถิ่นเพื่ออ้างสิทธิชุมชนของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ภายใต้บริบทของการแย่งชิงทรัพยากรบนพื้นที่สูง คือ 1) การอ้างสิทธิชุมชนนั้น ชุมชนได้ใช้ความรู้ของชุมชนท้องถิ่นเองในรูปของจารีต ประเพณี ซึ่งชาวบ้านคุ้ยเคยและมีฐานะเป็นอุดมการณ์อำนาจของชุมชน สร้างความชอบธรรมต่อการอ้างสิทธิชุมชน โดยชุมชนสามารถนิยามคุณค่าใหม่ให้องค์ความรู้ท้องถิ่นของตนเองมีศักยภาพในการต่อรองอำนาจอย่างต่อเนื่อง 2) ในการอ้างสิทธิชุมชนนั้น ชุมชนไม่ได้ผูกขาดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ตรงกันข้ามชุมชนกลับพยายามเสนอรูปแบบการจัดการร่วมกับผู้ได้เสียทุกฝ่าย แม้โดยกฎหมายแล้วเป็นเพียงสิทธิโดยพฤตินัยก็ตาม และ 3) การที่รัฐไม่ได้รับรองสิทธิชุมชนให้มีความชอบธรรมโดยกฎหมายนั้น เนื่องจากการจัดการทรัพยากรเป็นประเด็นนิเวศการเมือง โดยเฉพาะเป็นปัญหาในระดับโครงสร้างเชิงสถาบัน ดังนั้น ชุมชนจึงตระหนักถึงการปฏิบัติการและเคลื่อนไหวทางสังคมในทุกระดับ เพื่อแสวงหาอำนาจกาต่อรองให้กับการอ้างสิทธิชุมชนมีความชอบธรรมโดยกฎหมายต่อไป (หน้า จ-ฉ)

Focus

การอ้างสิทธิชุมชนด้วยการปฏิบัติการของความรู้ท้องถิ่น ภายใต้สถานการณ์แย่งชิงทรัพยากรบนพื้นที่สูง (หน้า 1-3, 174-183) ของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่

Theoretical Issues

ผู้เขียนได้ใช้หลักการพื้นฐานทางทฤษฎี แนวคิด และแนวการศึกษา ช่วยอธิบายการปฏิบัติการของความรู้ท้องถิ่นเพื่ออ้างสิทธิชุมชนในแง่ของสิทธิเหนือทรัพยากรบนพื้นที่สูงและสิทธิทางวัฒนธรรม โดยใช้ฐานคิด 4 ประการเป็นหลักการสำคัญ คือ 1. ความรู้ท้องถิ่น (Local Knowledge) ที่มีลักษณะผสานผสานขององค์ความรู้ให้สามารถมีศักยภาพตามสถานการณ์เป็นนัยสำคัญ (หน้า 3-10,19) โดยใช้แนวการศึกษาวัฒนธรรมเชิงวาทกรรมที่คาบเกี่ยวกับกลุ่มมนุษยวิทยาหลังสมัยใหม่ (หน้า 185) ซึ่งพบว่า ความรู้ท้องถิ่นของชุมชนม้งบ้านแม่สาเป็นความรู้ที่ก่อตัวขึ้นเพื่อปฏิบัติการอ้างสิทธิชุมชน ทำให้มีลักษณะผสมผสานระหว่างความรู้ท้องถิ่นกับความรู้สมัยใหม่ จึงทำให้ชุมชนมีศักยภาพในการปรับตัวตามสถานการณ์ได้ (หน้า 183) 2. สิทธิในทรัพยากร (Property rights) ที่มีการกำหนดสิทธิเชิงซ้อนทั้งในระบบสิทธิและประเภทของกรรมสิทธิ์ เพื่อประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรที่มีผู้ได้เสียที่หลากหลาย โดยใช้แนวการศึกษาที่เน้นความสัมพันธ์เชิงอำนาจในฐานะเป็นนิเวศการเมือง (Eco-politic) ที่มีความขัดแย้งในระดับโครงสร้างของสถาบัน (หน้า 10-15, 20) ทำให้ผู้เขียนพบว่าสถาบันชุมชนท้องถิ่นของชุมชนม้งแม่สา มีประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรที่เป็นธรรมและยั่งยืน เนื่องจากให้ความสำคัญกับหลักการจัดการเชิงซ้อนและการกำหนดสิทธิเชิงซ้อนในการเข้าถึงทรัพยากรของส่วนรวม ซึ่งผู้ได้เสียทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ตลอดจนมีการพัฒนากฎเกณฑ์อยู่เสมอ (หน้า 185) 3. การเคลื่อนไหวทางสังคมในฐานะปฏิบัติการเพื่อความชอบธรรมในการอ้างสิทธิชุมชนโดยนิตินัย โดยให้ความสำคัญกับแนวการศึกษาสัมพันธ์นิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Relativism) ที่คาบเกี่ยวกับการสร้างนิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Constructionism) เพื่อสร้างคุณค่าใหม่เพิ่มให้กับความรู้ท้องถิ่น (หน้า 15-18, 20, 22) ซึ่งผู้เขียนพบว่า ชุมชนม้งแม่สาได้มีการปฏิบัติการทั้งในพื้นที่ และได้เคลื่อนไหวทางสังคมในหลากหลายรูปแบบ เพื่อยืนยันและนิยามความเป็นตัวตนให้กับชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยนัยเป็นการตอบโต้การถูกตีตราภาพสัญลักษณ์เชิงลบ ซึ่งได้ช่วยเปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับการต่อรองสิทธิชุมชน โดยเฉพาะสิทธิทางวัฒนธรรมด้วย (หน้า 189) 4. นอกจากสามแนวคิดหลักดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนยังได้ใช้แนวคิดกระบวนการกักขังอัตลักษณ์ที่มีพื้นฐานทางความคิดมาจากทฤษฎีวาทกรรม (Discourse) โดยใช้แนวการศึกษาวิเคราะห์วาทกรรมและสังคมวิทยาเศรษฐกิจอธิบายบริบทของการปฏิบัติการของชุมชนที่ถูกบีบคั้นจนริดรอนศักยภาพุมชนในการจัดการทรัพยากร และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ตลอดจนความเป็นจริงของอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ม้งที่หลากหลายและซับซ้อนในปัจจุบัน (หน้า 23-25, 34) ซึ่งพบว่าชุมชนม้งแม่สาถูกกักขังอัตลักษณ์ด้วยบริบททางประวัติศาสตร์หลายบริบทที่ถูกผูกโยงเข้าซ้อนทับด้วยกันอย่างไม่คำนึงถึงความเป็นจริง (หน้า 75) ซึ่งในความเป็นจริงชุมชนมีกลุ่มคนที่มีอาชีพ วิถีชีวิต และความรู้หลากหลายและคาบเกี่ยวระหว่างกลุ่มด้วยกันด้วย (หน้า 151) จนทำให้ชุมชนถูกลิดรอนสิทธิเข้าถึงทรัพยากรและรู้สึกสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคน ด้วยเหตุนี้ชุมชนจึงต้องเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจตัวตนของชุมชน ทำให้สามารถช่วงชิงพื้นที่ทางสังคมให้กับการต่อรองสิทธิชุมชน ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย (หน้า 156-169)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmoob) ซึ่งผู้เขียนได้ใช้คำว่า "ม๊ง" แทน "ม้ง" เมื่อกล่าวถึงกลุ่มคนในกรณีศึกษา ทั้งนี้เพื่อเน้นลักษณะเฉพาะของความเป็นชุมชน "ม๊งแม่สะ" (ม้งแม่สาใหม่) ในทัศนะของผู้ถูกวิจัย และย้ำให้ผู้อ่านตระหนักถึงการเรียกชาติพันธุ์ม้งที่รูปเสียงถูกต้องตามการเรียกตัวเองของผู้ถูกศึกษามากที่สุด แม้ว่าจะผิดหลักการผันวรรณยุกต์ภาษาไทยก็ตาม ทั้งนี้ เพราะโดยในทางปฏิบัติและความรู้สึกของคนใช้ภาษาเขียนไทยโดยทั่วไป เมื่อเห็น "ม๊ง" แล้วคาดว่าจะอ่านและเน้นเสียงได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษามากกว่าเดิมด้วย (หน้า 35) ชุมชนที่ศึกษามีชาติพันธุ์อื่น คือ จีนฮ่อหลังคาเรือนเดียวและคนเมืองอีกสองหลังคาเรือนอยู่ร่วมด้วย

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในกรณีศึกษาสามารถพูดภาษาม้งเป็นภาษาหลัก และภาษาคำเมืองกับภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง โดยภาษาม้งมีทั้งสำเนียง "ม๊งจั๊วะ" (Hmoob Ntsuab) หรือม้งเขียว และ "ม๊งเดล๊อะ" (Hmoob Dlawb) หรือม้งขาว (หน้า 35)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง เมษายน พ.ศ. 2544-ธันวาคม พ.ศ. 2545 (ผู้เขียน)

History of the Group and Community

ม้งชุมชนบ้านแม่สาใหม่ อพยพมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 140 ปีที่แล้วมา เช่นเดียวกับชุมชนม้งที่อื่น โดยเฉพาะเคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำเหลือง (Huang River/Dlej Dlaag) และลุ่มน้ำแยงซีเกียง (Yangzi River/Dlej Ntev) เมื่อประมาณ 7,000 ปีมาแล้ว กระทั่งเกิดปัญหาสงครามสู้รบกันและปัญหาฝิ่นในปลายศตวรรษ 19 จึงได้อพยพเข้าแถบเอเชียงตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบรรพบุรุษของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ได้ใช้เส้นทางอพยพผ่านประเทศจีน ลาว และพม่า โดยมีส่วนหนึ่งได้อพยพข้ามไปยังพื้นที่บริเวณพรมแดนไทย-พม่าก่อนที่จะอพยพเข้ามาทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนประมาณ พ.ศ. 2480 จากนั้นจึงได้กระจายตัวจนในที่สุดส่วนหนึ่งได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานร่วมกับเจ้าถิ่นที่ไม่ได้อพยพไปยังประเทศพม่า ซึ่งอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันในปลายทศวรรษ 2500 ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยผลักดันของโรคไข้ทรพิษและต้องการเข้ามาปลูกท้อพื้นเมืองขายให้กับผู้คนในตัวเมืองเชียงใหม่ (หน้า 35-38, 42) จากนั้นกลุ่มญาติพี่น้องในพื้นที่ใกล้เคียงส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามาสมทบในระยะเวลากว่าสิบปีหลังจากตั้งถิ่นฐานถาวรแล้ว

Settlement Pattern

ปัจจุบันชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของรัฐที่ถูกจัดเป็นเขตต้นน้ำชั้น 1 A (หน้า 61) โดยมีพัฒนาการจัดการพื้นที่ของรัฐ คือ รัฐได้ประกาศให้ดอยสุเทพ-ปุย เป็นเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. 2492 แล้วต่อมาได้เปลี่ยนขอบเขตเดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2507 และเปลี่ยนเป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2524 และขยายในปี พ.ศ. 2525 อย่างไรก็ตามปัจจุบันพื้นที่แต่ละประเภทยังคงมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย ยิ่งกว่านั้นในปี พ.ศ. 2525 และ 2535 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สาใหม่ และสวนพฤกษศาสตรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ที่ได้ประกาศทับซ้อนพื้นที่เดิมส่วนหนึ่งของชุมชน (หน้า 78-87)

Demography

จากจำนวนประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ม้งทั้งหมดในโลกประมาณ 9,966,504 คน มีม้งอยู่ในประเทศไทยเพียง 151,888 คน โดยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือ มี 256 หมู่บ้าน 19,202 หลังคาเรือน คิดเป็น 16.52 % ของจำนวนประชากร "ชาวเขา" ทั้งหมด (หน้า 39) ส่วนประชากรเฉพาะในพื้นที่ศึกษามีทั้งหมด 205 ครัวเรือน 264 ครอบครัว 1,7515 คน โดยมี 4 ตระกูลแซ่ คือ แซ่ฒ่อ (Thoj) แซ่โซ้ง (Xyooj) แซ่หาง (Haam) แซ่ย่าง (Yaaj) ซึ่งมีจำนวนผู้นำ (Tus coj) รวม 35 คน (หน้า 100-101) ส่วนกลุ่มที่สองเป็นม้งในเมือง มี 12 ครัวเรือน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งยังคงมีบ้านอยู่ทั้งสองที่ (หน้า 151)

Economy

ก่อนเกิดขึ้นของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ในปลายทศวรรษ 2500 ชาวบ้านทั้งที่เป็นเจ้าถิ่นเดิมและที่อื่นมีวิถีการผลิตด้วยระบบไร่หมุนเวียนพื้นที่ ซึ่งมีการปลูกข้าวไร่-นา ข้าวโพด และฝิ่น ทั้งนี้ในสมัยนั้นรัฐได้ส่งเสริมให้มีการปลูกฝิ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2490 (หน้า 47) กระทั้งประมาณปี พ.ศ. 2515 รัฐจึงดำเนินนโยบายปลูกพืชเงินสดทดแทนฝิ่น โดยการสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติและกรมประชาสงเคราะห์ เช่น กาแฟอราบิก้า ถั่งแดง มันฝรั่ง กะหล่ำปลี แต่ด้วยเหตุที่พื้นที่ชุมชนถูกจำกัดตามพระราชบัญญัติอุทยาน พ.ศ. 2504 หลังประกาศพื้นที่อุทยานดอยสุเทพ-ปุย ทับซ้อนในปี พ.ศ. 2524 และสวนพฤกษศาสตร์ในปี พ.ศ. 2535 จึงทำให้ชาวบ้านต้องเปลี่ยนระบบการผลิตแล้วหันไปปลูกไม้ผลลิ้นจี่กันมากขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน (หน้า 55, 87-88) ผลจากการพัฒนาที่ถูกจำกัด และเศรษฐกิจชุมชนที่ต้องพึ่งพิงกลไกตลาด ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ทั้งกับโครงการหลวงและนายทุน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมากในปัจจุบันด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งได้ออกไปเช่าพื้นที่นาในที่ราบปลูกข้าว มีการับจ้างทั้งในและนอกชุมชน ขณะที่มีไม่กี่คนที่ได้จ้างคนชาติพันธุ์อื่นเป็นลูกจ้างประจำ นอกจากนี้ชาวบ้านส่วนหนึ่งยังได้ออกไปหางานทำและค้าขายในเมืองต่างๆ โดยเฉพาะต้องพึ่งการท่องเที่ยว ด้วยการขายของที่ระลึก และสร้างงานท่องเที่ยวเชิงนิเวศในชุมชน ด้วยความยากจนดังกล่าวจึงทำให้ชุมชนถูกมองว่าพัวพันกับการแพร่ระบาดของยาเสพติด (ยาบ้า) ในสถานการณ์ที่ทางการกวาดขัน (หน้า 87-98)

Social Organization

โดยทั่วไปแล้วชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ยังมีองค์กรทางสังคมที่มีลักษณะตามระบบจารีตประเพณีมากกว่าระบบที่สร้างขึ้นใหม่ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานมาจากตระกูลแซ่ ครอบครัวขยาย และความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ (Kwvtij-Neejtsaa) แม้ว่าปัจจุบันจะแยกเป็นครอบครัวเดี่ยว และมีองค์กรทางการปกครองที่เกี่ยวพันกับรัฐมากขึ้นก็ตาม โดยองค์กรทางสังคมได้วางอยู่บนหลักการของสถาบันตระกูลแซ่ (Ib cuab kwvtij) ที่สัมพันธ์กับระบบความเชื่อบรรพบุรุษ (Ib tus dlaab qhuas) ซึ่งชุมชนมีทั้งหมด 4 ตระกูลแซ่ และ 15 กลุ่มความเชื่อย่อย นอกจากนี้สถาบันการแต่งงาน (Coj tub maub nyaab) ยังนำไปสู่ความเป็นเครือญาติด้วย (หน้า 99-100) นอกจากนี้ ชุมชนยังได้ก่อกลุ่มกึ่งทางการขึ้นมากมาย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการผลิตซ้ำทางทางวัฒนธรรมและสังคมให้มีความเข้มแข็ง สามารถช่วยเหลือทั้งทางจารีตประเพณีและทางเศรษฐกิจ เช่น มีการจัดกลุ่มครัวเรือนเพื่อสะดวกในการจัดการพัฒนาชุมชน โดยแบ่งเป็น 6 เขต กลุ่มเครือข่ายวัฒนธรรมและต่อต้าน ยาเสพติด กลุ่มเครือข่ายวัฒนธรรมม้งแซ่ฒ่อ ตลอดจนกลุ่มออมทรัพย์ประจำกระกูลแซ่ ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน กลุ่มฌาปนกิจศพ และกลุ่มใช้น้ำต่าง ๆ เป็นต้น (หน้า 104, 107-108, 134-135)

Political Organization

ก่อน พ.ศ. 2525 ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ปกครองด้วยผู้นำทางวัฒนธรรมที่ชุมชนเห็นชอบแต่งตั้งขึ้นเรียกว่า "แสง ซื่อ เหล่า" (Xeev Txwj Laog) โดยใช้กฎเกณฑ์ทางจารีตประเพณีทำการปกครองมากกว่าระเบียบทางราชการของรัฐ กระทั่งหลังจากที่ผู้นำคนแรกที่รัฐได้แต่งตั้งในปี พ.ศ. 2517 สิ้นสุดลง ผู้นำคนต่อมาจึงถูกแต่งตั้งโดยรัฐมากจนกระทั่งปัจจุบัน โดยมักเลือกผู้ที่อ่านออกเขียนได้สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้นำทางวัฒนธรรมแต่อย่างใด แม้กระนั้นผู้นำทางวัฒนธรรม (Tus coj) ยังคงมีอยู่เช่นเดิม แต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฝ่ายต่างๆ และเป็นคณะกรรมการฝ่ายผู้อาวุโส เพื่อร่วมทำหน้าที่ทางการปกครองและวัฒนธรรมของชุมชน ส่วนความสัมพันธ์กับรัฐมักเป็นหน้าที่ของกลุ่มคนหนุ่ม (Cov Hluas) เช่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น (หน้า 51, 104-106) ทั้งนี้ เนื่องจากชุมชนต้องถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่ต้องสัมพันธ์กับอำนาจรัฐ การดำรงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ม้ง และการเรียนรู้และปฏิบัติการร่วมกันเพื่ออ้างสิทธิชุมชน

Belief System

แม้ปัจจุบันชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่จะมีประชาชนส่วนหนึ่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และพุทธแล้วก็ตาม แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ชุมชนถูกกีดกันสิทธิชุมชนจนกลายเป็นชายขอบ ชุมชนได้ร่วมกันปฏิบัติการเพื่ออ้างสิทธิชุมชนด้วยองค์ความรู้ของชุมชนท้องถิ่น โดยได้ประกอบพิธีกรรมที่เป็นจารีตความเชื่อ จนทำให้สมาชิกชุมชนยังคงมีความรู้ในฐานะเป็นอุดมการณ์อำนาจของชุมชน โดยเฉพาะจักรวาลวิทยาว่าด้วยความเป็นธรรมชาติของทรัพยากรที่มีเจ้าที่ (Xeem teb xeeb chaws/ Thwv-Tim) เป็นเจ้าของ ซึ่งมีพิธีกรรมที่สำคัญ ๆ คือ ความเชื่อว่าด้วยชัยภูมิหรือ "เหม่ง ต้อ" (Meem Toj) ที่เชื่อว่าพื้นภิภพมีพลัง "เสา ต้อ" (Saov Toj) ไหลเวียนอยู่ จารีตความเชื่อ ถือ-ติ ดง เซ้ง (Thwv-Tim Ntoo Xeeb) และการบนบานเจ้าที่ (Fev Yeem-Paoj Yeem) ตลอดจนข้อห้ามเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ต่างๆ เป็นต้น (หน้า 111-114, 117-121)

Education and Socialization

ด้วยเงื่อนไขที่ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ต้องเรียนรู้ทั้งวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นของรัฐ และวัฒนธรรมม้งที่เป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนเอง ทำให้นอกจากเด็กเยาวชนต้องเรียนในระบบโรงเรียนทั้งในชุมชนและนอกชุมชนแล้ว ยังต้องเรียนรู้วัฒนธรรมม้งของตนเองด้วย เนื่องจากวัฒนธรรมม้งนั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตที่ต้องมีความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในสังคมม้งอย่างมาก ทำให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเยาวชนได้เรียนรู้ตามวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การประกอบพิธีกรรม การตัดสินความ การนินทาว่ากล่าว การบอกเล่า การเล่านิทาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ได้เล็งเห็นการลดน้อยถอยลงของเวทีทางวัฒนธรรม จึงได้ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและต่างชุมชนเพื่อสร้างหลักสูตรท้องถิ่นเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อจะได้สอนในระบบโรงเรียนของชุมชน และสร้างเวทีวัฒนธรรมในรูปขององค์กรทางสังคมวัฒนธรรมกึ่งทางการ เช่น เครือข่ายฌาปนกิจชุมชนและระหว่าง ชุมชน เครือข่ายฟื้นฟูวัฒนธรรมต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อร่วมกันปรับปรุง จารีต ประเพณีให้ทันสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (หน้า 112-115)

Health and Medicine

ผู้เขียนได้กล่าวถึงวิถีชวิตของชุมชนที่ต้องมีสิทธิใช้ทรัพยากรสมุนไพรในฐานะเป็นสิทธิชุมชน ซึ่งถูกกีดกันจากอุทยานแห่งชาติและสวนพฤกษ์ศาสตร์ (หน้า 66, 150) ฉะนั้น ชุมชนจึงได้ปฏิบัติการทางในระดับบุคคลและชุมชน เช่น การกล่าวประชดประชันของหมอยาและชาวบ้านร่วมกันสร้างสวนสมุนไพร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ว่าชุมชนมีศักยภาพในการจัดการป่าชุมชน เนื่องจากชุมชนมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการและใช้ความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน (หน้า 123, 127)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้กล่าวถึงชุดเสื้อผ้าของชาติพันธุ์ม้งในฐานะเป็นอำนาจเชิงสัญลักษณ์ ภายใต้บริบทของการท่องเที่ยววัฒนธรรมในปัจจุบัน โดยชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ได้ร่วมกับชุมชนอื่นเปิดพื้นที่ทางสังคมด้วยการแสดงวัฒนธรรมในรูปของประเพณีปีใหม่ หรือ "น่อ จ๊ะ-เป๊ะ เจ่า" (Noj Tsab-Peb Caug) เพื่อระดมกำลังเงินและแรงศรัทธาต่อการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุครบ 6 รอบ ด้วยการประกอบพิธีกรรมสืบพระชาตา "ทะ เด๋อ" (Thab Ntawv) ถวายแคนเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติพันธุ์ นอกจากนี้ เสื้อผ้าโดยเฉพาะกระโปรงสตรี "ม๊งจั๊วะ" ในฐานะเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ทำให้ม้งหลายประเทศได้มีความพยายามในการผลัดกันให้องค์กร UNESCO รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย ทั้งนี้ การแสดงวัฒนธรรมดังกล่าวมีนัยเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อเสริมสร้างอำนาจในการอ้างสิทธิทางวัฒนธรรมให้มีความชอบธรรม เนื่องจากมีฐานะเป็นกรดำรงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ของตนเอง (หน้า 164-169)

Folklore

ผู้เขียนได้ใช้เรื่องเล่า นิทาน อธิบายการสร้างความมั่นคงให้กับการจัดตั้งถิ่นฐานของชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐประกาศพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อน โดยชาวบ้านได้เล่าเรื่องโดยพยายามผูกโยงให้เข้ากับชุดของระบบนิเวศท้องถิ่นเสมือนว่าชุมชนตั้งถิ่นฐานมาแต่โบราณ ด้วยการยกสภาพพิเศษทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ผูกโยงเขากับเรื่องที่เล่า เช่น ได้ผูกร่องรอย "พระพุทธบาท" บนยอดดอยผากลองว่าเป็นรอยเท้าของ "เก้า จั๊วะ" (Nkauj Ntsuab) และ "เจ่า หนาง" ( Nraug Naag) ซึ่งเป็นเทพในนิทาน ซึ่งทำให้ความไม่มั่นคงในการจัดตั้งชุมชนอันเนื่องจากนโยบายป่าไม้ของรัฐ มีนัยเป็นการก่อร่างสร้างตัวชุมชนให้มีที่ไปที่มาเพื่อความมั่นคงทางจิตใจและเพื่อการอ้างสิทธิชุมชนไปในตัวด้วย (หน้า 128, 145)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การที่ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ถูกกีดกันสิทธิชุมชนโดยเฉพาะสิทธิเข้าถึงที่ดิน และการพัฒนาชุมนในเขตป่าอนุรักษ์ของรัฐ ทำให้ชุมชนได้ร่วมกันจัดการป่าดงเซ้งในฐานะเป็นป่าชุมชนด้วยจารีต ถือ-ติ ดง เซ้ง มากว่า 20 ปี ตลอดจนการเป็นพื้นที่ดูงานด้านวนเกษตรของสวนกาแฟอินทรีย์ ทำให้ปัจจุบันชุมชนได้ใช้ภาพลักษ์ชุมชนอนุรักษ์ป่าไปต่อรองอำนาจการพัฒนาชุมชน เช่น การสร้างและดัดแปลงธรรมชาติในชุมชน การเปิดโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นต้น ซึ่งทำให้ป่าดงเซ้งกลายเป็นอัตลักษณ์ให้กับชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่มีอำนาจในการต้องรองกับรัฐ เพื่อขอจัดการร่วม และพัฒนาชุมชนได้ (หน้า 133, 106-107, 144, 153-155)

Social Cultural and Identity Change

จากการที่ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่มีกลุ่มประชากรบนพื้นที่สูงและในเมือง โดยแต่ละกลุ่มต่างมีอาชีพทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคเกษตรที่คาบเกี่ยวกัน จนแยกที่จะจำแนกว่าเป็นเกษตรกรหรือ "ชาวเขา" ในความหมายที่อยู่อาศัยบนภูเขา อีกทั้งชุมชนยังมีกลุ่มคนที่มีแนวความคิดในการอนุรักษ์แตกต่างกันไปตามประสบการณ์และการเรียนรู้ในชีวิตด้วย (หน้า 105-107) ทำให้ชุมชนมีอัตลักษณ์ของกลุ่มคนที่หลากหลายและซับซ้อน ในขณะที่ต่างเผชิญปัญหาการถูกทำให้กลายเป็นคนอื่นและกีดกันสิทธิชุมชนเหมือนกัน ทำให้ต้องร่วมกันอย่างพึ่งพากซึ่งกันและกันเพื่อปฏิบัติการอ้างสิทธิชุมชนร่วมกัน ซึ่งปรากฎทั้งในระดับพ้นที่ชุมชนและร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและรัฐ ฉะนั้นอัตลักษณ์ที่หลากหลายของกลุ่มคนจึงมีนัยเป็นอำนาจให้กับชุมชนชายขอบ ได้เรียนรู้ในการต่อรองรองกับอำนาจครอบงำได้อย่างเป็นพลวัต (หน้า 151-156)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่มีจารีตการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูงในรูปสิทธิชุมชนหรือของหน้าหมู่มาแต่ดั้งเดิม โดยได้นิยามคุณค่าใหม่เพื่อจัดการทรัพยากรในฐานะปฏิบัติการเพื่อการอ้างสิทธิชุมชนที่ถูกละเมิดโดยรัฐ ซึ่งปัจจุบันนอกจากชุมชนจะจัดการทรัพยากรโดยจารีตความเชื่อป่าดงเซ้ง และการเฝย เหยง ป้องกันไฟป่าแล้ว ชุมชนยังมีกิจกรรมอนุรักษ์ป่า คือ ทำแนวกันไฟ จัดเวรยามเฝ้าระวังและดับไฟป่า ร่วมวิจัยและปลูกไม้ท้องถิ่น ตลอดจนกลุ่มจัดการน้ำ เป็นต้น โดยชุมชนได้ให้ความสำคัญกับหลักการมีส่วนร่วมเพื่อจัดการทรัพยากร ในลักษณะสิทธิเชิงซ้อนที่ผู้ได้เสียทุกฝ่ายมีสิทธิร่วมจัดการ และมีสิทธิเข้าถึงเพื่อใช้ทรัพยากร (Usu fract) ตามความจำเป็นในการยังชีพ ซึ่งมีประสิทธิภาพและความเป็นธรรม (หน้า 115-137) ทั้งนี้โดยกฎหมายแล้ว การอนุรักษ์ป่าของชุมชนยังคงเป็นสิทธิโดยพฤตินัยก็ตาม แต่ชุมชนก็ได้พยายามต่อรองอำนาจ และเสนอทางเลือกว่าด้วยการจัดการร่วมต่อรัฐอย่างต่อเนื่อง

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนที่ แผนผัง และตาราง กราฟ เพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลพื้นฐานของเศรษฐกิจชุมชน เช่น การใช้ที่ดิน รายได้-รายจ่าย ตลอดจนจนขนาดของพื้นที่ประเภทต่างๆ เช่น พื้นที่ชุมชนที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาที่ทับซ้อนและตัดกันถึง 5 ประเภท เป็นต้น (หน้า 90-95, 83, 85)

Text Analyst อะภัย วาณิชประดิษฐ์ Date of Report 16 ก.พ. 2548
TAG ม้ง, การจัดการทรัพยากร, สิทธิชุมชน, การปรับตัว, มายาคติ, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง