สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,ข้อห้าม,ข้อนิยมทางสังคม,เชียงราย
Author พินิจ พิชยศิลป์
Title ข้อห้ามและข้อนิยมเบื้องต้นทางสังคมของชาวเขาเผ่าอีก้อภาคเหนือ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 63 Year 2517
Source ศูนย์วิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย
Abstract

พรรณนาการดำรงชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสังคมของอาข่า ตั้งแต่รูปแบบลักษณะหมู่บ้านและบ้าน การแต่งกาย อาหารการกิน การแต่งงาน ครอบครัว เครือญาติ การปกครองภายในหมู่บ้าน การประกอบอาชีพ ความเชื่อเรื่องโชคลาง ตลอดจนประเพณีต่างๆ ในแต่ละช่วงฤดูกาล และอธิบายถึงข้อห้าม ข้อนิยม ในเรื่องต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการนับถือผี และความเชื่อในสิ่งเร้นลับอันให้สังคมอาข่าอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

Focus

ศึกษาข้อห้ามและข้อนิยมเบื้องต้นทางสังคมของชุมชนอาข่า จากการค้นคว้าเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ และการเข้าร่วมพิธีกรรมในหมู่บ้านอาข่า โดยศึกษาที่หมู่บ้านอีก้อห้วยส้าน และหมู่บ้านแสนใจเก่า อำเภอแม่จันเป็นหลัก และศึกษาที่หมู่บ้านอาข่าหมู่บ้านอื่นเพิ่มเติม เช่น หมู่บ้านแสนใจใหม่ หมู่บ้านอาโยะเก่า หมู่บ้านอาโยะใหม่ หมู่บ้านแม่สะแล็ป (ล่อพะ) และหมู่บ้านแสนเจริญ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (หน้า 3-4)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

"อีก้อ" "ก้อ" หรือ "ข่าก้อ" เป็นชื่อที่คนไทยและคนพม่าใช้เรียก ส่วนคนลาวและชนชาติอินโดจีนตอนเหนือจะเรียกอีก้อว่า "โก๊ะ" คนจีนเรียก "โวนี" "ฮานี" ส่วนพวกเขาเรียกตนเองว่า "อาข่า" หลักฐานต่างๆ ยังไม่สอดคล้องกันว่าอาข่าแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อย่างไรบ้าง อาข่าในเมืองไทยบางกลุ่มบอกว่าแบ่งได้ 7 กลุ่ม แต่บางกลุ่มบอกว่าแบ่งได้ 9 กลุ่ม ส่วน Lebar บอกว่าแบ่งได้ 7 กลุ่ม คือ ปลี ยีเซอะ นาคี มาเว ทูลา อาเข่อ และยีเยาะ ในทัศนะของอาข่า การแบ่งกลุ่มเป็นไปตามจำนวนพี่น้อง ซึ่งมีแม่เดียวกัน และพี่น้องเหล่านี้ก็เป็นบรรพบุรุษของกลุ่มต่างๆในปัจจุบัน (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

อาข่ามีภาษาพูดแต่ไม่มีภาษาเขียน ภาษาพูดจัดอยู่ในภาษาตระกูลทิเบต - พม่า สาขาโลโลพม่า คำบางคำมีรากศัพท์จากภาษาอื่น เช่น ภาษาจีน พม่า ไทใหญ่ และไทยภาคเหนือ (คำเมือง) ผู้ชายอาข่าจะสามารถพูดและเข้าใจภาษาอื่นๆได้ เช่น ภาษามูเซอ ลีซอ ไทใหญ่ จีนฮ่อ พม่า และไทยภาคเหนือ ในขณะที่ผู้หญิงอาข่าจะพูดภาษาอื่นได้น้อย ซึ่งอาข่าในไทยนั้นจะใช้ภาษาไทยภาคเหนือเป็นภาษากลางในการติดต่อ (หน้า 7-8)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยได้เริ่มศึกษาวิจัยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2515 โดยการค้นคว้าจากเอกสารต่างๆ ที่ได้ระบุถึงเรื่องราวของอาข่าไว้ และเริ่มเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยการเก็บข้อมูลภาคสนามนั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2515 - เดือนสิงหาคม พ.ศ.2516 เป็นช่วงการใช้ชีวิตร่วมกับอาข่าในหมู่บ้านโดยตรง และช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2516 - เดือนมิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นการตรวจสอบเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเป็นครั้งคราว (หน้า 2, 3, 4, 5)

History of the Group and Community

อาข่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ในบริเวณต้นแม่น้ำไท้ฮั่วสุยหรือแม่น้ำดอกท้อในแคว้นทิเบต ประเทศจีน ต่อมาเมื่อราว 4,000 ปีมาแล้ว อาข่าถูกชนชาติอื่นรุกรานจึงถอยร่นลงทางใต้เข้าสู่มณฑลยูนนานและมณฑลไกวเจา แถบภูเขาสูงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าครอบครองแผ่นดินใหญ่ อาข่าจึงอพยพลงทางใต้อีก โดยกระจัดกระจายเข้าไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ได้แก่ แคว้นเชียงตุง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศพม่า แคว้นหัวโขงทางทิศตะวันตก และแคว้นพงสาลีทางทิศเหนือของประเทศลาว และในจังหวัดเชียงรายทางตอนเหนือของประเทศไทย แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่าอาข่าที่อยู่ในจังหวัดเชียงรายของไทยนี้ได้อพยพเข้ามาเมื่อใด จากการสัมภาษณ์ทำให้พอสรุปได้ว่า อาข่าได้อพยพเข้ามาในจังหวัดเชียงรายเป็น 2 ระลอก คือ ระลอกแรก อพยพมาจากแคว้นเชียงตุง ประเทศพม่า เมื่อประมาณ 60-50 ปีมาแล้ว เพื่อหลบหนีภัยการเมืองของประเทศพม่า ผู้นำการอพยพในครั้งนั้นคือ แสนอุ่นเรือน ซึ่งต่อมาเสียชีวิตที่ดอยตุง ทำให้ญาติพี่น้องได้แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ เช่น แสนพรหม ผู้เป็นน้องไปตั้งหมู่บ้านผาหมี อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แสนใจ ผู้เป็นหลาน ได้ตั้งหมู่บ้านแสนใจ ที่จังหวัดเชียงราย เป็นต้น ในขณะที่ระลอกที่สอง เป็นการอพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนาของประเทศจีน เมื่อประมาณ 20-15 ปีมาแล้ว เพื่อหลบหนีภัยคอมมิวนิสต์จีน โดยได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่ดอยผาหมี ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2516-2517) ก็ยังคงมีอาข่าอพยพจากพม่าเข้าสู่ประเทศไทยตลอดเวลา ทั้งนี้เนื่องมาจากขาดแคลนที่ทำมาหากินและเหตุผลอื่นๆ (หน้า 6-7, 8-9)

Settlement Pattern

อาข่ามักนิยมตั้งถิ่นฐานบนภูเขาที่มีระดับความสูงเฉลี่ยประมาณ 3,000-4,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ซึ่งล้อมรอบด้วยดอยสูงอื่นๆ และอยู่ใกล้แหล่งน้ำ รวมทั้งต้องมีพื้นที่กว้างขวางเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมของชาวบ้านและเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ การเลือกที่ตั้งถิ่นฐานนั้นจะมีบุคคลสำคัญของหมู่บ้านเป็นผู้เลือก อันได้แก่ หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าพิธีกรรม ช่างตีเหล็ก หมอผี และผู้อาวุโส โดยจะกระทำพิธีเสี่ยงทางขอสถานที่จากผีเจ้าที่ก่อน หากไม่ได้รับอนุญาตก็จะเคลื่อนย้ายหาที่ตั้งที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ในหมู่บ้านอาข่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่หลายสิ่ง ได้แก่ ประตูหมู่บ้าน (ลกข่อ) เป็นประตูทางเข้าหมู่บ้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของอาข่า ห้ามมิให้ผู้ใดจับต้องนอกจากวันทำประตูใหม่เพียงวันเดียวเท่านั้น ซึ่งบริเวณใกล้กับประตูลกข่อภายนอกหมู่บ้านนั้นจะมีไม้รูปหอก ดาบ ปักไว้ข้างทางเดิน เพื่อให้ผีประจำหมู่บ้านใช้เป็นอาวุธขับไล่ผีร้ายที่จะเข้าหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีประตูชั้นนอกสุด (ยะข่อ) อยู่ถัดจากไม้รูปหอกนี้ไป ไว้สำหรับป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้ออกไปนอกหมู่บ้านในช่วงฤดูเพาะปลูก ศาลผี ตั้งอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้านนอกประตูลกข่อ มีไว้เพื่อเป็นที่สิงสถิตของผีทั่วไป ผีเหล่านั้นจะได้ไม่เข้าไปในหมู่บ้าน ชิงช้า (หละชา หรือโละซ่า) อยู่ภายในหมู่บ้านใกล้กับประตูลกข่อ มีไว้เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองพิธีรำลึกถึงเทพธิดาผู้ประทานความสมบูรณ์แก่พืชไร่ บ่อน้ำ (หละดู่) มีไว้สำหรับบริโภคและทำพิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำและผีพันธุ์ข้าว ลานกอดสาวหรือลานสาวกอด (แด๊ะข่อ) มีไว้เป็นสถานที่สำหรับพลอดรักของหนุ่มสาว เพื่อมิให้ผีบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์โกรธต่อการกระทำของหนุ่มสาวในสถานที่อันไม่สมควร เขตป่าสงวน เป็นป่าที่อาข่าสงวนไว้เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยของผีป่าประจำหมู่บ้าน ป่าช้า (หลอบยุ้ม หรือ ป่าเหว้) เป็นที่สำหรับฝังศพอาข่า ซึ่งจะอยู่คนละดอยกับดอยที่ตั้งหมู่บ้านไปทางทิศตะวันออก สำหรับลักษณะบ้านเรือนของอาข่านั้นส่วนใหญ่จะทำด้วยไม้ไผ่ ยกพื้นสูงจากดินประมาณ 1 เมตร ไม่มีหน้าต่างหรือช่องระบายอากาศ เพื่อป้องกันความหนาวเย็น เสาทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ฝาและพื้นทำด้วยไม้ไผ่ฟากลับ หลังคามุงด้วยหญ้าคาคลุมยาวเกือบจดพื้นดินเพื่อกันลม มีบันไดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บริเวณบันไดหลังบ้านมีครกตำข้าว รอบบ้านมีรั้วไม้ไผ่เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงเข้าไปรบกวน ภายในบ้านแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ห้อง ห้องหนึ่งใช้เป็นห้องนอนของฝ่ายหญิง และอีกห้องหนึ่งเป็นห้องนอนฝ่ายชาย ทั้งนี้เพราะอาข่ามีข้อห้ามไม่ให้สามีภรรยานอนร่วมห้องเดียวกันตลอดคืน ในห้องนอนฝ่ายหญิงจะมีหิ้งผีบรรพบุรุษอยู่ติดกับเสาเอก และมีตะกร้าใส่เมล็ดพันธุ์ข้าวไว้สำหรับปลูกในปีต่อไปอยู่ที่หัวนอน ในบ้านมีเตาไฟ 1-2 เตา เหนือเตาไฟมีหิ้งเก็บของ บริเวณผนังบ้านตรงข้ามห้องนอนทั้งสองมีหิ้งยาวไว้สำหรับเก็บเครื่องครัวและสิ่งของจิปาถะ หน้าบ้านมีระเบียงไว้เป็นที่รับแขกและนั่งเล่น ภายในเขตบ้านนี้อาจมีบ้านหลังเล็กอยู่หลังบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านสำหรับบุตรชายที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แยกครัวเรือนออกไป นอกจากนี้ในบริเวณบ้านก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้วย เช่น คอกม้า ยุ้งข้าว ศาลผี ขวัญข้าว เป็นต้น (หน้า 10-15)

Demography

ผู้เขียนไม่ได้ระบุข้อมูลประชากรเรื่องความหนาแน่น อัตราการเกิดและอัตราการตายไว้ แต่ได้กล่าวถึงเรื่องจำนวนประชากรว่า มีอาข่าอาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 100,000 คน สำหรับประเทศไทยนั้น จากข้อมูลปี พ.ศ. 2517 พบว่า มีอาข่าอาศัยอยู่ประมาณ 76 หมู่บ้าน เป็นจำนวน 9,438 คน โดย 74 หมู่บ้านอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย เขตอำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่จัน และอำเภอแม่สรวย อีก 1 หมู่บ้านอยู่ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนหมู่บ้านสุดท้ายอยู่ในอำเภองาว จังหวัดลำปาง ซึ่งเพิ่งอพยพออกจากจังหวัดเชียงรายไปตั้งถิ่นฐานในปี พ.ศ.2517 ภายใต้การนำของ พอล เลวิส มิชชันนารีอเมริกัน (หน้า 7, 9)

Economy

อาข่ามีระบบการผลิตคือการทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอยเป็นหลัก อันเป็นการตัดโค่นป่าและเผาป่าเพื่อใช้พื้นที่เพาะปลูก เมื่อดินในพื้นที่ขาดความสมบูรณ์ก็ย้ายหาพื้นที่เพาะปลูกใหม่ ซึ่งพื้นที่หนึ่งสามารถปลูกพืชซ้ำได้ 2 ปี พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ข้าว ฝิ่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง พริก แตงกวา ผักกาด ถั่ว มัน เผือก ฟัก น้ำเต้า อ้อย ยาสูบ ผักชี ต้นหอม กระเทียม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับฝิ่นนั้นเริ่มปลูกกันน้อยลง เพราะพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกฝิ่นหาได้ยากขึ้น อีกทั้งยังปลูกและดูแลรักษายาก ต้องใช้แรงงานมาก รวมทั้งปัจจุบันการซื้อขายฝิ่นไม่สามารถทำได้อย่างเสรี เนื่องจากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวจะมีการลงแขกอยู่เป็นประจำทุกฤดู ซึ่งแต่ละครัวเรือนจะไม่คิดค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่จะเป็นการช่วยเหลือตอบแทนกัน นอกจากนี้ อาข่ายังไม่นิยมจ้างแรงงานภายนอกมาทำงานในไร่เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่อาข่าคนใดจะไปรับจ้างทำงานไร่นอกหมู่บ้านเพื่อหารายได้ก็ได้ ส่วนการผลิตอย่างอื่นนั้นก็มีการเลี้ยงสัตว์ อันได้แก่ หมู ไก่ แพะ แกะ ม้า สุนัข และนก แต่อาข่ามักไม่นำสัตว์ที่เลี้ยงนั้นไปขายหรือกิน หากแต่จะเลี้ยงไว้ใช้ในพิธีกรรมและเซ่นสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น สุนัข ซึ่งเป็นสัตว์ที่อาข่านิยมกินกันมาก แต่อาข่าจะไม่กินเนื้อสุนัขที่ตนเลี้ยง แต่จะไปหาซื้อหรือนำผลผลิตไปแลกเปลี่ยนกับคนพื้นที่ราบแทน ส่วนการค้าขายนั้นไม่เป็นที่นิยมของอาข่า หากแต่จะทำเพื่อให้ได้เงินไว้สำหรับซื้อหาสิ่งของที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค เครื่องมือการเกษตร โดยผลผลิตที่อาข่านำไปขายซึ่งปกติจะขายให้กับคนพื้นที่ราบนั้น ได้แก่ ผลผลิตจากพืชไร่ เช่น ผักกาด ข้าวโพด งา พริก เป็นต้น และของป่าที่หามาได้ เช่น เห็ด ต้นอ้อ เขาและหนังสัตว์ การประกอบอาชีพของอาข่านั้นเป็นแบบพอเพียง ไม่ได้คิดสะสมขยายฐานะให้มั่งคั่งก้าวหน้า แต่ทำเพื่อให้มีกินมีใช้ตลอดปี แต่ก็มีการเก็บออมไว้บ้าง อาหารการกินหลัก คือ ข้าวจ้าว ส่วนพืชผักที่นิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น ผักกาด ต้นหอม ผักชี มะเขือ เห็ด ถั่วเหลือง ชะอม ผักกูด หน่อไม้ หยวกกล้วยป่า โดยจะนำไปต้มหรือผัดใส่เกลือกับเนื้อสัตว์ที่หามาได้ เช่น อีเก้ง หมูป่า กวาง เลียงผา เต่า กระรอก และอาข่าจะไม่นิยมของดิบ ส่วนเครื่องดื่มนั้น ได้แก่ ชา ซึ่งเก็บมาจากป่า และสุราทำจากข้าวเปลือก ข้าวโพด หรือข้าวฟ่าง ซึ่งมักจะดื่มเป็นครั้งคราวในงานเทศกาลและพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 19-20, 23-24, 37-41)

Social Organization

สังคมอาข่าเป็นสังคมที่ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ สมาชิกทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่มีใครมีสิทธิเหนือใคร ทุกครัวเรือนมีอิสระในการดำรงชีวิตและแสดงความคิดเห็น เพียงแต่มีกฎเกณฑ์บังคับไว้เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน ในสังคมอาข่าการสืบสกุลทางฝ่ายบิดามีความสำคัญหลายประการ เช่น กำหนดเกณฑ์ห้ามคนในสกุลเดียวกันแต่งงานกัน หรือขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผีบรรพบุรุษประจำสกุล รวมทั้งใช้ในการประกอบพิธีศพ ครอบครัวของอาข่าประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย เพราะในครัวเรือนหนึ่งอาจมีหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน ทั้งนี้เพราะชาวอีก้อนิยมให้สามีนำภรรยาไปอยู่ด้วยกันที่บ้านพ่อแม่ฝ่ายสามี ผู้ชายอาข่าจะไม่ขยันในการทำงาน ต่างกับผู้หญิงอาข่าที่ต้องทำงานหนักตั้งแต่ตื่นนอนจนตะวันตกดิน อันได้แก่ การหุงหาอาหาร ตำข้าว ตักน้ำ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง ทำงานในไร่ ส่วนคนชราจะไม่ออกไปนอกหมู่บ้านโดยไม่จำเป็นแต่จะนิยมอยู่บ้านช่วยดูแลลูกหลานเล็กๆที่พ่อแม่ไปทำงานในไร่ ในขณะที่เด็กเล็กๆ ก็จะช่วยเลี้ยงน้องและวิ่งเล่นในหมู่บ้าน หนุ่มสาวอาข่ามีเสรีภาพในการเกี้ยวพาราสี แต่ต้องกระทำในสถานที่อันสมควร คือ ที่ลานสาวกอด หรือนอกหมู่บ้าน การได้เสียกันก่อนแต่งงานไม่ถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งนี้หญิงอาข่าอาจผ่านผู้ชายได้หลายคน และชายก็ไม่ได้สนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ และหากฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย เพียงแต่ต้องหาชายมาแต่งงานด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากหญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานไม่สามารถหาชายมาแต่งงานด้วยได้ ก็ต้องถูกขับออกจากหมู่บ้าน จนกว่าจะมีชายมาแต่งงานด้วยเท่านั้น สังคมอาข่าถือระบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ผู้ชายอาจมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนได้หากภรรยานั้นไม่มีบุตรชายให้สืบสกุล โดยไม่ต้องหย่าขาดจากภรรยาเดิม อย่างไรก็ตาม อาข่าจะไม่แต่งสองคนในคราวเดียวกัน ในขณะที่หญิงอาข่าก็สามารถมีสามีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ยกเว้นจะเป็นหม้ายหรือหย่าขาดจากสามีคนเดิมเสียก่อน การแต่งงานของอาข่าจะเป็นไปด้วยความสมัครใจ ผู้ชายจะเป็นฝ่ายขอผู้หญิงจากพ่อแม่ของผู้หญิงเอง โดยไม่ต้องมีแม่สื่อและของหมั้นหรือสินสอด มีเพียงแต่สุรา 1 ขวดเพื่อเป็นการคารวะพ่อแม่ผู้หญิงเท่านั้น และจะต้องจัดพิธีแต่งงานให้เร็วที่สุดไม่เกิน 9 วันหลังจากวันสู่ขอ ซึ่งพิธีแต่งงานจะถูกจัดที่บ้านของฝ่ายชายและใช้เวลาเพียง 5-6 ชั่วโมง ภายหลังจากการแต่งงานภรรยาต้องอยู่ที่บ้านพ่อแม่สามีให้ครบ 13 วัน จึงจะสามารถมีเรือนหอของตนเองซึ่งอยู่หลังบ้านของพ่อแม่ฝ่ายสามีได้ และหากสามีภรรยาต้องการหย่าขาดกันก็สามารถกระทำได้โดยง่าย คือแจ้งหัวหน้าพิธีกรรมให้ทำพิธี โดยให้ฝ่ายที่เป็นต้นเหตุชดใช้เงินให้อีกฝ่ายเท่านั้น และหากมีบุตรก็ให้ฝ่ายชายเป็นผู้รับเลี้ยงดูทั้งหมด (หน้า 25-32)

Political Organization

อาข่าเป็นกลุ่มชนที่มีอิสระและความเสมอภาค เคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และยอมรับในสถานภาพของกันและกัน เช่น ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง หน่วยการปกครองของอาข่า คือ หมู่บ้าน และไม่นิยมอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มอื่นหรือหมู่บ้านอื่นที่เป็นอาข่าด้วยกัน หมู่บ้านหนึ่งๆ จะมีผู้ปกครอง คือ หัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผู้ชายและสืบเชื้อสายมาจากหัวหน้าคนก่อนๆ หากหัวหน้าคนเดิมไม่มีบุตรชาย ก็จะเป็นญาติที่ใกล้ชิดรับตำแหน่งหัวหน้าแทน การสืบเชื้อสายผู้ปกครองนี้ไม่ได้เข้มงวดมากนัก บุคคลอื่นที่ไม่ได้สืบเชื้อสายจากหัวหน้าคนเก่าอาจได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้ แต่การเป็นหัวหน้าเช่นนี้ไม่เป็นที่นิยมเพราะถือเป็นการผิดประเพณี อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนี้อาจถูกถอดจากตำแหน่งได้หากปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นที่พอใจหรือเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน นอกจากนี้หมู่บ้านอาข่ายังต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกคนต้องให้ความเคารพนอกเหนือจากหัวหน้าหมู่บ้านด้วย ได้แก่ หัวหน้าประกอบพิธีกรรม ช่างตีเหล็ก ผู้มีความรู้ ผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน (ถ้ามี) หมอผี และบรรดาผู้อาวุโส คณะกรรมการนี้จะมีบทบาทในการพิจารณาตัดสินเรื่องต่างๆ ภายในหมู่บ้าน เช่น การจัดพิธีกรรมประจำปี เทศกาลประจำปี การย้ายหมู่บ้าน และการพิจารณาความผิดสำคัญของสมาชิกหมู่บ้าน หากไม่ร้ายแรงก็จะลงโทษด้วยการปรับเป็นเงิน และเซ่นไหว้ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยสัตว์หรือสุราตามความผิดนั้นๆ เงินที่ได้จากการปรับ หัวหน้าพิธีกรรมจะเป็นผู้เก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมของชุมชน ขณะการลงโทษที่ร้ายแรงคือการตัดออกจากวงศ์สกุลและเนรเทศออกจากหมู่บ้าน ความผิดอาข่านี้ถือเป็นความผิดส่วนรวม แม้จะเป็นการกระทำต่อเฉพาะบุคคลก็ตาม เพราะอาข่าเชื่อว่าผลของการทำผิดจะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจ และดลบันดาลให้เกิดโทษต่อคนโดยส่วนรวม (หน้า 33-36)

Belief System

ศาสนา อาข่าไม่มีศาสนา แต่นับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอาจนำความเชื่อจากศาสนาพุทธมาผสมผสานร่วมด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาข่านับถือและมีความสำคัญมากที่สุด คือ เทพเจ้า ชื่อ "อะผื่อหมิแย" ซึ่งอาข่าเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่เป็นเทวดาทำหน้าที่อำนวยการสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ภายในโลก รองลงมาเทพเจ้า คือ "ยะบิ๊เอ่อลอง" น้องชายของเทพเจ้าอะผื่อหมิแย ทำหน้าที่สร้างโลกและดูแลชีวิตทั้งหลายที่เกิดมา นอกจากนั้นก็มีเทพเจ้าอื่นๆที่สำคัญรองลงมาอีกหลายองค์ คือ "อึ่มซา" (เทพเจ้าแห่งลม) อึ่มแยะ (เทพเจ้าแห่งฝน) อะกือ (เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง) ส่วนผีที่อาข่านับถือและเกรงกลัวนั้นมี 2 ประเภท คือ ผีดีและผีร้าย ผีที่ชาวอีก้อนับถือมากเป็นผีดี คือ ผีบรรพบุรุษ ซึ่งชาวอีก้อให้ความสำคัญรองจากเทพเจ้าอะผื่อหมิแย รองลงมา คือ ผีใหญ่ (อะเพออะพี) อันเป็นหัวหน้าผีทั้งปวง ที่คอยสอดส่องดูแลทุกข์สุขชาวบ้านและสามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ขอ นอกจากผีทั้งสองแล้ว ก็ยังมีผีดีที่มีความสำคัญรองลงมาอีกมาก คือ ผีเสาชิงช้า ผีประตูหมู่บ้าน ผีเรือน แต่ผีเหล่านี้เป็นผีที่โกรธง่าย อาข่าจึงต้องเซ่นไหว้เอาใจอยู่เสมอ ในขณะที่ผีเป็นกลางนั้นมีหลายชนิด ซึ่งไม่ให้คุณและไม่ให้โทษใครหากไม่ล่วงเกิน เช่น ผีป่า ผีสัตว์ทั้งหลาย ผีภูเขา ผีดิน ผีไร่ ผีน้ำ ผีทางเดิน ผีสายรุ้ง ผีกระสือ พิธีกรรม อาข่าไม่มีสถานที่ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ พิธีกรรมเล็กๆ จะกระทำกันภายในครัวเรือน ส่วนพิธีกรรมใหญ่ หัวหน้าพิธีกรรมจะเป็นผู้กำหนดสถานที่ พิธีกรรมที่สำคัญมีอยู่ด้วยกันหลายพิธี ดังนี้ พิธีปีใหม่ (กระท้อมพา) จัดขึ้นในเดือนธันวาคมของทุกปี เป็นเวลา 4 วัน เพื่อเซ่นผีบรรพบุรุษ แลกเปลี่ยนของขวัญ และเลี้ยงฉลองหลังจากที่สิ้นสุดงานในไร่ รวมทั้งเพื่อแสดงความรู้คุณต่อบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการทำมาหากิน พิธีเลี้ยงผีป่าหรือผีหม้อ (หุ่มมี้) จัดขึ้นในราวต้นเดือนเมษายน เป็นเวลา 1 วัน เพื่อเซ่นสรวงผีบรรพบุรุษ ผีป่าและผีทั้งหลายก่อนการเพาะปลูกข้าว พิธีทำประตูหมู่บ้าน (ตอมา ลกข่อ) จัดขึ้นประมาณกลางเดือนเมษายน ใช้เวลา 2 วัน เพื่อรำลึกถึง "สุมิโอ" บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งกฎเกณฑ์ประเพณีของเผ่าพันธุ์อีก้อ และเป็นผู้แยกโลกผีกับโลกคนให้ออกจากกันโดยใช้ประตูหมู่บ้านกั้น อันทำให้คนปลอดภัยจากผีร้ายนับแต่นั้นมา ซึ่งในพิธีจะมีการทำประตูหมู่บ้านเพิ่มขึ้นข้างละหนึ่งประตูทุกปี พิธีโล้ชิงช้า (หละเฉอะบิ) จัดขึ้นประมาณปลายเดือนสิงหาคม เป็นเวลา 4 วัน เพื่อรำลึกถึงเทพธิดา "อึ่มซาแยะ" ผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พืชผลที่กำลังงอกงามในไร่ และมีการเซ่นผีบรรพบุรุษด้วย พิธีกินข้าวใหม่ (เช้นุยู้) จัดขึ้นประมาณปลายเดือนกันยายน เป็นเวลา 1 วัน เพื่อฉลองรวงข้าวสุกและขอบคุณต่อผีไร่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ได้ช่วยดูแลผลผลิตข้าวในไร่ให้ได้ผลดี พิธีส่งผี (ขะแหยะแหยะ) จัดขึ้นเมื่อสิ้นสุดฤดูฝนราวเดือนตุลาคม เป็นเวลา 2 วัน เพื่อส่งผีหรือไล่ผีให้ออกไปจากหมู่บ้านพร้อมกับฤดูฝนที่กำลังจากไป ทั้งนี้เพราะชาวอีก้อเชื่อว่าระหว่างฤดูฝนนั้นอาจมีผีร้ายเล็ดลอดเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมสายฝนและลม พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (อะพี ลอลอ) จัดขึ้นตามวันที่หัวหน้าพิธีกรรมเห็นว่าดี และตามความเหมาะสมตลอดจนความพร้อมเพรียงกันของคนในหมู่บ้าน เป็นเวลา 1 วัน เพื่อให้แต่ละบ้านได้เซ่นผีบรรพบุรุษอย่างพร้อมเพรียงกัน และขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองบุตรหลาน ผลิตผล ตลอดจนสัตว์เลี้ยงให้อยู่เย็นเป็นสุข อาข่ามีข้อห้ามต่างๆ มากมาย และล้วนเกี่ยวพันกับสิ่งลี้ลับ โดยความเชื่อที่เห็นเป็นหลักก็คือ ข้อห้ามกระทำบางสิ่งเมื่อมีพิธีกรรมหรือเทศกาลต่างๆ ของหมู่บ้าน เช่น ห้ามทำงาน ห้ามตำข้าว ห้ามเย็บผ้า และห้ามชาวบ้านออกไปพักค้างแรมนอกหมู่บ้าน ความเชื่อต่างๆ นั้น อาข่าไม่สามารถให้เหตุผลเพื่ออธิบายได้ เพียงแต่อ้างว่ากระทำตามบรรพบุรุษที่ได้ทำกันมา ซึ่งก็เป็นไปเพื่อให้ได้รับความพึงพอใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความปลอดภัย เพื่อสุขภาพ และความสมบูรณ์แก่ผลผลิตและทรัพย์สิน (หน้า 45-51, 55-56)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

การรักษาพยาบาลภายในหมู่บ้านของอาข่า กระทำโดยผู้รู้ (ผีผ่า) เนื่องจากอาข่าเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของภูตผีที่จับเอาขวัญของคนไว้ ซึ่งคนเราจะมีขวัญด้วยกัน 12 ขวัญ ถ้าขวัญออกจากร่างกายแม้แต่เพียงขวัญเดียวก็จะเจ็บป่วย และหากขวัญออกจากร่างกายทั้งหมดคนก็จะตาย การรักษาจึงต้องให้ผู้รู้เป็นผู้ทำหน้าที่ โดยผู้รู้จะให้หมอผีทำพิธีดูว่าผีใดเป็นต้นเหตุและต้องการเครื่องเซ่นใด จากนั้นจึงให้หมอทำการเซ่นผีเพื่อเรียกขวัญของผู้ป่วยกลับมา และผู้รู้ก็จะทำการรักษาผู้ป่วยต่อ โดยใช้ยาสมุนไพร เช่น รากไม้ หรือฝิ่น เพื่อระงับความเจ็บป่วย และรักษาจนกระทั่งหาย แต่บางครั้งผู้รู้ก็อาจเป็นผู้ทำพิธีเพื่อดูว่าผีใดเป็นต้นเหตุเองก็ได้ แต่ต้องทำพิธีในเวลากลางคืน ยกเว้นในกรณีผู้ป่วยเจ็บหนักหนักและไม่มีหมอผี ผู้รู้จึงจะประกอบพิธีเองในตอนกลางวันได้ นอกจากนี้การรักษาโรคอาจกระทำได้โดยหมอผีอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า "สะหมะ" ซึ่งใช้เวทมนตร์คาถาในการรักษาได้ด้วย ทั้งนี้มีโรคบางโรคที่อาข่าถือว่าเป็นโรคร้ายแรงและน่ารังเกียจ อันได้แก่ โรคเรื้อนและโรคคอพอก หากผู้ใดเป็นก็จะถูกแยกไว้ต่างหาก และเมื่อตายก็จะนำไปฝังในป่าไกลจากหมู่บ้าน ไม่ร่วมในป่าช้ากับผู้ที่ตายอย่างธรรมดา (หน้า 59-60)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของอาข่าจะแตกต่างกันไปเล็กน้อยในแต่ละกลุ่ม ซึ่งโดยรวมแล้ว ผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะสวมกางเกงสองหน้าขายาวสีดำ สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกหลวมๆ ผ่าอกและปล่อยชายยาวระดับเอว เสื้อมีสีเดียวกับกางเกง แต่บางครั้งก็มีกระดุมแผ่นเงินหรือแผ่นโลหะติดที่อกเสื้อ โกนศีรษะและไว้ผมจุกหรือผมเปียตรงกลางตรงกับขวัญ หากเป็นชุดเต็มยศก็จะมีผ้าโพกศีรษะด้วย ส่วนผู้หญิงอาข่านั้นจะแต่งกายแตกต่างกันไปตามวัย เด็กผู้หญิงจะนุ่งกระโปรงสั้นสีดำหลวมๆ ใต้สะดือ สวมเสื้อแขนยาวผ่าอก สีเดียวกับกระโปรง และมีกระดุมเงินหรือโลหะติดไว้ มีหมวกผ้ารูปทรงกะลาครอบและมีเครื่องประดับเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย ส่วนหญิงสาวที่อายุย่างเข้า 13 ปี ก็จะมีเครื่องประดับมากขึ้น เช่น กำไลข้อมือ ห่วงคอ สร้อยคอ ที่ทำจากลูกปัดหรือลูกเดือย หมวกเปลี่ยนเป็นทรงสูงทำด้วยหวายและผิวไม้ไผ่ประดับด้วยเหรียญเงิน ขนนก ขนไก่ และขนลิงย้อมสี ลูกปัด และกระดุมเงิน มีผ้ารัดหน้าอก ผ้าคาดเอวและผ้าพันแข้งสลับสี นิยมแขวนลูกน้ำเต้าประดับไว้ที่เอว หญิงสาวจะสวมหมวกอยู่ตลอดเวลาแม้แต่เวลาเข้านอน ซึ่งจะสามารถถอดออกต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ในขณะผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็จะยังแต่งกายเหมือนกับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน เพียงแต่จะมีเครื่องประดับน้อยลงและไม่นิยมแขวนน้ำเต้าไว้ที่เอวอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หมวกของผู้หญิงอาข่านี้จะแตกต่างกัน 2 กลุ่ม คือ หากเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากแคว้นเชียงตุงในประเทศพม่า จะสวมหมวกทรงสูงรูปกรวยคว่ำ แต่หากเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนาในประเทศจีนก็จะสวมหมวกรูปห้าเหลี่ยม ประดับด้วยเหรียญเงิน และมีผ้าสีดำรูปกรวยคว่ำครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง (หน้า 18)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Social Cultural and Identity Change

อาข่าเป็นกลุ่มชนที่เคร่งครัดประเพณีอย่างมาก ห้ามการยอมรับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก เนื่องจากเชื่อว่าผีของอาข่าไม่ชอบสิ่งแปลกปลอม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน (พ.ศ.2517) อาข่าได้ยอมรับวัฒนธรรมภายนอกเพิ่มมากขึ้น เพราะบางสิ่งบางอย่างเป็นที่น่าขบขันแก่ชนภายนอก ทำให้รู้สึกอับอาย เช่น เด็กหนุ่มเลิกไว้ผมเปียหรือจุก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการที่เด็กหนุ่มสาวไม่ได้รับผลร้ายแต่อย่างใด เมื่อได้ประพฤติผิดแปลกไปจากกฎเกณฑ์เดิมบ้าง ทำให้เริ่มมีชนรุ่นหลังยอมรับวัฒนธรรมภายนอกมากขึ้นทุกที ตัวอย่างสังคมวัฒนธรรมของอาข่าที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เช่น การแต่งกาย โดยเด็กหนุ่มและเด็กสาวจะเริ่มแต่งกายแบบสากลนิยมมากขึ้น หากแต่เด็กสาวจะคงยังรักษาการแต่งกายของกลุ่มชนตนเองไว้เหนียวแน่นมากกว่าเด็กหนุ่ม หรือเรื่องความเชื่อบางอย่าง เช่น การฆ่าเด็กฝาแฝดแรกเกิด เพราะถือว่าเด็กฝาแฝดเป็นสิ่งอัปมงคล ซึ่งได้เลิกล้มไป อันเนื่องจากการติดต่อกับสังคมภายนอกที่ทำให้อาข่าเห็นว่าเด็กแฝดไม่ใช่สิ่งเลวร้ายถึงกับต้องฆ่าทิ้ง นอกจากนี้ยังมีอาข่าหลายหมู่บ้านที่หันมาใช้ยาคุมกำเนิดบ้างแล้ว รวมทั้งยังเริ่มหันมาใช้ยาแผนปัจจุบันควบคู่กับยาสมุนไพรด้วย (หน้า 18, 24, 54, 60)

Map/Illustration

ประตูหมู่บ้านของอีก้อ (10.1) ศาลผีของอีก้อ (11.1) ชิงช้าของอีก้อ (12.1) ลานกอดสาวของอีก้อ (12.2) เครื่องหมายไล่ผีของอีก้อ (13.1) แบบบ้านของอีก้อในประเทศไทย (14.1) ศาลขวัญข้าวของอีก้อ (16.1) หิ้งผีบรรพบุรุษ (16.2) เครื่องหมายจับจองพื้นที่ทำไร่ของอีก้อ (38.1) การดูกระดูกขาไก่ (42.1)

Text Analyst ศศิธร โตวินัส Date of Report 13 มี.ค 2550
TAG อาข่า, ข้อห้าม, ข้อนิยมทางสังคม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง