|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ลีซู,การทำลายป่า,การทำไร่เลื่อนลอย,การปลูกป่าทดแทน,กลยุทธ์การอยู่รอด,ผู้หญิง,จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย |
Author |
Shalardchai Ramitanondh, Virada Somswasdi |
Title |
Impact of the Deforestation and Reforestation Program on Household Survival Strategies and Women’s Work : The Case of the Karen and Lisu in a Village in Northern Thailand |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
221 |
Year |
2535 |
Source |
Chiang Mai University |
Abstract |
รายงานนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดกับชาวลีซอและกะเหรี่ยง หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการปลูกป่าทดแทนเพื่อแก้ปัญหาการทำลายป่าของชาวเขา และรักษาป่าต้นน้ำ ในพื้นที่หมู่บ้านปางขุม ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการศึกษาสามารถสรุปได้ ดังนี้ การดำเนินโครงการทำให้เกิดการลดลงของพื้นที่ป่า ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว ในประเด็นเรื่องความขัดแย้งของลีซอและกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ถึงแม้ว่าจะมีการขัดแย้งกันอย่างชัดเจนทั้งในประเด็นเรื่องทรัพยากรน้ำและที่ดินทำกิน แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นความสัมพันธ์อีกประเภทหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์แบบ "ขั้วตรงกันข้าม" (Unity of opposites) ลีซอให้งานกับกะเหรี่ยงที่ยากจนทำ เพราะต้องการแรงงาน ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้กะเหรี่ยงไม่อพยพย้ายลงไปที่ราบที่ชุมชนของคนเมือง และถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดูเหมือนไม่ค่อยดี จนทำให้ลีซอต้องการย้ายไปที่แห่งอื่น อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และเชื่อว่าในที่สุดแล้วทั้งสองจะยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดิม และโครงการรักษาป่าของรัฐบาลจะส่งผลกระทบกับทั้งสองชาติพันธุ์อย่างแน่นอน โดยไม่จำกัดเพศหรือวัย และดูเหมือนว่าในวัยทำงานทั้งชายหญิงจะต้องทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอน และถ้างานนั้นเป็น "งานบ้าน" ผู้หญิงทั้งกะเหรี่ยงและลีซอต้องรับภาระหนักอย่างแน่นอน (หน้า 220) |
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงสิ่งแวดล้อม ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงและลีซอ ที่อาศัยที่หมู่บ้านปางขุม ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ จากการดำเนินโครงการปกป้องพื้นที่ป่าด้วยการปลูกป่าทดแทนและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ (Reforestation Program) เนื่องจากเกิดปัญหาต้นไม้ในพื้นที่ลดน้อยลงจากการบุกรุกพื้นที่ป่าทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา และกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของผู้หญิงที่อาศัยในหมู่บ้านภายใต้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว |
|
Ethnic Group in the Focus |
งานวิจัยนี้ศึกษา กะเหรี่ยงและลีซอ กะเหรี่ยง ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Karen ส่วนคนไทยกลางเรียก"กะเหรี่ยง" คนไทยเหนือเรียก "ยาง" (Yang) กะเหรี่ยงที่ปางขุมเรียกตัวเองว่า "Pg"a Kanyaw Sg'aw" (ปกา กะญอ สกอร์) ส่วน ลีซอ เรียกตัวเองว่าลีซู (Lisu) แต่คนไทยเรียกว่าลีซอ (Lisaw) คนทางเหนือเรียกพวกเขาว่า "แข่แม้ว" (หน้า 54-56,135) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลีซอ และกะเหรี่ยง พูดภาษาในตระกูล Tibeto - Burman (หน้า135) แต่เด็กที่อยู่ในโรงเรียนสื่อสารเป็นภาษาไทย (หน้า 138) |
|
Study Period (Data Collection) |
พ.ศ. 2529 - 2530 (ค.ศ.1986-1987) |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าของสมาชิกในหมู่บ้าน Pangkhum พบว่า หมู่บ้านนี้ตั้งขึ้นโดยคนกะเหรี่ยง ตามประวัติศาสตร์เชื่อว่ากะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ที่ Pangkhum กว่าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่การคมนาคมยังไม่ดี จึงทำให้คนกะเหรี่ยงยังไม่มีการติดต่อกับคนไทยในพื้นที่ราบมากนัก ต่อมาเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เช่น มีตลาดที่ตำบล Yangmoen ทำให้กะเหรี่ยงเข้ามาติดต่อกับคนในเมืองมากขึ้น เช่น การนำของป่าไปขายในตลาด และซื้อของใช้บางอย่างกลับไปที่หมู่บ้าน ต่อมาลีซอได้ขออนุญาตกะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ในพื้นที่ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 10 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของปัญหาการใช้ที่ดินในปัจจุบัน ขีดจำกัดการใช้ที่ดินเริ่มมีมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว เมื่อ 12 ปีที่แล้วปัญหาการใช้ที่ดินยังไม่เด่นชัดนัก ดังนั้นเมื่อลีซอมาขอใช้ที่ดินร่วมกับกะเหรี่ยง พวกเขาจึงอนุญาตให้เข้ามาใช้งาน แต่เมื่อเพิ่มจำนวนของชาวเขามากขึ้นทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนที่ทำกินและแหล่งน้ำ ทำให้เกิดปัญหาความยากจนของกะเหรี่ยงตามมา (หน้า 24, 56, 63) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้าน Pangkhum เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในลุ่มน้ำแม่ขาน ตำบล Yangmoen อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีคนอาศัยอยู่ 3 เชื้อชาติ คือ กะเหรี่ยง ลีซอ และคนเมือง เมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมามีการทำถนนเข้าหมู่บ้าน เป็นถนนลูกรัง เชื่อมโยงหมู่บ้านกะเหรี่ยงกับคนไทยเมือง การเกษตรหลักคือ การทำนาและทำไร่เลื่อนลอย เดิมมีเพียงชาวกะเหรี่ยงและชาวไทย อยู่ในพื้นที่เท่านั้น แต่เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ชาวลีซอซึ่งมาจากหมู่บ้านทางเหนือของอำเภอสามองค์ อพยพมาตั้งรกรากในพื้นที่เหนือหมู่บ้านของกะเหรี่ยงขึ้นไป เพราะไร่ฝิ่นที่ทำอยู่เดิมถูกจำกัดจากรัฐบาลจึงต้องย้ายถิ่นฐาน โดยก่อนเข้ามาอยู่ที่นี่ ลีซอได้ขออนุญาตจากกะเหรี่ยงก่อน สาเหตุที่ลีซอเลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ที่ Pangkhum ในพื้นที่เหนือจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงขึ้นไป ซึ่งเป็นพื้นที่สูงสุดของตำบลและใกล้แม่น้ำขาน เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการเกษตร และพื้นที่สูงเป็นพื้นที่ที่สามารถทำการเกษตรได้อย่างอิสระ เพราะห่างไกลจากเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแล (ในช่วงก่อนที่จะมีโครงการอนุรักษ์ป่าจากการรัฐ) ง่ายต่อการจ้างแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานชาวกะเหรี่ยงสามารถเข้าไปซื้อของจำเป็นบางอย่างในเมืองได้ไม่ยาก, และพื้นที่เป็นเส้นทางในการค้าฝิ่น (หน้า 141) ลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะยกพื้นสูงประมาณ 2 เมตร เพื่อใช้พื้นที่ใต้ถุนผูกวัวควาย ลักษณะบ้านจะคล้ายบ้านของคนเมือง แต่แตกต่างจากบ้านของคนเมืองคือบ้านกะเหรี่ยงไม่มีหน้าต่าง หลังคาบ้านมุงด้วยลอนสังกะสี ตัวบ้านทำด้วยไม้ มีครัวอยู่กลางบ้าน มีหิ้งบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ บ้านของคนที่มีฐานะดี ตัวบ้านสร้างค่อนข้างแข็งแรงทำด้วยไม้แผ่น แบ่งส่วนสำหรับทำอาหารและเป็นที่นอน ในอดีตกะเหรี่ยงมักจะสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ เพราะเคลื่อนย้ายง่ายตามความเชื่อดั้งเดิมของกะเหรี่ยง แต่ในปัจจุบันใช้ไม้ที่แข็งแรงมากขึ้น สิ่งเดียวที่ยังคงเอกลักษณ์บ้านกะเหรี่ยง คือมีที่ตั้งวิญญาณของบรรพบุรุษอยู่กลางบ้าน และมีลานบ้าน บ้านของลีซอที่มีฐานะดีจะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แต่หากฐานะยากจนก็จะใช้ไม้ไผ่แทน (หน้า 105, 115,179,196) เท่าที่ผ่านมากระเหรี่ยงส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา ในพื้นที่ที่ต่ำกว่าชาติพันธุ์อื่น ๆ และก็มีบ้างที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในพื้นที่ราบ เช่น ที่สังขละบุรี กาญจนบุรี แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอน อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอ "Namlat" ที่ลำพูน (หน้า 62) กะเหรี่ยงมีเหตุผลที่แตกต่างกันในการเลือกการตั้งถิ่นฐานที่พื้นที่ราบและพื้นที่สูงคือ กะเหรี่ยงที่เลือกพื้นที่ภูเขาประมาณ 600- 1000 เมตร เนื่องจากต้องการความเงียบสงบ อากาศดี แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ส่วนที่เลือกอาศัยที่พื้นราบเพราะต้องการติดต่อกับชาวเมือง (หน้า 62) |
|
Demography |
ในพื้นที่ปางขุม แบ่งประชากรเป็น 3 กลุ่มคือ คนเมือง กะเหรี่ยงและลีซอ ประชากรที่มากที่สุด คือ คนเมือง รองลงมา คือ ลีซอ สุดท้ายคือกระเหรี่ยง จากการสำรวจ พบว่าชาวเขามีการเพิ่มประชากรมากกว่าคนเมืองถึง 2 เท่า ในปี 2527 (ค.ศ.1984) มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศไทย 246,000 คน แบ่งเป็น Sgaw และ Pwo แต่ส่วนใหญ่ 80เปอร์เซ็นต์ เป็น Sgaw ส่วนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Pangkhum มีประมาณ 264 คน 51 ครอบครัว (หน้า 55, 57) จำนวนลีซอในประเทศไทยในปี 2527 มีจำนวนประมาณ 18,000 คน ประมาณ 110 หมู่บ้าน ส่วนที่ Pangkhum มีทั้งหมด 48 ครอบครัว รวมทั้งสิ้น 359 คน ลีซอในหมู่บ้านปางขุมมีจำนวนมากกว่ากะเหรี่ยง เนื่องจาก 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์ เป็นจำนวน 72 คน, อัตราการตาย 50 % เป็นจำนวน 15 คน, ส่วนการย้ายถิ่นฐานเข้ามา มีจำนวน 12 คน โดยย้ายมาจากอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ย้ายออก 10 คน คิดเป็น 28% (หน้า 137) |
|
Economy |
การเกษตร การปลูกพืชหลัก คนเมือง และกะเหรี่ยง ปลูกข้าวเป็นหลัก และพืชสวนเป็นพืชเสริม ส่วนลีซอมักจะปลูกข้าวและฝิ่น เป็นหลัก และมีบ้างที่มีนำพืชใหม่ ๆ เข้ามาปลูก โดยการแนะนำจากหน่วยงานราชการ เช่น กาแฟ ถั่วแดง เผือก เป็นต้น แต่ว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เพราะพืชเหล่านี้ต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีและการตลาด ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้และข้อแนะนำจากผู้รู้ (หน้า 64,141) แนวทางในการทำการเกษตรของคนเมือง คนเมืองนิยมทำนาข้าว ต้องใช้น้ำมาก จึงเลือกที่จะอยู่ที่ราบมากกว่า เพราะถึงแม้ว่าป่าเขาจะมีทรัพยากรสมบูรณ์ แต่ก็ไม่เหมาะสมกับการอยู่ถาวร แนวทางในการทำการเกษตรของกะเหรี่ยง ในการศึกษาครั้งนี้ กะเหรี่ยงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามความแตกต่างทางสถานภาพทางเศรษฐกิจ-สังคม คือ กลุ่มที่มีฐานะดี กลุ่มนี้จะมีนา ไร่ สวนชา (เมี่ยง) มีสวนผักสวนครัว และสัตว์เลี้ยง เช่น ช้าง ควาย หมู กลุ่มที่สองฐานะปานกลาง มีสวนไร่นาเหมือนกัน แต่มีขนาดเล็กลงกว่า กลุ่มที่สามคือกลุ่มฐานะยากจน มีไร่ นา เหมือนกันแต่ส่วนมากผลผลิตมักไม่ค่อยเพียงพอ (หน้า 63) เดิมส่วนใหญ่ชาวกะเหรี่ยงปลูกข้าวอย่างเดียว แต่จากการอพยพย้ายถิ่นของชาวลีซอมาที่พื้นที่ส่วนบนของภูเขามากขึ้น และการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจากรัฐบาลส่วนกลาง ส่งผลกระทบต่อการใช้พื้นที่ในส่วนกลางของชาวกะเหรี่ยง ทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีปัญหาเรื่องที่ทำกินและแหล่งน้ำ และถูกกดดันให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งปกติแล้วส่วนใหญ่กะเหรี่ยงจะปลูกพืชแค่พอกินพอใช้ และจากการขาดที่ทำกิน ทำให้ชาวกะเหรี่ยงส่วนมากไปเป็นคนงานให้กับทั้งคนเมืองและลีซอ (หน้า 210) แนวทางในการทำการเกษตรของชาวลีซอ ลีซอมีวิธีทำการเกษตรที่แตกต่างกับกะเหรี่ยง ลีซอไม่ทำนา แต่ทำข้าวไร่แทน แต่ผลผลิตข้าวก็ไม่เพียงพอและลีซอก็ไม่ได้สนใจปลูกเป็นพืชหลักเหมือนกับการปลูกฝิ่น ซึ่งพืชที่ทำรายได้หลัก รายได้ส่วนหนึ่งจากการปลูกฝิ่นได้นำมาซื้อข้าว นอกจากนั้นยังมีการปลูกพืชเกษตรอื่น ๆ เสริมอีกด้วย เช่น ข้าวโพด เผือก มัน ถั่วแดง พืชสวน ครัว และเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ และวิธีการทำการเกษตรแบบย้ายพื้นที่ไปเรื่อย ๆ หรือ "ไร่เลื่อนลอย" (หน้า 141,158) การปลูกพืชสวนครัว การปลูกพืชสวนครัวมีสองลักษณะคือ 1) ปลูกพืชล้มลุก ส่วนใหญ่มักจะปลูกในหน้าแล้ง เช่น พริกไท มะเขือยาว แตงกวา 2) ปลูกพืชที่สามารถอยู่ได้ทั้งปี เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กล้วย อ้อย นอกจากนี้ยังมีพืชบางอย่างที่ปลูกไว้เพื่อแบ่งปันกันทั้งหมู่บ้าน เช่น อ้อย ขนุน มะม่วง ไผ่ มักจะปลูกไว้รอบหมู่บ้าน การปลูกพืชสวนครัวถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงในบ้าน เพราะเกี่ยวข้องกับการทำกับข้าว และเรื่องปากเรื่องท้อง (หน้า 102) การเลี้ยงสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงไว้ในบ้านนับเป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายที่แสดงสถานภาพของเจ้าของได้ สัตว์ที่กะเหรี่ยงเลี้ยงได้แก่ ช้าง ควายน้ำ หมู ไก่ และนอกจากนั้นยังมี หมา แมว (หน้า 93) การเลี้ยงหมู ไก่ ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เพื่อทำพิธี บริโภคในบ้าน และขายบ้างซึ่งเป็นส่วนน้อย โดยเฉพาะกะเหรี่ยงที่นับถือผี เชื่อว่าไก่เป็นสัตว์ที่มีวิญญาณของบรรพบุรุษสิงอยู่ บางครอบครัวที่มีความเชื่อเคร่งครัดมากจะไม่ฆ่าหรือขาย แต่เลี้ยงไว้เพื่อทำพิธีบูชาเท่านั้น ปกติกะเหรี่ยงจะไม่กินไข่ จะกินเมื่อทำพิธีเท่านั้น (ส่วนบางคนเห็นว่าการบูชาต่าง ๆ เป็นเรื่องยุ่งยากจึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์แทน) หน้าที่เลี้ยงหมู ไก่ เป็นหน้าที่ของผู้หญิงในบ้าน (หน้า 96-97) ส่วนการเลี้ยงช้าง ตอนนี้มีเพียงช้างตาบอดอยู่ตัวเดียว คนที่ดูแลจะเป็นชายเท่านั้น และในปัจจุบันการเลี้ยงช้างก็ไม่ส่งผลดีต่อด้านเศรษฐกิจเหมือนในอดีต เพราะมีการออกกฎหมายห้ามลากซุงอย่างผิดกฏหมาย และที่สำคัญคือป่าได้ถูกตัดไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงโครงการอนุรักษ์ป่าที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น ทำให้การเลี้ยงช้างในอนาคตไม่ค่อยสดใส (หน้า 94) สำหรับการเลี้ยงควาย การเลี้ยงควายเป็นที่นิยมน้อยกว่าการเลี้ยงหมู หรือไก่ จะมีเฉพาะครอบครัวที่มีไร่นาเท่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้ควายในการทำนาเท่านั้นไม่นิยมใช้ลากเกวียน และไม่ได้เลี้ยงไว้ขาย ผู้ชายจะเป็นคนเลี้ยงควายเสียส่วนใหญ่ (หน้า 95) การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่า คนเมือง 98.2% ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่า ส่วนชาวเขาทุกครอบครัวต่างใช้ประโยชน์จากป่า ซึ่งได้แก่ การหาอาหาร ล่าสัตว์ ทำการเกษตรหายารักษาโรค ซึ่งการหาปลาจะเข้าไปหาในป่า ใช้ตาข่ายจับปลา มักจะจับกบ ปลาไหล ปลาช่อน เป็นต้น ส่วนการล่าสัตว์นั้น ชาวเขามีการล่าสัตว์บ้าง แต่เนื่องจากป่าไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ จึงมักจะล่าได้เฉพาะสัตว์เล็ก ๆ ลีซอจะล่าสัตว์เก่งกว่ากะเหรี่ยงเพราะมีเครื่องมือและทักษะที่ดีกว่า กิจกรรมการล่าสัตว์ถือว่าเป็นกิจกรรมของชาย ผู้ชายไม่อนุญาตให้ผู้หญิงล่าสัตว์ และสุดท้ายการหาของป่าทั้งคนไทย ลีซอ และกะเหรี่ยงต่างรู้จักวิธีหาของป่า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสมุนไพร ไม้สน ไม้หอมต่าง ๆ (หน้า 34) การจับปลา ล่าสัตว์ หาของป่า การจับปลา ล่าสัตว์ หาของป่า เป็นกิจกรรมหาเลี้ยงชีพที่สำคัญของทั้งคนเมือง กะเหรี่ยง และลีซอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนมีการทำถนนเข้ามาในพื้นที่ปางขุมเพื่อเชื่อมกับพื้นที่ยางเมิน อำเภอสะเมิง ปัจจุบันชาวเขาจะนิยมเข้าป่าในช่วงหน้าร้อน หรือต้นหน้าฝน ที่เป็นช่วงแล้ง อาหารการกินหายาก การหาของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด จะเป็นหน้าที่ของผู้หญิง บางครั้งพวกเธอก็เอาไปขายในเมืองหารายได้เข้าครอบครัวด้วย ปลา เป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอดของกะเหรี่ยง ลีซอ และคนเมือง การจับปลา จะใช้หลายวิธี เช่น การใช้แห ข้องจับปลา และไม่เพียงแต่ปลาเท่านั้นที่จับมาเป็นอาหาร มีทั้งกบ ปลาไหล เต่า แมลงต่าง ๆ หน้าที่จับปลาไม่มีการจำกัดเพศมีทั้งชายหญิง เด็กและผู้ใหญ่ การล่าสัตว์ ในปัจจุบันค่อนข้างน้อยเพราะสัตว์ใหญ่ไม่ค่อยมีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการยิงนก กะเหรี่ยงใช้เครื่องมือที่ทำเอง ส่วนลีซอจะใช้ปืน การล่าสัตว์ถือเป็นกิจกรรมเฉพาะของผู้ชาย และห้ามแม้กระทั่งให้ผู้หญิงจับปืน เพราะเชื่อว่าถ้าผู้หญิงโดนปืนแล้วจะทำใด้ปืนยิงไม่โดนสัตว์อีก (หน้า100) การเก็บของป่า กะเหรี่ยงจะหาของป่าจากในไร่หรือจากป่า จะหาพืชหรือแมลงต่าง ๆ ส่วนใหญ่ไว้บริโภคเอง บ้างเอาไปขายในเมือง ของที่ขายในเมืองเป็นของที่ตลาดต้องการเช่น ฝืน ไม้หายากต่าง ๆ ถึงแม้ว่าการเก็บของป่าจะเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่มีการจับกุมอย่างจริงจัง มีชาวเมืองและกะเหรี่ยงบางส่วนที่จ้างกะเหรี่ยงยากจน ตัดไม้เพื่อขายในเมือง (หน้า 101) อุตสาหกรรมป่าไม้ในลุ่มน้ำขาน พื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญของประเทศไทยอยู่ทางภาคเหนือติดกับบริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่จะส่งออกไม้ซุงขายไปทั่วโลก ในก่อนปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ทางรัฐได้ออกกฏห้ามตัดต้นไม้เกิน 50-100 ต้น/ปี ซึ่งมีบริษัทหนึ่งได้สัมปทานการตัดไป อายุสัมปทานนานถึง 30 ปี ทำให้เกิดปัญหากับชาวบ้านเนื่องจากชาวบ้านมีความคิดว่าพวกเขาเป็นคนดูแลป่า ฉะนั้นต้นไม้ในป่าจึงสมควรเป็นของพวกเขา(หน้า 212) การครอบครองที่ดิน เนื่องจากกระเหรี่ยงเป็นผู้เข้ามาครอบครองที่ดินก่อนลีซอ ดังนั้นกระเหรี่ยงจึงมีความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่มากกว่าลีซอ และที่สำคัญหลังจากที่ลีซอกลุ่มแรกเข้ามาขออนุญาต หลังจากนั้นกลุ่มอื่น ๆ ที่ตามมาก็ไม่เคยมีการขออนุญาตอีกเลย ทำให้ชาวกะเหรี่ยงรู้สึกเสียใจมากที่ต้องเสียที่ดินไป ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ลีซออาจเห็นว่าเป็นพื้นที่ว่าง ไม่ต้องมีการขออนุญาตก็ได้ และลีซอแต่ละครอบครัวก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน บางครอบครัวอาจจะขออนุญาต ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ลีซอทั้งหมด ยิ่งเมื่อรัฐเข้ามาควบคุม ยิ่งทำให้ลีซอมีความรู้สึกว่ากะเหรี่ยงไม่ใช่เจ้าของที่แต่เป็นที่ของรัฐ จากการประมาณการ ลีซอใช้พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 436 ไร่ (ผู้วิจัยคิดว่าต้องมากกว่านี้ เพราะลีซอพยายามบอกข้อมูลให้คาดเคลื่อนเพื่อประโยชน์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดิน) วิธีเข้าครอบครองคือเข้าไปเลือกที่ป่าแล้วเข้าไปถางเผาป่า แล้วจึงย้ายเข้าไปอยู่ (หน้า 153-4) แหล่งแรงงานในการทำการเกษตร เนื่องจากความสามารถในการผลิตขึ้นอยู่กับขนาดครอบครัวและความสามารถในการจัดการแรงงาน รวมถึงขนาดของที่ทำกินด้วย ดังนั้นปัญหาแรงงานเป็นสิ่งสำคัญ (หน้า64) สำหรับแหล่งแรงงานในการทำการเกษตรนั้น อันดับแรกจะใช้คนในครอบครัวก่อน อันดับสองคือแรงงานแลกเปลี่ยน (Exchanges Labors) โดยจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทุกบ้านต้องทำและสุดท้ายการจ้างคนมาทำงานแทน (ค่าแรงประมาณ หนึ่งในสามของค่าแรงปกติ) ส่วนใหญ่ลีซอกับคนเมืองใช้วิธีนี้ แต่โดยจ้างกะเหรี่ยงที่ยากจนมาทำไร่นา (หน้า 185) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของลีซอ จะอยู่รวมกันทั้งสามรุ่น คือ พ่อ แม่ ลูก ลูกสะใภ้ ลูกเขย และหลาน ๆ แต่ครอบครัวของกะเหรี่ยงจะมีเพียงพ่อแม่และลูกที่ยังไม่แต่งงาน เชื่อว่าการอยู่กันในครอบครัวใหญ่ของลีซอ เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากการปลูกฝิ่นต้องใช้แรงงานจำนวนมากจึงอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่และเพื่อความปลอดภัย ส่วนกะเหรี่ยงพยายามขยายเครือข่ายทางสังคม ผ่านทางการแต่งงาน แม้การแต่งงานกันในเครือญาติจะไม่เป็นที่หวงห้าม แต่ได้มีความพยายามลดจำนวนลง และการแต่งงานระหว่างญาติฝ่ายหญิงด้วยกันเป็นสิ่งต้องห้าม ลูกสาวที่แต่งงานไปต้องพาฝ่ายชายมาอยู่ที่บ้านของฝ่ายหญิงอย่างน้อย 1 - 3 ปี ก่อนที่ลูกคนต่อไปจะแต่งงานแล้วนำลูกเขยเข้ามาอยู่ในบ้าน (หน้า 59, 60, 148) ลักษณะสังคมของลีซอและกะเหรี่ยง สังคมของลีซอเป็นสังคมแห่งการแลกเปลี่ยน เชื่อเรื่องการให้และการตอบแทน ส่วนใหญ่ตามธรรมเนียมเมื่อมีการให้ก็ต้องมีการตอบแทน หากใครไม่ทำอย่างนั้นจะไม่ได้รับความเคารพจากคนในหมู่บ้าน และนอกจากนั้นยังเชื่อในความเท่าเทียมกันของคนในชุมชน หากใครขยันทำงานมากก็จะได้มาก ทุกคนจึงขยันทำมาหากิน และชื่นชมในความร่ำรวย โดยไม่สนในเรื่องชาติ ตระกูล พวกเขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหากจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและความสุขสบาย ผู้ที่ได้รับความนับถือจากคนในหมู่บ้าน มักจะเป็นผู้ที่ร่ำรวยมีฐานะดี และใจดี โอบอ้อมอารี(หน้า 147) ซึ่งแตกต่างจากกะเหรี่ยงในด้านฐานะ เพราะจากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้ใหญ่ในหมู่บ้านกระเหรี่ยงที่ได้รับความเคารพนับถือ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฐานะ ผู้ที่ได้รับความนับถือในหมู่บ้านคนปัจจุบัน เป็นชายอาวุโสที่มีฐานะยากจนมาก แต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน เพราะเขาสามารถใช้ไสยศาสตร์รักษาโรคได้ และครอบครัวมีอัธยาศัยดี ทั้งลีซอและกะเหรี่ยงต่างมีความเห็นว่าการแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับลีซอนั้นทั้งหญิงชายต่างพยายามแสดงความสามารถด้วยการขยันทำงานเพื่อดึงดูดใจฝ่ายตรงกันข้าม เมื่อแต่งงานแล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ต่างคนต่างช่วยกันทำงานในครอบครัว (หน้า 148) ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวระหว่างสามีภรรยาจะเป็นลักษณะปรึกษาหารือกัน ก่อนที่จะตัดสินใจ และแบ่งกันทำหน้าที่กันทำงาน โดยสามีจะจัดการเรื่องใหญ่แต่ผู้หญิงจะดูแลเรื่องรองลงมา เช่น สามีเป็นฝ่ายติดต่อเรื่องขายวัว ควาย หญิงติดต่อเรื่องขายไก่ หมู (หน้า 130) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวนั้น บุคคลที่ต่างเพศกันจะไม่สนิมสนมกันเหมือนเพศเดียวกัน อย่างเช่น พี่/น้อง ชายหญิง และมีธรรมเนียมว่า ลูกสะใภ้ห้ามรับประทานร่วมกันกับพ่อสามีหรือพี่สามีที่เป็นชายด้วย (หน้า 191) ผู้หญิงในสังคมกะเหรี่ยงและลีซอจะทำงานภายใต้การชี้นำของผู้ชาย ทำทุกอย่างที่เป็น "งานบ้าน" ซึ่งคำว่า "งานบ้าน" ครอบคลุมพื้นที่งานในทุก ๆ อย่าง แต่คุณค่าในการทำงานของผู้หญิงกลับดูด้อยค่ากว่าการทำงานของผู้ชายอยู่เสมอ ๆ ทั้งลีซอและกะเหรี่ยงต่างมีทัศนคติต่อเพศหญิงว่า เป็นเพศที่อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่ฉลาด อยู่ไม่ได้ถ้าหากขาดผู้ชายดูแล ซึ่งผู้หญิงชาวเขาก็มองตัวเองด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในขณะที่เวลาทำงานจริง ๆ พบว่าผู้หญิงมักจะทำงานมากกว่าผู้ชายเสมอ แต่กลับมีอำนาจในการตัดสินใจน้อยกว่า (หน้า 148,152,200) |
|
Political Organization |
ลีซอไม่มีผู้นำหมู่บ้านอย่างเป็นทางการที่จะมีสิทธิขาดในการตัดสินใจต่าง ๆ แทนสมาชิกทุกคน ผู้ที่ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จะเป็นพ่อบ้านของแต่ละครอบครัว แต่ก็มีผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีฐานะดี มีอัธยาศัยดี และให้ความช่วยเหลือผู้อื่น เขาจะเปรียบเสมือนหัวหน้าของหมู่บ้าน (หน้า 143,183) ส่วนในหมู่บ้านของกะเหรี่ยงจะมีผู้นำศาสนา เป็นผู้นำในหมู่บ้าน โดยเฉพาะการทำพิธีที่สำคัญ ๆ ในหมู่บ้านและกำหนดวันสำคัญต่าง ๆ ทางศาสนา พิธีที่สำคัญมากคือพิธีบูชาวิญญาณดินและน้ำ ซึ่งเป็นพิธีที่ทุกคนในหมู่บ้านเข้าร่วม นอกจากนั้นผู้นำศาสนาจะทำหน้าที่คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของลูกบ้าน หากใครทำผิดประเพณีก็ต้องถูกทำโทษ ด้วยการทำพิธีบูชา มีของสังเวย ส่วนมากเป็นหมู ไก่ วัวควาย และอาจจะโดนลงโทษด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย อีกหน้าที่ที่สำคัญของผู้นำศาสนาคือ การจัดสรรพื้นที่ในหมู่บ้าน เมื่อก่อนหากลูกบ้านต้องการขายที่ดินของตน ต้องขออนุญาตผู้นำศาสนา ก่อน แต่ในปัจจุบันมีการปฏิบัติน้อยมาก ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าการปกครองเช่นนี้ไม่เข้มแข็งเหมือนเคย และจุดที่น่าสนใจคือ ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองกะเหรี่ยงจะไม่เกี่ยวข้องกับฐานะทางเศรษฐกิจเลย (หน้า 111) ผู้ที่ได้รับความนับถือในหมู่บ้านคนปัจจุบัน เป็นชายอาวุโสที่มีฐานะยากจนมาก แต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน เพราะเขาสามารถใช้ไสยศาสตร์รักษาโรคได้ และครอบครัวมีอัธยาศัยดี (หน้า 130) หัวหน้าหมู่บ้าน Pangkhum หัวหน้าหมู่บ้านนี้ ไม่ได้เป็นผู้นำทางศาสนา แต่จะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างชาวเขากับทางภาครัฐ หัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันเป็นกะเหรี่ยงอายุประมาณ 30 กว่า ๆ ทำหน้าที่ดูแลทั้งหมู่บ้านกะเหรี่ยงและลีซอ เนื่องจากหัวหน้าหมู่บ้านลีซอลาออกไปเมื่อปี พ.ศ. 2530 กะเหรี่ยงต่างมองว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีอำนาจน้อยมาก ด้วยหน้าที่ของเขาคือความพยายามให้คนในหมู่บ้านปรองดองกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก และต้องทำหน้าที่อยู่ระหว่างกลางระหว่างรัฐและชาวบ้านทำให้ไม่มีใครอยากทำหน้าที่นี้ (หน้า 143) หน่วยทหารจากรัฐบาลส่วนกลาง รัฐได้ตั้งหน่วยทหารขึ้น ในพื้นที่ Pangkhum ในปี 2529 (ค.ศ.1986) โดยจะอยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลา 3 ปี มีหน้าที่เพื่อเก็บข้อมูลการปลูกฝิ่น ขนาดของพื้นที่การปลูกฝิ่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อลดพื้นที่ปลูกฝิ่น แต่การทำงานของตำรวจจะไม่ใช้กำลังบังคับ แค่เป็นการบอกกล่าวให้ลดลง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขากับทหารเป็นไปค่อนข้างดี เนื่องจากชาวเขาต้องแสดงความสัมพันธ์อันดีเพราะไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง เช่นเดียวกับทหารที่ไม่อยากให้ชาวเขามีทัศนคติไม่ดีต่อพวกเขา ทหารต้องทำหน้าที่พัฒนาด้านต่าง ๆ ด้วย เช่น การแจกพันธ์พืชใหม่ ๆ ให้กับชาวเขา ตัวอย่างผลงานของทหาร เช่น การพากะเหรี่ยงที่ติดฝิ่นไปรักษา นำวัยรุ่นจากตำบล Pangkhum ไปอบรมที่ตัวจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เข้าใจถึงอันตรายของฝิ่น และสร้างความรักต่อชุมชน เป็นต้น (หน้า 217-218) |
|
Belief System |
ศาสนา : กะเหรี่ยงเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญานและนับถือพุทธศาสนาในเวลาเดียวกัน พวกเขาไปวัดในวันสำคัญทางศาสนา สวดมนต์ ทำบุญ ฟังเทศน์ ในขณะเดียวกันก็ประกอบพิธีกรรมบูชาวิญญาณด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพิธีบูชาบรรพบุรุษ วิญญาณทำนบ น้ำ ข้าว หมู่บ้าน (หน้า 112) และกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อต่าง ๆ ดังกล่าว กิจกรรมงานฉลองปีใหม่หรือ "กั่วเชี่ย" ของลีซอ ในปีที่ผู้วิจัยเข้าไปเก็บข้อมูลนั้น ปีใหม่จัดในวันที่ 30 มกราคม ส่วนวันก่อนปีใหม่คือวันที่ 29 มกราคม มีการเตรียมงานในวันที่ 28 มกราคม ของที่ต้องเตรียม คือ ประทัด หมู ผู้หญิงจะเตรียมทำขนมจากอ้อย ซึ่งทำด้วยน้ำอ้อยกวนกับข้าวหวาน ห่อด้วยใบกล้วย เป็นรูปสี่เหลี่ยม ในวันที่ 29 มกราคม ผู้หญิงจะตื่นแต่เช้า หลังกินอาหารเช้าแล้ว จะมาเตรียมทำอาหารและขนมต่อ ในวันนี้จะมีเสียงประทัดตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่าย ๆ และในช่วงบ่าย ต้นสนจะถูกประดับประดาวางไว้กลางลานบ้าน เพราะเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะเข้ามาสิงที่ต้นไม้ มีหมูห้อยอยู่ใต้ต้น เพื่อเป็นของสังเวย ผู้หญิงจะเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ทั้งหมด ใส่เครื่องประดับสวยงาม พร้อมสำหรับการเต้นรำ ส่วนเด็กหญิงที่ไม่เต้นรำก็จะแต่งตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฉลอง (หน้า 177) ส่วนในช่วงค่ำ ทุกครัวเรือนจะนำของเซ่นไหว้ต่าง ๆ มายังบ้านหมอผีซึ่งจะทำหน้าที่ทำพิธีเรียกวิญญาณ เรียกว่าพิธี "ลงผี" และหมอผีจะพ่นน้ำซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ใส่ศีรษะผู้ที่มาร่วมพิธี ส่วนผีก็จะบอกกับหมอผีว่าทำอย่างไรหมู่บ้านจึงเจริญรุ่งเรือง เช่น ผูกด้ายข้อมือให้กับทุกคน ทั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้ร่วมพิธีก็ย้ายไปทำพิธีที่บ้านปู่จารย์ (Ritual Leader) หลังจากนั้นเริ่มพิธีเต้นรำ เป็นการแสดงความเคารพเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้วขยับไปเต้นให้แต่ละบ้าน เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนครบทุกบ้าน วันที่ 30 มกราคม ในตอนเช้า หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้นำศาสนา จะได้รับเหล้า หมู ขนม จากชาวบ้านเพื่อทำพิธี พิธีเต้นรำจะเริ่มอีกครั้ง ในช่วงสาย ๆ ของวัน โดยเริ่มที่หมู่บ้านปู่จารย์ จะเต้นกันทั้งวัน ของที่ให้ปู่จารย์แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งสำหรับให้วิญญาณ ส่วนที่สอง สำหรับคนที่มาที่บ้าน ชายหญิงจะแต่งชุดสวยงามในวันปีใหม่ วันที่ 31 มกราคม จะมีงานเลี้ยง และทำพิธีขอพรวิญญาณจากต้นไม้ซึ่งจัดที่บ้านที่รวยที่สุดในหมู่บ้าน สุดท้ายวันที่ 1 กุมภาพันธ์ บางครัวเรือนเริ่มออกไปทำงาน บ้างยังคงทำพิธีและเตรียมงานเต้นรำต่อในตอนค่ำ งานเฉลิมฉลองจะสิ้นสุดลงเมื่อเริ่มวันใหม่(หน้า 175-178) ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่น่าละอายของลีซอ ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่น่าละอายของชาวลีซอคือ การต้อนรับผู้มาเยือนได้ไม่ดี, ไม่สามารถทำตามกฏต่าง ๆ ได้ (กฏ, ประเพณีที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันในหมู่บ้าน) แต่งกายสกปรก และขอยืมเงินจากผู้อื่น (หน้า 146) วัฒนธรรมการกิน "เมี่ยง" ของกะเหรี่ยง เมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้าน ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาเย็น ๆ ชาวบ้านจะนั่งล้อมวงกัน แจกจ่าย ส่งต่อเมี่ยงให้กันกิน เมี่ยงจะทำจากไม้ชนิดหนึ่งคล้าย ๆ ใบชามีคาเฟอีน ห่อกินกับใบไม้คล้าย ๆ ใบพลู ข้างในมีเมี่ยงค่ำ มะนาวหั่น ถั่วคั่ว กระเทียมดอง(หน้า 88) พิธีการหนีตามกัน ค่อนข้างบ่อยที่จะพบเห็นพิธีนี้ทั้งผู้หญิงกะเหรี่ยงและลีซอจะหนีตามผู้ชายไปที่บ้านของฝ่ายชาย แล้วตอนเช้าของวันต่อมาก็จะกลับมาขอขมาที่บ้านของฝ่ายหญิง (หน้า 149) |
|
Education and Socialization |
เมื่อก่อนชาวเขาจะไม่มีการศึกษาหรือเข้าโรงเรียนอย่างเป็นทางการ แต่เรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการเพื่อการดำรงชีพ เมื่อมีการนำการศึกษาเข้ามา เด็กที่อายุ 6 ขวบขึ้นไป ต้องเข้าเรียน ใน Pangkhum มีโรงเรียน ที่เด็กกะเหรี่ยงลีซอ และคนเมืองเรียนร่วมกันเพียงโรงเรียนเดียว ซึ่งมีครู 1คน และภารโรงอีกหนึ่งคน (หน้า 138) ทัศนะต่อการเรียนของกะเหรี่ยง ในปีที่ทำการศึกษากะเหรี่ยงไม่รู้หนังสือถึง 46% สาเหตุที่ไม่สนใจเรียนเพราะพวกเขาเชื่อว่าถึงเรียนมากก็ต้องไปทำงานใช้แรงงานในหมู่บ้านอยู่ดี และการเรียนการสอนในโรงเรียนคือภาษาไทย พวกเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์ จึงส่งลูกไปเรียนแค่ภาคบังคับเท่านั้น แต่เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสทางการศึกษามากกว่าในอดีตมาก และมีบางส่วนที่ส่งลูกหลานไปเรียนที่เชียงใหม่ เพื่อความหวังที่จะให้ลูกหลานทำงานในภาครัฐ (หน้า 111) ทัศนะต่อการเรียนของลีซอ ลีซอส่วนใหญ่ต่างเห็นความสำคัญของการเรียน โดยเฉพาะความสำคัญของภาษาไทย เพราะอยากให้ลูก ๆ เป็นข้าราชการ เช่น ตำรวจ ทหาร ส่วนมากจะส่งให้ลูกเข้าเรียน บ้างก็ให้บวชเพื่อเรียนภาษาไทย ลีซอที่มีฐานะดีจะส่งลูกไปเรียนที่เชียงใหม่ เพราะมีโรงเรียนที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับชาวเขาไม่ต้องเสียค่าเทอม ลีซอจะมีผลการ เมื่อก่อนชาวเขาจะไม่มีการศึกษาหรือเข้าโรงเรียนอย่างเป็นทางการ แต่เรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการเพื่อการดำรงชีพ เมื่อมีการนำการศึกษาเข้ามา เด็กที่อายุ 6 ขวบขึ้นไป ต้องเข้าเรียน ใน Pangkhum มีโรงเรียน ที่เด็กกะเหรี่ยงลีซอ และคนเมืองเรียนร่วมกันเพียงโรงเรียนเดียว ซึ่งมีครู 1คน และภารโรงอีกหนึ่งคน (หน้า 138) ทัศนะต่อการเรียนของกะเหรี่ยง ในปีที่ทำการศึกษากะเหรี่ยงไม่รู้หนังสือถึง 46% สาเหตุที่ไม่สนใจเรียนเพราะพวกเขาเชื่อว่าถึงเรียนมากก็ต้องไปทำงานใช้แรงงานในหมู่บ้านอยู่ดี และการเรียนการสอนในโรงเรียนคือภาษาไทย พวกเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์ จึงส่งลูกไปเรียนแค่ภาคบังคับเท่านั้น แต่เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสทางการศึกษามากกว่าในอดีตมาก และมีบางส่วนที่ส่งลูกหลานไปเรียนที่เชียงใหม่ เพื่อความหวังที่จะให้ลูกหลานทำงานในภาครัฐ (หน้า 111) ทัศนะต่อการเรียนของลีซอ ลีซอส่วนใหญ่ต่างเห็นความสำคัญของการเรียน โดยเฉพาะความสำคัญของภาษาไทย เพราะอยากให้ลูก ๆ เป็นข้าราชการ เช่น ตำรวจ ทหาร ส่วนมากจะส่งให้ลูกเข้าเรียน บ้างก็ให้บวชเพื่อเรียนภาษาไทย ลีซอที่มีฐานะดีจะส่งลูกไปเรียนที่เชียงใหม่ เพราะมีโรงเรียนที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับชาวเขาไม่ต้องเสียค่าเทอม ลีซอจะมีผลการเมื่อก่อนชาวเขาจะไม่มีการศึกษาหรือเข้าโรงเรียนอย่างเป็นทางการ แต่เรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการเพื่อการดำรงชีพ เมื่อมีการนำการศึกษาเข้ามา เด็กที่อายุ 6 ขวบขึ้นไป ต้องเข้าเรียน ใน Pangkhum มีโรงเรียน ที่เด็กกะเหรี่ยงลีซอ และคนเมืองเรียนร่วมกันเพียงโรงเรียนเดียว ซึ่งมีครู 1คน และภารโรงอีกหนึ่งคน (หน้า 138) ทัศนะต่อการเรียนของกะเหรี่ยง ในปีที่ทำการศึกษากะเหรี่ยงไม่รู้หนังสือถึง 46% สาเหตุที่ไม่สนใจเรียนเพราะพวกเขาเชื่อว่าถึงเรียนมากก็ต้องไปทำงานใช้แรงงานในหมู่บ้านอยู่ดี และการเรียนการสอนในโรงเรียนคือภาษาไทย พวกเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์ จึงส่งลูกไปเรียนแค่ภาคบังคับเท่านั้น แต่เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสทางการศึกษามากกว่าในอดีตมาก และมีบางส่วนที่ส่งลูกหลานไปเรียนที่เชียงใหม่ เพื่อความหวังที่จะให้ลูกหลานทำงานในภาครัฐ (หน้า 111) ทัศนะต่อการเรียนของลีซอ ลีซอส่วนใหญ่ต่างเห็นความสำคัญของการเรียน โดยเฉพาะความสำคัญของภาษาไทย เพราะอยากให้ลูก ๆ เป็นข้าราชการ เช่น ตำรวจ ทหาร ส่วนมากจะส่งให้ลูกเข้าเรียน บ้างก็ให้บวชเพื่อเรียนภาษาไทย ลีซอที่มีฐานะดีจะส่งลูกไปเรียนที่เชียงใหม่ เพราะมีโรงเรียนที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับชาวเขาไม่ต้องเสียค่าเทอม ลีซอจะมีผลการ เรียนในวิชาเลขและภาษาไทยมากกว่ากะเหรี่ยง แต่ความคิดเห็นต่อการศึกษาของผู้หญิงจะคล้าย ๆ กับกะเหรี่ยงคือคิดว่าไม่จำเป็นเพราะต้องแต่งงานและดูแลสามีอยู่ดี (หน้า 138-40,184) |
|
Health and Medicine |
ชาวเขาและชาวเมืองต่างใช้ทั้งไสยศาสตร์ ยาแผนปัจจุบัน และยาสมุนไพรประกอบกันในการรักษาโรค เพราะถึงแม้ว่าต่างก็รู้ดีว่ายาสมุนไพรเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เตรียมยาก และยาสมัยใหม่หาซื้อไม่ยาก และในพื้นที่ Pangkhum เมื่อใครไม่สบายสามารถ ไปหาหมอที่สถานีอนามัยที่ตำบลยั้งเมินได้ ซึ่งอยูไม่ไกลจาก Pangkhum นัก ถ้าอาการหนักก็ไปที่โรงพยาบาลสวนดวอก จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนทางไสยศาสตร์ใช้วิธีหลายอย่างควบคู่กันไป เช่น สวดอ้อนวอน ทำพิธีเรียกวิญญาณโดย"ปู่จารย์" เป็นต้น ซึ่งพิธีทางไสยศาสตร์ใช้รักษาโรคที่ไม่ร้ายแรงมากนัก ตามข้อมูล ชาวเขา 37% หาสมุนไพรจากป่าเพื่อรักษาโรค ส่วนชาวเมือง 29% ที่เข้าป่าหาสมุนไพร (หน้า 35,105,107,188) ส่วนข้อมูลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารของกะเหรี่ยงนั้น ถึงแม้ว่าเป็นกะเหรี่ยงที่มีฐานะดี แต่อาหารการกินในแต่ละมื้อ ก็แค่พออยู่พอกินเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นน้ำพริก กับผักจิ้ม แล้วมีเนื้อสัตว์ เช่น กบ หรือแมลงที่หาได้ในแต่ละวัน (หน้า 105) อาหารของลีซอสำหรับครอบครัวที่ฐานะดีถึงพอมีพอกิน ในแต่ละมื้อจะมีประมาณ 2-3 จาน แต่ถ้าฐานะยากจนจะมีเพียงน้ำพริกผักจิ้ม และเนื้อสัตว์เท่าที่หาได้ในแต่ละวัน หน้าที่ในการหุงหาอาหารเป็นหน้าที่ของผู้หญิง โดยจะทำเฉพาะมื้อเช้าและเย็น ส่วนมื้อกลางวันจะไปทำอาหารกันในไร่นาที่ที่ครอบครัวไปทำงาน สำหรับเรื่องสุขอนามัย ชาวเขาที่ได้รับการศึกษาจะได้รับอิทธิพลจากคนเมืองในด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การแปรงฟัน เป็นต้น และพวกเขานิยมอาหารแบบคนเมือง (หน้า 188,196) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ส่วนใหญ่ทั้งลีซอและกะเหรี่ยงต่างหันมาใส่ชุดคนเมือง ผู้ชายใส่กางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ต ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง และมีใส่เครื่องประดับบ้างบางคน เช่น กำไลพลาสติก และบางครั้งใช้แป้งทาหน้าและลิปสติกรวมถึงการย้อมผมด้วย ซึ่งส่วนมากซื้อจากในเมืองบ้าง แต่เสื้อที่ซื้อจากในเมืองไม่ทนเท่าไรนัก บางครั้งต้องทอใส่เองด้วย ส่วนชุดประจำเผ่าจะใส่เพียงเฉพาะในงานพิธีกรรมประจำปีเท่านั้น ลีซอจะทอเสื้อผ้าใหม่ปีละครั้งในทุก ๆ ปีใหม่ (หน้า 118,181,188) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องบรรพบุรุษของลีซอ ตามตำนานเชื่อว่าในอดีต เมื่อมีอุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลก มีคนรอดตาย 2 คน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เมื่อพบว่าตนเองเหลือกันอยู่กันแค่สองคน จึงต้องตัดสินใจว่าจะแต่งงานกันเพื่อให้มีลูกหลานต่อไปดีหรือไม่ เมื่อตัดสินใจไม่ได้ ก็พยายามเสี่ยงทาย โดยการโยนก้อนหินลงในแม่น้ำ ผลปรากฎว่าหินกลับมาบรรจบกันใต้นำอีกครั้ง และพยายามเสี่ยงทายด้วยวิธีอื่นอีกครั้งก็ได้ผลลัพท์เหมือนเดิม จึงตกลงแต่งงานกัน หลังจากนั้นมีลูกหลายคน ซึ่งกลายเป็นคนในแต่ละเผ่าของชาวเขาในปัจจุบัน แต่ผู้หญิงขาดไปหนึ่งคน อาข่าเลยต้องหนีเข้าป่าไปแต่งงานกับลิงแทน (หน้า 135) การพักผ่อนหย่อนใจ ทุกสัปดาห์จะมีวิดีโอมาฉายในหมู่บ้าน เจ้าของกิจการคือคนเมือง เก็บค่าดูผู้ใหญ่ 5 บาท เด็ก 3 บาท คนที่มีโอกาสได้ไปดูมากกว่าคือผู้ชายในครอบครัว (หน้า 118) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยง ภาษาอังกฤษเรียก Karen ส่วนคนไทยกลางเรียกว่า "กะเหรี่ยง" คนไทยเหนือเรียก "ยาง" Yang แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ "Sgaw" กับ "Pwo" อีก 2 กลุ่ม พบน้อยมากในประเทศไทยคือ Pao Tong su และ Taungthu Kayah ( Karenni or Bwe) ส่วนกะเหรี่ยงที่ Pangkhum เรียกตัวเองว่า "Pg"a Kanyaw Sg'aw" (หน้า 54-56) ลีซอ ลีซอ เรียกตัวเองว่าลีซู (Lisu) แต่คนไทยเรียกว่าลีซอ (Lisaw) คนทางเหนือเรียกพวกเขาว่า ข่าแม้ว ใช้ภาษายี (Lolo) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาตระกูล Tibeto-Burman เชื่อว่าเป็นภาษาที่ยืมมาจากชาวยูนาน ไทลู ทางใต้ของจีน ผู้ชาย สูงประมาณ 160-165 ปากตาเล็ก สีผิวเหลืองน้ำตาล ผู้หญิงสูงประมาณ 155-160 ปากตาเล็ก สีผิวเหลืองน้ำตาล (หน้า 135-136) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมวัฒนธรรมของชาวเขาในพื้นที่ Pangkhum นั้นเกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขยายประชากรชาวเขาโดยเฉพาะเผ่าลีซอ การทำไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่น การบุกรุกที่ป่า และการขยายแนวคิดการทำการเกษตรเพื่อพาณิชย์ ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาในพื้นที่ดังนี้ คือ ความไม่เท่าเทียมในพื้นที่ทำกินและขาดทรัพยากรดิน น้ำ และป่า โดยเฉพาะกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเกิดปัญหาขาดที่ดินทำกิน เพราะจำนวนของที่ดินจำกัด รวมถึงการขาดแคลนน้ำ ซึ่งเกิดจากการแย่งชิงการใช้น้ำกับลีซอ จึงต้องขายให้ลีซอและคนเมือง และกลายเป็นชุมชนที่ยากจนที่สุดในพื้นที่ พวกเขาถึงถูกพลักดันให้ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อขายให้ตลาดในเมือง แต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างเป็นได้ยากเพราะขาดพื้นที่ทำกิน และขาดความรู้ด้านการเกษตรใหม่ๆ เพราะการปลูกพืชพวกนี้ต้องพึ่งพาการตลาดใหม่ๆ และการเรียนรู้เรื่องการตลาดเป็นสิ่งที่ยากสำหรับพวกเขา ทำให้ส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ และต้องไปทำงานเป็นคนงานในไร่ให้คนเมืองและลีซอ (หน้า 157,211) หน่วยงานราชการจึงจัดทำโครงการปลูกป่าทดแทนขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ด้วยจุดประสงค์หลัก คือ ลดการทำลายป่าของชาวเขา และรักษาป่าต้นน้ำ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ปลูกป่าทดแทนและพัฒนาพื้นที่ และในโครงการการปลูกป่าทดแทน (หน้า 204) โครงการปลูกป่าทดแทน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527(1984) ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,150,000 บาทต่อปี มีทั้งหมด 6 ยูนิต แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 การปลูกป่าทดแทนและช่วงที่ 2 การพัฒนาพื้นที่ ซึ่งหมู่บ้าน Pangkhum เป็นพื้นที่ในยูนิตที่ 4 โดยโครงการมีหน้าที่ต้องให้มีการปลูกพืชทดแทนอย่างต่ำ 300 ไร่/ปี จุดประสงค์หลักของโครงการ คือ ลดการทำลายป่าของชาวเขา และรักษาป่าต้นน้ำ ส่วนจุดประสงค์รองคือ 1) ให้การศึกษาชาวเขา 2) แนะนำการปลูกพืชชนิดใหม่ที่ทำรายได้ดี เช่น เห็ดหอม 3) สร้างถนน 4) จัดกิจกรรมฝึกฝน อบรม ที่เหมาะสมและมีประโยชน์ให้กับชาวเขา 5) แจกจ่ายพืชให้กับชาวเขา 6)ให้บริการสาธารณสุข(หน้า 205) ระหว่างการดำเนินงานได้เกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งมักจะเป็นความขัดแย้งจะเกิดขึ้นกับลีซอมากกว่ากะเหรี่ยง สาเหตุเพราะลีซอไม่ได้ทำนาเหมือนกะเหรี่ยงหรือชาวเมือง แต่เป็นการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งสิ้น อาทิ โครงการมีวิธีการดำเนินการโดยปลูกไม้สนในพื้นที่ ที่เดิมเคยเป็นของลีซอมาก่อน ได้สร้างความขัดแย้งเกิดขึ้น เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวต้องมีการล้อมรั้ว เพื่อป้องกันการเหยียบย่ำจากวัวควายซึ่งเป็นสัตว์ที่ลีซอเลี้ยงไว้ แต่รั้วทำไม่ดีพอ จึงมักมีสัตว์ที่ชาวเขาเลี้ยงไว้เข้าไปเหยียบย่ำ ในปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ.1985) มีม้าของลีซอตาย จึงเกิดความขัดแย้งขึ้นเพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ทำ และในบางพื้นที่ เมื่อทางรัฐได้เข้าไปปลูกป่าทดลอง ได้ออกกฏห้ามคนเข้าไปในพื้นที่ ลีซอก็ไม่พอใจเพราะคิดว่าเป็นที่ดินของเขาเนื่องจากเคยเข้าไปทำการเพาะปลูกในพื้นที่ ซึ่งลีซอแก้ไขด้วยการแอบเข้าไปเผาป่า โดยบอกว่าเกิดจากภัยธรรมชาติ ดังนั้นต่อมาในยูนิตที่ 3 จึงมีการอนุญาตให้ลีซอที่เคยทำการเกษตรในพื้นที่สามารถเข้าพื้นที่ได้ แต่ต้องมีการดูแลควบคุมอย่างดีจากทางเจ้าหน้าที่ (หน้า 206-207) ถึงแม้ว่าในช่วงแรกโครงการนี้ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากกะเหรี่ยง เพราะคิดว่าสามารถเข้ามาช่วยให้รักษาทรัพยากรน้ำจากลีซอ แต่ต่อมาก็ถูกต่อต้านเหมือนกันเพราะกะเหรี่ยงบางคนเชื่อว่านาไร่ของตนก็อาจจะถูกนำไปเป็นของรัฐเหมือนกัน และมีผลกระทบต่อการเลี้ยงวัว ควายด้วย ความไม่พอใจของชาวกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการให้งานชาวเขาทำ ซึ่งนับว่ามีชาวเขาจำนวนน้อยมากที่ได้งานทำ คนที่ได้มักจะเป็นคนเมือง ส่วนชาวเขาที่ได้งานเป็นกะเหรี่ยงที่พอไปทำแล้วได้ประสบการณ์ที่ไม่ดีกลับมา เช่น หญิงกะเหรี่ยงที่ไปทำงานเล่าว่า จ่ายเงินค่าแรงช้าบางทีช้ามากและค่าแรงมีอัตราต่ำมาก ต้องซื้อของใช้ใน"สหกรณ์" ในราคาสูงมาก นอกจากนี้ยังถูกคุกคามทางเพศอีกด้วย และปัญหาที่สำคัญที่ทำให้ชาวเขาไม่สามารถทำงานให้กับโครงการได้ เนื่องจากเวลาในการทำงานขัดกับเวลาทำไร่ของชาวเขา เพราะโครงการไม่ให้คนงานหยุดเกิน 7 วัน/ปี แต่ในทางปฏิบัติชาวเขาต้องการเวลาไปทำไร่ของพวกเขาด้วย ดังนั้นคนที่สามารถทำงานได้ส่วนใหญ่เป็นคนเมืองเท่านั้น (หน้า 113, 134, 207, 213) ดังนั้นชาวเขาจึงได้รับการสนับสนุนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ แต่ในช่วงแรกไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สำหรับสาเหตุที่พืชแนะนำใหม่ที่เป็นพืชทดแทนการปลูกฝิ่น ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อันได้แก่ ราคาของผลผลิตในตลาดถูกกว่าฝิ่นมาก และพืชแนะนำปลูกยากเนื่องจากต้องพึ่งพาสภาวะอากาศและเทคโนโลยีต่าง ๆ อีกทั้งพืชพวกนี้ต้องพึ่งพาการตลาดใหม่ ๆ และการ เรียนรู้เรื่องการตลาดเป็นสิ่งที่ยากสำหรับชาวเขา ต้องมีการปรับตัวเยอะมาก ถึงแม้ว่าชาวลีซอบางครอบครัวสามารถประสบความสำเร็จ ซึ่งมักเป็นครอบครัวที่ฐานะดี แต่ส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ (หน้า 212) อีกทั้งจากมีการออกกฏหมายกำหนดว่าปลูกฝิ่นและการบุกรุกพื้นที่ป่าเป็นสิ่งต้องห้าม และมีโครงการอนุรักษ์ป่า เข้ามาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทำให้การปลูกฝิ่นจึงเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับลีซอ ได้มีการปรับตัวโดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินการผลิตและการดำเนินชีวิตเพื่อการอยู่รอด (หน้า 201-203) ดังต่อไปนี้ 1) พยายามปลูกข้าวมากขึ้น ด้วยการหมุนเวียนใช้ที่ดินมากขึ้น แต่ไม่พบว่ามีความพยายามที่จะนำวิธีการเพิ่มผลผลิตอื่น ๆ เช่น คัดเลือกพันธุ์พืชมาใช้ 2) พยายามขยายพื้นที่ปลูกพืชมากขึ้น วิธีการคือ ซื้อที่จากกะเหรี่ยงยากจน หรือเข้าไปถางป่ามากขึ้น ซึ่งมักเป็นที่ว่างที่กะเหรี่ยงสำรองไว้ ไม่ใช้สำหรับเป็นที่ต้นน้ำ ลีซอจะพยายามเข้าไปถางป่า แต่เช้ามืด ซึ่งก่อนที่กะเหรี่ยงจะรู้ ป่าก็ได้ถูกบุกรุกไปแล้ว 3) พยายามปลูกพืชใหม่ ๆ ที่รัฐได้แนะนำไว้ เช่น เผือก มัน แครอท ถั่วแดง กาแฟ ลิ้นจี่ 4) พยายามใช้แรงงานให้มากขึ้นเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้มีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น วิธีการเพิ่มแรงงาน ได้แก่ การจ้างกะเหรี่ยงมาทำงาน จ้างวันละ 20 - 25 บาท ต่อวัน บางทีจ้างเป็นการให้สูบฝิ่นแทน สำหรับกะเหรี่ยงติดยาที่มาทำงานในไร่ฝิ่น,ใช้คนในครัวเรือน 5) พยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น นำยาฆ่าแมลงมาใช้ในไร่ 6) พยายามหาที่ดินใหม่ ที่อยู่ไกลหูไกลตาเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อปลูกฝิ่น 7) ส่งลูกเข้าเรียนในเมือง เพื่อผลักดันให้ทำงานราชการได้ 8) ทำปศุสัตว์เป็นอาชีพเสริม เช่น เลี้ยงหมู ไก่ ไว้กินและขาย 9) มีแผนย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ที่อำเภอเชียงดาว เป็นต้น แต่ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก 10) เอาของใช้เครื่องประดับ เช่น เครื่องเงิน ไปจำนำ หลังจากได้ศึกษาถึงการดำเนินโครงการและผลกระทบ ทางทีมผู้วิจัย มีความเห็นว่า การดำเนินงานดังกล่าว ไม่ประสบความสำเร็จนัก และนำปัญหาความขัดแย้งมาสู่ชุมชน ผู้วิจัยแนะนำว่าควรจะสร้างสรรสิ่งใหม่ ๆ ด้วยพื้นฐานจากสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนมีอยู่ก่อน โดยแนะนำว่า ในการทำความเข้าใจผลกระทบของการทำลายป่าและการปลูกป่าทดแทน รวมทั้งศึกษาบทบาทของผู้หญิงกะเหรี่ยงและลีซอ ในการดำเนินชีพเพื่อความอยู่รอดนั้น ควรทำความเข้าใจว่าไม่ควรแยกหมู่บ้าน Pangkhum ออกมา เหมือนเป็นชุมชนที่แยกต่างหาก เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของชุมชน จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ขานทั้งหมด และพึงตระหนักว่า ผู้หญิงเป็นผู้ผลิต (Producer) และผู้บริโภคของแต่ละครอบครัวในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงจึงเป็นหนึ่งในโครงข่ายเครือข่าย สมาชิกในหมู่บ้าน วิจัยยังให้คำแนะนำอีกว่า นอกจากจะเน้นไปที่การพัฒนาพื้นที่ภูเขาเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาไปที่พื้นส่วนกลางและพื้นราบด้วยพร้อม ๆ กัน ควรมีการปรับการกำหนดโซนแต่ละพื้นที่ และประเภทของพื้นที่ใหม่ โดยต้องพิจารณาจากข้อมูลจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินในปัจจุบัน และควรให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของเดิมสามารถอยู่ในพื้นที่ได้ เพียงแต่ต้องมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด ควรมีการวัดผลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะผลกะทบที่มีต่อคนจนและกะเหรี่ยง ต้องมีการวัดและควบคุมสิทธิการครอบครองที่ทำกินอย่างถูกต้อง และจากประวัติเดิมที่ชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้จัดสรรที่ดินในพื้นที่ ดังนั้นในการจัดสรรต่อไปควรรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย กิจกรรมใด ๆ ที่เกิดขึ้นควรทำเพื่อจุดประสงค์หลักคือการพัฒนาพื้นที่ภูเขา มากกว่าเพื่อผลิตสินค้าการเกษตรเพื่อการพาณิชย์ และควรให้สิทธิพิเศษสำหรับชาวเขาที่ไม่ปลูกฝิ่นก่อน สำหรับการเรียนรู้วิธีการเกษตรใหม่ ๆ ที่ไม่ยากและไม่แพง ควรสร้างความร่วมมือร่วมแรงในพื้นที่ เพราะการปลูกพืชบางอย่างยากแก่การทำเพียงครอบครัวเดียว เช่น กาแฟ การเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่ดี และทำรายได้สูงจึงควรสนับสนุนต่อไปนอกจากนี้การจัดการจากส่วนกลางควรมีความเข้มแข็งมากกว่านี้และควรเพิ่มประสิทธภาพของเจ้าหน้าที่ป่าไม้และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดยเฉพาะคนในพื้นที่ทั้งชายและหญิง (หน้า 214-217) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยใช้ตารางและแผนที่ประกอบงานวิจัย ดังต่อไปนี้คือ ตารางแสดงการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ หน้า 8, ตารางแสดงพื้นที่ป่าเปรียบเทียบปี 2521 -2525 (ค.ศ. 1978-1982) หน้า 39, ตารางแสดงพื้นที่ป่าเปรียบเทียบปี 2504(ค.ศ. 1974), 2508(ค.ศ. 1965), 2516(ค.ศ. 1973), 2521 (ค.ศ. 1978) หน้า 40, ตารางแสดงเปอร์เซ็นต์ของการลดลงของพื้นที่ป่า เปรียบเทียบระหว่างปี 2483 - 2525 (ค.ศ. 1940-1982) หน้า 41 ตารางแสดงจำนวนการจัดไม้ทำลายป่า แปลงเป็นไม้ซุง หน้า 42 ตารางแสดงการเปรียบเทียบสัดส่วนการเป็นเจ้าของป่าไม้ระหว่างคนไทยและต่างชาติ หน้า 47 ตารางแสดงจำนวนของครอบครัวที่หาของป่าสำหรับบริโภคในครัวเรือน หน้า 49 แผนที่แสดงการตั้งครัวเรือนของประชากรที่ตำบลปางขุม หน้า 51 แผนที่แสดงการใช้พื้นที่ของแม่น้ำ บ้านปางขุม หน้า 52 |
|
|