|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขมุ,สังคม,วัฒนธรรม,การพัฒนา,ภาคเหนือ |
Author |
นิพัทธเวช สืบแสง |
Title |
สังคมและวัฒนธรรมชาวขมุกับการพัฒนา |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
44 |
Year |
2539 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา, เชียงใหม่, 2539 |
Abstract |
ผู้เขียนนำเสนอลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าขมุในประเทศไทยเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาซึ่งในปัจจุบันเน้นเกี่ยวกับมิติทางวัฒนธรรมมากขึ้น โดยผู้เขียนได้อธิบายเกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มและการกระจายตัวของชาวขมุ โครงสร้างทางสังคมและเน้นเกี่ยวกับระบบความเชื่อเรื่องผีและอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอืทธิพลต่อวิถีชีวิตของขมุอย่างมาก ประกอบกับอธิบายลักษณะทางเศรษฐกิจของขมุและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างหลากหลาย นอกจากนั้น ยังได้วิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของขมุ พร้อมทั้งแสดงกรณีตัวอย่างการพัฒนาชุมชนขมุแบบเน้นในมิติทางวัฒนธรรม |
|
Focus |
ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมชาวเขาเผ่าขมุในภาพรวม และประสบการณ์การพัฒนาในการทำงานในชุมชนขมุ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาชาวเขาเกิดปัญหาในกระบวนการพัฒนาได้มากกว่าการพัฒนาสังคมชาวพื้นราบ นั่นคือ การที่คนในชุมชนชาวเขาไม่ยอมรับนวัตกรรม หรือสิ่งใหม่เข้าไปในชุมชน เพราะถือว่าเป็นสิ่งผิดจารีตประเพณี ซึ่งผู้เขียนเรียกว่า เป็นอุปสรรคทางสังคมและวัฒนธรรมของการพัฒนา อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไขปัญหานี้ ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากการพัฒนาชุมชนขมุที่เกิดขึ้นจริงโดยใช้เทคนิค 3 ประการซึ่งประกอบด้วย การศึกษาชุมชน การตีความใหม่ทางวัฒนธรรม และการบูรณาการทางวัฒนธรรม ในการพัฒนาที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสังคมของชาวขมุ (หน้า 32-42) ทั้งนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อนักพัฒนาจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนที่จะเข้าไปศึกษา และต้องมองว่าวัฒนธรรมชุมชนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มีความยืดหยุ่นและเป็นพลวัตร |
|
Ethnic Group in the Focus |
ขมุเป็นกลุ่มชาติพันธ์ในตระกูลมอญ-เขมร ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็น 1 ใน 4 กลุ่มชนชาวเขาในประเทศไทยได้แก่ ขมุ ถิ่น ลัวะ และตองเหลือง ที่ใช้ภาษาในตระกูลมอญ- เขมรเช่นเดียวกัน (หน้า 3) ขมุมีการแบ่งกลุ่มย่อยไปอีกหลายกลุ่มโดยใช้คำต่อท้ายที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะของขมุกลุ่มนั้นๆ ซึ่งหาข้อสรุปเป็นเกณฑ์ในการจำแนกไม่ได้ (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เด็กชาวขมุเมื่อเกิดมาจะได้รับการฝึกหัดให้พูดภาษาขมุและภาษาไทยไปพร้อมกัน สังคมขมุจึงใช้ระบบ 2 ภาษา โดยจะพูดภาษาขมุและภาษาไทยปนกันไป (หน้า 31) กลุ่มชนชาวเขาในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกันที่พูดภาษาในสาขามอญ-เขมร รวมถึงภาษาขมุของชาวขมุ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มภาษาย่อยของกลุ่มขมุในตระกูลภาษาออสโตรเอเชีย (หน้า 3) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าขมุในประเทศไทยได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งครั้งแรกเมื่อใด แต่จากหลักฐานที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 5 สันนิษฐานว่าขมุที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยในจังหวัดอุทัยธานีและกาญจนบุรี เป็นหนึ่งในพวกผู้คนที่ถูกกวาดเข้ามาอยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์เพื่อเป็นกำลังพล เมื่อครั้งมีการปราบกบฏ และกลุ่มที่ตั้งตนแข็งเมืองในสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาได้เกิดการอพยพหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยของขมุอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ของอังกฤษที่ได้สัมปทานจากไทยอันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาบาวริ่งในปี พ.ศ. 2398 จากนั้นยังคงตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ต่อมาแม้สัมปทานจะสิ้นสุดลง (หน้า 4-5) |
|
Settlement Pattern |
การกระจายตัวของขมุมักตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันเฉียงเหนือตามแนวชายแดนในเขตเวียตนามติดประเทศลาว ได้แก่บริเวณแม่น้ำมาและเดียนเบียนฟู ในประเทศลาวมักตั้งหลักแหล่งอยู่บนที่ราบสูงและบริเวณภูเขาตามแขวงต่างๆ ของลาวตอนเหนือ ส่วนในจีน จะอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา (หน้า 3-4) สำหรับขมุในประเทศไทยมีลักษณะการกระจายตัวไม่กว้างขวางนัก ส่วนใหญ่เป็นการกระจายตัวของหมู่บ้านขมุในจังหวัดน่าน และเชียงราย ส่วนที่อื่นๆ ปัจจุบันไม่มี (หน้า 6) หมู่บ้านขมุส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านที่มีการตั้งถิ่นฐานมานานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ประกอบกับขมุแต่ครัวเรือนมีที่ดินที่ถือครองจำนวนหลายแปลงเพื่อการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ก็เป็นความสอดคล้องที่ต้องตั้งถิ่นฐานแบบถาวร (หน้า 7) ขนาดของชุมชนหมู่บ้านของขมุ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และพบว่ามีสายตระกูลในแต่ละชุมชนไม่เกิน 5 สายตระกูล (หน้า 9) |
|
Demography |
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยชาวเขา เมื่อ พ.ศ. 2535 มีจำนวนชาวขมุในประเทศไทย จำนวน 31 หมู่บ้าน 1,530 ครัวเรือน มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 8,750 คน (หน้า 5) ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ขนาดเล็ก มีสมาชิกเฉลี่ย 2 คน เนื่องจากส่วนใหญ่ประกอบการเกษตรแบบยังชีพ จึงมีความต้องการแรงงานในครัวเรือนน้อย มีการยอมรับการวางแผนครอบครัว (หน้า 8) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของชาวขมุเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีทั้งภาคเกษตรและนอกภาคการเกษตรปรากฏอยู่ควบคู่กัน หรือที่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ โดยในส่วนภาคการเกษตร เน้นการปลูกพืชเพื่อบริโภคในครัวเรือนจึงมีจำนวนน้อย พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวเหนียว ข้าวโพด พริก ผักและสมุนไพรต่างๆ เป็นการทำเกษตรแบบยังชีพด้วยระบบเกษตรกรรมบนที่สูงแบบชาวเขาทั่วไปที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติอย่างมาก โดยเฉพาะสภาพอากาศที่เหมาะสม อีกทั้งไม่สามารถควบปัจจัยหลายอย่างได้ เช่น ปริมาณน้ำฝน ภัยธรรมชาติและศัตรูพิช (หน้า 16) การทำไร่ของขมุเป็นแบบไร่หมุนเวียน แต่ละครัวเรือนจะมีการถือครองที่ดินจำนวนหลายแปลง โดยจะหมุนเวียนทำการเพาะปลูกในที่ดินปลงที่มีความอุดมสมบูรณ์ และปล่อยให้ที่ดินฟักตัวในแปลงที่ความอุมดมสมบูรณ์ลดลง หรือดินเริ่มมีปัญหาหลังจากผ่านการใช้งานมาแล้ว ซึ่งป่าไม้นับเป็นแหล่งผลิตสำคัญที่ขมุใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างหลากหลายในวิถีชีวิต (หน้า 26-29) ส่วนอาชีพนอกภาคการเกษตร ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกชุมชนซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากการศึกษาหลักเฐานเอกสาร ผู้เขียนแบ่งการเปลี่ยนแปลงในอาชีพยอกภาคเกษตรของขมุได้เป็น 3 ระยะ โดยระยะแรกเป็นยุคเริ่มต้นของอาชีพนอกภาคเกษตร เมื่อมารับจ้างเป็นแรงงานในการทำป่าไม้ให้กับชาวอังกฤษที่ได้รับสัมปทานในการทำป่าไม้ทางภาคเหนือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2398-2439 ระยะที่สอง หลังจากสัมปทานการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ของชาวอังกฤษสิ้นสุดลง ดัวยความที่ขมุเป็นกลุ่มคนที่มีความชำนาญในการทำไม้ จึงผลิตไม้แปรรูปในชุมชนกันอย่างกว้างขวาง เป็นแวลานานจนกระทั่งต้องหยุดไปเมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดยกเลิกการให้สัมปทานป่าไม้ในปี พ.ศ. 2532 ต่อมาในระยะที่ 3 เป็นช่วงที่มีการอพยพแรงงานในหมู่บ้านอย่างรวดเร็วและกว้างขวางเป็นจำนวนมาก เพื่อไปประกอบอาชีพเป็นแรงงานในงานภาคธุรกิจและบริการในเมือง ซึ่งต่อมาเป็นลักษณะการทำงานอย่างถาวรมากกว่าไปเพื่อทำงานชั่วคราวในช่วงว่างเว้นจากฤดูกาลเพาะปลูก (หน้า 24-26, 29-30) |
|
Social Organization |
โครงสร้างพื้นฐานของสังคมขมุ ประกอบด้วยกลุ่มตระกูลข้างฝ่ายหญิง ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวซึ่งถือผีเดียวกัน โดยฝ่ายชายจะเปลี่ยนมานับถือผีบรรพบุรุษของภรรยาหลังจากการแต่งงานและลูกจะสืบผีของแม่ต่อไป คู่สมรสจะเข้าไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิงชั่วคราวหลังจากการแต่งงาน แต่ไม่นานก็จะแยกครัวเรือนออกมา อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นหากเป็นลูกผู้หญิงคนสุดท้อง ก็ต้องอยู่ดูแลพ่อแม่ในครัวเรือนเดิมต่อไป หรือหากพ่อแม่ฝ่ายชายไม่มีลูกสาวเลย ฝ่ายหญิงก็ต้องเข้าไปอยู่กับพ่อแม่ฝายชาย อีกลักษณะหนึ่งของครอบครัวขมุ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว และมีขนาดเล็ก (ประมาณ 2.08 คน ในปี พ.ศ 2535) สำหรับการสืบสายตระกูลมี 2 ลักษณะคือ "แบบยาว" หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นแบบกว้าง ซึ่งคนในสายตระกูล เชื่อว่าร่วมตระกูลเดียวกันซึ่งอาจเรียกชื่อเป็นพืช เช่น ผักกูด แม้ว่าไม่อาจจะสืบย้อนไปได้ว่าเป็นญาติร่วมตระกูลทางใด แต่ละกลุ่มตระกูลขมุเรียกว่า "ตมอยฮอก" การนับตระกูลอีกลักษณะหนึ่งเป็นการรับรู้ร่วมตระกูล โดยดูการสืบเชื้อสายจากทวดเดียวกัน การนับแบบนี้จะดูจากการสืบสายเลือด หรือเชื้อสายเป็นสำคัญ ไม่มีสัญลักษณ์แต่มีข้อห้ามการแต่งงานของผู้ที่สืบเชื้อสายจากทวดเดียวกัน ทั้งครอบครัวและกลุ่มสายตระกูลมีความสำคัญต่อชีวิตสังคมและเศรษฐกิจของขมุ (หน้า 7-9) |
|
Political Organization |
เนื่องจากสังคมขมุเป็นสังคมที่ยอมรับระบบอาวุโส โครงสร้างอำนาจในสังคมจึงประกอบไปด้วยตัวแทนของทุกสายตระกูล หรือคณะผู้อาวุโส ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าถึงที่มาของอำนาจสำคัญในชุมชน และมีบทบาทในการตัดสินใจแทนคนในชุมชนได้ นอกจากกลุ่มผู้อาวุโสในระดับที่เป็นกลุ่ม ในสังคมขมุยังมีผู้นำในระดับปัจเจกบุคคล ได้แก่ ขะจ้ำ หมอผี หมอคาถา หมอเมื่อ และล่าม เป็นผู้ที่มีความสามารถเฉพาะบุคคลในด้านการประกอบพิธีกรรมสำคัญในชุมชน ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ (หน้า 12-14) การตัดสินใจหรือมติของคณะผู้อาวุโสเป็นสิ่งที่ทุกคนในชุมชนจะต้องปฏิบัติตาม กระทั่งต่อมาเมื่อทางภาครัฐได้จัดระเบียบการปกครองในชุมชนชาวเขาใหม่ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายปกครอง จึงเกิดองค์กรปกครองที่เป็นทางการขึ้น กล่าวคือ มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย และคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจแบบใหม่ จากรูปแบบเดิมที่เคยประกอบด้วยตัวแทนของทุกสายตระกูลหรือคณะผู้อาวุโส เป็นบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจแทนคนในชุมชนได้ มาเป็นการปกครองอย่างเป็นทางการซึ่งมีโครงสร้างแบบลำดับชั้น ก่อให้เกิดความสับสนในอำนาจการตัดสินใจของชุมชน (หน้า 10-12) สังคมขมุยังมีลักษณะการจัดองค์กรเป็นแบบชั่วคราว (ad hoc) คือ เป็นกลุ่มความร่วมมือในแบบต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นและสลายตัวในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสมาชิกด้วยความสมัครใจโดยมีจุดประสงค์ เพื่อแสดงบทบาทหน้าที่เฉพาะ เช่น กลุ่มแลกเปลี่ยนแรงงาน กลุ่มล่าสัตว์ กลุ่มประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากในชุมชนขมุ (หน้า 14-15) |
|
Belief System |
ในสังคมขมุระบบความเชื่อเรื่องผี และอำนาจเหนือธรรมชาติมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของขมุอย่างแนบแน่น และสอดแทรกอยู่ในทุกสถาบันทางสังคมนับตั้งแต่ ครอบครัว การปกครอง การอบรมสั่งสอน การบำบัดโรคภัยใข้เจ็บ ตลอดจนการประกอบอาชีพ และยังคงมีอิทธิพลต่อวิธีคิดของขมุมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 19-20) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับผีในความเชื่อของขมุมีลักษณะไม่เท่าเทียม ผีมีอำนาจดลบันดาลทั้งคุณและโทษให้แก่มนุษย์ ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ที่มีต่อผี (หน้า 18-19) ขมุยังมีความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ 2 ชนิดคือ ขวัญ และคุณไสย ในฐานะที่เป็นสารัตถะของชีวิตและพลังอำนาจที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ (หน้า 19-20) นอกจากนั้น ขมุยังใช้การนับถือผีเป็นเกณฑ์ในการจำแนกกลุ่มทางสังคม ทำให้บุคคลมีกรอบของความสัมพันธ์ทางสังคมในขอบเขตและระดับต่างๆ กัน เช่น บุคคลภายนอกที่ไม่ได้นับถือผีเรือนเดียวกันจะมีข้อห้ามบางประการเมื่อขึ้นไปบนเรือน หรือการนับถือผีบรรพบุรุษร่วมกัน เพื่อใช้ควบคุมพฤติกรรมของคนที่อยู่ในสายตระกูลเดียวกัน ในระดับที่กว่างขึ้น คือการนับถือผีหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นความผูกพันของคนในหลายตระกูลในฐานะที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เดียวกัน มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน รู้สึกว่าเป็นกลุ่มพวกเดียวกัน นับเป็นกำหนดขอบเขตของคนในชุมชนกับบุคคลภายนอก ในขอบเขตที่กว้างกว่า เป็นการนับถือผีหลวง ที่มีหมู่บ้านมากกว่าหนึ่งหมู่บ้าน นับถือผีร่วมกัน ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ ผีหลวงร่วมกัน หรือทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน (หน้า 22) |
|
Education and Socialization |
การอบรมสั่งสอนในสังคมขมุจะสอดแทรกไปด้วยระบบความเชื่อซึ่งเป็นตัวกำหนดทัศนะการมองโลก วิธีคิด จารีตประเพณี และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม นอกจากนั้น ในกระบวนการขัดเกลา-ระบบความเชื่อยังมีบทบาทสำค้ญในฐานะใช้ควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมโดยใช้ความคิดเรื่อง "การผิดผี" เป็นบทลงโทษทางสังคม (หน้า 23-24) |
|
Health and Medicine |
ด้วยเหตุที่ระบบความเชื่อเรื่องผี และอำนาจเหนือธรรมชาติมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของขมุอย่างลึกซึ้ง การเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงเชื่อว่าเป็นการลงโทษของผีต่อมนุษย์ที่ล่วงละเมิดลบหลู่ เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นจึงมีพิธีกรรมต่างๆ โดยการเซ่นไหว้ผี และใช้ถาคาอาคม หรือทำพิธีเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากอำนาจเหนือธรราชาติเพื่อบำบัดรักษาอาการจ็บป่วยที่เกิดขึ้น (หน้า 21) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ขมุมีความใกล้ชิดกับกลุ่มชาวเขาในประเทศไทยอีก 3 กลุ่ม คือ ถิ่น (เรียกตัวเองว่า มัล หรือ ปรัย) ลัวะ และมลาบรี (ตองเหลือง) โดยกลุ่มภาษาที่ใช้สื่อสารจะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 2) นั่นคือ ทั้ง 4 กลุ่มใช้ภาษาในตระกูลมอญ-เขมรเช่นเดียวกัน แต่ขมุจะมีความใกล้ชิดกับชาวถิ่นและมลาบรีมากกว่า เพราะภาษาพูดของทั้งขมุ ถิ่น และมลาบลีจัดอยู่ในกลุ่มขมุในขณะที่ภาษาของลัวะจัดอยู่ในกลุ่มบะหล่อง (หน้า 3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปรากฏการณ์อพยพแรงงานที่เกิดขึ้นในสังคมของขมุเป็นปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งผู้เขียนได้สรุปถึงปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงนั้นไว้ 4 ประการ ได้แก่ 1) ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เกิดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีความต้องการแรงงานชายขอบ(marginal labour) 2) ขมุขาดรายได้จากการผลิตไม้แปรรูป และการเกษตรส่วนใหญ่ของขมุเป็นแบบยังชีพซึ่งไม่สามารถสร้างรายได้ ดังนั้น เมื่อมีความต้องการแรงงานจึงอพยพไปทำงานนอกชุมชน 3) ความสามารถในการพึ่งตนเองได้ของขมุลดลง ประกอบกับความต้องการนอกเหนือจากปัจจัยสี่ที่เพิ่มขึ้นทำให้จำเป็นต้องออกไปประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ 4) ชาวขมุมีความพร้อมที่จะไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก (หน้า 41-42) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้ แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มภาษาต่างๆ ในสาขามอญ- เขมร ประกอบการอธิบายเกี่ยวกับการจำแนกและแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์โดยใช้ภาษาเป็นเกณฑ์ (หน้า 3) |
|
|