สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหาร,ศาสนา,การเปลี่ยนแปลงของสังคม,ภาคเหนือ
Author Hayami Yoko
Title Meat-Consumption, Feasting and Commensality among Karen in the Context of Socio-Religious Changes in the Upland-Lowland Continuum
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 21 Year 2546
Source Hayami Yoko and Thongsa Sayavongkhamdy (editors), Cultural Diversity and Conservation in the Making of Mainland Southeast Asia and Southwestern China Regional Dynamics in the Past and Present, pp.294-314. Kyoto: Center of Southeast Asian Studies, Kyoto University.
Abstract

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าอาหารและการแบ่งปันอาหาร รวมไปถึงการเซ่นไหว้ด้วยสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงโดยที่งานเลี้ยงและการแบ่งปันให้แก่คนในชุมชนรวมทั้งการเซ่นไหว้สะท้อนให้เห็นรูปแบบของการจัดระบบสังคมของชาวกะเหรี่ยง และการถอนตัวจากการบริโภคเนื้อและการเซ่นไหว้ในแบบกะเหรี่ยงของหมู่ผู้บำเพ็ญตบะ/พรตทางพุทธศาสนานำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของระเบียบสังคมของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 294-295)

Focus

การทำความเข้าใจการบริโภคเนื้อ งานเลี้ยง การเซ่นไหว้ในบริบทการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและศาสนาในชุมชนกะเหรี่ยงที่อยู่ในระหว่างความสืบเนื่องของพื้นที่สูงและที่ราบในภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 295)

Theoretical Issues

บทความนี้ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารและกิจกรรมทางสังคมเกี่ยวกับงานเลี้ยงประจำปีทางศาสนา เครื่องเซ่นไหว้ และการแบ่งปันอาหารในแง่มุมที่สัมพันธ์กับการระเบียบสังคมของกะเหรี่ยงโดยเสนอว่าการรักษาระเบียบสังคมเป็นไปโดยแทรกแซงควบคุมในการเซ่นไหว้ในสังคมที่เปลี่ยนจากความเสมอภาคไปสู่ความไม่เสมอภาค ทางเลือกที่ปฏิเสธระเบียบสังคมที่มีอยู่ก็คือ การอ้างว่าได้อำนาจจากการบำเพ็ญตบะซึ่งในบริบทของกะเหรี่ยงคือ การเลิกกินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นทางเลือกของการเป็นพุทธ ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการเป็นคริสต์ไม่จำเป็นต้องเลิกบริโภคเนื้อสัตว์แต่เป็นการแยกตัวเองจากการเซ่นไหว้ แม้จะยังขาดความชัดเจนอยู่ (หน้า 313-314)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียนได้ระบุว่าการวิจัยชุมชนในชั้นต้นทำในช่วง พ.ศ.2530-2532 (ค.ศ.1987-1989) (หน้า 297) ซึ่งบทความนี้ผู้เขียนได้ใช้ข้อมูลจากการวิจัยชั้นต้นประกอบกับกรอบความคิดว่าด้วยอำนาจและการให้พร ที่นักวิชาการซึ่งศึกษาประเด็นความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มคนบนที่สูงและพุทธศาสนาของคนพื้นราบในช่วง พ.ศ. 2532-2539 ได้ศึกษาไว้ (หน้า 295-296)

History of the Group and Community

ประวัติความเป็นมาของชุมชนกะเหรี่ยงในบริเวณชายแดนไทย-พม่าที่ปรากฏในบทความได้มีการกล่าวถึงการงดเว้นการกินเนื้อในอดีตกว่า 200 ปี ของชาวกะเหรี่ยง โดยชี้ว่าครูบานักบุญในพุทธศาสนาและกะเหรี่ยงผู้ติดตามหรือบริพารของครูบาได้งดเว้นการกินเนื้อ ซึ่งมีนัยของการปฏิเสธสถานะทางสังคม-ศาสนาที่ตั้งอยู่บนพิธีกรรมการกินเนื้อและเป็นความพยายามในการจัด ระบบสังคม-ศาสนาขึ้นใหม่ (หน้า 306) ชุมชนกะเหรี่ยงจำนวนหนึ่งได้ถูกก่อตั้งขึ้นรอบๆ วัดของครูบาโดยชาวกะเหรี่ยงผู้ติดตามครูบาและงดเว้นการกินเนื้อ (หน้า 307)

Settlement Pattern

บทความนี้แทบจะไม่กล่าวถึงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยง มีการกล่าวสั้นๆว่าชุมชนกะเหรี่ยงจำนวนหนึ่งตั้งอยู่รอบๆ วัดของครูบา (หน้า 307) หรือที่กล่าวถึงสังคมบนที่สูงซึ่งเชื่อว่าธรรมชาติมีชีวิตจิตใจ (animistic) และสังคมพื้นราบที่นับถือพุทธศาสนา (หน้า 295-296) ทำให้เข้าใจได้ว่าชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่คือสังคมบนที่สูง

Demography

ไม่ปรากฏข้อมูลประชากรกะเหรี่ยงในบทความ

Economy

การผลิตและการบริโภคของกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์มีการผลิตข้าวเพื่อขายอยู่บ้างและมีการแลกเปลี่ยนสัตว์เลี้ยงอย่างวัว ควาย หมู (livestock) กับเงินหรือข้าว รวมทั้งการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีลักษณะของกรรมสิทธิ์แบบปัจเจกโดยเด็กหนุ่มเด็กสาวสามารถเป็น(อ้างว่าเป็น) เจ้าของสัตว์บางตัวและการขายสัตว์เลี้ยงสามารถทำได้โดยเสรีในช่วงจังหวะที่มองว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินภายในครอบครัว (หน้า 308) มีร่องรอยที่ชี้ให้เห็นว่ากะเหรี่ยงมีการเลี้ยงสัตว์อย่างวัว ควาย หมู และไก่ ดังพบว่าคู่แต่งงานชาวกะเหรี่ยงจะเริ่มเลี้ยงสัตว์ของตนเองเพื่อใช้ในพิธีกรรมของครอบครัวไว้เซ่นไหว้ผี (หน้า 298-299)

Social Organization

พิธีกรรมการแบ่งปันและการเลี้ยงอาหารสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางสังคมของกะเหรี่ยงและความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงกับผีซึ่งเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ ในพิธีกรรมหลายพิธีจะมีการเซ่นอาหารและเหล้าให้กับเจ้าแห่งน้ำและดินและตามด้วยงานเลี้ยง โดยที่พิธีกรรมประจำปีของชุมชนนั้น ฮีโข่ (ผู้นำชุมชนทางพิธีกรรมและผู้นำตามประเพณี) เป็นผู้ดำเนินการและจำกัดให้เฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนมากกว่า 2 ปีสามารถมีส่วนร่วมในงานได้ (หน้า 297-298) งานเลี้ยงประจำปีและการจำแนกคนที่เข้าร่วมพิธีเป็นการนิยามและวางระบบและขอบเขตของสังคมภายในกลุ่มคนที่กินอาหารร่วมกันในพิธี (หน้า 302-303) ขณะที่พิธีกรรมของครอบครัวที่เรียกว่า "ออ แฆ" จะมีการเซ่นไหว้ไก่หรือหมูซึ่งพิธีนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตแต่งงานและครอบครัวของชาวกะเหรี่ยง สำหรับผู้หญิงแล้วการเซ่นไหว้เป็นการกระทำต่อเตาไฟซึ่งเชื่อว่าวิญญาณของตนอยู่ที่นั่น ส่วนผู้ชายและสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวนั้นพิธีออ แฆ มีนัยถึงลำดับในครอบครัวโดยสามีจะอยู่ในลำดับที่เหนือกว่าภรรยาจากการกินของเซ่นไหว้เป็นคนแรก จากนั้นภรรยาและลูกจากคนโตถึงคนเล็กจะกินตามลำดับ (หน้า 298-301) การจัดองค์กรทางสังคมของชาวกะเหรี่ยงในส่วนที่สัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในชุมชน(ที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงประจำปี-ผู้สังเคราะห์) และคนจากภายนอกชุมชนนั้นมีพิธีกรรมบางอย่างที่เปิดโอกาสให้มีส่วนในพิธีทั้งโดยการ(ได้รับคำ) เชื้อเชิญหรือการอาสามีส่วนร่วมในพิธีอย่างงานแต่งงานและงานผูกข้อมือของชุมชน (หน้า 302-303) นอกจากนี้กะเหรี่ยงจะแสดงอัธยาศัยไมตรีและมารยาทอันดีในการต้อนรับแขกจากนอกชุมชน มีการเลี้ยงอาหารโดยตั้งสำรับที่ห้องข้างนอกเรือนและเรียกให้แขกกินอาหารร่วมวงกับลูกๆ ของเจ้าของบ้านจนแขกกินเสร็จและล้างมือแล้ว เจ้าของบ้านจะออกมาและยกสำรับอาหารเข้าไปห้องข้างในที่ใช้สำหรับกินอาหารในครอบครัว ซึ่งเจ้าของบ้านมักจะบ่นเสมอว่าแขกกินอาหารน้อย และแขกก็จะได้รับการต้อนรับแบบนี้จากหลายๆ บ้านจนกว่าจะปล่อยให้แขกออกจากชุมชนไปได้ (หน้า 296-297) แต่หากเป็นคนในชุมชนด้วยกันเองแล้วในชีวิตประจำวันจะไม่มีการกินร่วมกัน เช่น ในเวลาอาหารจะไม่ไปปรากฏตัวที่บ้านเพื่อนบ้าน เป็นครัวใครครัวมัน โดยเฉพาะผู้หญิงจะไม่กินอาหารที่ทำในครัวหรือบนเตาของบ้านอื่นเลยหากมิใช่เทศกาลพิเศษนี้ (หน้า 297)

Political Organization

ผู้นำชุมชนทางพิธีกรรมและผู้นำตามประเพณีที่เรียกว่า "ฮีโข่" (hi kho) เป็นผู้มีความสำคัญในพิธีกรรมประจำปีของชุมชน (หน้า 298)

Belief System

ความเชื่อและศาสนาในชุมชนกะเหรี่ยงแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ความเชื่อผี พุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ สำหรับความเชื่อผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาตินั้นพิธีกรรมหรืองานเลี้ยงที่มีการฆ่าสัตว์และการกินอาหารร่วมกันของกะเหรี่ยง เป็นการจัดระบบสังคมและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของกะเหรี่ยง รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่สนับสนุนให้มีพิธีกับผีด้วย กล่าวคือการทำพิธีเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผี ผีจะไม่ทำอันตรายและคอยปกป้องผู้กระทำ(ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ) พิธีและครอบครัวรวมทั้งชุมชนด้วย (หน้า 303-304) ส่วนพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นความเชื่อและการปฏิบัติที่เป็นเหตุผลของการถอนตัว/การละเว้นการบริโภคเนื้อในงานประจำปีโดยมีนัยของการปฏิเสธสถานะทางสังคม-ศาสนาซึ่งเป็นแกนของพิธีกรรมประจำปีและเป็นความพยายามในการจัดระเบียบทางสังคม-ศาสนาขึ้นใหม่ โดยกะเหรี่ยงที่ติดตามและมาตั้งชุมชนรอบวัดของครูบานักบุญในพุทธศาสนาจะละเว้นการกินเนื้อจากพิธีบวงสรวงและฝังตัว (embodied) เข้ากับพลังที่มาจากการบำเพ็ญตบะหรือบำเพ็ญพรตแทนพลังที่ได้รับจากการกินเนื้อจากการเซ่นไหว้ตามความเชื่อเดิม (หน้า 306-308) ในส่วนของกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์ได้ละทิ้งพิธีกรรมและการมีส่วนร่วมในพิธีของชุมชนโดยชาวบ้านที่นับถือคริสต์มีงานเลี้ยงประจำปีและการกินอาหารร่วมกันที่เรียกว่า "โคตาบา" ซึ่งเป็นตัวแทนของพิธีกรรมที่ถูกละทิ้งไปโดยขนาดของโคตาบาจะคำนึงถึงจุดยืนพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของครอบครัวที่อุปถัมภ์ให้มีงานขึ้น โดยโคตาบาของคู่หนุ่มสาวจะประกอบด้วยลูกกวาดและนม ขณะที่ครอบครัวที่อาวุโสและมีความพร้อมกว่าจะมีการฆ่าหมูตัวใหญ่ในงานโคตาบา แต่การฆ่านั้นไม่ใช่การเซ่นไหว้ เป็นการฆ่าเพื่อเลี้ยงแขกที่ได้รับเชิญและสวดมนต์ให้สมาชิกของครอบครัวนั้นมีสุขภาพดี ตลอดจนเป็นการขยายความเป็นสังคม(sociality) ในงานเลี้ยงที่มีการเลี้ยงแขกแปลกหน้าด้วย (หน้า 308-311)

Education and Socialization

ชาวบ้านที่นับถือคริสต์มีการใช้จ่ายเงินสำหรับการศึกษา (หน้า 308) ส่วนประเด็นการขัดเกลาทางสังคมนั้นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการกินอย่างงานเลี้ยงประจำปีหรือพิธีกรรมของครอบครัวที่เรียกว่า "ออ แฆ" เป็นสิ่งที่ปลูกฝังระเบียบกฎเกณฑ์ในสังคมให้แก่กะเหรี่ยง (หน้า 298-303)

Health and Medicine

พิธีกรรมเกี่ยวกับการกินเลี้ยงและ/หรือการแบ่งปันอาหารเป็นภูมิปัญญาหรือความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาพยาบาลของกะเหรี่ยง เช่น งานเลี้ยงประจำปีที่มีการเซ่นไหว้แด่เจ้าแห่งน้ำและดินเป็นพิธีแห่งการบำบัดโดยขับผีป่าซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และเรียกขวัญให้กลับสู่ร่างกาย (หน้า 298) รวมทั้งเป็นการกระทำเพื่อให้ผีดูแลรักษาสุขภาพของครอบครัวที่อุปถัมภ์ให้มีพิธี (p.304) ส่วนงานเลี้ยงประจำปีและการกินอาหารร่วมกันของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์(โคตาบา) จะมีการสวดภาวนาให้สมาชิกครอบครัวที่อุปถัมภ์ให้มีพิธีขึ้นมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี (หน้า 309)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในพิธีออ แฆ ผู้หญิงและเด็กหญิงจะใส่ชุด(ประจำเผ่า) กะเหรี่ยง (หน้า 299)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การธำรงชาติพันธุ์ของชาวกะเหรี่ยงเป็นการกำหนดมาตรฐานความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันโดยใช้งานเลี้ยงประจำปีและการจำแนกคนที่เข้าร่วมพิธีเป็นสัญลักษณ์ความเป็นกลุ่มหรือความเป็นสังคมของกลุ่มคนที่กินอาหาร(เนื้อ) ร่วมกันในงานและในส่วนของความสัมพันธ์กับคนนอกกลุ่มหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นนั้น ชาวกะเหรี่ยงมีการสร้างความสัมพันธ์กับคนนอกกลุ่มหรือคนนอกชุมชนโดยเปิดโอกาสให้เข้าร่วมในพิธีกรรมบางอย่างของชุมชนและการต้อนรับเลี้ยงอาหารแขกจากนอกกลุ่มเพื่อแสดงถึงอัธยาศัยและมารยาทของเจ้าบ้าน (หน้า 296-303) เช่นเดียวกับที่ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแขกแปลกหน้าเพื่อขยายสังคมของกลุ่มด้วยการเชิญและการเลี้ยงอาหารในงานโคตาบา (หน้า 310-311)

Social Cultural and Identity Change

ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงที่เห็นได้ชัดในบทความนี้ได้แก่ การที่กะเหรี่ยงที่นับถือพุทธและคริสต์ได้ละเลิกหรืองดเว้นจากกิจกรรมในพิธีประจำปีและพิธีออ แฆ โดยในกรณีของกลุ่มที่นับถือพุทธนั้นพลังได้มาจากการบำเพ็ญตบะ/พรตแทนพลังที่ได้จากการกินเนื้อจากการเซ่นไหว้ (หน้า 306-308) ส่วนกลุ่มที่นับถือคริสต์ได้มีงานเลี้ยงประจำปีการกินอาหารร่วมกันที่เรียกว่า "โคตาบา" เข้ามาแทนการเซ่นไหว้ในงานเลี้ยงประจำปีและพิธีออ แฆ (หน้า 308-312)

Other Issues

ในส่วนสรุปผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นความแตกต่างของคนบนที่สูงและคนพื้นราบว่าไม่ใช่แต่เฉพาะกะเหรี่ยงที่มีพิธีกรรมงานเลี้ยงประจำปี การเซ่นไหว้และการปฏิเสธการบริโภคเนื้อ รวมทั้งปฏิบัติการของผู้นับถือคริสต์ที่ให้นิยามใหม่แก่เนื้อและการบริโภคเนื้อ หากพบว่าสังคมชาวพุทธในพื้นราบก็มีการเซ่นไหว้ผีด้วยสัตว์และพิธีแห่งความอุดมสมบูรณ์ในลักษณะของปฏิบัติการที่สอดคล้องกับการยึดเหนี่ยวพลัง/อำนาจเช่นเดียวกับพิธีกรรมของคนบนพื้นที่สูง ซึ่งอาจจะทำความเข้าใจในบริบทของชาวพุทธและเสนอตำแหน่งที่ตั้งในโครงร่างของความคิดเห็นเกี่ยวกับอำนาจและการปฏิบัติเมื่อมีการศึกษาที่เน้นเกี่ยวกับงานเลี้ยงประจำปี/การงดเว้นการบริโภคเนื้อและการบวงสรวง/ไม่บวงสรวงสัตว์เลี้ยงที่แสดงถึงอนุกรมต่อเนื่อง (continuum) ของพื้นที่สูงและพื้นที่ราบ (หน้า 313-314)

Map/Illustration

บทความนี้ไม่มีการใช้แผนที่และตารางประกอบการอธิบาย โดยมีแผนผังแสดงประเภทของปฏิบัติการทางศาสนา (types of religious practices) และมิติทางสังคมของการแบ่งปันอาหารระหว่างการบริโภคเนื้อ (กลุ่มที่มีการบวงสรวงและกลุ่มกะเหรี่ยงคริสต์ที่ไม่มีการบวงสรวง)และกลุ่มที่ไม่บริโภคเนื้อประกอบการอธิบาย (หน้า 310)

Text Analyst โดม ไกรปกรณ์ Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อาหาร, ศาสนา, การเปลี่ยนแปลงของสังคม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง