สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,รัฐไทย,การเผยแพร่พุทธศาสนา,เชียงใหม่,สระบุรี
Author Nicholas Tapp
Title Buddhism and The Hmong : A Case Study in Sociological Adjustment
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 24 Year 2528
Source Asian Regional Workshop on Minorities in Buddhist Polities : Sri Lanka , Burma and Thailand, 25 - 28 June 1985 Chulalongkorn University Bangkok, Thailand
Abstract

ผู้วิจัยศึกษาถึงการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทยให้กับชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย พร้อมทั้งศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จในการเผยแพร่พุทธศาสนาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการเผยแพร่ศาสนาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อของชาวม้ง มีความขัดแย้งกับคำสอนพุทธศาสนา โดยเฉพาะศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ โดยส่วนมากชาวม้งมีอาชีพเป็นนักล่าสัตว์ และข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม ชาวม้งมีความเชื่อว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานหรือการมีภรรยาหลายคนเป็นที่ยอมรับกันในเผ่า ผู้วิจัยได้อธิบายสาเหตุเพิ่มเติมที่การเผยแพร่พุทธศาสนาในกลุ่มชาวเขาเผ่าม้งว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นอกเหนือจากความไม่สอดคล้องในเรื่องความเชื่อดั้งเดิมของชาวม้งแล้ว อีกปัจจัยคือ ปัญหาในด้านภาษาและเศรษฐกิจ เนื่องจากชาวม้งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ การพูดแต่ละครั้งจึงต้องผ่านล่าม มีคนแปล คนในไทยไม่มีใครพูดภาษาม้งได้ (หน้า 23) และถ้าหากผู้ชายในครอบครัวออกบวช จะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นกับครอบครัว เพราะไม่มีใครไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ผู้วิจัยมีความเห็นว่า สำหรับชาวม้งแล้วศาสนาพุทธ เป็นสิ่งที่ให้โอกาสทางการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่ชาวเขาจะถูกส่งให้ไปเป็นพระเณร พวกเขาไม่ได้เรียนภาษาบาลีแต่เรียนภาษาไทยแทน นอกจากนั้นม้งใช้พุทธศาสนาเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเป็หนส่วนหนึ่งของประเทศ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (หน้า 17)

Focus

งานวิจัยชิ้นนี้ผู้วิจัยให้ความสนใจศึกษาชนชาวเขา โดยเลือกศึกษาม้ง ซึ่งอยู่ในรัฐไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ โดยพิจารณาการให้ความหมายของม้งที่มีกับพุทธศาสนา และวิเคราะห์ถึงเหตุผลในการเข้าเป็นชาวพุทธ การเข้าบวชของม้ง ที่เชียงใหม่และวัดเขาถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรี (หน้า 1)

Theoretical Issues

ไม่ปรากฏ

Ethnic Group in the Focus

การศึกษาชนกลุ่มน้อย ชาวเขาเผ่าม้ง ที่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ และวัดถ้ำกระบอกจังหวัดสระบุรี ในประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ใช้ภาษาม้ง

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1984 (ปี พ.ศ. 2527)

History of the Group and Community

ม้งจากจีนอพยพเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทย ในช่วงเวลาประมาณ 200 ปีที่ผ่านมานี้ และอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย รวมทั้งเชียงใหม่ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากโครงการหลวงในหลายพื้นที่ (หน้า 2) วัดเขาถ้ำกระบอก ตั้งอยู่ใกล้กับพระพุทธบาท อยู่ทางเหนือของกรุงเทพ ติดกับพื้นที่ทางอีสาน ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1959 โดย อาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ (Chamruun Panchan) ที่เป็นเหมือนผู้นำของสำนัก และมีน้องชายอาจารย์ ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการเกษตรในวัด ในปี ค.ศ. 1960 มีสงฆ์ในวัดทั้งหมด 60 รูป หลังจากก่อตั้งเพียงปีเดียวก็มีชื่อเสียงในการรักษาผู้ติดฝิ่น ผู้ป่วยมีทั้งชาวไทยและชาวเขา โดยเฉพาะม้ง วัดถ้ำกระบอกมีความแตกต่างจากวัดอื่น ๆ ทั่วไป เพราะมีการจัดกิจกรรมรักษาผู้ติดยาสเพติดต่าง ๆ ทั้งเฮโรอีน ฝิ่น กัญชา เหล้า และอื่น ๆ โดยเฉพาะฝิ่นซึ่งเป็นยาเสพติดที่ชาวเขาติดกันมาก แม้ว่าพระสงฆ์ในส่วนกลาง แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าการรักษาโรคไม่ใช่กิจกรรมของสงฆ์ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของสำนักสงฆ์ก็ได้เผยแพร่อย่างรวดเร็ว เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวปี ค.ศ.1959 (ปี พ.ศ.2502) รัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามการปลูก เสพ และค้าฝิ่น ท่ามกลางความกังขาจากเหล่าสงฆ์ในพุทธศาสนาด้วยกัน รัฐบาลได้ให้ที่ดินและเงินสนับสนุน 400,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ในปี ค.ศ.1983 (ปี พ.ศ.2526 ซึ่งเป็นปีที่ทำการศึกษา) คาดการว่ามีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษามากกว่า 48,000 คน โดยส่วนหนึ่งเป็นชาวม้งประมาณ 8 ครอบครัว 38 คน ทุกคนมารักษาการติดฝิ่น ในปี 1975 อาจารย์จำรูญได้รับรางวัลเม็กไซไซ (Magsaysay) ด้านสิทธิมนุษยชน (Human Right) (หน้า 20)

Settlement Pattern

วัดเขาถ้ำกระบอก มีลานรักษาขนาดใหญ่ นอกจากลานรักษาแล้ว ยังมีพื้นที่กว้างสำหรับการปลูกข้าวโพด กล้วย นอกจากนั้นมีศาลาเล่นดนตรี ซึ่งเป็นดนตรีชนิดพิเศษ มีที่มีเครื่องดนตรีที่ทำจากอุปกรณ์ธรรมชาติ (หน้า 20)

Demography

ม้ง ที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ภูเขา จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 8,000 คน จากข้อมูลในปี ค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ในปีที่ทำการศึกษาจำนวนของผู้ติดยามีจำนวนมาก จากชุมชนตัวอย่างที่ผู้วิจัยศึกษาพบว่า 9 ใน 25 หลังคาเรือนติดฝิ่น ในช่วงเวลาที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูล ที่วัดเขาถ้ำกระบอกมีม้งอยู่ทั้งหมด 8 ครอบครัว รวมทั้งสิ้น 38 คน ซึ่งมีทั้งคนที่เข้ารับการรักษาแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการรักษา และมีชาวอาข่า 1 คน มีพระชาวม้ง 2 คน (หน้า 23)

Economy

ม้งถูกมองว่าเป็นผู้ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกฝิ่นเป็นหลัก แต่เมื่อมีการห้ามปลูกฝิ่นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1959 ทำให้ม้งต้องไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน (หน้า 18) รัฐได้รับการเข้ามาดูแลโดยเฉพาะเรื่องการเกษตร รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ โดยโครงการของในหลวง ซึ่งม้งได้ให้ความร่วมมือด้วยดี (หน้า 2)

Social Organization

ผู้นำในการปกครองโดยผู้นำหมู่บ้าน เป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากคนในชุมชน ปกติผู้หญิงชาวม้งจะทำงานบ้านดูแลทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนผู้ชายออกไปทำงานนอกบ้าน (หน้า16) ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงม้งที่ครอบครัวรักษาตัวอยู่ที่วัดเขาถ้ำกระบอก จะทำหน้าที่ในการทำอาหารให้ครอบครัว และพระในวัด (หน้า 23)

Political Organization

โครงการพัฒนาการเกษตรของในหลวง เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 นอกจากจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังเป็นการสร้างความจงรักภักดี ของชาวเขาที่มีต่อพระมหากษัตริย์อีกด้วย ซึ่งมีผลต่อการปกครองชนชาวเขา เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีกลุ่มคอมมิวนิสต์เข้ามาในเมืองไทย มีความพยายามที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างชาวเขากับประเทศไทย ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว มีนโยบายรณรงค์จากส่วนกลาง ที่ใช้สโลแกนว่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อรณรงค์สร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างชาวไทยและชาวไทยภูเขา เนื่องจากในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศชาติได้ถูกคุมคามจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งในช่วงเวลานี้เองเป็นจุดกำเนิดโครงการธรรมาจาริก (Thammacarik) ซึ่งเป็นโครงการเผยแพร่พุทธศาสนาสู่ชาวเขา โครงการนี้เกิดขึ้นในปี 1965 โดยเป็นการเผยแพร่ศาสนาเพื่อเชื่อมความเป็นคนไทย สร้างความจงรักภักดีด้วยพุทธศาสนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสโลแกน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยพระสงฆ์ในนิกายธรรมยุต กิจกรรมที่เห็นได้ชัดคือการสร้างวัดบนภูเขา แต่อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้รับความสำเร็จเท่าใดนัก เนื่องจากความแตกต่างทางความเชื่อ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ และปัญหาที่สำคัญคือการสื่อสาร ชาวเขาที่มาบวชไม่สารถเขียนอ่านภาษาไทยได้ การบวชจึงเกิดในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และการที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้นั้น ทำให้แทบจะไม่มีการสื่อสารระหว่างชาวบ้านและพระ ซึ่งได้มีข้อมูลรายงานอย่างเป็นทางการว่าโครงการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ ผู้วิจัยอธิบายว่า โครงการนี้มีรูปแบบเหมือนโครงการที่เกิดขึ้นจากคนส่วนใหญ่ของสังคม ที่พยายามผสมกลมกลืนชนกลุ่มน้อย(หน้า 4-5)

Belief System

ผู้วิจัยได้สำรวจเกี่ยวกับความเชื่อของม้งในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่าง 128 คน ปรากฎว่าไม่มีใครตอบว่านับถือพุทธศาสนาเลย ส่วนใหญ่จะบอกว่าที่ไปอยู่วัดเพื่อไปเรียนหนังสือ และจากเรื่องที่เขียนโดยพระสงฆ์ไทยที่เข้าไปเผยแพร่พุทธศาสนากับชาวเขา จะพบว่ามีปัญหาในเรื่องความขัดแย้งความเชื่อดั้งเดิมของม้งและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เช่น ในพุทธศาสนาห้ามการฆ่าสัตว์แต่ในชีวิตของม้งจะนิยมฆ่าสัตว์ (หน้า 7-11) สำหรับม้งพุทธศาสนาไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริงแต่เป็นโอกาสทางการศึกษามากกว่า (หน้า 17)

Education and Socialization

ผู้เขียนได้อธิบายว่า ผู้ชายม้งส่วนใหญ่ได้ใช้การบวชเข้าสู่พุทธศาสนา เพื่อเรียนรู้การเขียนอ่านภาษาไทย เพราะภาษาไทยมีความสำคัญต่ออนาคตของพวกเขามาก ซึ่งแตกต่างกับการบวชของคนไทยที่เกิดขึ้นเพราะเป็นประเพณี และเปรียบเสมือนเป็นขั้นตอนของสังคมที่จะก้าวต่อไปในขั้นต่อไปของชีวิต (หน้า 7) อย่างไรก็ตามผู้ที่บวชไม่ได้ใส่ใจกับคำสอนทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งเท่าไรนัก และมักจะทนไม่ได้กับข้อปฏิบัติต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น มีหัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่งเล่าให้ผู้วิจัยฟังว่า ลูกชายของตนได้ไปบวชที่วัดสีสดจังหวัดชียงใหม่ เพื่อเรียนเขียนอ่านภาษาไทย แต่ก็รู้สึกลำบากกับการที่ต้องรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว จนทำให้เขาไม่สามารถบวชได้นาน เป็นต้น และจากแบบสอบถามที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลพบว่า มีผู้ระบุว่าตนนับถือพุทธศาสนาเพียงคนเดียว เขาบวชเป็นระยะเวลา 2 ปี แต่เมื่อสอบถามถึงคำสอนทางพุทธศาสนาปรากฎว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ผู้วิจัยอธิบาว่าสาเหตุที่บอกว่าตนเองเป็นชาวพุทธเพื่อแสดงความเป็น "คนไทย" ซึ่งมีประโยชน์ในการติดต่อกับคนไทยในพื้นที่ราบ (หน้า 16)

Health and Medicine

ม้งยังมีความเชื่อเรื่องการรักษาโรคด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์อยู่ แม้กระทั่งคนที่ระบุว่าตนนับถือพุทธศาสนาก็ตาม เมื่อ คนในบ้านเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็จะเชิญหมอผีมาจัดพิธีกรรมรักษา (หน้า 17) การรักษาผู้ติดยาเสพติด : ที่สำนักวัดเขาถ้ำกระบอก จะทำการรักษายาเสพติดทุกประเภท วิธีการรักษาจะใช้วิธีการใช้ยาสมุนไพรกับการอบสมุนไพร นั่งสมาธิ วิธีการคือ ใน 3 - 5 วันแรก ทางวัดจะให้ยาที่จะทำเกิดอาการอาเจียน ในตอนเช้า และในตอนเย็นจะมีการสวดมนต์ ทางวัดจะจัดอาหารให้ 3 มื้อ มีชุดฟอร์มให้ใส่ สิ่งสำคัญของการรักษา คือ พิธีกรรมให้คำสัตย์ว่าจะเลิกยาเสพติด ซึ่งพระจะให้ผู้ป่วยทุกคนกล่าวก่อนเริ่มการรักษา ซึ่งนับว่าเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งของการรักษา (หน้า 21) สำหรับการจะประเมินว่าการรักษานั้นสำเร็จหรือไม่นั้น ประเมินได้ยาก เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่อยู่ของผู้ป่วยบันทึกไว้ ส่วนใหญ่คนที่รักษาจะถูกส่งมา ญาติหรือตำรวจพามา ทางสำนักระบุว่า ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ประสบความสำเร็จในการรักษา (นับว่าสูงกว่ามาตรฐาน) มีข้อมูลอีกด้านที่ทำโดยนักวิจัยชื่อ Westemeyes ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยชาวลาว พบว่า ระหว่างปี 1974 - 75 มีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตค่อนข้างสูง (น. 22) และจากการเก็บข้อมูลของนักวิจัยเอง พบว่ามีชาวเขาที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับการรักษา และอยากกลับบ้าน ซึ่งสาเหตุ อาจจะเกิดจากไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ (หน้า 23)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ปรากฎ

Folklore

ในงานวิจัยมีตำนานที่แสดงออกถึงความเชื่อของชาวม้งที่มีความขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเผยแพร่พุทธศาสนาไม่ประสบความสำเร็จในกลุ่มชาวม้ง เป็นเรื่องราวของ ชายหนุ่มชาวเขารูปหล่อชื่อ "Tua" เป็นนักล่าสัตว์ที่มีฝีมือ วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่าแล้วไปพบกับหญิงสาวสวย ในสภาพเปลือยเปล่า เธอชื่อ "Mua" ด้วยความที่ตื่นตกใจ Tua จึงยิงปืนออกไปหนึ่งนัด หญิงสาวจึงวิ่งหนีไป หลังจากนั้น Tua คิดถึงหญิงสาวมาก และคิดว่าหญิงสาวคงจะรักตนเองเช่นกัน Tua จึงไปฉุดหญิงสาวในคืนหนึ่ง แม่ของมัวไม่ชอบTua จึงมีการต่อสู้กัน แต่ในที่สุด Tuaก็ฉุดหญิงสาวไปได้ หญิงสาวไปอยูบ้านชายหนุ่ม ภายใต้การดูแลของมารดาฝ่ายชาย ได้ผ่านกรรมพิธีทำความสะอาด ด้วยการใช้แม่ไก่ เพื่อลบล้างวิญญาณร้าย จากนั้นเธอก็เป็นภรรยาอย่างถูกต้องของ Tua ถึงแม้เธอไม่ต้องการ เธอถูกห้ามออกจากบ้านเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นสองปีแล้ว Muaก็ยังไม่มีลูก วันหนึ่ง Tua ออกไปล่าสัตว์ในป่า บังเอิญได้พบกับนักบวช Tua ไม่เข้าใจว่าพุทธศาสนาคืออะไร นักบวชอธิบายว่า การศึกษาพุทธศาสนาก็เพื่อลดความทุกข์ซึ่งเกิดจาก การเกิด แก่เจ็บ ตาย และสอนให้ Tua รู้จัก ศีล 5 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด และไม่ดื่มของมึนเมา ในตอนท้ายของเรื่องเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า Tua ได้พยายามรักษาศีลโดยเฉพาะข้อ 3 การประพฤติผิดในกาม โดยไม่มีสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น ซึ่งส่งผลให้ Tuaและภรรยามีความสุขในชีวิตเรื่องราวนี้เป็นความต้องการในการเผยแพร่พุทธศาสนาแก่ชาวม้ง ซึ่งมีการนำเสนอถึงความเชื่อบางอย่างของชาวม้งที่ขัดแย้งกับคำสอนของชาวพุทธ (หน้า 8-12)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ปรากฎ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ปรากฎ

Critic Issues

ไม่ปรากฎ

Other Issues

ไม่ปรากฎ

Map/Illustration

ไม่ปรากฎ

Text Analyst กุลนิษฎ์ พิสิษฐ์สังฆการ Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ม้ง, รัฐไทย, การเผยแพร่พุทธศาสนา, เชียงใหม่, สระบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง