|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ความสัมพันธ์ไทย-พม่า,ปัญหาของรัฐกะเหรี่ยง,ประเทศพม่า |
Author |
สมโชค สวัสดิรักษ์ |
Title |
ความสัมพันธ์ไทย-พม่า-กะเหรี่ยง |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
166 |
Year |
2540 |
Source |
มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ |
Abstract |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งซึ่งรัฐบาลทหารพม่าถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อย เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ได้เรียกร้องขออิสระในการปกครองแต่รัฐบาลทหารพม่ากลับไม่ทำตามเงื่อนไขข้อตกลง ทำให้ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ จัดตั้งกลุ่มเรียกร้องอิสระการปกครองจากรัฐบาลทหารพม่า เช่น กองกำลังกะเหรี่ยงซึ่งมีการจัดตั้งเป็นสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) โดยมีที่ตั้งอยู่ติดชายแดนตะวันตกของไทย ดังนั้น ในการสู้รบกันระหว่างไทย-พม่า จึงส่งผลต่อประเทศไทยในหลายแง่มุม ทั้งความมั่นคงเนื่องจากมีกระสุนปืนตกในฝั่งไทย บ้านเรือนประชาชนเสียหาย ทหารพม่าติดตามโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยงเข้ามาในฝั่งไทย เรื่องเศรษฐกิจรัฐบาลกอตูเลมีทรัพยากรธรรมชาติที่พ่อค้าเอกชนและภาครัฐไทยต้องการ การติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐกะเหรี่ยงจึงสำคัญต่อการค้าขาย ในขณะเดียวกันด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดการสู้รบทำให้กะเหรี่ยงได้รับบาดเจ็บ เดือดร้อนจากภัยสงครามจึงอพยพเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยต้องให้การดูแล ช่วยเหลือ อันทำให้รัฐบาลทหารพม่ามองว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงในฐานะรัฐกันกระทบ และใช้เรื่องดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจาด้านการค้า การลงทุนระหว่างไทย-พม่า ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การต่างประเทศ ดังนั้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า-กะเหรี่ยง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบางโดยมีรัฐกะเหรี่ยงเป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน |
|
Focus |
เน้นการศึกษาปัญหาชนชาติกะเหรี่ยง หรือ กองทัพสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ภายใต้การนำของพลเอกโบเมี๊ยะ ในฐานะที่เป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า (หน้า lii, liii) |
|
Theoretical Issues |
ใช้ทฤษฎีความเกี่ยวพัน : กระบวนการตอบโต้ (reactive process) ของ เจมส์ เอ็น. โรสเนา เป็นกรอบในการวิเคราะห์ โดยอธิบายว่าไทย-พม่า-กะเหรี่ยง มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันต่อกัน โดยปัญหาของรัฐกะเหรี่ยงเป็นตัวแปรสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ของไทย-พม่า กล่าวคือ รัฐบาลทหารพม่ามองว่ารัฐบาลไทยดำเนินนโยบายใช้รัฐกะเหรี่ยงเป็นรัฐกันกระทบ ให้ความช่วยเหลือเสบียงอาหาร การรักษาพยาบาล อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่า ฝ่ายรัฐบาลไทยนั้นก็ต้องให้ความช่วยเหลือกะเหรี่ยงในแง่มนุษยธรรม เมื่อมีผู้อพยพก็ต้องดูแลช่วยเหลือ ในขณะเดียวกัน การค้าระหว่างพ่อค้าไทยกับรัฐกะเหรี่ยงก็มีความเติบโต เพราะรัฐกะเหรี่ยงมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์เป็นที่ต้องการของภาครัฐและเอกชนของไทย รัฐบาลไทยจึงต้องประคับประคองความสัมพันธ์กับรัฐกะเหรี่ยงไว้ด้วยเช่นกัน จากความเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลทหารพม่าตอบโต้ด้วยการนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้า การติดต่อลงทุน อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐและเอกชน ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-พม่ามีความเปราะบางและกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายต่อหลายครั้ง (หน้า lii) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง แบ่งออกเป็นสองพวก พวกชาวเขา กับกะเหรี่ยงพื้นที่ราบ ทั้งสองพวกนี้มีภาษารูปร่าง ลักษณะผิวพรรณต่างกันบ้าง กะเหรี่ยงชาวเขามีความเป็นอยู่อีกแบบหนึ่งกับกะเหรี่ยงพื้นที่ราบ ทั้งสองพวกนี้มีร่างกายแข็งแรง ใบหูหนา อดทนต่อความลำบากในการทำมาหากิน มีวัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง คบค้าสมาคมง่าย ไม่ถือตัว ชอบสงบและมีความซื่อสัตย์ (หน้า 25) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ทางส่วนเหนือของพม่า ใช้ภาษากะเหรี่ยง เรียกว่า "สะกอ" (Sgaw) ทางส่วนใต้ใช้ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า "โป" (Pwo) แต่ภาษาเขียนทั้งสองภาคใช้เหมือนกัน ภาษาพูดเพี้ยนกันบ้าง แต่ก็เข้าใจกันได้ภาษากลางใช้ภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ อักษรภาษากะเหรี่ยงเริ่มปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ.1823 เมื่อมิชชั่นนารีแบ็บติสต์ชาวอเมริกันชื่อ โจนาธาน เวด ได้คิดประดิษฐ์แบบการเขียนภาษากะเหรี่ยงโดยใช้ภาษาสะกอเป็นหลัก (หน้า25, 26) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของสหภาพพม่าช่วงปี ค.ศ.1988-1995 (พ.ศ.2531-2538) อันเป็นช่วงที่รัฐบาลทหารพม่า (SLORC) อยู่ภายใต้การนำของพลเอกซอหม่อง จนถึงสมัยพลเอกตานฉ่วย (หน้า lii) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติโจว (Chou) เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว เคยตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณทิเบต ต่อมาได้อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่าตอนเหนือ กะเหรี่ยงได้เกิดการสู้รบกับไทยใหญ่ในรัฐฉาน แต่สู้ไทยใหญ่ไม่ได้จึงได้อพยพไปตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของพม่า คือรัฐกะเหรี่ยงในปัจจุบัน (หน้า 12) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงได้จัดตั้งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงภายใต้การนำของพลเอกโบเมี๊ยะ การจัดตั้งเกิดขึ้นจากรัฐบาลทหารพม่าได้ดำเนินการปราบปรามชนกลุ่มน้อยในช่วงปี ค.ศ.1951-1992 (พ.ศ.2494-2535) โดยรวมตัวจากกะเหรี่ยงที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติคือล้มล้างอำนาจรัฐบาลทหารพม่า เพื่อแยกตัวเป็นรัฐอิสระและให้ประชาคมระหว่างประเทศรับรอง (recognition) ขณะเดียวกันบริเวณที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของรัฐกะเหรี่ยงมีฐานะเป็นรัฐกันกระทบระหว่างไทย-พม่า เป็นเขตที่ตั้งส่วนหนึ่งของเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ 4 ประเทศ คือ ไทย จีน พม่า และลาว เป็นที่ตั้งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาค มีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศที่มีอาณาบริเวณติดต่อกัน มีประโยชน์ต่อความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยน เพื่อใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมีภูมิศาสตร์ที่ยากต่อการเข้าถึงฐานที่มั่นได้ เพราะฐานที่มั่นส่วนใหญ่จะหันหน้าให้แม่น้ำเมย โดยมีเทือกเขาสูงโอบล้อมรอบอยู่ข้างหลัง (หน้า 3-4, 6, 36) |
|
Demography |
รัฐกะเหรี่ยงมีประชากรประมาณ 8,600,000 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรในสหภาพพม่า (รวมทั้งกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนด้านตะวันตกของไทย) ประชากรกะเหรี่ยงร้อยละ 70 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำอิรวดีตอนล่าง ดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสะโตง (Sittang) ลุ่มน้ำสาละวินตอนล่าง และแถบภูเขาตามแนวชายแดนไทย-พม่า ชนชาติกะเหรี่ยงอาจแบ่งได้เป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่มหลักคือ "สะกอ" (Sgaw) และ "โป" (Pwo) กลุ่มสะกอมีจำนวนร้อยละ 60 ของกะเหรี่ยงทั้งหมด อาศัยอยู่ทางใต้ของกลุ่มโป นอกจากนี้ ยังมีกะเหรี่ยงกลุ่มย่อยอีกหลายกลุ่ม เช่น พวกคะยาหรือคะเรนนี ((กะเหรี่ยงยางแดง) ฯลฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐคะยาและจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยในปัจจุบัน และยังมีพวกปะโอ (Pa-o) หรือพวกต้องสู้ (มาจากตองอู หมายถึง ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาในภาษาพม่า) พวกนี้แม้จะพูดภาษาซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับภาษาพวกโป แต่มีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมกับพวกฉานหรือไทยใหญ่มากกว่า (หน้า 13-14) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นอกจากนี้จากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่กลายเป็นสิ่งหายากในปัจจุบันได้แก่ อัญมณี แร่ธาตุ และไม้สัก ฯลฯ ทำให้กะเหรี่ยงมีการทำการค้าอัญมณี แร่ธาตุ และไม้สัก แลกกับอาวุธจากกลุ่มพ่อค้าของเถื่อนในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะกะเหรี่ยงไม่นิยมเก็บเงินจั๊ดในมือ แต่จะนิยมเปลี่ยนเป็นสิ่งของและสินค้าหรือเงินบาทมากกว่า จากความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลทหารพม่าต้องการที่จะได้ครอบครองทรัพยากรธรรมชาตินั้น เหตุดังกล่าวส่งผลให้เกิดการคุกคามจากรัฐบาลทหารพม่า ทำให้รัฐกะเหรี่ยงต้องนำเอาทรัพยากรมาแลกเปลี่ยนซื้ออาวุธ เพื่อสร้างศักยภาพทางทหาร จึงเกิดการค้านอกระบบหรือตลาดมืดอย่างกว้างขวางในบริเวณชายแดนไทย-พม่า สินค้าที่เป็นที่นิยมในตลาดมืดซึ่งกะเหรี่ยงได้เปรียบคือ สินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงอย่าง ไม้ซุง ผลิตภัณฑ์ไม้ อัญมณี และแร่ธาตุ ฯลฯ รวมทั้งมีการค้ากับต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่นและไต้หวันด้วย (หน้า 13, 30, 37, 50, 81, 84) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยงได้รวมตัวจัดตั้งกลุ่มกู้ชาติเพื่อให้รัฐกะเหรี่ยงเป็นอิสระในการปกครอง เพราะกะเหรี่ยงไม่ต้องการที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่า รัฐกะเหรี่ยงแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กอตูเลตะวันตกและกอตูเลตะวันออก ต่อมาจึงรวมกันเป็นรัฐบาลกอตูเล ซึ่งมีการจัดองค์กรการปกครองและกำลังทหารอย่างมีระเบียบมีความสามัคคี มีวัฒนธรรมตลอดจนมีขนบประเพณีของตนเอง มีอุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อแยกตัวโดยนโยบายทางการทหารสำคัญที่สุด ทุกคนต้องเป็นทหารทุกเพศทุกวัยไม่มีปลดเกษียณ คำขวัญของชาติกะเหรี่ยงคือ "จะต้องได้มาซึ่งรัฐกะเหรี่ยงอิสระ ต้องได้มาซึ่งความเสมอภาคและไม่มีสงครามกลางเมือง" มีหัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้นำทางศาสนาพื้นเมือง (Hihko) ซึ่งจะมีหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ โดยในทางการเมืองกะเหรี่ยงมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ ค.ศ.1886 เพราะกะเหรี่ยงเคยช่วยเหลือทหารอังกฤษรบกับพม่า เมื่ออังกฤษเข้าปกครองประเทศพม่าแล้วรัฐกะเหรี่ยงจึงขอสิทธิในการปกครองแต่ไม่สำเร็จ ในปี ค.ศ.1947 พลเอกซอบาอู (Saw Ba U) ผู้นำกะเหรี่ยงได้รวมกำลังกะเหรี่ยงจัดตั้งกลุ่มกู้ชาติขึ้นเรียกว่า "สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง" โดยมีพลเอกซอบาอูเป็นประธานาธิบดี ดำเนินการเพื่อให้รัฐกะเหรี่ยงเป็นอิสระ เมื่อ ค.ศ.1964 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงได้แบ่งแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กอตูเลตะวันตกและกอตูเลตะวันออก ต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1975 จึงรวมกันเป็นรัฐบาลกอตูเลภายใต้การนำของพลโทโบเมี๊ยะและใช้ชื่อว่า "สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง" ตั้งกองบัญชาการสูงสุดขึ้น ณ ค่ายมาเนอปลอว์ ตรงข้ามอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ระบบการปกครองเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (republic) มีประธานาธิบดีเป็นประมุข โดยได้รับจากการเลือกตั้งของผู้บัญชาการกองพลต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน วาระการเป็นประธานาธิบดี 4 ปี ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตำแหน่ง มีสภาแห่งรัฐเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด ประกอบด้วย "คณะกรรมการกลาง" ซึ่งทำหน้าที่เลือกตั้ง "คณะรัฐมนตรี" และผู้ว่าการของพื้นที่ต่าง ๆ โดยมี"รัฐมนตรี" ว่าการส่วนราชการต่างๆ เป็นผู้รับผิดชอบ ปัจจุบันรัฐกอตูเลมีพลเอกโบเมี๊ยะ เป็นประธานาธิบดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐกะเหรี่ยงแบ่งเขตการปกครองเป็น 7 เขต แต่ละจังหวัดหรือเขตแบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอ (เมือง) ตำบล และหมู่บ้าน ตามลำดับ มีคณะกรรมการบริหารรับผิดชอบในการบริหารแต่ละระดับ นอกจากนี้ รัฐกะเหรี่ยงยังมีฐานะเป็นรัฐกันกระทบระหว่างไทย-พม่า เป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า การสู้รบระหว่างรัฐกะเหรี่ยง-พม่าเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งอันนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนฝั่งไทย มีกระสุนปืนตกเข้ามาฝั่งไทย ทหารพม่าติดตามโจมตีกำลังกะเหรี่ยงเข้ามาฝั่งไทย และการสู้รบของกะเหรี่ยงพุทธกับกะเหรี่ยงคริสต์อันเกิดจากการสนับสนุนกะเหรี่ยงพุทธของรัฐบาลทหารพม่า การสู้รบบ่อยครั้งนำมาซึ่งการอพยพเข้ามาฝั่งไทยของกะเหรี่ยงหรือชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ โดยที่รัฐบาลไทยก็จำต้องจัดการ ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือกลับทำให้รัฐบาลทหารพม่ามองว่า รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายรัฐกันกระทบโดยใช้รัฐกะเหรี่ยง มีการยินยอมให้กองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อยใช้ดินแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการการก่อร้ายในพม่า และสนับสนุนทหารกะเหรี่ยงในด้านอาวุธ เสบียงอาหาร และการรักษาพยาบาล ซึ่งแท้จริงนั้นการต่อสู้กันระหว่างกองกำลังกะเหรี่ยงกับรัฐบาลทหารพม่าทำให้กะเหรี่ยงได้รับบาดเจ็บ และบ่อยครั้งรัฐบาลทหารพม่าก็ใช้เหตุการณ์ต่าง ๆ นี้เป็นเงื่อนไขในการเจรจาต่อรองในการค้าชายแดนไทย-พม่า และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนของไทย ด้วยการหน่วงเหนี่ยวการเจรจาหรือปิดด่านศุลกากร ปิดด่านชักลากไม้ ตลอดจนการให้สัมปทานการทำไม้ การประมง การเกษตรกรรม การท่องเที่ยวของเอกชนไทย (หน้า 6, 8, 16,18-19, 22-24, 27, 53, 69, 80-81, 107, 126, 131) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยึดถือประเพณีดั้งเดิม คือ การนับถือผี เชื่อการปักกระดูกไก่ บางพวกนับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังนับถือบุคคลที่ประพฤติตัวอยู่ในศีล ซึ่งเรียกว่า "ฤาษี" แต่ในปัจจุบันความเจริญได้แพร่เข้าไปถึง กะเหรี่ยงได้หันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ บุคคลระดับผู้นำมีการศึกษาหรือระดับหัวหน้าส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ลัทธิโปรเตสแตนท์ (หน้า 25) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาเป็นปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งของกะเหรี่ยง นับตั้งแต่กะเหรี่ยงเริ่มปฏิวัติเพื่อเป็นรัฐอิสระเมื่อปี ค.ศ.1948 เป็นต้นมา การศึกษาของรัฐกะเหรี่ยงแบ่งเป็น 4 ระดับคือ ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมตอนต้น ระดับมัธยมตอนปลาย ในหลักสูตรการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา นักเรียนชายกะเหรี่ยงต้องศึกษาวิชาบังคับว่าด้วยการทหาร ต้องทำการฝึกวิชาทหารราบ ทุกคนไม่มียกเว้น เริ่มตั้งแต่อายุ 13 ปี ผู้ที่จะสำเร็จการศึกษาออกไปประกอบอาชีพทหารนั้นจะต้องฝึกหนักมา จนเมื่ออายุครบ 16 ปีบริบูรณ์จึงจะได้รับอนุญาตให้ติดตามกองทหารออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบ รัฐกะเหรี่ยงมีโรงเรียนอยู่ 4 แห่ง นักเรียนกะเหรี่ยงจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละไม่เกิน 900 บาทต่อปี นักเรียนที่มีผลการเรียนดีรับบาลกอตูเลจะให้ทุนการศึกษา โดยต้องพรางตัวไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งหรือต่างประเทศ เช่น ไทย ปัจจุบัน สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงส่งเสริมการศึกษาให้กับกะเหรี่ยงอย่างกว้างขวาง ด้วยการสร้างโรงเรียนขึ้นในชุมชน เปิดสอนภาษากะเหรี่ยง "สะกอ" และ"โป" ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย (หน้า 33-35) |
|
Health and Medicine |
เนื่องจากการสู้รบมีตลอดเวลา ทำให้กะเหรี่ยงหรือชนกลุ่มน้อยได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บและบางส่วนได้อพยพเข้าในฝั่งไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยกับองค์การเอ็มเอสเอฟของฝรั่งเศสจึงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพกะเหรี่ยงในเขตจังหวัดตากร่วมกับผู้ช่วยกะเหรี่ยงที่ได้รับการฝึกอบรมจากองค์กร หากมีผู้เจ็บป่วยหนักจะนำส่งโรงพยาบาลท่าสองยาง โรงพยาบาลแม่สอด และโรงพยาบาลอื่น ๆ ในเขตจังหวัดตาก (หน้า 78, 80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กะเหรี่ยงจะมีบทเพลงและบทกลอนที่กะเหรี่ยงท่องจำเกี่ยวกับผู้นำในอดีตที่พวกเขายกย่องสรรเสริญ อย่างเช่นเรื่องของ "ออเมบา" บรรพบุรุษต้นตระกูลกะเหรี่ยง (หน้า 16) |
|
Folklore |
ไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับต้นกำเนิด แต่จะมีตำนานบอกเล่าที่กะเหรี่ยงทุกกลุ่มจะจดจำสืบทอดกันมาว่าพวกเขาได้เดินทางข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งบางครั้งมีผู้แปลชื่อว่า "แม่น้ำทรายไหล" ก่อนที่จะมาถึงดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป นอกจากนั้น ผู้ที่เล่าตำนานกะเหรี่ยงได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตว่ากะเหรี่ยงดูเหมือนจะไม่มีระบบปฏิทินที่นับเวลาเป็นปี ซึ่งทำให้การกำหนดเวลาของเหตุการณ์ในอดีตอย่างเที่ยงตรงเป็นไปไม่ได้ วลีเช่น "กะส่า กะส่า" (Kasa Kasa) ชั่วคนแล้วชั่วคนเล่าปรากฎอยู่เสมอในนิทานของกะเหรี่ยง และกะเหรี่ยงเพิ่งเริ่มอาศัยการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อ ค.ศ.1832 (หน้า 14, 16) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากบทเพลงของกะเหรี่ยงร้องเป็นตำนานไว้ว่า พระเจ้ายั่วเป็นผู้สร้างโลก สร้างกะเหรี่ยงขึ้นก่อน ส่วนชนชาติอื่น ๆ ที่เกิดภายหลัง ล้วนแต่เป็นน้องชายและน้องสาวของกะเหรี่ยงทั้งสิ้น เมื่อชนชาติอื่นไปหาเขาถือว่าพวกน้อง ๆ มาเยี่ยมจะต้อนรับอย่างดี นอกจากนี้ในเรื่องความสัมพันธ์ของรัฐกะเหรี่ยงกับไทยและพม่านั้นเป็นไปในฐานะรัฐกันกระทบ ซึ่งการสู้รบระหว่างพม่าและรัฐกะเหรี่ยงได้ส่งผลต่อความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้กะเหรี่ยงเป็นศัตรูอันดับหนึ่งที่ต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด แต่ฐานที่มั่นของรัฐกะเหรี่ยงอยู่ติดชายแดนตะวันตกของไทย การปราบปรามจึงไม่สามารถสำเร็จได้ ทำให้รัฐบาลไทยถูกมองว่าให้การสนับสนุน ก่อให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐกะเหรี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างมากเพราะเป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ไทย-พม่า (หน้า 25, 131) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมกะเหรี่ยงนับถือผี เชื่อการปักไก่ นับถือฤาษี แต่ในปัจจุบันความเจริญได้แพร่เข้าไปถึงกะเหรี่ยงได้หันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ บุคคลระดับผู้นำมีการศึกษาหรือระดับหัวหน้าส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ลัทธิโปรเตสแตนท์ นอกจากนี้หลังจากประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ.1948 แล้ว บรรดาชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในสหภาพพม่าได้เรียกร้องและทวงสัญญาในการปกครองตนเอง โดยเฉพาะกะเหรี่ยงนั้นไม่ต้องการที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า เกิดการรวมกันตั้งเป็นสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง เพื่อล้มล้างอำนาจรัฐบาลทหารพม่า กลุ่มกะเหรี่ยงที่เคยรวมกลุ่มกันนั้น รัฐบาลทหารพม่าก็ได้เข้าไปสนับสนุนกะเหรี่ยงพุทธก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงทั้งสอง เกิดการสู้กันระหว่างกะเหรี่ยงพุทธและกะเหรี่ยงคริสต์ การสู้รบทำให้เกิดการอพยพเข้ามาในประเทศไทย เข้ามาอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพในประเทศไทย (หน้า 25, 40) |
|
Map/Illustration |
แผนที่รัฐกะเหรี่ยง (หน้า 20) แผนที่แสดงที่ตั้งมาเนอปลอร์ (หน้า 21) สถิติการค้าระหว่างไทยกับสหภาพพม่า ปี ค.ศ.1984-4991 มูลค่า/ล้านบาท (หน้า 85) แผนที่สังเขปแสดงพื้นที่อิทธิพลของกองกำลังชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าติดชายแดนไทย (หน้า 92) แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งกองกำลังชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดนไทย-พม่า (หน้า 93) แผนที่การวางกำลังทหารของสหภาพพม่า ค.ศ.1994-1995 (หน้า 105) แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งของศูนย์อพยพ (หน้า 127) 40 สัมปทานป่าไม้ตลอดแนวชายแดนฝั่งตะวันตก (หน้า 135) ภาพและบทกวีของนักศึกษาพม่าผู้พลัดถิ่น (หน้า 159) |
|
|