|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,อนุสาวรีย์หิน,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ภาคเหนือ |
Author |
H. E. Kauffmann |
Title |
Stone Memorials of the Lawa (Northwest Thailand) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
19 |
Year |
2514 |
Source |
Journal of the Siam Society, Vol. 59 part 1 |
Abstract |
ละว้าในอุ้มผายมีความเชื่อเรื่องผี เคารพผีบรรพบุรุษและผีหมู่บ้าน เชื่อในชีวิตหลังความตาย ในอุ้มผายพบกลุ่มเสาหินและเสาไม้ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าละว้าเคยมีวัฒนธรรมหินใหญ่/หินตั้งในอดีตเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว และเชื่อว่าพื้นที่ในภาคอีสานที่มีเสาหินตั้งนั้นมีความเกี่ยวพันกับละว้า |
|
Focus |
ศึกษากลุ่มเสาหินที่พบในพื้นที่อุ้มผาย และที่ต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับละว้า |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาละว้าที่มีถิ่นฐานอยู่ในบริเวณ อุ้มผาย (หน้า 129) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่ในบันทึกการเดินทาง และหลักฐานเอกสารอื่นๆ ในสมัยต่อมาของทีมนักวิชาการที่มีหม่อมเจ้าสนิท รังสิต เป็นผู้ทำทีมในช่วงเวลา ค.ศ. 1938-1939 (หน้า 129) |
|
History of the Group and Community |
กล่าวถึงขุนหลวงวิลังกะซึ่ง เป็นผู้นำละว้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเข้าสู้กับมอญเมื่อศตวรรษที่ 8 เชื่อว่าที่อยู่ของขุนหลวงวิลังกะอยู่บริเวณที่พบสระที่สร้างด้วยหินบริเวณดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ และมีข้อสันนิษฐานว่าละว้าเป็นกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งซื่งในอดีตมีวัฒนธรรมหินใหญ่และหินตั้งซึ่งมีความเก่าแก่ถึง 3,000 ปีมาแล้ว (หน้า 134) |
|
Belief System |
ในอุ้มผาย หมู่บ้านละว้าจะสร้างเสาสลักไม้สูงคู่กัน 3-4 เมตร เรียกว่า 'sagang' และชาวบ้านจะร่วมกันจ่ายค่าวัวควายเพื่อเซ่นสังเวยเสานี้ทุก 2-3 ปีให้ผีที่มีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้าน เรียกว่า 'Pi-Sapait' เป็นผีช่วยปกป้องหมู่บ้านและผู้อยู่อาศัย สัตว์เลี้ยงและทุ่งนา เสาคู่นี้ปักไว้กลางหมู่บ้านด้านหน้าหอประชุม (assembly house) ชาวบ้านจะเก็บกะโหลกสัตว์ที่ใช้สังเวยไว้ใกล้ๆ หอนี้ (หน้า 129) ซึ่งคล้ายกับประเพณีของเผ่า Naga หรือ Assam ในพม่า ที่บนยอดของเสาจะตัดให้เป็นฟันปลา มีการสลักเสาเป็นรูปกิ้งก่า หรือรูปมนุษย์ เหมือนศิลปะสมัยยุคหิน ( megalithic art) ซึ่งเหมือนกับเผ่าอื่นๆ เช่น Khasi, Garo, Kachari, Batak, Tordja, Nias, ชาวเกาะ Sumba ในอินโดนีเซีย คนละว้าเชื่อเรื่องภูติผี และให้ความเคารพผีบรรพบุรุษมาก ผีเก่าแก่ของหมู่บ้านเรียกว่า 'T a Yuang' (หน้า 130) เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านมีการเซ่นวัวควาย ซึ่งชาวบ้านจะฆ่าวัวควายใกล้หลุมฝังศพ และถอดเอาเขาสัตว์ออกแล้วเอาฝังไว้กับศพ ใกล้หลุมศพจะฝังอนุเสารีย์หิน (memorial post) สูงประมาณ 1 เมตร หากเป็นคนสำคัญมากจะใช้เสาที่สูงประมาณ 2 เมตร ผู้ศึกษาเชื่อว่าในอดีตมีการใช้เสาหินและเสาไม้ เพราะพบหลักฐาน เช่นที่แม่โถ เคยเป็นหมู่บ้านละว้ามาก่อน และพบกลุ่มหินใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยของละว้าที่ Huai Um Pat ทางใต้ของ Hod เชื่อว่าสมัยก่อนมีการสร้างเสาหินให้กับเฉพาะบุคคลสำคัญ บุคคลธรรมดาจะใช้เสาไม้ แต่ปัจจุบันมีเฉพาะเสาไม้ (หน้า 131-133) ตัวอย่างของอนุสาวรีย์หินที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับละว้าได้แก่ที่ บ้านหินตั้ง ในอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หินตั้งส่วนใหญ่พบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มหินใกล้ Huai Um Pat นอกจากนี้ยังพบที่อำเภอกุมภวาปี ใกล้ Bang Nong Mak Kha ใกล้อำเภอสหัสขันธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทางทิศตะวันออกของจังหวัดขอนแก่น เชื่อว่าละว้าเกี่ยวข้องกับอนุสรณ์สถานหินเหล่านี้ (หน้า 134, 135) พบกลุ่มเสาหินที่บ้านKhun Mae Sa'nam ใกล้ดอยบ่อแฮ่และที่บ้าน KhunKhuna ใกล้บ้านยางอมลงหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 144, 145) ผู้ศึกษาพบ 2 กลุ่มเสาหินซึ่ง 3 เสามีชื่อของ 'samang' (ขุนในภาษาละว้า) หมู่บ้านเก่าละว้านี้อาจมีอายุถึง 150-175 ปีมาแล้ว คาดว่าเริ่มเมื่อต้นศตวรรษที่ 18 ละว้าอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมีโรคระบาดจึงละทิ้งถิ่นฐาน (หน้า 146, 147) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
จากหลักฐานที่ปรากฏเสาหินหรืออนุเสาวรีย์หินที่ปรากฏในทางตะวันเฉียงเหนือของไทยเป็นผลงานของละว้า เพื่อเป็นอนุเสาวรีย์สำหรับชนชั้นปกครองที่เรียกว่า "Samang" และมีลักษณะเป็นหินตั้ง ซึ่งอาจจะมีล้มไปตามสภาพธรรมชาติบ้างในภายหลัง แต่หินเหล่านี้มาถูกแทนที่ด้วยเสาไม้เรียกว่า "nãm" เมื่อไม่นานมานี้ เสาไม้ต้นนี้จะตั้งอยู่เป็นกลุ่มแยกจากเสาเตี้ยๆ ที่เรียกว่า "mbueang" ซึ่งเป็นเสาที่ตั้งขึ้นเมื่อมีคนตายไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือเด็ก แต่"nãm" จะตั้งขึ้นเฉพาะเมื่อมีผู้ตายที่อยู่ในชนชั้นปกครองตายเท่านีน ซึ่งจะต้องมีพิธีกรรมฆ่าความด้วยจึงตั้งเสาได้ หากเกิดไม่มีเงินพอที่จะทำพิธีได้ก็ไม่มีการตั้ง "nãm" ที่ใจกลางของชุมชนอุ้มผายจะมีเสาใช้เซ่นสังเวยสัตว์ แต่สำหรับผี "Sapait" เท่านั้น แต่ที่บ้าน "La'ub" จะมีเสาเดียวสามเสา ซึ่งคนในชุมชนบอกว่าที่นั่นแตกต่างจากอุ้มผาย ที่ "La'ub" ทุก 30-40 ปีจะมีการเซ่นสังเวยควาย ซึ่งทุกครอบครัวจะต้องมีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่าย (หน้า 140-141) ลวดลายในการแกะสลักเสาที่อุ้มผายมีหลากหลาย มีทั้งลายเรขาคณิตและรูปสตรีต่างๆ ที่เสาคู่ "Sagang" มีลวดลายคล้ายกับศิลปะของชนเผ่านาคาและแบบศิลปะหินใหญ่ แต่ยังขาดลักษณะสำคัญของศิลปะหินใหญ่ 2 ลักษณะคือ เขาควายกับหน้าอกของผู้หญิง (หน้า 11) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ปริศนาเกี่ยวกับหินใหญ่ Heine-Geldern ได้นำเสนอกรอบคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมหินใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี ค.ศ. 1959 ว่าลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมหินใหญ่ คือ 1. มีอนุสาวรีย์เป็นหินในลักษณะต่างๆ เช่น เป็นหินตั้งขึ้นไป มีคานพาดหรืออาจจะรายเรียงเป็นวง 2. อนุสาวรีย์ที่เป็นไม้ เช่นเป็นเสาไม้ปลายแฉกเหมือนส้อม เดิมอาจจะไว้ใช้เซ่นสังเวยสัตว์ 3. ใช้เป็นอนุสรณ์สำหรับคนมีสถานภาพสูงในชุมชน ซึ่งได้ประกอบพิธีกรรมมากมาย 4. เสาแสดงให้เห็นความเชื่อว่าการสังเวยสัตว์จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ในอีกโลกหนึ่งและจะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในหมู่บ้าน 5. เป็นลัทธิบูชาบรรพบุรุษหรือวีรบุรุษ/ผู้นำ เป็นอนุเสาวรีย์สำหรับผู้ที่ตายไป |
|
Map/Illustration |
แผนที่ Menhirs of Khun Mae S'a Nam หน้า 148 แผนที่ Menhirs of Khun Khuna หน้า 149 และรูปภาพเสาหินที่พบในพื้นที่ต่างๆ |
|
|