สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,พุทธศาสนา,ฤาษี,ทุ่งใหญ่นเรศวร,กาญจนบุรี
Author ภาวนีย์ บุญวรรณ
Title การศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อพระพุทธศาสนา และฤาษีของชาวกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร กรณีศึกษา หมู่บ้านสะเน่พ่อง ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 200 Year 2544
Source หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

กล่าวถึงความเป็นมาของชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ บ้านสะเน่พ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นับถือฤาษี ซึ่งมีคำสอนประยุกต์มาจากหลักธรรมในศาสนาพุทธ กระทั่งกะเหรี่ยงบ้านสะเน่พ่อง ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในภายหลัง แม้ว่าในชุมชนไม่มีสำนักฤาษีแล้ว แต่ ก็มีความเชื่อบางอย่างผสมอยู่ในพิธีของศาสนาพุทธหลงเหลืออยู่ ในงานได้วิเคราะห์ความเชื่อทางศาสนาพุทธ กับฤาษีกลุ่มต่างๆ ที่กะเหรี่ยงนับถือ และถือกำเนิดตั้งแต่อยู่ในพม่า กระทั่งพม่าปราบปรามเพราะระแวงเรื่องความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากฤาษีจะเป็นผู้นำด้านพิธีกรรมแล้วยังเป็นผู้นำด้านการสู้รบอีกด้วย ดังนั้นฤาษีกะเหรี่ยงและผู้นับถือจึงลี้ภัยเข้ามาอยู่ในบริเวณทุ่งหญ่นเรศวร ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และใน จ.ตาก จนถึงทุกวันนี้

Focus

ศึกษาภูมิหลังของชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ ความเชื่อทางศาสนาพุทธและฤาษีกลุ่มด้ายขาว ของกะเหรี่ยงโปว์ทุ่งใหญ่นเรศวร บ้านสะเน่พ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี (หน้า 3)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ในตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) ตระกูลย่อย ทิเบต-พม่า (Tibeto-Burma) (หน้า 36) กะเหรี่ยงในไทยแบ่งย่อยเป็น 4 เผ่า คือ 1) เผ่าสะกอ (Sgaw Karen) อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย เผ่าสะกอมีชื่อหลายชื่อ เช่น สคอ (sgaw) บาม่ากะวิน (Bama Kavin) ปาเกอะญอ ยางขาว 2) เผ่าโปว์ (Pwo Karen) กลุ่มนี้มีชื่อเรียกต่างๆ ดังนี้ พล่ว โพล่ว โผล่ว บโว (Pwo) สโจ (Scho) ตะเลงกะวิน (Talaing Kavin) กะเหรี่ยงมอญ ยางแดง ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง เช่น จ. กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (หน้า 1, 36) 3) เผ่าบเว แบร หรือ คยา หรือยางแดง (Bwe, Bre, Palayehi Karen) อยู่โดยทั่วไปใน จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน มีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิ เช่น บไฆ (Bahai) บุเว้ (Buwe) ปเย-ยา (Pye-ya) ประการา (Pra-ka-ra) กะระ (Kara) คะเรนนี (Karenni) แบร (Bue) คะยาห์ (Kayah) 4) เผ่าตองสู หรือพะโอ (Taugthu or Pa-o Karen) มีชื่อเรียกอื่นเช่น ปาโอ (Pa-o) ตองตู (หน้า 1, 36)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงอยู่ในตระกูลภาษาจีน- ธิเบต (Sino-Tibetan Language Family) สาขาภาษากะเหรี่ยง (Karenic) ภาษากะเหรี่ยงบ้านสะเน่พ่อง เป็นภาษากะเหรี่ยงโปว์ มีพยัญชนะต้นเสียง 23 หน่วยเสียง เสียงสระ 9 หน่วยเสียง ความสั้นยาวของเสียงสระ ไม่ทำให้ความหมายต่างกัน มีสระประสม 5 หน่วยเสียง มีเสียงวรรณยุกต์ ไม่มีพยัญชนะสะกด การเรียงประโยคจะเป็นแบบ ประธาน กิริยา กรรม หรือส่วนขยาย (หน้า 48) สำหรับประโยคปฏิเสธ จะนำคำว่าแปลว่า "ไม่" ต่อตรงท้ายประโยคบอกเล่า ตัวอักษรนำอักษรมอญมาใช้ในภาษาเขียน ตัวอักษรที่ใช้เรียกว่า "ไล้ตะหละหย่า" (หน้า 49) ส่วนอักษรกะเหรี่ยงจริงๆ นั้น คือ อักษร "ไล้ช่องวิ" หมายถึง (ไก่)คุ้ยเขี่ย ทุกวันนี้ก็ได้มีผู้พยายามนำกลับมาเรียนที่ทุ่งใหญ่นเรศวรอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาขาดผู้สืบทอดด้านศึกษาเขียนด้วยอักษรกะเหรี่ยง (หน้า 49)

Study Period (Data Collection)

บ้าน ชอบสร้างด้วยไม้ไผ่ ไม้ไผ่ที่นำมาสร้างโดยมากเป็นไผ่บง เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้วเป็นอย่างต่ำ มีเนื้อหนาประมาณ 1 ซ.ม. ใต้ถุนบ้านมีขนาด 27 คูณ 27 ฟุต ผนังสูง 18 ฟุต ความสูงถึงอกไก่ ประมาณ 22 ฟุต เสาบ้านส่วนใหญ่จะมีอย่างน้อย 16 ต้น ชานบ้านจะสร้างทางหน้าบ้านและหลังบ้าน สำหรับฝาบ้านและพื้นจะทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบจาก ใบใผ่ ใบอ้อ ใบตองตึง (หน้า 45) การแบ่งพื้นที่ใช้สอย ฝาบ้านด้านทิศตะวันตก หรือ ทิศเหนือ จะทำเป็นหิ้งผียื่นออกไปทางด้านนอก กว้างประมาณ 1 ฟุต ห้องนอนจะมี 1 ห้อง พื้นบ้านมีการยกระดับ ระดับล่างสุดเป็นพื้นที่ทางเดิน ชานบ้าน กับ ครัว พื้นห้องโถงกลาง และห้องนอน เตาไฟประกอบด้วย 2 ส่วน ด้านล่างจะเป็นก้อนหินสามเส้า หรือเหล็กสามขา ด้านบนเป็นชั้นสำหรับวางอาหารและอาหารที่ถนอมไว้กินนานๆ สำหรับบันไดบ้านจะสร้างขั้นบันไดเป็นจำนวนเลขคี่ (หน้า 45) บ้านไม้ไผ่จะมีอายุการใช้งาน 3 ถึง 5 ปี สำหรับการสร้างบ้านทุกวันนี้บางบ้านจะสร้างด้วยวัสดุที่คงทนถาวร สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง มุงด้วยสังกะสี บ้านเป็นแบบมีใต้ถุน และไม่มีใต้ถุน (หน้า 45)

History of the Group and Community

ประวัติการอพยพของกะเหรี่ยง แต่เดิมกะเหรี่ยงตั้งรกรากอยู่ที่ทิศตะวันออกของธิเบต ภายหลังได้เข้ามาอยู่ในประเทศจีน เมื่อ 3,234 ปีที่ผ่านมา หรือ 733 ปีก่อนพุทธกาล โดยอยู่ในพื้นที่แม่น้ำทรายไหล ซึ่งคาดว่าเป็นทะเลทรายโกบี บางรายงานคาดว่าอยู่ทางทิศใต้ของจีน ซึ่งในบันทึกของมาร์โคโปโล เรียกว่า พวกคารายัน ผู้รักสงบ อยู่ที่บริเวณแม่น้ำจือเกียง หมายความว่า แม่น้ำชาติยาง คนจีนเรียกว่าชนชาติโจว ต่อมาชาติอื่นรบกวน จึงอพยพมาอยู่ที่แหลมอินโดจีน ณ บริเวณลุ่มน้ำโขง กับแม่น้ำสาละวิน ในประเทศพม่า (หน้า 36) การอพยพเข้าไทยครั้งใหญ่ มีด้วยกัน 2 ครั้ง ได้แก่ 1) ยุคพระเจ้าอลองพญา (อ่องเจยะ) เมื่อพม่ารบชนะมอญ กะเหรี่ยงกับมอญมีความเป็นมิตรต่อกัน ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงหนีภัยจากพม่ามาในไทยประมาณ พ.ศ. 2318 (หน้า 37) 2) ยุคที่พม่าทำการปราบปรามกะเหรี่ยงเนื่องจากรู้ว่า กะเหรี่ยงมีแนวคิดที่ว่าอังกฤษจะเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกะเหรี่ยง ใน พ.ศ. 2395 (หน้า 37) ประวัติกะเหรี่ยงในภาคกลางของไทย กะเหรี่ยงที่เข้ามาอยู่ที่ เมืองสุพรรณบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี หนีการรบกวนของพม่า มาจากเมืองมอญ (ทวาย) เข้ามาอยู่ที่เมืองกางมะรี่ หรือ กาญจนบุรี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองไม่เคยชิน ดังนั้นจึงขออนุญาตกษัตริย์ของไทย ไปอยู่บริเวณป่าเขา แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้ (หน้า 37) 1) เดินย้อนขึ้นไปตามลำน้ำแควน้อย สร้างบ้านเรือนอยู่ตามบริเวณลำห้วยสาขาต่างๆ ในอำเภอทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก (หน้า 37) 2) ย้อนไปตามลำน้ำพาชี อันเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำแควน้อย ได้แกลุ่มที่อยู่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (หน้า 37) 3) ย้อนกลับขึ้นไปตามลำน้ำแควใหญ่ ทาง อ.ศรีสวัสดิ์ ส่วนหนึ่งไปถึงห้วยแม่กลอง กับ ห้วยแม่จันทะ ในพื้นที่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก อยู่ในบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออก (หน้า 38) 4) เดินไปทางเหนือตามลำตะเพิน ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านหนองรี หนองปรือ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี กับ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี (หน้า 38) กะเหรี่ยงใน จ.กาญจนบุรี รายงานระบุถึงประวัติของกะเหรี่ยงในเหตุการณ์และสถานที่ต่างๆ เช่น ระบุว่า ละว้า และกะเหรี่ยงจากเมืองศรีสวัสดิ์ เคยส่งส่วยให้กับกรุงศรีอยุธยา เกรี่ยงหรือ กะเหรี่ยงที่อยู่ อ.วังกะ เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านเมกะวะ อ.มอละแหม่ง ได้หลบหนีการรบกวนจากพม่า มาอยู่บริเวณห้วยซองกาเลีย ที่บ้านทุพ่อง (หน้า 38) พ.ศ. 2332 กะเหรี่ยงสมัครเป็นกองสอดแนมให้กับกองทัพไทยที่ท่าดินแดง, พ.ศ. 2365 กะเหรี่ยง 36 คนจาก อ.สังขละบุรี ได้ทำการขับไล่ พม่า พ.ศ. 2369 กะเหรี่ยงได้ทำหน้าที่ป้องกันเขตแดนไทย ตั้งแต่เหนือ จ.กาญจนบุรี ถึง จ.ตาก (หน้า 38) พ.ศ. 2433 พระสุวรรณคีรี เมืองสังขละบุรี พระพิชัยสงคราม เมืองศรีสวัสดิ์ หลวงพิทักษ์ศรีมาตย์ ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอ (หน้า 39) ประวัติหมู่บ้านสะเน่พ่อง และการย้ายบ้านของพระศรีสุวรรณคนสุดท้าย ในสมัยนั้นพระศรีสุวรรณยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสะเน่พ่อง พระศรีสุวรรณได้สร้างบ้านด้วยไม้จริง โดยเป็นบ้านไม้หลังเดียวในหมู่บ้าน ส่วนบ้านหลังอื่นๆ จะทำด้วยไม้ไผ่ เนื่องจากเชื่อว่าถ้าสร้างบ้านด้วยไม้จริงๆ นั้น จะทำให้เป็นไข้ไม่สบาย แต่ถ้าเป็นคนที่มีบุญวาสนาผีก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ได้ ในสมัยนั้นกะเหรี่ยงจะสวมชุดประจำเผ่า ผู้ชายจะไว้ผมยาว มัดเป็นจุกอยู่เหนือหน้าผาก ผู้คนจะถือศีลอย่างเคร่งครัด (หน้า 41) อีกทั้งยังมีกลุ่มที่กินอาหารเจคนในหมู่บ้านไม่เลี้ยงสัตว์ หรือเอาสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ และเหล้า เข้ามาภายในหมู่บ้าน ภรรยาของพระศรีสุวรรณ มี 3 คน ภรรยาคนแรกเป็นกะเหรี่ยง มีลูก 5 คน เป็นหญิง 4 คน และลูกชาย 1 คน, คนที่สองเป็นคนไทย มีลูกชาย 1 คน , คนที่สามเป็นมอญ มีลูกชาย 1 คน (หน้า 41) ต่อมาได้เกิดโรคระบาดในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนพระศรีสุวรรณ ก็ไปสร้างบ้านหลังใหม่ที่อำเภอสังขละบุรีเก่าที่น้ำท่วม สำหรับบ้านไม้ในหมู่บ้านสะเน่พ่อง ก็ยกให้บุตรสาวคนโต บางรายงานระบุว่า ต้นเหตุที่พระศรีสุวรรณ ย้ายบ้านออกจากหมู่บ้านสะเน่พ่อง อันเป็นตัวเมืองสังขละบุรีในเริ่มแรกนั้น ก็เพราะว่าทำผิดข้อปฏิบัติของคนในหมู่บ้าน เนื่องจากมีภรรยามากกว่า 1 คน จึงได้อพยพไปอยู่ตัว อ.สังขละบุรี ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกน้ำท่วมในทุกวันนี้ (หน้า 42)

Settlement Pattern

บ้าน สร้างด้วยไม้ไผ่บง เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้วเป็นอย่างต่ำ มีเนื้อหนาประมาณ 1 ซ.ม. ใต้ถุนบ้านมีขนาด 27 คูณ 27 ฟุต ผนังสูง 18 ฟุต ความสูงถึงอกไก่ ประมาณ 22 ฟุต เสาบ้านส่วนใหญ่จะมีอย่างน้อย 16 ต้น ชานบ้านจะสร้างทางหน้าบ้านและหลังบ้าน สำหรับฝาบ้านและพื้นจะทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบจาก ใบใผ่ ใบอ้อ ใบตองตึง (หน้า 45) การแบ่งพื้นที่ใช้สอย ฝาบ้านด้านทิศตะวันตก หรือ ทิศเหนือ จะทำเป็นหิ้งผียื่นออกไปทางด้านนอก กว้างประมาณ 1 ฟุต ห้องนอนจะมี 1 ห้อง พื้นบ้านมีการยกระดับ ระดับล่างสุดเป็นพื้นที่ทางเดิน ชานบ้าน กับ ครัว พื้นห้องโถงกลาง และห้องนอน เตาไฟประกอบด้วย 2 ส่วน ด้านล่างจะเป็นก้อนหินสามเส้า หรือเหล็กสามขา ด้านบนเป็นชั้นสำหรับวางอาหารและอาหารที่ถนอมไว้กินนานๆ สำหรับบันไดบ้านจะสร้างขั้นบันไดเป็นจำนวนเลขคี่ (หน้า 45) บ้านไม้ไผ่จะมีอายุการใช้งาน 3 ถึง 5 ปี สำหรับการสร้างบ้านทุกวันนี้บางบ้านจะสร้างด้วยวัสดุที่คงทนถาวร สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง มุงด้วยสังกะสี บ้านเป็นแบบมีใต้ถุน และไม่มีใต้ถุน (หน้า 45)

Demography

ประชากรหมู่บ้าน กะเหรี่ยงโปว์ ทุ่งใหญ่นเรศวร หมู่บ้านสะเน่พ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มีจำนวน 60 หลังคาเรือน มีประชากรรวมทั้งหมด 181 คน เพศชาย 96 คน และหญิง 85 คน (หน้า 3, 42) ประชากรกะเหรี่ยงในไทย กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายแดนด้านทิศตะวันตกของไทยติดกับชายแดนไทย พม่า โดยอยู่ในภาคเหนือลงมาจนถึงภาคกลางที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์รวมทั้งหมด 15 จังหวัด 28 อำเภอ 2,130 หมู่บ้าน มีประชากรรวมทั้งหมด 353,576 คน เป็นชาย 180,206 คน และหญิงจำนวน 173,367 คน (หน้า 35) แบ่งเป็นเผ่าย่อย ได้แก่ 1) เผ่าสะกอ มีจำนวน 35.5% 2) เผ่าโปว์ มีจำนวน 33.7% (หน้า 35, 36) 3) เผ่าบเว มีจำนวน 1.8% (หน้า 36)

Economy

อาหาร ข้าวที่กะเหรี่ยงโปว์ กินในแต่ละวันจะเป็นข้าวซ้อมมือ โดยจะนำมาหุงแล้วกินกับน้ำพริก และผักที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผักกูด ผักชะอม ผักหนาม ช่วงที่นับถือฤาษีเคร่งมากๆ กะเหรี่ยงจะกินอาหารมังสวิรัติ ทุกวันนี้จะกินปลา กับ ไข่ แต่จะไม่ชอบกินเนื้อสัตว์อื่น (หน้า 45) การทำการเกษตรในรอบปี กะเหรี่ยงโปว์เพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก การปลูกพืชจะปลูกแบบหมุนเวียนไม่ใช้สารเคมี คือ เมื่อปลูก 1 ครั้งก็จะปล่อยที่ดินแห่งนั้นเอาไว้ 5 ถึง 10 ปี จึงจะกลับมาปลูกที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการเป็นเจ้าของที่ดินนั้น กะเหรี่ยงโปว์จะยังไม่ถือสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินทำกิน สำหรับการเพาะปลูกตลอดปีมีดังนี้ (หน้า 46) กุมภาพันธ์ ทำการเปิดยุ้งข้าวเพื่อกินข้าวใหม่ ในวันอาทิตย์จะเป็นวันเกิดของเจ้าแม่โพสพ (พิบุ๊โย) ขึ้น 2 ค่ำเป็นต้นไป เลือกพื้นที่ทำไร่ โดยทำการเสี่ยงทายการเลือกที่ดินจะมีข้อห้าม 19 ข้อ, ทำการฟันไร่ โดยใช้เวลา 15-20 วัน (หน้า 46) มีนาคม ลงมือตากไร่และเผาไร่ ทำพิธีไล่ผีออกพื้นที่ โดยจะนำไม้ "ทูผะท่า" มีรูปร่างเหมือนไม้กางเขนมาปัก (หน้า 46) เมษายน รื้อไร่ 1 เดือน พฤษภาคม ลงเมล็ดพันธุ์ผัก มิถุนายน ลงมือหยอดข้าว เริ่มจากปลูกข้าว 9 กอง โดยจะเขียนนโมพุทธายะ ปักไม้แบบเดียวกับ "ทูผะท่า" โดยจะเรียกบริเวณนี้ว่า "บือชีเบาะ" กรกฎาคม-ตุลาคม ดายหญ้าในไร่ข้าวป้องกันสัตว์มากินข้าวที่ปลูก (หน้า 46) พฤศจิกายน เกี่ยวข้าว กับเก็บพืชผลต่างๆ ธันวาคม เกี่ยวข้าว 9 กอง เป็นพื้นที่สุดท้าย โดยถือว่าเป็นการส่ง แม่โพสพ ให้กลับในช่วงเย็น แล้วทำพิธีฟาดข้าว (หน้า 47)

Social Organization

หญิงสูงอายุจะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมในสายตระกูล ทั้งนี้กะเหรี่ยงโปว์ จะนับถือผีตามฝ่ายแม่ นอกจากนี้ผีเรือนยังเป็นหญิง แม่จะเป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เช่นการประกอบพิธีกรรม และการทำงาน การอบรมสั่งสอนลูก พ่อกับแม่จะให้ความรู้กับลูกสาว เช่น ความรู้เรื่องยาต่างๆ สำหรับลูกชายจะให้ไปเสาะหาความรู้ต่างๆ เอาเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ได้จากการบวชเรียน และการพบเห็นระหว่างการเดินทาง (หน้า 50) การแต่งงาน กะเหรี่ยงโปว์โดยมากไม่นิยมแต่งงาน กับคนในหมู่บ้านหรือญาติพี่น้อง (หน้า 50) หากหนุ่มสาวรักกันก็จะจัดพิธีแต่งงาน โดยมีขั้นตอนการประกอบพิธีดังนี้ 1) เสาถ่อง คือ การบอกกล่าวคนในหมู่บ้านว่าจะมีการแต่งงาน เช่น หนุ่มสาวเป็นคนบอก หรือพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเป็นคนบอกผู้อื่น บางทีเพื่อนบ้านแอบได้ยินหนุ่มสาวพูดคุยกันตอนกลางคืนว่าจะแต่งงาน ก็จะนำข่าวไปบอกผู้เฒ่าผู้แก่ หลังจากได้รับคำอนุญาตจากผู้เฒ่าผู้แก่ ก็จะพากันไปล้อมบ้านที่หนุ่มสาวกำลังจีบกัน จากนั้นก็จะยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อบอกให้คนอื่นทราบ (หน้า 51) 2) ไปล่ที่ คือ พ่อกับแม่ของผู้ชาย จะนำเงิน 2 สลึงให้กับ ไซคู้ หรือ หัวไม้ ซึ่งเป็นคนประกอบพิธีกรรมติดต่อทางจิตกับเจ้าที่ ขั้นตอนก็คือจะไปบอกกับต้นไม้ใหญ่ของในหมู่บ้าน โดยจะนำสิ่งของประกอบพิธีไปเซ่นไหว้ เช่น น้ำ 1 ขัน ด้าย เงิน 2 สลึง การทำพิธี ไซคู้จะโยนเงิน 1 สลึงลงน้ำ เพื่อบอกให้เจ้าน้ำทราบ กับโยนบนดิน 1 สลึง บอกให้ฟ้าดินทราบ เมื่อทำพิธีเรียบร้อยก็ถือว่าหนุ่มสาวเป็นสามีภรรยากัน ตามประเพณี (หน้า 51) 3) อ่องเกพู คือ คนในหมู่บ้านจะขอสิ่งของอะไรก็ได้จากเจ้าบ่าวเจ้าสาว ในวันผูกข้อมือ โดยทั้งสองจะไม่อาจปฏิเสธได้ ของที่ขอเช่น หมาก กล้วย อ้อย เงิน เสื้อผ้า (หน้า 51) 4) พู่ไต่-พู่ไคล่ คือ การผูกข้อมือแก่คู่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ส่วนใหญ่จะประกอบพิธีในวันอาทิตย์ เพราะถือว่าเป็นวันที่เป็นมงคล ทั้งนี้พ่อ แม่ของฝ่ายชาย จะมอบเงินจำนวน 7 บาท เทียนและดอกไม้ ให้กับคนที่ประกอบพิธี ขั้นตอนก่อนที่จะประกอบพิธี เจ้าบ่าวต้องผ่านแต่ละด่าน โดยผู้ที่กั้นด่านจะขออะไรกับเจ้าบ่าวก็ได้ เมื่อเจ้าบ่าวมาถึงบันได เจ้าสาวก็จะล้างเท้าให้เจ้าบ่าว จากนั้นก็จะให้ หมาก 1 คำ บุหรี่ 1 มวน กับเจ้าบ่าว จากนั้นพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย และญาติๆ ก็จะผูกข้อไม้ข้อมือกับคู่บ่าว สาว (หน้า 51) คู่บ่าวสาวเมื่อเป็นสามี ภรรยา กันแล้ว ต้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 3 วัน นอกจากนี้แล้วยังมีข้อปฏิบัติต่างๆ อาทิเช่น ห้ามไปโน่นมานี่ตามลำพัง ไม่ให้คนเดินผ่าระหว่างกลางของสามี ภรรยา ไม่ให้นั่งตรงหัวสะพาน ไม่ให้นั่งใต้ต้นโพธิ์ กับ ต้นไทร เนื่องจากเชื่อว่า จะทำให้ทั้งสองต้องจากกันไปในที่สุด (หน้า 51) 5) อ่องเออะเหมาะ คือ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งงาน จะต้องช่วยกันพังบ้านในวันประกอบพิธี เพื่อทดสอบว่าเจ้าบ่าวจะมีความสามารถสร้างบ้านใหม่ให้เจ้าสาวหรือไม่ (หน้า 51, 52)

Political Organization

การปกครองหมู่บ้าน มีทั้งผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในส่วนการปกครองอย่างเป็นทางการจะมีผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านปกครอง ส่วนระดับตำบลจะเป็นหน้าที่ของกำนัน ซึ่งตำแหน่งผู้นำในท้องถิ่น ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ต่อจากบรรพบุรุษ เพราะผู้นำท้องถิ่นในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่พ่อ หรือ ญาติคนก่อนๆ จะเป็นอดีตผู้นำมาก่อน (หน้า 42, 49) สำหรับผู้นำอย่างไม่เป็นทางการนั้น ผู้นำศาสนาจะมีเจ้าอาวาสของวัดประจำหมู่บ้านเป็นผู้นำ, ผู้นำทางพิธีกรรมในหมู่บ้านจะมีมัคนายก 4 คน ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายฆราวาส ในการประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ (หน้า 49) นอกจากนี้คนในชุมชนยังใช้ศาลาวัดเป็นที่ประชุมภายในหมู่บ้าน (หน้า 88) ไซคู้ (เซยคู้) บางครั้งเรียก "หัวไม้" เป็นผู้นำทางพิธีกรรม โดยทำหน้าที่กำหนดวันการประกอบพิธีกรรม ทางความเชื่อต่างๆ ในหมู่บ้าน เช่น บูชาต้นไม้ เซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 5, 50) ตำแหน่งนี้จะสืบทอดทางสายตระกูลหรือในครอบครัว เช่น ปัจจุบัน ไซ้คู้ของหมู่บ้าน ตกเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ทำหน้าที่นี้แทนสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว สำหรับหน้าที่ที่ทำได้แก่ เป็นผู้ทำพิธีในการไหว้ต้นไม้ประจำหมู่บ้าน บวงสรวงเทวดา (เถอะเหมาะ, ทำเหมาะ) (หน้า 50) การปกครองและการทหาร ในอดีตฤาษีจะทำหน้าที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน และตั้งกฎการปกครองภายในหมู่บ้าน เป็นผู้นำคนในหมู่บ้าน หากมีการต่อสู้ด้วยอาวุธ เช่น การหลบหนีการต่อสู้กับพม่า ในส่วนศาสนา จะเป็นผู้นำทางศาสนา เช่นการประยุกต์คำสอนของศาสนาพุทธ มาใช้การไม่กินเนื้อสัตว์ และมุ่งหวังให้สังคมเป็นแบบอุดมคติ แบบยุคพระศรีอริยเมตไตรย ดังนั้นฤาษีจึงเปรียบเสมือนผู้นำสูงสูดของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง คล้ายกับพระสังฆราชของศาสนาพุทธ (หน้า 117)

Belief System

ความเชื่อเรื่องฤาษีและศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท เพราะรับความเชื่อนี้มาจากมอญ นับถือ ฤาษี และนับถือผี โดยนำความเชื่อเรื่องฤาษีมาประยุกต์ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากทุกวันนี้ไม่มีสำนักฤาษีในพื้นที่แล้ว แต่จะมีการประกอบพิธีด้วยกัน สำหรับการนับถือฤาษีกะเหรี่ยงในทุ่งใหญ่นเรศวร จะเดินทางไปเคารพฤาษีที่สำนักฤาษีบ้านเลตองคุ อ.อุ้มผาง จ. ตาก (หน้า 54, 154) ทั้งนี้กะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี และศาสนาพุทธ ต่างก็มีความต้องการสูงสุดคือให้ได้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริยะ พระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปป์ ซึ่งเป็นสังคมที่มีสันติสุขและเต็มไปด้วยความดีและศีลธรรม (หน้า 155, 160) ความเชื่อเรื่องผี กะเหรี่ยงโปว์ที่อยู่ใน จ.กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี จะนับถือผีตระกูลทางฝ่ายแม่ โดยแยกเป็น 4 กลุ่ม อาทิเช่น 1) กลุ่มที่เซ่นผีโดยใช้อ้นกับปลา (อองเฆ้ เดฆ้อง) 2) กลุ่มใช้ปลาเซ่นไหว้ (อองเฆ้ เดย๊า) 3) กลุ่มที่ใช้งาเป็นเครื่องเซ่น (อองเฆ้ เดเดง) กลุ่มที่ไหว้พระด้วยดอกไม้ (บาโพเกี๊ยะ) สำหรับข้อห้ามคนที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันต้องนับถือผีเหมือนกัน ไม่ให้นับถือผีที่แตกต่างกัน เนื่องจากจะทำให้ผีบีบกัน เรียก "ไท่กระ" (หน้า 54) ความเชื่อเรื่องฤาษีทุ่งใหญ่นเรศวร รายงานระบุว่า แต่ก่อนนี้กะเหรี่ยงยังไม่มีศาสนา ดังนั้นพระอินทร์จึงเสกให้เกิดฤาษีเตอหละโคง เป็นฤาษีองค์แรกเพื่อสอนสั่งหลักธรรมต่างๆ ให้กะเหรี่ยง (หน้า 55) สำหรับกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี จะผูกข้อมือด้วยด้ายสี โดยแยกเป็น 3 สี ได้แก่ 1) ด้ายสีขาว หมายถึง จักรวาล การผูกด้ายสีขาวคือการเชื่อมดินกับฟ้าเข้ารวมกัน 2) ด้ายสีเหลือง หมายถึง ศาสนา การผูกด้ายนั้นเป็นการเชื่อมแผ่นดินกับจักรวาล 3) ด้ายสีเขียว หมายถึง หมายถึง ผืนฟ้าและสัญลักษณ์ของพระอินทร์ อันเป็นความดีสูงสุด กะเหรี่ยงที่ใช้ด้ายเขียวผูกข้อมือ จะปฏิบัติอย่างเข้มงวดที่สุด (หน้า 55) สำหรับกะเหรี่ยงที่ผู้ด้ายสีขาวกับด้ายสีเหลือง คือผู้ที่ทำความดียังไม่ถึงระดับที่จะผูกด้ายสีเขียว (หน้า 55) การแบ่งกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษี 1. กลุ่มด้ายขาว (ลุ้ง หรือ ลุอว่า) ผู้นำคนที่ 1 ชื่อ "พู่หว่องเหว่" หรือ "ฤาษีจุ่งยุ" จะสอนให้กะเหรี่ยงถือศีลกินผัก ไม่ให้เลี้ยงหมูและไก่ คือ กลุ่มเก่าแก่ ตั้งแต่อยู่ในพม่า คือกลุ่มที่นับถือผีบรรพบุรุษ ที่ใช้อ้นกับปลาเซ่นไหว้ สำนักฤาษีตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน เลตองคุ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ฤาษีเจ้าสำนักทุกวันนี้เป็นอันดับที่ 10 (หน้า 5, 55) 2. กลุ่มด้ายเหลือง (ลูบ่อง) ทุเซ่ยหนีจี่ เป็นผู้นำกลุ่มคนแรก เนื่องจากเขาเห็นว่าการเลี้ยงผีของกลุ่มด้ายขาว เป็นเรื่องยุ่งยากไม่สะดวก ดังนั้นจึงทำพิธีตัดผี เอาพิธีกรรมของกลุ่มด้ายขาวลอยแพลงแม่น้ำ แล้วนำข้าว อาหารคาว หวาน ขนมผลไม้ ต่างๆ แล้วขอให้ผีมากิน ต่อมาจึงผูกด้ายเหลืองแทนด้ายสีขาว ด้ายสีเหลือง หมายถึง ศาสนา กลุ่มด้ายเหลืองแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้ (หน้า 56) 2.1) กลุ่มไหว้เจดีย์ (บาโกล่ง) เมื่อก่อนนี้กลุ่มนี้ไหว้ผีประจำตระกูล แล้วเปลี่ยนมาไหว้เจดีย์ โดยมีเจ้าวัด หรือ โบ๊งคู (บ๊อคู้) เป็นผู้นำในการทำพิธี มีศาสนาสถานที่สำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ เจดีย์ บ้านแม่โพสพ ศาลา และมีพิธีกรรมที่สำคัญอยู่ 3 งาน ได้แก่ งานทำบุญผลไม้ (เปาะสะร่องเอ่) จัดงานช่วงกลางเดือน 11 (หน้า 56) งานไหว้แม่โพสพ (มาโบชู้พี่หมี่) งานอยู่ช่วงหกลางเดือน 3, งานผูกข้อมือ (โบเคอสะร่อง) อยู่ในช่วงกลางเดือน 5 (หน้า 57) 2.2) กลุ่มไหว้พระ (บาเกีย) กลุ่มนี้เปลี่ยนมาไหว้พระ ไม่ได้ไหว้เจดีย์ (หน้า 57) 3. กลุ่มวีม่อง (กลุ่มกินน้ำต้มสุก) กลุ่มนี้ไม่พอใจพิธีกรรมที่ซับซ้อนยุ่งยาก ดังนั้นจึงแยกตัวออกมาต่างหาก กลุ่มนี้มีเจ้าวัดเป็นผู้ประกอบพิธี โดยใช้น้ำต้มสุก ดอกไม้ ส้มป่อย ขมิ้นและอาหารสุก สำหรับข้อห้ามก็คือ ไม่ให้กินอาหารดิบๆ ทุกอย่าง (หน้า 57) หลักคำสอนของฤาษีทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี ฤาษีคือศาสนาคำสอน โดยมีพระอินทร์อยู่สูงที่สุด หลักคำสอนได้มาจากพระอินทร์และคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น ศีล 5 สำหรับคำสอนมีดังนี้ (หน้า 100) 1) รักษาศีลห้า (หน้า 101) 2) ไม่ให้เลี้ยงหมู ไก่ และไม่ให้นำเหล้าเข้ามาในบริเวณที่อยู่ (หน้า 101) 3) กินอาหารเจ 4) รักษาสัจจะ 5) กราบไหว้บรรพบุรุษอ่องเข่ย (หน้า 101) 6) ทำแต่ความดีและจัดงานทำบุญ 7) การแต่งตัว ผู้ชายต้องไว้ผมยาวใส่เสื้อเรียบผ่าอกเป็นผ้าผืนเดียว ผู้หญิง สวมชุดกะเหรี่ยง หากเป็นผ้าถุง ต้องเป็นผ้าไม่มีลวดลาย (หน้า 101) หลักคำสอนของฤาษีทุ่งใหญ่นเรศวร จ.ตาก 1) ถือศีล 5 ของศาสนาพุทธผนวกกับการประพฤติ มรรค 8 ไม่ทำอาชีพที่ไม่สุจริตคือการค้า 5 อย่าง คือ ขายเครื่องประหาร ค้ามนุษย์ ค้าขายสัตว์ ขายสุรา ขายยาพิษ (หน้า 105) 2) ห้ามเลี้ยง หมู ไก่ และสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นไว้ฆ่าประกอบอาหาร แต่อนุญาตให้เลี้ยงวัว ควาย เอาไว้ใช้แรงงาน (หน้า 105) 3) สำหรับคนที่เคร่งต่อคำสอนจะกินอาหารมังสวิรัติ ส่วนคนที่ไม่เคร่งอนุโลมให้กินปลา และเนื้อสัตว์ป่า หากไปล่าแล้วสัตว์ป่าหนีไม่ทัน หากจับได้ก็จะนำมาทำอาหาร (หน้า 105) 4) รักษาสัจจะไม่พูดโกหก 5) จัดงานบุญ (หน้า 105) 6) ละเว้นการพนันทุกอย่าง (หน้า 106) 7) การแต่งกาย ผู้ชาย ไว้ผมยามมัดเป็นจุกไว้ด้านหน้า สวมเสื้อแขนยาวผ่าอกเสื้อ เป็นสีพื้นๆ ทั่วไปไม่มีลวดลาย ชุดทำพิธีเป็นชุดสีขาว แถบเสื้อเป็นสีแดง หรือสีบานเย็น ชุดผู้หญิง ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานสวมเสื้อคลุมสีขาว แถบเสื้อเป็นสีบานเย็น,คนที่มีครอบครัวแล้ว จะสวมชุดโดยแยกเป็น 2 ชิ้น สวมผ้าถุงสีแดงเลือดนก ประดับเป็นลวดลาย (หน้า 106) ฤาษีหมู่บ้านสะเน่พ่อง ในหมู่บ้านสะเน่พ่อง ไม่มีสำนักฤาษี หรือเจ้าวัดที่เป็นผู้ทำพิธีของฤาษี ในหมู่บ้านมีแต่อดีตลูกหลานเจ้าวัดเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ความเชื่อที่เกี่ยวกับฤาษีได้อยู่พิธีต่างๆ และงานพิธีของพุทธศาสนา กับพิธีที่ ไซคู้ หรือ หัวไม้ เป็นผู้ประกอบพิธี (หน้า 5, 149) ประเภทฤาษี ฤาษีมี 2 กลุ่มคือ 1) ไอ่ไส่ คือ ฤาษีที่แสวงหาความวิเวก ถือศีล ปลีกวิเวกอยู่ในป่า ในเวลาเดียวกันจะมีหลายองค์ได้ (หน้า 149, 153) "ไอ่ไส่" ตรงกับคำว่า "อิสิ" ในภาษาบาลี หมายถึง "ผู้ทรงศีล" ไอไส่จะอยู่อย่างสันโดษในป่าและถือศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ (หน้า 5, 93, 94) 2) เตอะหละโคง คือ ฤาษีที่มีคุณธรรมและเก่งกว่าคนปกติ มีการสืบทอดครั้งละองค์เท่านั้น มีสำนักและลูกศิษย์ รายงานระบุว่า ฤาษีเตอะหละโคง เกิดขึ้นเพราะการปิดกั้นการศึกษาศาสนาพุทธในประเทศพม่า จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องฤาษีเตอะหละโคง ซึ่งประยุกต์แนวคิดของศาสนาพุทธมาปรับใช้ (หน้า 97,149,153) "เตอหละโคง" มาจากคำว่า "เตอหละ" ในภาษามอญ หมายถึง ครอบครอง ทรงไว้ และคำว่า "โคง" แปลว่า "คุณ" เตอะหละโคงจะมีสำนัก และมีลูกศิษย์ เป็นผู้นำการสู้รบกับพม่า ความสามารถพิเศษเก่งวิชาไสยศาสตร์ (หน้า 5, 93, 94) แต่เนื่องจากพม่าเห็นว่า การที่มีฤาษีเกิดขึ้นนั้นเป็นการรวมตัวกัน เพื่อต่อต้านพม่า ดังนั้นพม่าจึงปราบปรามกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษีเรื่อยมา จนมีส่วนหนึ่งได้ลี้ภัยเข้ามาอยู่ทุ่งใหญ่นเรศวร ในเขตประเทศไทย เพราะฉะนั้นฤาษีจึงเป็นผู้นำด้านการต่อสู้และมีความรู้ความสามารถทางไสยศาสตร์ เพื่อสร้างกำลังใจแก่กลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 154) คนที่นับถือฤาษีกลุ่มแรกได้เข้ามาอยู่ ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และในภายหลังได้ไปตั้งสำนักฤาษีที่บ้านเลตองคุ อ.อุ้มผาง จ.ตาก สำหรับกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษีเตอหละโคง ใน จ.กาญจนบุรี ได้สืบทอดความเชื่อกันมา 7 รุ่น และได้ยุติลงเรียบร้อยแล้ว ส่วนสำนักฤาษีบ้านเลตองคุ กะเหรี่ยงได้สืบทอดมาถึงทุกวันนี้เป็นองค์ที่ 10 (หน้า 154) ฤาษีในเขตทุ่งใหญ่นเรศวร จ.ตาก ผู้เขียนได้กล่าวถึงฤาษีบ้านเลตองคุ ใน จ.ตาก ประกอบในงานวิจัยซึ่งฤาษีเหล่านี้ได้สืบทอดกันมา 10 องค์จนถึงปัจจุบัน มีอันดับต่างๆ ดังนี้ (หน้า 97) 1) พือไจ้ยแจะแปะ เป็นฤาษีองค์แรกและเป็นผู้เผยแพร่ธรรมะที่ประยุกต์มาจากศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงสร้างความหวั่นเกรงให้พม่า ดังนั้นพม่าจึงส่งคนมาตามล่า พืไจ้ยแจะแปะ ที่มาหลบซ่อนที่เชิงผามอเมล่า บ้านเลตองคุ กระทั่งถูกทหารพม่าสังหาร เสียชีวิตในที่สุด (หน้า 98) 2) พือไจ้ยจองยุ ฤาษีองค์ที่สองเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ และเสียสละต่อกลุ่มกะเหรี่ยง ทำให้กะเหรี่ยงมีกำลังใจในการสู้กับพม่า ฤาษีตนนี้มีผู้เชื่อว่าอาจจะเสียชีวิตเพราะทหารพม่าฆ่า หรือเป็นเพราะฆ่าตัวตายโดยกระโดดเข้ากองไฟ (หน้า 98) 3) พือไจ้ยแจะเบอะ เป็นฤาษีอันดับที่สาม และได้วางรากฐาน โครงสร้างในการประกอบพิธีกรรมของกะเหรี่ยง (หน้า 98) 4) พือไจ้ย เจาะเลิง ฤาษีตนนี้ไม่ค่อยมีผู้ทราบประวัติมากนัก (หน้า 98) 5) พือไจ้ย ไก้ยค้อง หรือแก้งก้อ ความหมาย คือ ขาคด งอเป๋ สันนิษฐานว่า ฤาษีตนนี้น่าจะพิการ (หน้า 99) 6) พือไจ้ย เสอะเทียเปือย คาดว่าเป็นฤาษีจนถึง พ.ศ. 2485 (หน้า 99) 7) พือไจ้ย เจะช่วย เป็นฤาษีระหว่างปี พ.ศ 2485-2498 และเป็นผู้ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต เช่น ก่อนเสียชีวิตเคยบอกให้กะเหรี่ยงเตรียมอาหาร และเสื้อผ้าสำรองเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการสู้รบระหว่างญี่ปุ่นและอังกฤษ (หน้า 99) 8) พือไจ้ยเตาะ เป็นฤาษีในช่วง พ.ศ. 2498-2508 ฤาษีตนนี้เคยฝันว่าจะมีคนจากทิศตะวันออกมาช่วยกะเหรี่ยงกู้ชาติ กระทั่งช่วง พ.ศ. 2510- 2512 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้เข้ามาในพื้นที่ จ.ตาก ฤาษีบ้านเลตองคุก็เข้าร่วมสู้รบเป็นเวลากว่า 12 ปี กระทั่งถึง พ.ศ.2525 (หน้า 99) 9) พือไจ้ย ดูย่อ ทำหน้าที่เป็นฤาษีช่วง พ.ศ. 2508-2532 เป็นฤาษีที่เคยห้ามกะเหรี่ยงเรียนหนังสือ เนื่องจากในอดีตกะเหรี่ยงที่อยากเรียนหนังสือ เคยถูกพระพม่าและพระไทยกีดกันไม่ให้เรียนหนังสือด้วย (หน้า 99) แต่ในภายหลังได้อนุโลมให้ตำรวจตระเวณชายแดนของไทย (ตชด.) สร้างโรงเรียน ตชด. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2533 เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางภาษาระหว่างไทยกับกะเหรี่ยง (หน้า 100) 10) พือไจ้ยมูเจ่, หยูเจ่ ทำหน้าที่เป็นฤาษีรักษาการตั้งแต่ พ.ศ. 2532 กระทั่งถึงทุกวันนี้ เนื่องจากยังนุ่งห่มชุดขาว ยังไม่ห่มเหลือง (หน้า 100) เทพ และ เทพธิดา ที่กะเหรี่ยงนับถือ กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกๆ ที่ในธรรมชาติมีสิ่งศักด์สิทธิ์คุ้มครองรักษา หากคนทำไม่ดีต่อธรรมชาติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะลงทัณฑ์ เทพและเทพธิดาที่นับถือมีดังนี้ (หน้า 58) คองกาชา เทพแห่งผืนป่า พื้นดิน และสัตว์ป่า คองกาชาจะมีหน้าตารูปร่างเหมือนคนทั่วไป แต่เก่งมีพลังเหนือธรรมชาติ คองกาชาจะมีหลายตน โดยจะแยกกันคุ้มครองป่าและพื้นดิน คองกาชาจะเตือนภัยคน โดยจะแปลงเป็นสัตว์หลายชนิดมาเตือนว่าคนทำผิด หรือจะเดือดร้อน เช่น ถ้าเสือเข้าหมู่บ้านจะมีคนทำผิดเรื่องชู้สาว หรือ ถ้ามีเก้งเข้ามาในหมู่บ้าน โรคระบาดจะเกิดขึ้นในหมู่บ้าน (หน้า 58) ซ่งทะรี เทพธิดาที่รักษาดิน ซึ่งตามตำนานศาสนาพุทธระบุว่า ดินเกิดจากเทพธิดาทั้ง 7 องค์ ซึ่งประกอบด้วย วีซ่งทะรี วีซ่งทะเรีย วีซ่งเยเตาะ วีเนยากา วีซ่ากะรี วีเนการา วีสาราถี ซึ่งทั้งหมดมีมติยกให้เทพธิดา วีซ่งทะรี เทพธิดาองค์แรก ให้เป็นผู้รักษาดินอันเป็นที่เกิดของทุกชีวิตบนโลก การจัดพิธีขอขมาและขอบคุณเทพธิดา ซ่งทะรี จะประกอบในเดือนพฤษภาคม โดยจะขุดหลุม แล้วเอากล้วย อ้อย ขนมและมะพร้าว ถวายซ่งทะรี (หน้า 58,59) สำหรับการเลือกที่ดินทำไร่และขออนุญาต คองกาชามพื้นดิน แล้วกรวดน้ำขอให้ซ่งทะรีปกปักรักษา (หน้า 58) โปโลกุ, โพ่ตุกุ๊ เทพแห่งสายน้ำ ทำหน้าที่รักษาน้ำให้พอเพียงในการอุปโภคและบริโภค การทำพิธีจะทำให้ช่วงออกพรรษาในเดือนตุลาคม โดยจะนำผลไม้ ดอกไม้ เทียน ขนม ลอยแพเพื่อนำไปถวายโปโลกุ และอีกแพจะทำถวาย ซ่งทะรี เทพธิดารักษาดิน โดยจะนำไปวางบนพื้นดิน (หน้า 59) พิบือโย (พิบุ๊โย) เทพธิดาแห่งการคุ้มครองข้าว จะมีหน้าตาเหมือนเหยี่ยว เทพธิดาอยู่บนฟ้า กะเหรี่ยงจะเชิญ พิบือโย มารักษาไร่ ก่อนจะปลูกข้าว 9 กอ และจะเชิญอีกทีในตอนฟาดข้าว เพื่อให้มายังลานข้าวเพื่อคุ้มครองผลผลิต (หน้า 59) พุทธศาสนา รายงานกล่าวถึง การกำเนิดของศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย เมื่อ 2500 ปีที่ผ่านมา โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ต่อมาพระองค์และสาวกได้เผยแพร่ศาสนาไปยังมุมต่างๆของโลก และมีผู้นับถือศาสนาพุทธในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ในอินเดียมีผู้ที่นับถือศาสนานี้จำนวนไม่มาก (หน้า 10) หลักคำสอนที่สำคัญได้แก่ อริยสัจจ์ 4 อันประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (หน้า 10) มัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลางแห่งการพ้นทุกข์ (หน้า 11) ปฏิจจสมุปบาท แสดงให้รู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร, ไตรสิกขา ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา , หลักมนุษยธรรม (ระดับศีล) หลักอหิงสา คือการไม่เบียดเบียน คนจะดีหรือร้ายอยู่ที่คนๆนั้นไม่ใช่ชาติกำเนิด เป็นต้น จุดมุ่งหมายของศาสนาก็คือการพ้นจากทุกข์ทั้งปวง พ้นจากอวิชชา หรือความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย (หน้า 12) ศาสนาพุทธมี 2 นิกาย ได้แก่ นิกาย เถรวาทและ นิกายมหายาน (หน้า 13,14) ประเพณีทางพุทธศาสนาในรอบ 1 ปี พฤษภาคม บุญบ้องไฟ หรือ โบลี่เกอ๊ะ (หน้า 81) มิถุนายน ถวายอัฐบริขาร สังฆทาน (ประใร้คาหร่า และโบสะหนะโปร่ย) (หน้า 82) กรกฎาคม เข้าพรรษาถวายเทียน, สังฆทาน (โบปะโน่เต่อะและชะอองชะโอ) (หน้า 82) สิงหาคม ถือศีลฟังธรรม (โปป่องไม่โถ่) (หน้า 83) กันยายน บุญกลางพรรษา หรือบุญเดือนสิบ (โบกะเตาะเพาะ หรือ โบกะบ่องโบหนี่จ่อง) (หน้า 83) ตุลาคม บุญออกพรรษา บังสุกุล (โบบุ่งสะกุ่ง ) (หน้า 84) พฤศจิกายน บุญทอดกฐิน (โบเหล่อเหลียกะเถอ ) ธันวาคม นิมนต์พระมาฉันที่บ้าน(โบมาฮ่าเต๊าะ) มกราคม บุญข้าวกระยาสารท (โบย่าหุ) กุมภาพันธ์ บุญกองไฟ (โบเอาะเตียว) (หน้า 85) มีนาคม ทำบุญทุกอย่าง (โบซีกุเม่) หรือบุญเจดีย์ทราย (หน้า 86) เมษายน วันสงกรานต์ (โบส้องกร่อง) (หน้า 86)

Education and Socialization

การศึกษา สำหรับคนที่บวชเป็นพระ เณรและแม่ชี จะได้เรียนธรรมะ และจะมีการสอนพระไตรปิฎกช่วงเข้าพรรษา คนที่ไปเรียนก็จะมีโอกาสเรียนหนังสือ สำหรับตัวอักษรที่กะเหรี่ยงใช้จะเป็นตัวหนังสือมอญ เนื่องจากกะเหรี่ยงรับเอาพระพุทธศาสนามาจากมอญอีกต่อหนึ่ง (หน้า 88, 89) ที่วัดสะเน่พ่อง จะมีพระสอนภาษากะเหรี่ยงให้กับคนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีโรงเรียน ตชด. ซึ่งเป็นแหล่งให้ความรู้กับ คนในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง (หน้า 89) รายงานยังระบุว่า ฤาษีมีบทบาทด้านการศึกษา เช่นในยุคแรกฤาษี จะให้ความรู้กับคนในหมู่บ้าน เช่นเคยมีกะเหรี่ยงไปบวชพระก็นำความรู้ด้านพุทธศาสนามาแปลเป็นภาษากะเหรี่ยง ส่วนสำนักฤาษีก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ให้การศึกษากับลูกศิษย์ของสำนัก เช่นสำนักฤาษีเลตองคุ (หน้า 117)

Health and Medicine

การคลอดลูก เมื่อเด็กคลอดจะผูกสายสะดือ 3 ครั้งจากนั้นจะใช้ไม้ไผ่ตัด แล้วเอาขี้เถ้าใส่ในรก แล้วนำไปผูกที่ต้นไม้ เชื่อว่าจะทำให้ต้นไม้ต้นนั้นออกดอกออกผลเป็นจำนวนมาก และจะทำให้คนรักใคร่เอ็นดู หากนำรกเด็ก เชื่อว่าจะทำให้เด็กเป็นคนกล้าหาญ แต่ถ้านำไม้ที่ทำเป็นรูปปืน มีด หรือขวานมาให้เด็กจับ ก็จะทำให้เด็กขยันในการทำนา ทำไร่ แต่ถ้าเป็นลูกสาวก็จะนำสากมาให้จับ ด้วยเชื่อว่าถ้าโตขึ้นจะทำให้ทำอาหารเก่ง (หน้า 52) พอเด็กอายุ ได้ 7 วันก็จะทำพิธีรับขวัญ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในพิธีเช่น น้ำ 1 ขัน ข้าวต้มห่อ 3 ห่อ กล้วย และอ้อย การทำพิธีจะนำไม้ไผ่ตีเคาะบันไดเพื่อเรียกขวัญที่ไปป่าจะได้กลับมาบ้าน ขณะเรียกขวัญก็จะเคาะถ้วย เคาะชามไปด้วย จากนั้นก็จะทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ (หน้า 52) การรักษาด้วยวิธีไสยศาสตร์ หากเป็นไข้ไม่สบาย ก็จะประกอบพิธีเซ่นไหว้เจ้าที่ หรือ "ทุคุ้ง" ของที่ใช้ในพิธีประกอบด้วย ดอกไม้ เทียน ข้าว และอาหารคาวหวาน เป็นต้น (หน้า 52) สุขภาพอนามัย ในเขตหมู่บ้านจะไม่เลี้ยงหมู ไก่ และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ หมู่บ้านสะอาดไม่มีกลิ่นสกปรก (หน้า 118)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้หญิงโสด จะสวมกระโปรงสีขาวทรงกระสอบ ยาวถึงข้อเท้าแขนสั้น บริเวณบ่าประดับด้วยพู่สวยงาม ผู้หญิงที่แต่งงานมีครอบครัว ใส่ชุดแบบ 2 ท่อน เสื้อคอแหลม แขนสั้น ผ้าสีเข้ม ประดับด้วยลวดลายต่างๆ ตั้งแต่บ่าถึงใต้อก สำหรับกะเหรี่ยงสะกอ ลายเสื้อจะประดับจากใต้อกถึงชายเสื้อ นุ่งซิ่นพื้นสีแดง สีชมพู สีบานเย็น ตรงปลายซิ่นทอลายขิด (หน้า 43) เครื่องประดับ ชอบใส่สร้อยคอลูกปัด สวมกำไลมือ บางครั้งประดับด้วยต่างหูรูปกรวย แล้วชอบสูบกล้องยาเส้นเป็นประจำ ไว้ผมยาวมวยผมไว้ท้ายทอย (หน้า 44) ผู้ชาย สวมเสื้อเหมือนกับเสื้อผู้หญิงที่แต่งงานสวมใส่ แต่จะมีลวดลายน้อยกว่า สวมโสร่งสีเข้ม ส่วนใหญ่ชอบใส่สีแดง สีบานเย็น ลายขวาง โสร่งไม่เย็บให้ติดกันเป็นถุง (หน้า 43) การแต่งตัวบางครั้งจะสวมเสื้อมีแขนไว้ด้านใน แล้วทับด้วยเสื้อกะเหรี่ยง ชุดคนประกอบพิธีกรรม สวมชุดทรงกระบอกสีขาวประดับด้วยลวดลายเป็นด้ายสีชมพูที่ชายผ้า (หน้า 44) ทรงผม เมื่อก่อนเคยชอบไว้ผมยาว มวยผมไว้บนหัวด้านบน ติดกิ๊บหนีบผมหลายอัน โพกหัวด้วยผ้าหลากสี ชอบใส่ตุ้มหู (หน้า 44) เด็กชาย, หญิงสวมเสื้อทรงกระสอบยาวสีขาว ประดับด้วยด้ายสีแดงและชมพู (หน้า 44) สำหรับวัฒนธรรมการแต่งงาย ของกะเหรี่ยงนั้น ผู้ที่นับถือฤาษีนั้น ฤาษีกำหนดให้สวมชุดกะเหรี่ยง ผู้ชายจะสวมชุด "ไช้พลูไช้โป่กี่ " ผู้หญิงสวมชุด "ไช้ฉื่อไช้บุกี่" ไว้ผมยาวทั้งผู้ชายผู้หญิง ปัจจุบันเมื่วัฒนธรรมสมัยใหม่เข้าไปในหมู่บ้านมากขึ้น แต่การนับถือฤาษียังมีอยู่ สำหรับการแต่งกาย ผู้ชายจะนุ่งผ้าไม่เย็บติดกัน อนุญาตให้นุ่งผ้าเป็นริ้วตรงลงมา แต่ไม่ให้ใส่ลายรูปดอกไม้เนื่องจากใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 118) คนที่เข้าร่วมพิธีกรรมต้องสวมชุดกะเหรี่ยง หรือชุดไปทำบุญ ถ้าหากจะไปเข้าพบเจ้าสำนักฤาษี เช่น ฤาษีเลตองคุ หากสวมชุดสมัยใหม่ต้องเปลี่ยนชุด (หน้า 118) การแต่งกายของฤาษี การแต่งตัวแบ่งเป็น3 อย่าง คือ 1) สวมหนังสัตว์ เช่น หนังเสือ 2) นุ่งห่มเปลือกไม้ ผ้าย้อมฝาด 3 ) ห่มผ้าขาว เรียกว่า ชีปะขาว ปะขาว ปะขาวดาบส (หน้า 29) รำตง โดยมากจะแสดงในงานเฉลิมฉลองต่างๆ คนแสดงมีอย่างน้อย 12 คน นักดนตรีจะเป็นชายล้วน เพลงที่ร้องจะเป็นเพลงนำไหว้ครู เพลงที่ทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชน เพลงเกี่ยวกับตำนาน นิทาน การเกี้ยวพาราสีระหว่างชายหญิง เครื่องดนตรีประกอบด้วย แมนโดลิน ระนาดเหล็ก กลองประเภทต่างๆ ฆ้องขนาดต่างๆ ที่แขวนในราง กลองใหญ่ กับกระบอกไม้ไผ่ที่เอาไว้ตี (หน้า 47) เพลง, การสื่อสารด้วยบทร้อยกรอง (ถะคู) เนื้อเพลงจะบอกเล่าเรื่องธรรมะ เช่น ถะคูยวย คือ เพลงคำสอนของศษสนาพุทธ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ใช้ร้องเมื่ออบรมสั่งสอนลูกหลาน (หน้า 89) ถะคูเหมี่ยวไจย เนื้อหาบอกถึงการพยากรณ์อนาคต พุทธทำนาย หรือ ทำนายอนาคตของชุมชน (หน้า 90)

Folklore

นิทานเกี่ยวกับการพังบ้านในวันแต่งงาน เมื่อก่อนนี้ มีหนุ่มสาวสองคนเป็นคู่รักกัน ในเวลาต่อมาผู้หญิงได้ไปรักคนอื่น และได้ไปแต่งงานกับผู้ชายที่เป็นคนรักใหม่ (หน้า 51) ผู้ชายที่เป็นคนรักคนเดิมจึงโกรธเนื่องจากผู้หญิงไม่มั่นคงในความรัก ดังนั้นเขาจึงลงมือพังบ้านในระหว่างที่จัดงานแต่งงาน หลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นประเพณี เมื่อมีพิธีแต่งงาน (หน้า 52) นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของผู้ชายที่เป็นเจ้าบ่าว ว่าจะปลูกบ้านหลังใหม่ให้ผู้หญิงคนรัก ได้หรือไม่ได้ เหนืออื่นใดในภายหลังประเพณีนี้ก็เป็นที่สนุกตื่นเต้นของแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งงาน (หน้า 52) นิทาน ทำไมไม่มีกะเหรี่ยงตองซู่(ตองสู) ในทุ่งใหญ่นเรศวร กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพี่น้องครอบครัวหนึ่งที่ประกอบด้วย โพล่ว (โปว์) ส่อง (สะกอ) ตองซู่ (ตองสู) อยู่มาวันหนึ่ง ตองซู่ล่าช้างได้ 1 ตัว จึงนำมาแบ่งกับ โพล่ว และส่อง แบ่งปันเอาไปทำอาหารกินด้วยกัน ถัดมาอีกหลายวัน โพล่วกับส่อง เข้าป่าได้เม่นตัวหนึ่งเล็กๆ มานำมาแบ่งกันเพียง 2 คนแต่ยังไม่พอกิน เหตุบังเอิญได้เกิดขึ้นเมื่อตองซู่เดินมาเห็นขนเม่น เมื่อนำมาเทียบกับขนช้าง ก็พบว่าขนเม่นนั้นโตกว่าขนช้าง จึงนึกว่าโพล่ว กับส่อง คงล่าสัตว์ได้ตัวโต แต่ไม่มีน้ำใจแบ่งให้ตน (หน้า 41) ดังนั้นตองซู่จึงน้อยอกน้อยใจ จากไปโดยไม่บอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้นทุกวันนี้ในทุ่งใหญ่นเรศวร จึงไม่มีกะเหรี่ยงเผ่าตองซู่ ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ (หน้า 41) นิทานธรณีสูบกะเหรี่ยงตองซู่ เมื่อก่อนนี้เมืองสังขละบุรี มีจำนวนประชากรกะเหรี่ยงตองซู่ อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น บ้านสะเน่พ่อง มีเผ่าตองซู่อยู่ในหมู่บ้านจำนวน 2 ถึง 3 หลัง เนื่องจากว่าตองซู่เหล่านี้ชอบเล่นการพนันเป็นชีวิตจิตใจ อันเป็นการกระทำที่ไม่ดีงาม ดังนั้นพื้นดินบริเวณบ้านจึงยุบ ธรณีสูบบ้านจมหายมิดใต้ผืนดิน ตองซู่ได้ตายไปจำนวนหนึ่ง เพราะหลุมลึกและปีนป่ายขึ้นมาไม่ได้ ทุกวันนี้บริเวณที่เกิดเหตุร้ายคราวนั้น ได้กลายเป็นหนองน้ำ ทั้งนี้ได้มีหมอดูระบุว่า ตอนนี้ยังมีคนแก่ตองซู่อยู่ในหลุมแห่งนั้น ฉะนั้นผู้คนจึงไม่ไปทำสวนทับเหนือพื้นที่ดังกล่าว (หน้า 41) นิทาน ศาสนาพุทธกับกะเหรี่ยง สาเหตุที่กะเหรี่ยงต้องศึกษาศาสนาพุทธจากพม่า และมอญ เรื่องมีที่มาดังนี้ นานมาแล้วพระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาโปรดกะเหรี่ยง ก่อนชาติพันธุ์อื่นๆ เมื่อพระองค์มาถึง กะเหรี่ยงกำลังทำไร่อยู่จึงไม่มีเวลามาต้อนรับพระพุทธเจ้า ดังนั้นท่านจึงเขียนคำสอนไว้บนตอไม้ แต่เหตุไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเมื่อไฟได้ไหม้ตอไม้ ดังเพลงกะเหรี่ยงที่ว่า "หมาจะกัด ไฟก็ไหม้ตอไม้ ไก่จะไปเขี่ย ก็เลยไม่เหลือตำรา" ความหมายคือ หนังสือบนหนังสัตว์กัดขาด ไฟไหม้ แล้วไก่ก็มาคุ้ยเขี่ย เหลือเพียง ขี้เถ้าจึงเป็นที่มาของการเสี่ยงทายด้วยกะดูกไก่ หรือ "ชิช่องคุย" (หน้า 91) นิทานการสร้างเจดีย์ที่เมืองร่างกุ้ง นานมาแล้วในครั้งนั้น พระพุทธเจ้ากับสาวก 500 รูป ได้ออกเดินทางเพื่อเผยแผ่ศาสนา จนเดินมาพบ "ย่องเฮ้" หัวหน้าพรานกะเหรี่ยงที่มาล่าสัตว์ในป่า ย่องเฮ้เป็นคนที่ไม่ชอบทำบุญ ในวันนั้นเขาพกข้าวห่อมาเพียง 1 ห่อเท่านั้น จึงไม่ถวายแก่พระพุทธเจ้า เนื่องจากกลัวว่าจะไม่มีข้าวกิน เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมะให้ฟัง ย่องเฮ้ก็เลยเลื่อมใสในธรรมะ จึงถวายข้าวห่อแก่พระพุทธเจ้า (หน้า 92) จากข้าวแค่ห่อเดียว เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเรียบร้อยแล้ว ก็มอบให้สาวกทั้งหลาย แต่ข้าวยังไม่หมดก็เหลือกลับมาให้ย่องเฮ้ และม้าของเขาอีกด้วย ความอัศจรรย์ใจก่อเกิดขึ้นในใจของเขา เขาคิดว่าคนเหล่านี้ต้องไม่เหมือนกับคนทั่วไป จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้มอบเส้นผมของพระองค์แก่ย่องเฮ้ เพื่อให้เขานำไปสร้างเจดีย์ด้านทิศตะวันตก เมื่อเขากลับบ้านก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้เมียของเขาฟัง ตอนเช้าอีกวันเมียของเขาก็เข้าครัวทำกับข้าวจัดห่อข้าวให้ย่องเฮ้ (หน้า 92) ขณะเดินทางสัตว์นานาชนิดก็เดินทางไปพร้อมกับเขาโดยไม่เกรงกลัวย่องเฮ้ และช่วยเขา อาทิ นกกาเกหรือนกพิราบได้ช่วยกันบินบนฟ้าเหนือหัวของเขาเพื่อช่วยบังแดดไม่ให้เขาร้อน และเขาคิดว่าต้นเหตุที่ทำให้สัตว์หลากหลายชนิดเชื่องเช่นนี้ ก็น่าจะมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า เมื่อมาถึงทิศตะวันตกก็ยังไม่ได้พื้นที่ที่จะสร้างเจดีย์ตามที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเขาจึงภาวนาให้ได้สถานที่สร้างไวๆ ว่าถ้าที่ใดจะเป็นที่สร้างเจดีย์ก็ให้ดินและฟ้าสั่นไหวให้ได้ยินอย่างทั่วถึงกัน และให้มีศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเขาสร้างเจดีย์ (หน้า 92) เมื่อเดินมาถึงเมืองร่างกุ้ง ในพม่า ดินฟ้าก็สั่นไหวและมีเทวดาลงมาช่วยย่องเฮ้ สร้างเจดีย์จนเสร็จ อนึ่งเจดีย์แห่งนี้กะเหรี่ยงเรียกว่า "กล่งเชอโคง" ส่วนมอญเรียก "เซ่งเคาะตะหร่า" (หน้า 92) ตำนานตักบาตรน้ำตาลทราย กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งชื่อ "ไปล่เปาะเซ่ " ได้ทำงานเป็นคนรับใช้เศรษฐี 3 ปี ก็ได้ค่าเหนื่อยเป็นมูลค่า 300 บาท จึงลาออกจากงานแล้วเดินทงมาอยู่กับพ่อค้าเรือ ที่มีเรืออยู่ 7 ลำ เพื่อไปซื้อสินค้า เมื่อไปถึงฝั่ง พ่อค้าเรือซึ่งเป็นคนขี้โกง ก็ขึ้นฝั่งไปซื้อของจนหมดตลาด โดยไม่บอกไปล่เปาะเซ่ ที่อยู่ใต้ท้องเรือ เมื่อเขารู้ว่าถึงฝั่งแล้ว เมื่อไปถึงตลาดก็ไม่มีสินค้าใดๆ ขายเหลือแต่น้ำผึ้งเท่านั้น (หน้า 92) เขาจึงนำเงินที่หามาได้ทั้งหมดซื้อน้ำผึ้ง จากนั้นก็นำไปใส่บาตรพระ กระทั่งน้ำผึ้งไหลเอ่อล้นออกจากบาตร แล้วเขาก็อธิษฐานในใจ ขอให้เกิดชาติหน้าให้ได้เป็นจักรพรรดิ์ เมื่อพระเดินต่อก็ไปพบกับหญิงสาวที่ชื่อ "ตะเหมาะเประมือ" ที่สมัครใจทำความสะอาดบาตรที่เปื้อนน้ำผึ้ง แล้วเธอก็ถามพระว่า ผู้ชายที่ใส่บาตรได้อธิษฐานว่าอย่างไร เมื่อเธอทราบว่าเขาขอเป็นจักรพรรดิ์ เธอจึงอธิษฐานขอให้ได้เป็นคู่ครองของชายคนนั้น (หน้า 93) เมื่อทั้งสองเสียชีวิต ในชาติต่อมาก็ได้เป็นพระราชากับพระราชินี เหมือนดังคำอธิษฐานในชาติก่อน ในภายหลังน้ำผึ้งไม่ค่อยมี คนจึงใช้น้ำทรายตักบาตรแทนน้ำผึ้ง(หน้า 93) ตำนานนางลิ้นกว้าง (มื้อซาเลพลี่) กับพระรถเมรี (เปียเราะ และ นองก่องรี่) นานมาแล้ว มีหญิงสาว 7 คนเป็นพี่น้องกัน พวกเธอต้องการจะหาเด็กมาเลี้ยง ดังนั้นนางยักษ์ หรือนางลิ้นกว้างเมื่อรู้จึงแปลงกายเป็นเด็ก หญิงสาวทั้ง 7 คนไม่ทราบจึงเลี้ยงเอาไว้ แต่เมื่อไม่มีใครอยู่นางยักษ์ก็แลบลิ้นกวาดของกินต่างๆ ต่อมาเมื่อหญิงสาวทั้ง 7 คน หูตาสว่างรู้ความจริง จึงหนีไปหาพระราชา พระองค์จึงรับหญิงเหล่านั้นเป็นพระมเหสี เมื่อนางยักษ์รู้ข่าวจึงตามมารบกวน แล้วจับหญิงที่ 7 คนนั้นควักลูกตา และริบหัวใจเก็บเอาไว้ เหลือตาไว้ให้น้องสาวคนสุดท้อง เพียง 1 ข้าง (หน้า 119) เมื่อนางทั้ง 6 คน มีลูกก็จับลูกกินเพราะความอดอยาก ส่วนน้องคนเล็กได้วางแผนให้พี่ทั้งหมดกินหมากแล้วเก็บลูกชายนั้นเอาไว้ และตั้งชื่อลูกว่า "พระรถ" ครั้นพระรถโตเป็นผู้ใหญ่ก็เข้าไปอยู่ในวัง เมื่อนางยักษ์ทราบข่าวก็พยายามกำจัด แต่ทว่าแผนนั้นล้มเหลว ฉะนั้นจึงส่งสาห์น ถึงนางเมรี ที่เป็นลูกสาวนางยักษ์ ให้ฆ่าพระรถ สำหรับที่ตั้งของเมืองพระรถอยู่ที่เขตบ้านสะเน่พ่อง และเมืองของนางเมรีตั้งอยู่ที่ บ้านเลตองคุ ขณะเดินทางพระรถพบกับฤาษี ที่บริเวณทุ่งพระฤาษี (หน้า 119) ฤาษีนึกสงสารพระรถจึงลงมือแปลงสาห์น ให้พระรถกับนางเมรีแต่งงานกัน ครั้นต่อมาพระรถทราบความจริง จึงแอบขโมยดวงตา กับหัวใจของแม่และ ป้าทั้ง 6 คน และของวิเศษเดินทางกลับเมืองของตน ขณะเดินทางได้โยนของวิเศษมากั้นทางนางเมรี ต่อมาได้กลายเป็น ภูเขา ทุ่งหญ้า ที่ขึ้นในทุ่งใหญ่นเรศวร ส่วนพื้นที่ที่กระจาดของนางเมรีหล่น ก็กลายเป็นต้นปาล์ม ที่เกิดเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น เมื่อนางเมรี ติดตามพระรถมาถึงแม่น้ำกะสะ แต่ไม่อาจข้ามได้ จึงสังหารลูกของตนแล้วกินเพื่อประชดสามีจากนั้นนางเมรีก็ อกแตกสิ้นใจตายตรงจุดนั้นนั่นเอง (หน้า 119) นิทาน นายพรานผู้มีสัจจะ กับ ฤาษี นานมาแล้วมีนายพรานคนหนึ่ง เมื่อจะเข้าป่าไปล่าสัตว์ครั้งใด ก็จะตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วทำตามนั้นทุกครั้ง ตัวอย่างเช่นในวันนี้จะยิงเฉพาะสัตว์ตัวผู้ ไม่ยิงตัวเมีย หรือไม่ยิงสัตว์ที่ตั้งท้อง จะยิงแต่เก้ง หรือยิงแต่กวาง เมื่อตั้งสัจจะไว้คำนั้นก็รักษาสัจจะนั้นเป็นอย่างดี กระทั่งวันนึ่งในช่วงหน้าร้อน นายพรานไปล่าสัตว์แต่ไม่สามารถล่าสัตว์ได้เลยสักตัวเดียว เมื่อเดินจนเหนื่อยจนถึงบ่ายจึงเดินไปที่อาศรมของฤาษีบนยอดเขา เพื่อขอดื่มน้ำ แต่ฤาษีบอกว่าไม่มีน้ำน้ำหมดแล้ว เมื่อพรานเปิดฝาโอ่งดูก็รู้ว่าไม่มีน้ำเลยสักหยดเดียว (หน้า 120) ดังนั้นพรานจึงนิ่งแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนเป็นคนที่มีสัจจะ ก็ขอให้มีน้ำดื่มด้วยเถิด ไม่นานน้ำจากภูเขาก็ไหลขึ้นบนภูเขา (หน้า 120) พรานจึงมีน้ำดื่ม สร้างความประหลาดใจแก่ฤาษีอย่างยิ่ง เพราะแม้ว่าตนจะปฏิบัติธรรมมาเนิ่นนานแต่ก็ไม่สามารถเรียกน้ำให้ไหลกลับได้ ฤาษีจึงถามว่า พรานท่านทำอย่างไรกันจึงมีคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ พรานจึงบอกว่า เป็นเพราะเขาเป็นคนที่รักษาสัจจะ อยู่เป็นประจำ (หน้า 121) ตำนานกำเนิดเทพแห่งสายน้ำ ตำนานกล่าวไว้ดังนี้ นางวิสาขาร์ ได้มอบกายถวายแก่พระพุทธเจ้าโดยการร่วมประเวณี โดยขณะมีความสัมพันธ์ทางเพศได้นำผ้ามาพันห่ออวัยวะเพศชาย หนา 7 ชั้น น้ำเชื้อฝ่ายหญิงเปียกผ้า 6 ชั้น โดยไม่มีนำอสุจิของฝ่ายชาย พระพุทธเจ้าหมดอารมณ์ทางเพศ จึงไม่หลั่งน้ำเชื้อ เมื่อพระอินทร์รู้เรื่องนี้ จึงนำผ้าทั้ง 6 ชั้น โยนลงแม่น้ำ เมื่อปลามากินจึงคลอดลูกเป็นทำแห่งสายน้ำ และเป็นผู้ชาย (หน้า 59) ตำนานแม่โพสพ แม่โพสพเป็นเทพธิดา ชื่อ "โพสวเทวี " เป็นสนมของท้าวสักกะเทวราช เธอมีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ ทำหน้าที่เฝ้าสวนดอกไม้บนสวรรค์ และเป็นผู้ที่นำดอกไม้ไปถวายท้าวสักกะในวันพระเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งท้าวสักกะเห็นว่าเธอผิวหมองคล้ำ จึงทราบว่าเธอต้องไปเกิดบนโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงแนะนำให้เธอบริจาคเลือดเนื้อกับชาวโลกที่ยากจน (หน้า 59) ดังนั้นเธอจึงลาและเก็บดอกไม้มุ่งไปที่ป่าหิมพานต์ อันเป็นที่อยู่ของฤาษีผู้มีฤทธิ์มากที่กำลังนั่งสมาธิ โดยจะลืมตาปีละ 1 ครั้ง ในช่วงที่ต้นไม้ออกผลผลิต แต่ถ้าหากลืมตาไม่ถูกเวลา ก็จะมีไฟลุกไหม้ สิ่งที่อยู่ข้างหน้า ขณะที่เธอถือดอกไม้ยืนอยู่หน้าฤาษี ฤาษีจึงลืมตาเพราะหอมกลิ่นดอกไม้ ดังนั้นไฟจึงไหม้โพสวเทวี ฤาษีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงตั้งจิตว่า ถ้าคนที่มาหาตนมีใจดีงามก็ขอให้มีชีวิตอีกครั้ง (หน้า 59) เถ้าถ่านจึงเปลี่ยนเป็นกอข้าวมีรวงข้าวมากมาย แต่มี 1 เม็ดโตเท่าลูกฟัก เมื่อฤาษีมอง ต้นข้าวก็เปลี่ยนเป็นร่างโพสวเทวี ถวายรวงข้าว (หน้า 59) เธอบอกความต้องการกับฤาษีว่า ถวายเพื่อแจกให้กับคนในโลกกินเป็นอาหาร จากนั้นเธอก็กลายเป็นกอข้าวเช่นเดิม ฤาษีจึงใช้ไม้เท้าวิเศษตีเม็ดข้าว แตกกระเด็นไปทั่วสารทิศ บนพื้นดิน ฉะนั้นคนจึงมีชีวิตอยู่ได้ เพราะกินเนื้อของแม่โพสพนั่นเอง (หน้า 60)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง เปรียบเทียบความเชื่อพระพุทธศาสนา และฤาษีของกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร (หน้า136, 139) แผนที่ แผนที่อพยพของกะเหรี่ยงจากถิ่นฐานเดิม (หน้า 61) จ.กาญจนบุรี (หน้า 62) อ.สังขละบุรี (หน้า 63) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร (หน้า 64) หมู่บ้านสะเน่พ่อง (หน้า 65) ภาพ พระศรีสุวรรณ ทะเจียงโปรย (หน้า 66) บริเวณที่ตั้งบ้าน, ซากลั่นทมเก่าแก่ข้างห้องนอนพระศรีสุวรรณ (หน้า 66) บริเวณหลุมที่เคยเป็นที่ตั้งบ้านของกะเหรี่ยงตองสู (หน้า 67) เครื่องแต่งกายของสตรีกะเหรี่ยง (หน้า 67) บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 67) เตาไฟ อาหารธรรมชาติ งานสงกรานต์ รำตง วงดนตรีประกอบรำตง (หน้า 68) เจ้าอาวาสวัดสะเน่พ่อง (หน้า 69) ไซ้คู้ (หัวไม้ )หมู่บ้านสะเน่พ่อง พิธีผูกข้อมือ (หน้า 69) ห้วยโรคี่(เขอเหราะ) คำกล่าวต้อนรับ ข้อปฏิบัติของชาวบ้านเขียนด้วยภาษากะเหรี่ยง สะพานไม้ข้ามห้วยโรคี่ สวนหมากในหมู่บ้าน (หน้า 70) ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าแห่งสายน้ำ การตำข้าวครกกระเดื่องโดยใช้พลังน้ำจากห้วยโรคี่ เจดีย์และต้นไม้ประจำหมู่บ้าน ปฏิทินแบบกะเหรี่ยง (หน้า 71) ต้นข้าวอ่อน ชาวบ้านส่งข้าวขึ้นวัด กรอด้ายทอผ้า ทอผ้าแบบกะเหรี่ยง ทอผ้าแบบกะเหรี่ยง (หน้า 72) บริเวณเจดีย์ของผู้ที่นับถือฤาษีกลุ่มด้ายเหลือง ที่หมู่บ้านทิปาเก้ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ชาวบ้านทิปาเก้ ผู้นับถือฤาษีกลุ่มด้ายเหลือง จุดธุปเทียนบูชาเจดีย์ ชาวบ้านรำรอบเจดีย์, เจ้าวัดของฤาษีกลุ่มด้ายเหลือง ทำพิธีผูกข้อมือ (หน้า 73) ทางเข้าวัดสะเน่พ่อง มณฑปที่ประดิษฐานพระแก้วขาว ศาลาที่ตั้งรูปฤาษี เรือนแม่ชี แม่ชีและฆราวาสไหว้เจดีย์ในวันพระ (หน้า 141) พระแก้วขาว พระปางห้ามมาร งาช้างแกะสลัก พระเณรฉันอาหารเช้า เถอะเหมาะสำหรับตั้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์, จับตัวต่อกันอุทิศส่วนกุศล (หน้า 142) ตักบาตรวันสงกรานต์นำพระพุทธรูปออกกลางแจ้งเพื่อให้ชาวบ้านสงน้ำ ขอขมาผู้เฒ่าโดยใช้น้ำล้างเท้า ลูกหลานอาบน้ำผู้เฒ่า ชาวบ้านเกาะสะเดิ่ง ให้พระสงฆ์เดินเหยียบหลังไปสรงน้ำ เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์ (หน้า 143) ทุ่งฤาษี, ถ้ำที่เอ่อซุง มาจำศีล,ศาลาที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปที่ทุ่งพระฤาษี, เจดีย์ใกล้ถ้ำที่เอ่อซุง มาจำศีล ประพรมฉัตรด้วยน้ำหอม ทำพิธีปักฉัตรในงานขอขมาฤาษี ที่ทุ่งพระฤาษี (หน้า 144) ลุงเนเส่ง พาสวดคำบูชาเจดีย์ที่ทุ่งพระฤาษี พิธีค้ำต้นไม้ใหญ่ พิธีสร้างสะพาน ชาวบ้านช่วยกันเตรียมอาหารในวันงานขอขมาฤาษี ชุดงานบุญผู้ชายทั้งเด็ก และผู้ใหญ่รับประทานอาหารร่วมกันในทุ่งพระฤาษี (หน้า145) ทางเข้าสำนักฤาษี หมู่บ้านเลตองคุ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก เรือนเจ้าสำนักฤาษี เรือนเก็บงาช้าง ฤาษีองค์ปัจจุบัน ที่สำนักฤษีหมู่บ้านเลตองคุ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก และลูกศิษย์ เราะเจียะ จุดไหว้พระพุทธรูป ชาวบ้านมาร่วมงานบุญวันพระ ที่สำนักฤาษี (หน้า 146) ตะไลเหมาะจุดไหว้ต้นไม้ เท่อไล จุดไหว้เจดีย์ เถอะเหมาะ จุดไหว้ห้างไม้ไผ่ จุดไหว้สะพาน งานบุญกองไฟที่สำนักฤาษี หมู่บ้านเลตองคุ ค่าเก่ะ การใช้ใบไม้ปัดกวาดสิ่งร้าย (หน้า 147) พระสิริวัณโณ เจ้าอาวาสวัดสะเน่พ่อง คนซ้าย แม่ชีพิปี คนขวา แม่ชีพิโกว่ วัดสะเน่พ่อง ลุงเวียซ่า สังขชลาธาร และครอบครัว นางหนองเซิ่ง เสตะพันธ์ ไซ้คู้ (หัวไม้ ) หมู่บ้านสะเน่พ่อง นางเล่งยี่ และสามีกำลังเก็บผักหนาม หาหน่อไม้ เจ้าภาพงายบุญ เดือน 12 ปี พ.ศ. 2545 ลุงโจ่วโล่ง และคุณป้าวิภา โสภาปัจจุสมัย (หน้า 181) มัคนายกเข่ยลีมุง สังขชวาล กำลังสานเข่งใส่ผัก (หน้า 182) เอ่อซุง ไอ่ไส่ คนหนึ่งที่ชอบไปวิเวกตามถ้ำ ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร, เจ้าวัดฤาษีกลุ่มด้ายเหลือง หมู่บ้านทิปาเก้ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก (หน้า 183) ลุงเต๊อะและภรรยา เจ้าวัดของฤาษี กลุ่มด้ายขาว หมู่บ้านเกวิงบอ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก นายชินี่ เจ้าวัดของฤาษีกลุ่มด้ายขาว หมู่บ้านเลตองคุ ต.แม่จันทะ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ,ครอบครัวของลูกสาวฤาษี คนที่ 8 ที่หมู่บ้านเลตองคุ ,ครอบครัวผู้ใหญ่หม่องเอมี่ หมู่บ้านเลตองคุ (หน้า 183) คณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นทุ่งใหญ่นเรศวร (หน้า 184) ยายธ่าเรีย เสตะพันธ์ ลูกพี่ลูกน้อง ลูกสาวพระศรีสุวรรณคนสุดท้าย และเหลนสาว ผู้ใหญ่อานนท์ เสตะพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านสะเน่พ่อง ปาทางเข้าหมู่บ้านสะเน่พ่อง (หน้า 184)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ความเชื่อ, พุทธศาสนา, ฤาษี, ทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง