|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,พัฒนาการ,การผลิต,การเกษตร,เชียงราย |
Author |
ปริญญา ใจเถิง |
Title |
พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
126 |
Year |
2544 |
Source |
ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
จากการศึกษาผู้วิจัยได้พบว่า การผลิตของชุมชนชาวเขาเผ่าม้งบ้านรักแผ่นดินในอดีตเป็นการผลิตทางการเกษตรแบบพอมีพอกินเน้นเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกันระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเครือญาติ ต่อมาชุมชนได้ถูกโยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ ณ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลทางการเมือง การย้ายถิ่นที่อยู่และที่ทำกินเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการผลิตแนวใหม่ที่ทำการผลิตเพื่อการค้าขาย พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวม้ง จากเพียงผลิตเพื่อให้พอยังชีพในครัวเรือนมาเป็นเพื่อการค้าขายนั้น เงื่อนไขที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีทั้งเงื่อนไขภายใน ได้แก่ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในระบบการผลิต การลอกเลียนแบบและดูตัวอย่างจากผู้นำอาชีพ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ทำกินของหมู่บ้าน สำหรับเงื่อนไขปัจจัยภายนอกนั้น อย่างเช่น การที่หน่วยงานราชการได้อพพยชาวม้งให้มาอยู่ในพื้นที่ใหม่ การคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น และการติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาส่งเสริมอาชีพในชุมชน การมีตลาดรองรับผลผลติ ตลอดจนการสนับสนุนการผลิตทั้งจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน (หน้า 115-118) |
|
Focus |
การศึกษานี้มุ่งที่จะศึกษาพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง ผู้วิจัยอยากจะทราบว่า รูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งมีพัฒนาการมาอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง (หน้า 2) |
|
Theoretical Issues |
การศึกษาพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งในครั้งนี้ เป็นการศึกษาถึงพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากการผลิตเพื่อยังชีพไปสู่การผลิตเพื่อการค้า (หน้า 23) ผู้วิจัยยังได้แจงว่าสภาพการเรียนรู้ ความเป็นผู้นำ สภาพพื้นที่ทำกิน วิธีการส่งเสริมอาชีพในชุมชน สภาพการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และสิ่งสาธารณูปโภค รวมถึงในเรื่องของแนวทางการสนับสนุนทางการผลิต ถือเป็นเงื่อนไขที่ช่วยผลักดันให้ม้งเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตทางการเกษตรดังกล่าว (หน้า 117-118) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง ในเขตอำเภอเทิง จ.เชียงราย เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีชาวเขาเผ่าม้งจำนวนหลายหย่อมบ้าน ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-ลาว มีอาชีพหลักทางการเกษตร เช่น การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกของชาวม้ง มีลักษณะคล้ายกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ คือ การทำไร่หมุนเวียน นอกจากนี้ชาวม้ง ยังมีการเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคและใช้งาน ระบบการผลิตจะมีลักษณะเป็นการผลิตเพื่อยังชีพมากกว่าเพื่อการค้า เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นภูเขาสูงห่างไกลจากชุมชนอื่นๆ จึงทำให้ชาวม้งเป็นสังคมปิด มีการใช้แรงงานภายในครอบครัวช่วยเหลือกันตามความสามารถ แต่การที่ชาวม้งได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ทำให้ชาวม้งมีความสัมพันธ์กับคนหลากหลายอาชีพจึงก่อให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ มากขึ้น กระบวนการเหล่านี้ได้ทำให้ชาวม้งเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนพื้นราบในหมู่บ้านและยังมีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าในเมืองร่วมด้วย ดังนั้นจึงทำให้ชาวม้งต้องมีการปรับตัวในเรื่องกระบวนการผลิตที่มิได้มุ่งใช้เฉพาะบริโภคภายในครัวเรือน แต่ยังเพื่อการค้าประกอบกัน (หน้า 1-2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยใช้เวลาในการเข้าไปศึกษาภายในหมู่บ้าน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ถึงเดือนเมษายน 2544 โดยระยะแรกทำการศึกษาและเก็บข้อมูลสภาพทั่วไปของหมู่บ้าน หลังจากนั้นผู้วิจัยจึงได้เริ่มศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวกับพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรเพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย (หน้า 27) |
|
History of the Group and Community |
ในอดีตก่อนปี 2516 หมู่บ้านรักแผ่นดินประชากรจะประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นหลัก สร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงเป็นหย่อมบ้านเล็กๆ อยู่ในป่าทึบ มีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ไม่มีไฟฟ้าและถนน มีแต่น้ำประปาภูเขาที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการต่อน้ำมาจากลำห้วยที่อยู่สูงกว่าระดับหมู่บ้าน การผลิตเพื่อบริโภคหรือพอยังชีพเท่านั้น (หน้า 36-37) ต่อมาในปี 2525 เกิดความขัดแย้งความคิดทางการเมืองขึ้น ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่มีแนวคิดต่างจากรัฐบาล ได้หนีเข้าป่ามาอยู่ร่วมกับชาวบ้าน ทำให้บริเวณหมู่บ้านรักแผ่นดิน อ.เทิง จ.เชียงราย กลายเป็นที่ตั้งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอีกแห่งหนึ่ง ในเวลาต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็เริ่มสลายตัวเพราะเกิดความขัดแย้งในแนวนโยบายของพรรคและประกอบกับที่ทางรัฐบาลไทยสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นทางรัฐบาลจึงได้จัดพื้นที่ทำกินและที่พักอาศัยให้ใหม่ และได้ให้ม้งอพยพลงมาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และได้จัดตั้งเป็นหมู่บ้านรักแผ่นดินขึ้นใหม่อีกครั้ง ตามโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำงาว-หงาว ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่สีแดงอยู่ในเขตยึดครองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้เป็นหมู่บ้านป้องกันตนเองตามแนวชายแดนเพื่อความมั่นคงแห่งขาติ (หน้า 37) "หมู่บ้านรักแผ่นดิน" ได้จัดตั้งหมู่บ้านครั้งแรก บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำหงาวแยกจากทางหลวงแผ่นดินสายเทิง-เวียงแก่น ลงไปประมาณ 500 เมตร เป็นถนนลูกรังมีความลาดชันสูง ต่อมาในปี 2537 ชาวบ้านได้ย้ายหมู่บ้านขึ้นมาอยู่เรียงรายตามทางหลวงแผ่นดินสายเทิง-เวียงแก่น ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบัน (หน้า 36-38) |
|
Settlement Pattern |
เดิมลักษณะการสร้างบ้านเรือนของชาวม้ง เป็นการสร้างแบบชั่วคราว กระท่อมปลูกติดพื้นดิน มีหลังคามุงด้วยหญ้าคา ฝาทำด้วยไม้ไผ่ แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตนเองให้ทันสมัยนิยมมากขึ้น โดยเริ่มสร้างบ้านแบบยกพื้นเหมือนคนไทยพื้นราบ หรือเทคอนกรีตเป็นบ้านชั้นเดียวมุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องตามค่านิยม เป็นการปลูกสร้างบ้านแบบถาวรมากขึ้น (หน้า 39) ในส่วนลักษณะครอบครัวของชาวม้งบ้านรักแผ่นดินจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวเป็นส่วนมากประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก มีสมาชิกเฉลี่ยครัวเรือนละประมาณ 2-5 คน (หน้า 46) |
|
Demography |
จากการศึกษาพบว่า ประชากรที่อยู่ในวัยแรงงาน (ช่วงอายุ 18-49 ปี) จะมีจำนวนมาก ทำให้ส่งผลต่อสภาพทางเศรษฐกิจของหมู่บ้าน ทั้งนี้เพราะประชากรในวัยนี้ส่วนมาก ประมาณร้อยละ 90 ทำงานในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการทำการผลิตทางการเกษตรทั้งหมด มีประมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ออกไปทำงานนอกชุมชน จึงทำให้ประชากรในวัยนี้มีลักษณะเกื้อกูลทางเศรษฐกิจเป็นการทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านดีขึ้น (หน้า 34) |
|
Economy |
โดยทั่วไปสภาพทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านรักแผ่นดิน ยังคงขึ้นอยู่กับการเกษตรซึ่งได้แก่ การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ในอดีตชาวบ้านทำการผลิตเพื่อการยังชีพเท่านั้น แต่ปัจจุบันจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น พื้นที่ทำการเกษตรมีจำนวนจำกัด เพราะรัฐบาลมี นโยบายขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ม้งต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต หรือใช้พื้นที่ทำการเกษตรอย่างเข้มข้นมากขึ้นทุกปี เพื่อทำการผลิตให้ทันต่อความต้องการของตลาดหรือทำการปลูกพืชเศรษฐกิจในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ม้งต้องพยายามหาทางเพิ่มผลผลิต และทำการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น และหวังจะให้มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากม้งบ้านรักแผ่นดินจะทำการเกษตรแล้ว ยังมีการประกอบการค้าขายโดยมีร้านค้าในชุมชนร่วมด้วย อีกทั้งการรับจ้างแรงงานโดยส่วนมากของม้งบ้านรักแผ่นดินนี้นั้น เป็นการรับจ้างเพื่อการเกษตร (หน้า 38-39 และ หน้า 108) |
|
Social Organization |
สำหรับในเรื่องการรวมกลุ่มในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับงานด้านเกษตรกรรม สมาชิกในแต่ละกลุ่มในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติกัน โดยวัตถุประสงค์การรวมกลุ่มดังกล่าวก็เพื่อรวมตัวกันแก้ไขปัญหาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรชาวบ้านให้มีศักยภาพ สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนต่อไป (หน้า 42) ส่วนเรื่องที่มาของอำนาจในการปกครองหมู่บ้านรักแผ่นดิน ส่วนใหญ่มาจากจารีตประเพณี (หน้า 43) ในด้านการจัดการกับแรงงานในหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้งบ้านรักแผ่นดินยังใช้แรงงานภายในครัวเรือนสำหรับการผลิตทางการเกษตร โดยมีพ่อแม่ลูกเป็นแรงงานสำคัญ แต่ปัจจุบันแรงงานจากลูกได้ลดบทบาทลงเพราะระบบการศึกษา และออกไปทำงานต่างถิ่น แรงงานในครัวเรือนจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้ต้องมีการจ้างแรงงานทั้งจากภายในและภายนอกหมู่บ้านเข้ามาช่วยในการผลิตและการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อให้ทันต่อความต้องการของพ่อค้าและตลาด (หน้า 46) สำหรับส่วนความสัมพันธ์ในครอบครัว ในสังคมม้งไม่ได้รวมเฉพาะที่อยู่ภายใต้หลังคาเรือนเดียวกันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวคนเดียวกันด้วย โดยครอบครัวหนึ่งจะมีชายอาวุโสสูงสุดเป็นหัวหน้าและเป็นผู้นำในครอบครัว และสมาชิกทุกคนจะต้องเชื่อฟัง (หน้า 47) ส่วนความสัมพันธ์ภายในหมู่บ้าน ยังมีความเกี่ยวพันทางด้านเครือญาติ เพราะส่วนใหญ่ที่อพยพมาจะเป็นเครือญาติกันหมด และยังมีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับคนภายในหมู่บ้านเดียวกันหรือแต่งงานกับเผ่าเดียวกันของแต่ละหมู่บ้านด้วย เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านจะมีความแน่นแฟ้นช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (หน้า 47) แต่แล้วผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต ทำให้ม้งต้องมีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก ทำให้วิถีชีวิตต้องมีการแข่งขันกัน จากหมู่บ้านที่เคยพึ่งพากันในอดีต ได้แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความห่างเหินมากขึ้น ท้ายที่สุดทำให้วัฒนธรรมอันดีงามของชนเผ่าถูกความเร่งรีบและการไม่มีเวลาทำลายจนสูญหายไป (หน้า 48) |
|
Political Organization |
การปกครองในหมู่บ้านรักแผ่นดินเหมือนกับหมู่บ้านทั่วไป มีผู้นำที่เป็นทางการคือ ผู้ใหญ่บ้าน ที่ชาวบ้านเลือกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้นำ เป็นตัวแทนของทางราชการที่จะช่วยดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน อีกทั้งภายในหมู่บ้านจะมีคณะกรรมการการดูแลความเรียบร้อยและบริหารงานในหมู่บ้าน ถือหลักการปกครองตามระเบียบของทางราชการ มีกฎหมายบังคับให้ชาวบ้านปฏิบัติ (หน้า 43) |
|
Belief System |
ม้งถือว่าจารีตประเพณีนั้น ผีฟ้าเป็นผู้บัญญัติขึ้น จารีตประเพณีของชาวม้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อ เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติของม้งให้อยู่ด้วยกันในชุมชนด้วยความสันติสุข ถ้าใครทำผิดต่อจารีตประเพณีถือว่าทำผิดต่อผีฟ้า ผีฟ้าจะลงโทษอย่างรุนแรง และหากมีใครทำผิดต่อจารีตประเพณีก็ต้องมีการปรับไหมผู้ทำผิดโดยผู้นั้นจะต้องทำการเลี้ยงผีตามจารีตประเพณีจึงจะพ้นจากการลงโทษของผีฟ้าได้ (หน้า 43) ดังนั้นสังคมของชาวเขาเผ่าม้งจึงเป็นสังคมที่มีความเชื่อถือเคารพยำเกรงในผีหลายประเภทซึ่งสามารถให้คุณและโทษในการดำรงชีวิตประจำวันต่อตนเอง ครอบครัว และหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบันจากการศึกษาพบว่า ความเชื่อเรื่องผีไม่ว่าจะเป็นในกระบวนการผลิตหรือการเจ็บป่วยของชาวม้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดังคำพูดของพ่อหลวงพูดว่า "เพราะส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของระบบการศึกษาที่สอนให้คนเราเชื่อในหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นจริง มีเหตุมีผล (หน้า 44) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ในอดีตชาวม้งบ้านรักแผ่นดินจะมีการดูแลรักษาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บแบบพื้นบ้านคือ มีหมอพื้นบ้าน และมักจะเชื่อว่าการเจ็บไข้ต่างๆ เกิดขึ้นจากผีร้าย พิธีการเซ่นไหว้บวงสรวงผีในแต่ละโอกาสจะเป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้ม้งขจัดทุพภิกขภัยและสามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ แต่ในปัจจุบันมอญส่วนใหญ่เริ่มนิยมใช้วิธีการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้น (หน้า 44) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต ทำให้ชาวม้งต้องมีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก รูปแบบการผลิตปรับเปลี่ยนไปสู่การบริโภคสินค้าจากตลาดภายนอกชุมชน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้านหนึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตของชาวบ้านสะดวกสบายขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีพตกลงอยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพาต่อระบบตลาดและนายทุนตลอดเวลา ทำให้วิถีชีวิตต้องแข่งขันกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้วิถีความเป็นอยู่ของชาวม้งเป็นไปอย่างเร่งรีบตามสภาพเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดจากภายนอก จากหมู่บ้านที่ชาวบ้านเคยพึ่งพาตนเองมาในอดีต มีการช่วยเหลือแรงงานกันและกันในการผลิต ตลอดจนการมีความสนิทสนมกลมเกลียวแบบเครือญาติหรือแบบพี่แบบน้อง แต่หลังจากที่ชาวบ้านเปลี่ยนมาทำการผลิตเพื่อการค้าอย่างจริงจัง ทำให้การพึ่งพาอาศัยกันและกันลดน้อยลง ทำให้ชาวบ้านห่างเหินกัน ไม่มีการช่วยเหลือกันเหมือนในอดีต วัฒนธรรมอันดีงามของชนเผ่าถูกความเร่งรีบและการไม่มีเวลาทำลายจนสูญหายไปในที่สุด(หน้า 48) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้มีการนำเสนอข้อมูลด้วยการใช้ตารางและแผนภาพเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรแยกตามเพศและอายุ (หน้า 33) ตารางที่ 2 ลักษณะและขนาดการถือครองที่ไร่ (หน้า 40) ตารางที่ 3 ลักษณะและขนาดการถือครองที่ไร่ (หน้า 41) แผนภาพที่ 1 แผนที่อำเภอเทิง (หน้า 30) แผนภาพที่ 2 แผนที่อำเภอตับเต่า (หน้า 31) แผนภาพที่ 3 แผนที่หมู่บ้านรักแผ่นดิน (หน้า 32) |
|
|