สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,พัฒนาการ,การผลิต,การเกษตร,เชียงราย
Author ปริญญา ใจเถิง
Title พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 126 Year 2544
Source ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

จากการศึกษาผู้วิจัยได้พบว่า การผลิตของชุมชนชาวเขาเผ่าม้งบ้านรักแผ่นดินในอดีตเป็นการผลิตทางการเกษตรแบบพอมีพอกินเน้นเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกันระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเครือญาติ ต่อมาชุมชนได้ถูกโยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ ณ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลทางการเมือง การย้ายถิ่นที่อยู่และที่ทำกินเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการผลิตแนวใหม่ที่ทำการผลิตเพื่อการค้าขาย พัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวม้ง จากเพียงผลิตเพื่อให้พอยังชีพในครัวเรือนมาเป็นเพื่อการค้าขายนั้น เงื่อนไขที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีทั้งเงื่อนไขภายใน ได้แก่ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในระบบการผลิต การลอกเลียนแบบและดูตัวอย่างจากผู้นำอาชีพ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ทำกินของหมู่บ้าน สำหรับเงื่อนไขปัจจัยภายนอกนั้น อย่างเช่น การที่หน่วยงานราชการได้อพพยชาวม้งให้มาอยู่ในพื้นที่ใหม่ การคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น และการติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาส่งเสริมอาชีพในชุมชน การมีตลาดรองรับผลผลติ ตลอดจนการสนับสนุนการผลิตทั้งจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน (หน้า 115-118)

Focus

การศึกษานี้มุ่งที่จะศึกษาพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง ผู้วิจัยอยากจะทราบว่า รูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งมีพัฒนาการมาอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง (หน้า 2)

Theoretical Issues

การศึกษาพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งในครั้งนี้ เป็นการศึกษาถึงพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าม้งที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากการผลิตเพื่อยังชีพไปสู่การผลิตเพื่อการค้า (หน้า 23) ผู้วิจัยยังได้แจงว่าสภาพการเรียนรู้ ความเป็นผู้นำ สภาพพื้นที่ทำกิน วิธีการส่งเสริมอาชีพในชุมชน สภาพการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และสิ่งสาธารณูปโภค รวมถึงในเรื่องของแนวทางการสนับสนุนทางการผลิต ถือเป็นเงื่อนไขที่ช่วยผลักดันให้ม้งเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตทางการเกษตรดังกล่าว (หน้า 117-118)

Ethnic Group in the Focus

ม้ง ในเขตอำเภอเทิง จ.เชียงราย เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีชาวเขาเผ่าม้งจำนวนหลายหย่อมบ้าน ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-ลาว มีอาชีพหลักทางการเกษตร เช่น การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกของชาวม้ง มีลักษณะคล้ายกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ คือ การทำไร่หมุนเวียน นอกจากนี้ชาวม้ง ยังมีการเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคและใช้งาน ระบบการผลิตจะมีลักษณะเป็นการผลิตเพื่อยังชีพมากกว่าเพื่อการค้า เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นภูเขาสูงห่างไกลจากชุมชนอื่นๆ จึงทำให้ชาวม้งเป็นสังคมปิด มีการใช้แรงงานภายในครอบครัวช่วยเหลือกันตามความสามารถ แต่การที่ชาวม้งได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ทำให้ชาวม้งมีความสัมพันธ์กับคนหลากหลายอาชีพจึงก่อให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ มากขึ้น กระบวนการเหล่านี้ได้ทำให้ชาวม้งเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนพื้นราบในหมู่บ้านและยังมีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าในเมืองร่วมด้วย ดังนั้นจึงทำให้ชาวม้งต้องมีการปรับตัวในเรื่องกระบวนการผลิตที่มิได้มุ่งใช้เฉพาะบริโภคภายในครัวเรือน แต่ยังเพื่อการค้าประกอบกัน (หน้า 1-2)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้ระบุ

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยใช้เวลาในการเข้าไปศึกษาภายในหมู่บ้าน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ถึงเดือนเมษายน 2544 โดยระยะแรกทำการศึกษาและเก็บข้อมูลสภาพทั่วไปของหมู่บ้าน หลังจากนั้นผู้วิจัยจึงได้เริ่มศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวกับพัฒนาการของรูปแบบการผลิตทางการเกษตรเพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย (หน้า 27)

History of the Group and Community

ในอดีตก่อนปี 2516 หมู่บ้านรักแผ่นดินประชากรจะประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นหลัก สร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงเป็นหย่อมบ้านเล็กๆ อยู่ในป่าทึบ มีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ไม่มีไฟฟ้าและถนน มีแต่น้ำประปาภูเขาที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการต่อน้ำมาจากลำห้วยที่อยู่สูงกว่าระดับหมู่บ้าน การผลิตเพื่อบริโภคหรือพอยังชีพเท่านั้น (หน้า 36-37) ต่อมาในปี 2525 เกิดความขัดแย้งความคิดทางการเมืองขึ้น ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่มีแนวคิดต่างจากรัฐบาล ได้หนีเข้าป่ามาอยู่ร่วมกับชาวบ้าน ทำให้บริเวณหมู่บ้านรักแผ่นดิน อ.เทิง จ.เชียงราย กลายเป็นที่ตั้งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอีกแห่งหนึ่ง ในเวลาต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็เริ่มสลายตัวเพราะเกิดความขัดแย้งในแนวนโยบายของพรรคและประกอบกับที่ทางรัฐบาลไทยสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นทางรัฐบาลจึงได้จัดพื้นที่ทำกินและที่พักอาศัยให้ใหม่ และได้ให้ม้งอพยพลงมาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และได้จัดตั้งเป็นหมู่บ้านรักแผ่นดินขึ้นใหม่อีกครั้ง ตามโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำงาว-หงาว ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่สีแดงอยู่ในเขตยึดครองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้เป็นหมู่บ้านป้องกันตนเองตามแนวชายแดนเพื่อความมั่นคงแห่งขาติ (หน้า 37) "หมู่บ้านรักแผ่นดิน" ได้จัดตั้งหมู่บ้านครั้งแรก บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำหงาวแยกจากทางหลวงแผ่นดินสายเทิง-เวียงแก่น ลงไปประมาณ 500 เมตร เป็นถนนลูกรังมีความลาดชันสูง ต่อมาในปี 2537 ชาวบ้านได้ย้ายหมู่บ้านขึ้นมาอยู่เรียงรายตามทางหลวงแผ่นดินสายเทิง-เวียงแก่น ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านในปัจจุบัน (หน้า 36-38)

Settlement Pattern

เดิมลักษณะการสร้างบ้านเรือนของชาวม้ง เป็นการสร้างแบบชั่วคราว กระท่อมปลูกติดพื้นดิน มีหลังคามุงด้วยหญ้าคา ฝาทำด้วยไม้ไผ่ แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตนเองให้ทันสมัยนิยมมากขึ้น โดยเริ่มสร้างบ้านแบบยกพื้นเหมือนคนไทยพื้นราบ หรือเทคอนกรีตเป็นบ้านชั้นเดียวมุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องตามค่านิยม เป็นการปลูกสร้างบ้านแบบถาวรมากขึ้น (หน้า 39) ในส่วนลักษณะครอบครัวของชาวม้งบ้านรักแผ่นดินจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวเป็นส่วนมากประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก มีสมาชิกเฉลี่ยครัวเรือนละประมาณ 2-5 คน (หน้า 46)

Demography

จากการศึกษาพบว่า ประชากรที่อยู่ในวัยแรงงาน (ช่วงอายุ 18-49 ปี) จะมีจำนวนมาก ทำให้ส่งผลต่อสภาพทางเศรษฐกิจของหมู่บ้าน ทั้งนี้เพราะประชากรในวัยนี้ส่วนมาก ประมาณร้อยละ 90 ทำงานในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการทำการผลิตทางการเกษตรทั้งหมด มีประมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ออกไปทำงานนอกชุมชน จึงทำให้ประชากรในวัยนี้มีลักษณะเกื้อกูลทางเศรษฐกิจเป็นการทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านดีขึ้น (หน้า 34)

Economy

โดยทั่วไปสภาพทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านรักแผ่นดิน ยังคงขึ้นอยู่กับการเกษตรซึ่งได้แก่ การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ในอดีตชาวบ้านทำการผลิตเพื่อการยังชีพเท่านั้น แต่ปัจจุบันจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น พื้นที่ทำการเกษตรมีจำนวนจำกัด เพราะรัฐบาลมี นโยบายขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ม้งต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต หรือใช้พื้นที่ทำการเกษตรอย่างเข้มข้นมากขึ้นทุกปี เพื่อทำการผลิตให้ทันต่อความต้องการของตลาดหรือทำการปลูกพืชเศรษฐกิจในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ม้งต้องพยายามหาทางเพิ่มผลผลิต และทำการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น และหวังจะให้มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากม้งบ้านรักแผ่นดินจะทำการเกษตรแล้ว ยังมีการประกอบการค้าขายโดยมีร้านค้าในชุมชนร่วมด้วย อีกทั้งการรับจ้างแรงงานโดยส่วนมากของม้งบ้านรักแผ่นดินนี้นั้น เป็นการรับจ้างเพื่อการเกษตร (หน้า 38-39 และ หน้า 108)

Social Organization

สำหรับในเรื่องการรวมกลุ่มในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับงานด้านเกษตรกรรม สมาชิกในแต่ละกลุ่มในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติกัน โดยวัตถุประสงค์การรวมกลุ่มดังกล่าวก็เพื่อรวมตัวกันแก้ไขปัญหาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรชาวบ้านให้มีศักยภาพ สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนต่อไป (หน้า 42) ส่วนเรื่องที่มาของอำนาจในการปกครองหมู่บ้านรักแผ่นดิน ส่วนใหญ่มาจากจารีตประเพณี (หน้า 43) ในด้านการจัดการกับแรงงานในหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้งบ้านรักแผ่นดินยังใช้แรงงานภายในครัวเรือนสำหรับการผลิตทางการเกษตร โดยมีพ่อแม่ลูกเป็นแรงงานสำคัญ แต่ปัจจุบันแรงงานจากลูกได้ลดบทบาทลงเพราะระบบการศึกษา และออกไปทำงานต่างถิ่น แรงงานในครัวเรือนจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้ต้องมีการจ้างแรงงานทั้งจากภายในและภายนอกหมู่บ้านเข้ามาช่วยในการผลิตและการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อให้ทันต่อความต้องการของพ่อค้าและตลาด (หน้า 46) สำหรับส่วนความสัมพันธ์ในครอบครัว ในสังคมม้งไม่ได้รวมเฉพาะที่อยู่ภายใต้หลังคาเรือนเดียวกันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวคนเดียวกันด้วย โดยครอบครัวหนึ่งจะมีชายอาวุโสสูงสุดเป็นหัวหน้าและเป็นผู้นำในครอบครัว และสมาชิกทุกคนจะต้องเชื่อฟัง (หน้า 47) ส่วนความสัมพันธ์ภายในหมู่บ้าน ยังมีความเกี่ยวพันทางด้านเครือญาติ เพราะส่วนใหญ่ที่อพยพมาจะเป็นเครือญาติกันหมด และยังมีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับคนภายในหมู่บ้านเดียวกันหรือแต่งงานกับเผ่าเดียวกันของแต่ละหมู่บ้านด้วย เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านจะมีความแน่นแฟ้นช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (หน้า 47) แต่แล้วผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต ทำให้ม้งต้องมีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก ทำให้วิถีชีวิตต้องมีการแข่งขันกัน จากหมู่บ้านที่เคยพึ่งพากันในอดีต ได้แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความห่างเหินมากขึ้น ท้ายที่สุดทำให้วัฒนธรรมอันดีงามของชนเผ่าถูกความเร่งรีบและการไม่มีเวลาทำลายจนสูญหายไป (หน้า 48)

Political Organization

การปกครองในหมู่บ้านรักแผ่นดินเหมือนกับหมู่บ้านทั่วไป มีผู้นำที่เป็นทางการคือ ผู้ใหญ่บ้าน ที่ชาวบ้านเลือกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้นำ เป็นตัวแทนของทางราชการที่จะช่วยดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน อีกทั้งภายในหมู่บ้านจะมีคณะกรรมการการดูแลความเรียบร้อยและบริหารงานในหมู่บ้าน ถือหลักการปกครองตามระเบียบของทางราชการ มีกฎหมายบังคับให้ชาวบ้านปฏิบัติ (หน้า 43)

Belief System

ม้งถือว่าจารีตประเพณีนั้น ผีฟ้าเป็นผู้บัญญัติขึ้น จารีตประเพณีของชาวม้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อ เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติของม้งให้อยู่ด้วยกันในชุมชนด้วยความสันติสุข ถ้าใครทำผิดต่อจารีตประเพณีถือว่าทำผิดต่อผีฟ้า ผีฟ้าจะลงโทษอย่างรุนแรง และหากมีใครทำผิดต่อจารีตประเพณีก็ต้องมีการปรับไหมผู้ทำผิดโดยผู้นั้นจะต้องทำการเลี้ยงผีตามจารีตประเพณีจึงจะพ้นจากการลงโทษของผีฟ้าได้ (หน้า 43) ดังนั้นสังคมของชาวเขาเผ่าม้งจึงเป็นสังคมที่มีความเชื่อถือเคารพยำเกรงในผีหลายประเภทซึ่งสามารถให้คุณและโทษในการดำรงชีวิตประจำวันต่อตนเอง ครอบครัว และหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบันจากการศึกษาพบว่า ความเชื่อเรื่องผีไม่ว่าจะเป็นในกระบวนการผลิตหรือการเจ็บป่วยของชาวม้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดังคำพูดของพ่อหลวงพูดว่า "เพราะส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของระบบการศึกษาที่สอนให้คนเราเชื่อในหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นจริง มีเหตุมีผล (หน้า 44)

Education and Socialization

ไม่ได้ระบุ

Health and Medicine

ในอดีตชาวม้งบ้านรักแผ่นดินจะมีการดูแลรักษาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บแบบพื้นบ้านคือ มีหมอพื้นบ้าน และมักจะเชื่อว่าการเจ็บไข้ต่างๆ เกิดขึ้นจากผีร้าย พิธีการเซ่นไหว้บวงสรวงผีในแต่ละโอกาสจะเป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้ม้งขจัดทุพภิกขภัยและสามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ แต่ในปัจจุบันมอญส่วนใหญ่เริ่มนิยมใช้วิธีการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้น (หน้า 44)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ได้ระบุ

Folklore

ไม่ได้ระบุ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้ระบุ

Social Cultural and Identity Change

ผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต ทำให้ชาวม้งต้องมีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก รูปแบบการผลิตปรับเปลี่ยนไปสู่การบริโภคสินค้าจากตลาดภายนอกชุมชน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้านหนึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตของชาวบ้านสะดวกสบายขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งทำให้มาตรฐานการดำรงชีพตกลงอยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพาต่อระบบตลาดและนายทุนตลอดเวลา ทำให้วิถีชีวิตต้องแข่งขันกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้วิถีความเป็นอยู่ของชาวม้งเป็นไปอย่างเร่งรีบตามสภาพเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดจากภายนอก จากหมู่บ้านที่ชาวบ้านเคยพึ่งพาตนเองมาในอดีต มีการช่วยเหลือแรงงานกันและกันในการผลิต ตลอดจนการมีความสนิทสนมกลมเกลียวแบบเครือญาติหรือแบบพี่แบบน้อง แต่หลังจากที่ชาวบ้านเปลี่ยนมาทำการผลิตเพื่อการค้าอย่างจริงจัง ทำให้การพึ่งพาอาศัยกันและกันลดน้อยลง ทำให้ชาวบ้านห่างเหินกัน ไม่มีการช่วยเหลือกันเหมือนในอดีต วัฒนธรรมอันดีงามของชนเผ่าถูกความเร่งรีบและการไม่มีเวลาทำลายจนสูญหายไปในที่สุด(หน้า 48)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้มีการนำเสนอข้อมูลด้วยการใช้ตารางและแผนภาพเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรแยกตามเพศและอายุ (หน้า 33) ตารางที่ 2 ลักษณะและขนาดการถือครองที่ไร่ (หน้า 40) ตารางที่ 3 ลักษณะและขนาดการถือครองที่ไร่ (หน้า 41) แผนภาพที่ 1 แผนที่อำเภอเทิง (หน้า 30) แผนภาพที่ 2 แผนที่อำเภอตับเต่า (หน้า 31) แผนภาพที่ 3 แผนที่หมู่บ้านรักแผ่นดิน (หน้า 32)

Text Analyst พรรณปพร ภิรมย์วงษ์ Date of Report 29 มิ.ย 2560
TAG ม้ง, พัฒนาการ, การผลิต, การเกษตร, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง