สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ประวัติศาตร์,สังคม,ประเพณี,วัฒนธรรม,ภาคใต้
Author Worawit Baru (Ahmad Idris)
Title Tradition and Cultural Background of the Patani Region
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 15 Year 2538
Source จากบทความรวมเรื่อง The Malay South (Patani)
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุมชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีชาวมาเลย์มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เรียกตัวเองว่าคน มลายู ใช้ภาษามลายูหรือภาษามาเลย์และใช้ตัวเขียนที่เรียกว่า "ยาวี" รัฐ "Patani" เดิมเคยมีอาณาเขตกว้างขวาง มีพื้นที่รวมปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง รามัน ยะลา สายบุรี และระแงะ เป็นมณฑลปัตตานี ก่อนที่จะถูกแยกออกเป็น 3 จังหวัดได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีโรงเรียนปอเนาะเป็นโรงเรียนที่สอนทั้งศาสนาอิสลามและเรื่องความรู้ทั่วไป หลังจากที่อาณาจักร "Patani" ได้เสียเอกราชให้แก่สยามแล้ว รัฐบาลไทยได้เข้ามาจัดการการปกครอง แต่คนในท้องถิ่นก็ยังคงปฏิบัติตามหลักอิสลามและยังรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ ผู้คนในจังหวัดเหล่านี้เป็นชาวมุสลิมโดยส่วนใหญ่ มีภาษามลายูใช้ในชีวิตประจำวัน มีวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตที่ปฏิบัตตามหลักของอิสลามอย่างเคร่งครัด

Focus

ศึกษาประเพณีและวัฒนธรรมของชาวมาเลย์มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จากปะตานีเดิม รวมถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มาเลย์มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือประมาณ 74.53% ในปัตตานีมี 84.48% ในนราธิวาสมี 71.99% ในสตูลมี 77.79% (หน้า 201) มุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้เรียกตัวเองว่าคน มลายู ซึ่งรวมเรียกเชื้อชาติและศาสนาอิสลามด้วย แต่คนไทยเรียกพวกเขาว่า "แขก" หรือแขกมลายู ปี ค.ศ. 1949 รัฐบาลไทยได้พยายามขจัดคำว่าแขกหรือมลายูออกไป แล้วให้ใช้คำว่า "ไทยอิสลาม" หรือ "ไทยมุสลิม" แทน (หน้า 206)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ใช้คือภาษามลายูหรือภาษามาเลย์และใช้ตัวเขียที่เรียกว่า "ยาวี" ซึ่งแปลงมาจากตัวเขียนของอาหรับ (หน้า 208)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

"Patani" มีมาดั้งเดิมก่อนถูกปกครองโดยอาณาจักรมะละกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ในเวลานั้น "Patani"เป็นเมืองท่าสำคัญบนแหลมมลายู "Patani" ปกครองพื้นที่ซึ่งรวมปัตตานี ยะลา นราธิวาส จะนะ และเทพา ก่อนคริสตวรรษที่ 15 "Patani" เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "Langkasuka" (ลังกาสุกะ) นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยทางประวัติศาสตร์เห็นพ้องว่า "Langkasuka" ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแหลมมลายู ระหว่างกลันตันและสงขลา ซึ่งเมืองหลวงในตอนนั้น คือจังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน มีบันทึกว่า "Langkasuka" ตั้งขึ้นเมื่อเมื่อราว ค.ศ. 80-100 ศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามายัง "Patani" ใน ค.ศ. 200 ก่อนที่อาณาจักรศรีวิชัยจะมีอำนาจแผ่ขยายออกไปพร้อมๆ กับการใช้ภาษามลายูและพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง (หน้า 195) ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ของไทย ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและ "Patani" ในปี ค.ศ. 1563 ซึ่งยุคทองของ "Patani" เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1516 ในรัชสมัยของ "Raja Hijau" (หน้า 196) ในอดีตมีทั้งชาวยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย และประเทศแถบอาหรับเข้ามาค้าขาย และมีความสัมพันธ์ทางการฑูตกับ "Patani" และ "Patani"ก็ได้ส่งคณะฑูตไปเยือนญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1599 และ1606 ในปี ค.ศ. 1611 พ่อค้าชาวอังกฤษได้เดินทางมาถึง "Patani" และตั้งบริษัท East India Company ขึ้น (หน้า 197) ในปี ค.ศ. 1603 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งอยุธยา ได้เริ่มโจมตี "Patani" ครั้งแรก คราวนั้น "Patani" ได้รับการสนับสนุนจากชาวต่างชาติเรื่องอาวุธจากชาวโปรตุเกสและชาวดัตช์ ทำให้กองทัพจากอยุธยาพ่ายแพ้ (หน้า 197) หลังจากการโจมตีล้มเหลวครั้งแรกกับ "Patani" ปี ค.ศ 1630 "Raja Ungu" ได้เข้าโจมตีพัทลุงและนครศรีธรรมราชก่อนการเผชิญศึกครั้งที่ 2 จากสยาม ทั้งพัทลุง นครศรีธรรมราชและสงขลามักใช้เป็นฐานศึกของอยุธยาในการโจมตี "Patani" การโจมตีครั้งที่ 2 ของอยุธยาได้เริ่มขึ้นเมื่อพระเจ้าปราสาททองส่งกำลังเข้า "Patani" ในปี ค.ศ. 1632 เป็นขณะเดียวกับที่เจ้าชายของอาณาจักรยะโฮร์ กับทหาร 3,000 นายอยู่ที่ "Patani" คอยเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าหญิง "Kuning" ดังนั้น "Patani" จึงชนะอยุธยาได้เพราะมีทหารของ "Patani" เอง รวมกับทหารของเจ้าชายยะโฮร์(หน้า 197) ในปี ค.ศ. 1688 "Raja Kuning "สิ้นพระชนม์ เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ "Si Mahawong" ใน "Patani" ช่วงนั้นจึงกลางเป็นยุคแห่งปัญหา "Raja Bakar" ได้รับเลือกให้มาเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของ "Patani" ได้ไม่นานก็สิ้นพระชนม์ หลังจากนั้นก็มีราชาหลายองค์ได้รับเลือกขึ้นมาปกครอง ระหว่างนั้นเอง "Patani" ก็อ่อนแอลง จึงถูกรัฐเพื่อนบ้านเข้าโจมตี (หน้า 198) ในปี ค.ศ. 1786 สมัยของ "Sultan Mohammad" ตรงกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สยามได้เริ่มโจมตีแคว้น "Patani" โดยมีพระยากลาโหมราชเสนานำทัพ ครั้งนี้ "Patani" ป้องกันเอกราชไว้ไม่ได้ จึงต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของสยามตั้งแต่นั้น สยามเลือก "Tengku Lamiddin" ขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ใน Patani (หน้า 198) ปี ค.ศ. 1791 "Tengku Lamiddin" ต่อต้านอำนาจสยามยกทัพเข้าตีสงขลาจนชนะ ข้าหลวงสงขลาได้หนีไปพัทลุงและขอทหารจากนครศรีธรรมราชและกรุงเทพให้ช่วย "Patani"จึงพ่ายแพ้ "Tengku Lamiddin" ถูกจับเพร้อมเชลยจำนวมากถูกพาเข้ากรุงเทพ ชาวสยามประมาณ 300 คนก็ย้ายเข้าสู่ "Patani" และสยามได้ส่ง "Datu Pengkalan" เจ้าเมืองภายใต้การดูแลของผู้สำเร็จราชการทหารเข้าควบคุม "Patani" ได้รับเลือกให้เป็นชาวสยาม ซึ่งทำให้เกิดการกระทบกระทั่งทางการเมืองบ่อยครั้ง (หน้า 198) ในปี ค.ศ. 1809 สมัยรัชกาลที่ 1 "Datu Pengkalan" ได้ขับไล่ชาวสยามออกไปจาก "Patani" ได้ ทำให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย "Patani" พ่ายแพ้อีกครั้งและผู้คนของ "Patani" ก็ถูกพาเข้ากรุงเทพฐานะเชลย หลังจากนั้นสยามได้เลือกปลัดของเมืองจะนะ แห่งสงขลาให้มาเป็นเจ้าเมือง "Patani" นับว่าเป็น "ปะตะนี"ชาวสยามคนแรกที่ได้ปกครอง (หน้า 198) ชาวสยามกว่า 500 ครอบครัวได้ย้ายเข้าสู่ "Patani" ตามนโยบายกลืนชาติ (Assimilation Policy)ของรัชกาลที่ 1 หลังจากที่ปลัดจะนะสิ้นชีวิต นาย "Pai" ผู้เป็นน้องชายก็ได้เป็นผู้ปกครองคนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองชาวสยามกับชาว "Patani" เป็นไปอย่างตึงเครียด ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงตัดสินพระทัยให้ใช้นโยบายการแบ่งแยกแล้วปกครอง (Divide and Rule Policy) เพื่อที่จะทำให้ "Patani" อ่อนกำลัง (หน้า 199) โดยแบ่งปะตะนีออกเป็นเจ็ดเมืองคือ ปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา รามัน และระแงะ ซึ่งแต่ละเมืองให้มีเจ้าเมืองเป็นมลายู ยกเว้นยะหริ่งที่ปกครองโดยชาวสยาม ในปี ค.ศ. 1906 สมัยรัชกาลที่ 5 ทั้ง 7 ถูกจัดระเบียบใหม่และลดลงเหลือเพียง 4 คือเมือง ยะลา ปัตตานี สายบุรี และบางนรา (หน้า 199) วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1916 ระบบการบริหารได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสายบุรี แต่ในปี ค.ศ. 1932 สายบุรีได้กลายเป็นเพียงอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานี (หน้า 199)

Settlement Pattern

ไม่ได้ระบุ

Demography

ประชากรใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เป็นมุสลิม ในปัตตานี 74.53% ในนราธิวาส 84.48% ในสตูล 71.99% และในยะลา 77.79% ภาพรวมของประชากรชาว Patani ได้ลดลง 74.99% ในช่วงสิ้นปี ค.ศ. 1987 (หน้า 201)

Economy

ไม่ได้ระบุ

Social Organization

ไม่ได้ระบุ

Political Organization

หลังจากที่อาณาจักร "Patani" ได้เสียเอกราชให้แก่สยามแล้ว รัฐบาลไทยได้เข้ามาจัดการการปกครอง แต่คนในท้องถิ่นก็ยังคงปฏิบัติตามหลักอิสลามและยังรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ (หน้า 205)

Belief System

ตามหลักพบว่ามีศาสนาอิสลาแพร่ขยายมาถึงอาณาจักร "Patani" ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 10 ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาณาจักรกลันตันระบุว่า ในปี ค.ศ. 1150 มีมุสลิมจาก "Patani" เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอิสลามในกลันตัน แสดงว่าเข้ามาทาง "Patani" ก่อนอาณาจักรมาลากา เข้าใจว่า "Patani" เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ศาสนาในแหลมมลายูและมีนักวิทยาการศาสนาหลายคน

Education and Socialization

Pondok (ปอเนาะ)เป็นโรงเรียนอิสลามดั้งเดิมที่สอนความรู้ทางอิสลามแก่นักเรียนศาสนา เพื่อให้นักเรียนสามารถปฏิบัติตามศาสนาได้อย่างถูกต้อง หากนักเรียนที่อยากจะเป็น "guru" (ครู)ก็ต้องศึกษาจนจบระดับชั้นที่ชุมชนหรือ "guru" ของตนพอใจ Pondok เป็นสถาบันทางศาสนาที่มีอิทธิพลทางความเชื่อ เพราะเป็นศูนย์กลางของศาสนาและวัฒนธรรมมลายู รัฐบาลไทยมักมองสถามบันนี้ในทางลบเพราะตามนโยบายกลืนชาติ ชนทุกกลุ่มต้องเป็นไทย แต่ปอเนาะได้สร้างความเป็นมลายูมากกว่าจะสนับสนุนนโยบายกลืนชาติ (หน้า 203) โรงเรียนอิสลาม เป็นโรงเรียนที่สอนทั้งศาสนาอิสลามและเรื่องความรู้ทั่วไป นักเรียนได้รับใบรับรองการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชาความรู้ทั่วไปจะสอนในช่วงบ่ายเป็นภาษาไทย ในช่วงเช้าสอนเป็นภาษามลายู มีการให้ใบรับรอการศึกษาระดับต่างๆ คือ Ibtidai, Muta wassitah และSanawi ซึ่งมีค่าเท่ากันกับเกรด 3,6 และ 10 วิชาอิสลามมักเป็นวิชาบังคับ วิชาที่สอนเป็นภาษาไทยไม่ได้บังคับ(หน้า 201) ผู้ปกครองเด็กส่วนใหญ่ในปัตตานีมักส่งลูกๆ ไปเรียนในโรงเรียนอิสลามมากกว่าจะส่งไปเรียนโรงเรียนมัธยมทั่วไป เพราะคิดว่าโรงเรียนอิสลามจะสอนบุตรทั้งความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์ และความรู้ทางศาสนาที่จำเป็นต่อการปฏิบัติกิจทางศาสนา การศึกษาทั่วไป ในบทความกล่าวถึงโรงเรียนที่เป็นทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน มี 4 ระดับ คือ ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกาา และมหาวิทยาลัย (หน้า 204)

Health and Medicine

ไม่ได้ระบุ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้ชายห้ามใส่เครื่องประดับทองคำ ห้ามแต่งตัวเป็นผู้หญิง และผู้หญิงก็ห้ามทำตรงกันข้าม คือแต่งเป็นชาย (หน้า 209)

Folklore

ไม่ได้ระบุ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้ระบุ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ได้ระบุ

Map/Illustration

Chart I Administrative Transformation of Patani หน้า 200 Chart II Thai Government Administration for Muslim Malays in Thailand หน้า 207

Text Analyst กฤษฎาภรณ์ อินทรวิเชียร Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มาเลย์มุสลิม, ประวัติศาตร์, สังคม, ประเพณี, วัฒนธรรม, ภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง