สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),กระบวนการต่อรอง,การปฏิบัติตามศาสนา,การเปลี่ยนแปลงของชุมชน,ภาคเหนือ
Author Kwanchewan Buadaeng
Title Negotiating Religious Practices in a Changing Sgaw Karen Community in North Thailand
Document Type Ph.D. Dissertation Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 212 Year 2544
Source A Thesis Submitted in Fulfillment of the Requirements for the Degree of Doctor of Philosophy, Department of Anthropology, University of Sydney
Abstract

กรณีนี้เป็นการศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างปี 1989-1999 ภายใต้หัวข้อ "การต่อรองการปฏิบัติศาสนกิจในการเปลี่ยนแปลงของชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย" เพื่อที่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่ชุมชนกะเหรี่ยงสะกอร์ได้ปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง การศึกษานี้มีลักษณะสำคัญ คือ ประการแรกศึกษาการกำหนดตัวแปรของลักษณะการปฏิบัติทางศาสนาในกลุ่ม กลุ่มความเชื่อต่างๆ คือ กลุ่มนับถือบูชาวิญญาณ กลุ่มนับถือคริสต์ และกลุ่มนับถือพุทธ ในประเด็นนี้แสดงถึงลักษณะเฉพาะของการรับความเชื่อจากทั้งกลุ่มคนที่มีการปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น คนเมือง(คนไทยท้องถิ่น) และจากสังคมอื่นๆ เช่น การเข้ามาของกลุ่มเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ประการที่สอง การศึกษามุมมองและระดับการผสมกลมกลืนของการปฏิบัติตามวิถีเดิมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นส่วนบุคคล ครัวเรือนและชุมชน ประการที่สาม คือ การเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวศาสนา ที่เปิดโอกาสให้ผู้นับถือ ได้ยืดหยุ่น การประกอบพิธีกรรม และ ข้อปฏิบัติต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆ ของทั้งกะเหรี่ยงคริสต์และกะเหรี่ยงพุทธ ซึ่งมีการปฏิบัติข้ามความเชื่อกัน เช่น การบูชาผีที่คุ้มครองหมู่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมส่วนรวมของชุมชน กลุ่มนับถือคริสต์ ก็ให้ความร่วมมือในพิธีกรรมดังกล่าว ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาชี้ให้เห็นถึงกระบวนการต่อรองและต่อรองซ้ำสำหรับความหมายในแต่ละเหตุการณ์ ในแต่ละวันของผู้เกี่ยวข้อง การปฏิบัติพิธีกรรมดั้งเดิมนั้นสามารถยกเลิก ปรับปรุง หรือ ปรับให้สามารถตอบสนองความต้องการต่างๆ ได้อย่างมีความหมายอย่างยิ่งต่อผู้ปฏิบัติไม่ว่าส่วนบุคคล ครัวเรือน หรือชุมชน ขึ้นอยู่กับบริบทอันมีปัจจัยจากภาวะการณ์ที่ซับซ้อนเหนือการควบคุม กับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจของท้องถิ่น จากระบบหัวหน้าหมู่บ้าน (He Kho) ผู้อาวุโสที่มีบทบาทต่อการควบคุมพฤติกรรม จารีตประเพณี รวมทั้งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้ถูกอำนาจแบบใหม่เข้ามาแทนที่ (หน้า 24) และมีอิทธิพลต่อชุมชนในระดับบังคับบัญชา ได้แก่ เจ้าหน้ารัฐและตัวแทน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กรรมการหมู่บ้าน ที่ปฏิบัติตามนโยบายการปกครองท้องถิ่นของรัฐส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกระบวนการทางสังคมที่มุ่งพัฒนาตามแนวคิดของแต่ละกลุ่ม เช่น คริสตจักรคาทอลิค โครงการพระธรรมจาริก กลุ่มเหล่านี้ได้ปลูกฝังทัศนคติและโลกทัศน์ใหม่ให้กับชุมชนกะเหรี่ยงสกอว์ ซึ่งก็มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามพิธีกรรมความเชื่อดั้งเดิม อิทธิพลจากกระบวนการเหล่านี้ได้เปิดให้มีการต่อรองอย่างมีความหมายกับบริบทของท้องถิ่น

Focus

ศึกษาการปฏิบัติทางศาสนาของชุมชนสกอว์ในพื้นที่ของอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยดูการสิ้นสุด การดัดแปลงและฟื้นฟูการปฏิบัติดั้งเดิม รวมทั้งที่มีการยอมรับศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธด้วย ในบริบทของการพัฒนาไปสู่ความทันสมัย และการขยายอำนาจรัฐ

Theoretical Issues

การเจราจาต่อรอง ในความหมายทั่วไปเป็นการถกเถียง ที่มีเป้าประสงค์ให้เกิดการตกลงและบรรลุผลตามนั้น ความหมายของ "การเจรจาต่อรอง" ในกรณีศึกษานี้ (หน้า 7) Wenger ได้แสดงทรรศนะว่าเป็นการทำให้เกิดความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งการมีส่วนร่วม การให้เกณฑ์ตัดสินใหม่ การปรับเปลี่ยน การทำให้เกิดความสำคัญจำเป็นขึ้นใหม่ ในเนื้อหาสาระและรูปแบบของพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่าง ดังนั้นการประกอบพิธีกรรมในความหมายใหม่เกิดจากการต่อรอง การให้ความหมาย ของ "the negotiation of meaning" (การต่อรองทางความหมาย) ซึ่งไม่จำเป็นที่จะปรากฏอย่างเป็นทางการ สามารถแสดงลักษณะทั่วไปของกระบวนการที่ทำให้เกิดเกณฑ์อย่างใหม่ของผู้มีส่วนร่วม และมีการกำหนดความหมาย ในบริบทที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ สำหรับกะเหรี่ยงสกอว์ในกรณีศึกษานี้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติทางศาสนาและสภาวะความหมายใหม่ ในกระบวนการต่อรองกับอิทธิพลต่างๆ ที่คุกคาม การดำรงอยู่ของพวกเขา (หน้า 206)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง สกอว์ 112 ครัวเรือน จาก 5 หมู่บ้าน ในเขตอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ 1. บ้านแม่ลา 60 ครัวเรือน 2. บ้านแม่มูคี 19 ครัวเรือน 3. บ้านป่าแขม 12 ครัวเรือน 4. บ้านห้วยสัน 13 ครัวเรือน 5. บ้านห้วยพู 8 ครัวเรือน (หน้า 3, 18)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงสกอว์

Study Period (Data Collection)

รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มศึกษาถึงการตีพิมพ์ผลงานวิจัย 3 ปี 3 เดือน (พฤศจิกายน 1997 - มกราคม 2001) โดยผู้วิจัยได้เริ่มการวิจัย และทำการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 7 เดือน ตั้งแต่ พฤศจิกายน 1997 ถึง พฤษภาคม 1998 และได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมเป็นระยะๆ ช่วงระหว่าง เมษายน 1998 ถึง มีนาคม 1999 (หน้า 3-4)

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงในประเทศไทยอาจขาดความชัดเจน เนื่องจากผู้นำกะเหรี่ยงได้อ้างว่าเป็นกลุ่มชนเก่าแก่ของภาคเหนือก่อนลัวะซี่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมือง ของภูมิภาคนี้หากอาศัยประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดยผู้นำกะเหรี่ยง (หน้า 10) เชียงใหม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำกะเหรี่ยงก่อนที่คนเมืองจะแย่งชิงไป ชุมชนกะเหรี่ยงที่เคลื่อนไหวเพื่อความเก่าแก่ในพื้นที่จะระบุอายุของชุมชนชัดเจนอย่างสะเมิงบอกว่าเก่าถึง 252 ปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะบอกว่าไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่นานเท่าใด (หน้า 11) แต่นักประวัติศาสตร์ อย่างเช่น Renard จะตั้งข้อสังเกตว่ากะเหรี่ยงในไทยมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ต่างจากกะเหรี่ยงในพม่า ในช่วงที่อังกฤษปกครองจะได้รับอภิสิทธิต่างๆ เช่น การศึกษาและมีตำแหน่งสูงในราชการ มีตัวหนังสือเขียนและหนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษากะเหรี่ยง แม้ว่าอาจจะได้รับไม่ทั่วถึงกัน ในไทยเองก็มีความแตกต่าง เช่น กะเหรี่ยงโปว์ที่อยู่ทางภาคเหนือเป็นเชลยสงครามของเจ้ากาวิละ ในปี ค.ศ.1802 ส่วนกะเหรี่ยงในภาคตะวันตก (ส่วนใหญ่เป็นสกอว์) เป็นพลเมืองของสยาม และช่วยสยามรบกับพม่า

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงสกอว์ ตั้งหมู่บ้าน ในเขตที่สูงจากระดับน้ำทะเล 800-1000 เมตร อำเภอแม่แจ่ม (หน้า 4) หมู่บ้านมีอาณาเขตต่อเนื่องกับป่าและต้นน้ำ (หน้า 21) เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก และ กลาง แต่ละหมู่บ้าน ไม่เกิน 100 ครัวเรือน การอพยพย้ายถิ่นพบมากในชาวเขาทั่วไป ซึ่งอาจมีการอพยพข้ามพรมแดนเข้ามา (หน้า 13) แต่สำหรับชุมชนกะเหรี่ยงนั้นมักตั้งหมู่บ้านสืบต่อกันเป็นเวลานาน และมักอยู่ในเขตแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง หมู่บ้านที่ทำการศึกษานั้น มีอายุการก่อตั้ง ประมาณ 200 ปี (หน้า 20)

Demography

ชุมชนที่ศึกษาตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอ แม่แจ่ม มีประชากรกะเหรี่ยง ร้อยละ 46 คนเมือง (ไทยพื้นถิ่น) ร้อยละ 44 ที่เหลือ ร้อยละ 10 เป็นชาวเขาเผ่าอื่นๆ เช่น ม้ง ลีซอ และ ละหู่ ในจำนวนกลุ่มประชากรที่ศึกษา 112 ครัวเรือน มีอัตราเฉลี่ยของสมาชิกแต่ละครัวเรือน 4.9 คน (หน้า 18, 20) ชุมชนดังกล่าวครอบคลุม 5 หมู่บ้าน มีความหนาแน่นของครัวเรือน สูงสุด 60 ครัวเรือน/หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแม่ลา นอกนั้น มีอัตราเฉลี่ย 10-15 ครัวเรือน/หมู่บ้าน

Economy

เศรษฐกิจของกะเหรี่ยงพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก การเพาะปลูกในสมัยก่อนที่ถือว่าให้รายได้ดีคือการทำไร่ฝิ่น ต่อมาก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยปราบปราม ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า โทรศัพท์ โรงเรียน สถานีอนามัย นั้นมีขึ้นในแต่ละหมู่บ้าน เป็นผลสืบเนื่องจากการมีนโยบายให้กลุ่มชาวเขาอยู่ในพื้นที่อย่างถาวรภายใต้การจัดระเบียบการปกครองหมู่บ้าน ของกระทรวงมหาดไทย (หน้า 13) สำหรับระบบน้ำปะปาในหมู่บ้านที่ศึกษานั้น โบสถ์คาทอลิค ได้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ ในการก่อสร้างระบบ (ในปี 1986) ในขณะที่ชาวบ้านช่วยด้านแรงงาน นอกจากนี้ยังการสร้างยุ้งข้าว และมีการบริหารรูปแบบธนาคารข้าวด้วย (หน้า 76) เทคโนโลยีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน คือ การต้มเหล้าซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่สำคัญและมีบทบาทในพิธีกรรมต่างๆ มาก เหล้าที่ต้มนั้นนำข้าวที่เก็บเกี่ยวมาหมัก พร้อมยีสต์ และน้ำจากนั้นกลั่นตามวิธีการพื้นบ้าน เหล้าที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมนั้นไม่เป็นที่นิยม (หน้า 40, 109)

Social Organization

ในลัทธิบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ (Au Khae) กะเหรี่ยงสกอว์ให้ความสำคัญกับ บรรพบุรุษ ฝ่ายแม่ผู้หญิงมีบทบาทต่อความเป็นใหญ่ในบ้านและถือว่าเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเธอตาย สามีที่ยังอยู่ต้องย้ายไปอาศัยบ้านของลูกหรือต้องปลูกบ้านอยู่ใหม่ โดยปกติในแต่ละครอบครัวประกอบด้วย ครอบครัวหลักและอาจมีครอบครัวลูกสาวร่วมอยู่ด้วย เพราะว่ามีสายผีฝ่ายแม่เหมือนกัน ในขณะที่ลูกชายเมื่อแต่งงานแล้วจะให้ภรรยาอาศัยที่บ้านพ่อแม่ตนไม่ได้เพราะมีสายผีที่ต่างกัน เป็นเหตุผลที่ฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นการนับถือสายผีฝ่ายแม่ สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดในหมู่ญาติฝ่ายแม่มากกว่าญาติฝ่ายพ่อ (หน้า 53) อย่างไรก็ตามเมื่อเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป กะเหรี่ยงทั้งผู้หญิง และผู้ชายพบว่ามีการแต่งงานกันนอกกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นคนเมือง (ไทยพื้นถิ่น) ซึ่งมีพื้นฐานความสัมพันธ์ทั้งการจ้างแรงงาน และการติดต่อเชิงพาณิชย์ (หน้า 20) ดังนั้นจะเห็นว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามากำหนดนโยบาย ทั้งในด้านการปกครอง และ การรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ รวมทั้งทรัพยากรป่าไม้ แล้ว (หน้า 16,17) คนเมือง (ไทยพื้นถิ่น) ก็เป็นอีกกลุ่มผลประโยชน์ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชนกะเหรี่ยง

Political Organization

ตามตำนานและนิทานของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเคยมีเมืองและมีผู้ปกครองเรียกว่า "Jaw pa" แต่ขาดความชัดเจนว่า "Jaw pa" เป็นกะเหรี่ยงหรือไม่ ในปัจจุบันกะเหรี่ยงมีแต่ผู้นำระดับหมู่บ้านที่เรียกว่า "He Kho" ในบางพื้นที่ (หน้า 22) หรือในบางท้องถิ่นเรียกว่า "Kaw Kho" (หัวหน้าพื้นที่) ในแบบดั้งเดิม ฮีโข่มีหน้าที่ 2 อย่างด้วยกัน คือ เป็นประธานในพิธีกรรมประจำปี เซ่นสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติ เช่น เจ้าแห่งสายน้ำ และเจ้าแห่งผืนดิน ซึ่งจะช่วยปกปักษ์ชุมชนให้สงบสุขร่มเย็น และอุดมสมบูรณ์ อีกหน้าที่หนึ่งคือ ร่วมกับผู้อาวุโสดูแลปกครองหมู่บ้าน ผู้อาวุโสของกลุ่มตระกูลต่างๆ เป็นผู้แต่งตั้งฮีโข่ด้วยหลักเกณฑ์สำคัญคือ 1. เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหมู่บ้านหากเป็นหมู่บ้านใหม่ 2. เป็นลูกชายของฮีโข่เดิม (หน้า 25) 3. เป็นคนมีคุณธรรม (หน้า 28) ผู้อาวุโส (sub pga) ตามประเพณีดั้งเดิมเป็นได้ทั้งชาย และหญิง ซึ่งเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ คือ ผ่านการแต่งงานมาแล้ว และเคยทำพิธีกรรมต่างๆ ของครอบครัว โดยเฉพาะพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ (au khe) และมีประสบการณ์ในการเพาะปลูก กล่าวโดยสรุปคือ มีประสบการณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนแต่ประมาณเมื่อ 50 ปีมาแล้วบริบทเศรษฐกิจสังคม และการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ต้องปรับตัว บางคนหันมานับถือศาสนาคริสต์ บางคนติดฝิ่นและบางคนกลายเป็นผู้นำในโครงการของรัฐบาล แต่บางคนได้พัฒนาความสามารถในฐานะผู้นำทางศาสนา ความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงกับรัฐไทย กระแสการอนุรักษ์ป่าไม้ และพื้นที่ต้นน้ำ ทำให้กะเหรี่ยงถูกมองว่า เป็นผู้ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย เนื่องจากอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว ในประเด็นปัญหานี้ทำให้มีความพยายามที่จะกั้นพื้นที่ป่าต้นน้ำเอาไว้เป็นเขตอนุรักษ์ ทำให้กะเหรี่ยงต้องย้ายบ้านเรือนออกนอกพื้นที่ดังกล่าวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า 17)

Belief System

กะเหรี่ยงมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ มีการนับถือผี วิญญาณของสิ่งต่างๆ รอบตัว รวมทั้งวิญญาณบรรพบุรุษซึ่งวิญญาณเหล่านี้ สามารถให้ ทั้งคุณและโทษ ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงมีพิธีกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเซ่นนสรวงบูชา ให้สิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านั้น พึงพอใจและบันดาลคุณประโยชน์ต่างๆ ให้ กับทั้งมีพิธีเซ่นสรวงบูชา เพื่อขจัดปัดเป่าสถานะการณ์ร้ายให้บรรเทาหรือให้กลับเป็นผลดี จากความเชื่อเช่นนี้กะเหรี่ยงให้เคารพในสิ่งแวดล้อม อันเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิต ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม กะเหรี่ยงสกอว์มักมีศาลผีประจำหมู่บ้านที่คอยปกป้องคุ้มครองความปกติสุขของชุมชน นอกจากนี้ในส่วนตัวแต่ละครัวเรือนจำต้องให้ความเคารพ ผีบรรพบุรุษด้วย อำนาจเหนือธรรมชาติ ในความเชื่อกะเหรี่ยง จัดได้ 3 กลุ่ม (หน้า 36) กลุ่มแรก กลุ่มเทพเจ้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ที่เชื่อกันในทางจักรวาลวิทยารวมทั้งที่ปรากฎอยู่ในตำนานบทเพลงสวด หรือเรื่องเล่าต่างๆ ในกลุ่มนี้รวมความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ ไว้ด้วย (หน้า 36-37) กลุ่มที่สอง วิญญาณเจ้าที่ และผู้คุ้มครองธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เรียกกันว่า "Ka Cha" เช่น เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา ฯลฯ กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับ พิธีกรรมที่ กะเหรี่ยงจัดขึ้น ในส่วนที่เป็นการอ้อนวอนบูชา ต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ การศึกษากรณีนี้ได้แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 พิธีที่จัดสำหรับ เจ้าที่ เจ้าน้ำ ให้ความเคารพต่อ ที่ดินที่ทำการเพาะปลูกและที่อยู่อาศัย ให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำที่ใช้อุปโภค บริโภค (หน้า 71-85) พิธีเลี้ยงผีสันปันน้ำ หรือ ผีต้นน้ำ (Lue ta) มักจัดขึ้น 3 ปี ครั้ง โดยมีเฮโข่ เป็นผู้ทำพิธี มีการฆ่าควายหรือวัว เซ่นสังเวย พร้อมด้วยเหล้า กรวยดอกไม้ และเทียน นอกจากนี้ยังมีการเชิญผีเทวาอารักษ์ต่างๆ มาร่วมด้วย กลุ่มผีดังกล่าวจะใช้ไก่เซ่นสังเวยต่างหาก ผู้ที่มีที่ดินการเกษตรซึ่งใช้ประโยชน์จากต้นน้ำนั้นๆ เป็นผู้กันออกค่าใช้จ่ายในพิธี บางกรณีก็มีผู้นับถือคริสต์ร่วมออกค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยไม่ได้เข้าร่วมพิธี โดยนัยว่าเป็นงานส่วนร่วมของชุมชน (หน้า 71-75) พิธีเลี้ยงผีทางน้ำ (Lue thee bow) พิธีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการสร้างระบบประปาในหมู่บ้าน จัดขึ้นทุกเดือน 7 ของกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนเมษายน พิธีเริ่มในตอนเช้ามีการสร้างหิ้งบูชาเสา 4 ต้นด้วยไม้ไผ่สูงประมาณระดับอกของผู้ทำพิธีเพื่อวางเครื่องเซ่น ซึ่งประกอบด้วย บุหรี่ เหล้า มะนาว ถั่ว และเทียน ข้างเสาทั้ง 2 ข้างผูกตระกร้าใส่ไก่เป็นๆ ทั้งไก่ตัวผู้ตัวเมียอย่างละตัว เมื่อทำพิธีก็เชือดไก่สังเวยเอาเลือดรดเสาศาลทั้ง 4 ต้น แล้วนำไก่ไปต้ม นำมาพร้อมข้าว มาสังเวยอีกครั้ง เมื่อเสร็จพิธี มีการแบ่งไก่ต้มให้ผู้ร่วมพิธีได้กิน มีการร้องเพลงขอพรพระเจ้า จากผู้ร่วมพิธีที่นับถือคริสต์ด้วย เพราะคริสต์จักรคาทอลิคเป็นผู้ริเริ่มระบบประปา (หน้า 75-78) พิธีเลี้ยงผีฝาย (Lue phi fai) สัตว์ที่จะใช้ฆ่าเลี้ยงผีมักขึ้นอยู่กับขนาดของฝายทดน้ำ ถ้าฝายเล็กมักใช้ไก่ แต่ถ้าฝายใหญ่ก็จะใช้หมูทั้งตัว โดยมีการเลี้ยงผีทุกปี ก่อนหน้าฝนราวเดือนมิถุนายน พิธีเริ่มตอนเช้า มีการปลูกศาลไม้ไผ่ ใช้กรวยดอกไม้ 2 กรวย เทียน 1 คู่ บูชาผี หมูจะถูกมัด แล้วเชิญผีฝาย ผีเจ้าดิน ผีเจ้าน้ำรวมทั้ง ผีต่างๆ ที่คุ้มครองบริเวณนั้น มารับเครื่องเซ่นจากนั้นก็เชือดหมู แล้วนำไปต้มจากนั้นนำมาเซ่นพร้อมเครื่องในหมู และเหล้าที่กลั่นได้ครั้งแรก (si kho) แต่ละครัวเรือนที่มีการใช้ประโยชน์จากฝายที่ทำพิธีนั้น จะมาร่วมพิธีพร้อมด้วยข้าวสุกปากหม้อ (me kho) ห่อด้วยใบตองมาร่วมเซ่นเลี้ยงผีด้วย เสร็จพิธีก็จะร่วมกันกินหมู และเหล้าที่นำมาเซ่น (หน้า 78-81) พิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ (Ta cao ti) พิธีนี้ได้รับอิทธิพลจากคนเมือง (คนท้องถิ่น)ไม่ใช่พิธีดั้งเดิมของกะเหรี่ยง เมื่อเทียบโดยนัยของพิธีกะเหรี่ยง เป็นการเซ่นผีที่โคนต้นไม้ (Lue say khaw thi) กลุ่มผีที่เลี้ยงมีทั้งกลุ่มที่กะเหรี่ยงนับถือดั้งเดิม และกลุ่มผีที่คนเมืองนับถือด้วย เช่น เทวดาต่างๆ เพื่อให้การคุ้มครอง ซึ่งกะเหรี่ยงแต่ละครัวเรือนจะจัดขึ้นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับชุมชน เครื่องประกอบพิธี มีกรวยดอกไม้ 2 กรวย เทียน ไก่ต้ม ข้าวปากหม้อ เสื้อผ้าสีแดง สีขาว บุหรี่ เหล้า อย่างละคู่ และเครื่องประดับ เช่น กำไล แหวน ที่พบตามหลุมฝังศพเก่า นำมาเซ่นด้วย (หน้า 81-85) กลุ่มที่ 2 พิธีที่จัดเพื่อให้เกิดผลดีต่อการเพาะปลูก ให้พืชผลมีผลผลิตที่ดี (หน้า 85-90) พิธีเลี้ยงผีนาบน (Bgaw a khue) ทำพิธีทุกปีในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคม มีการตั้งหิ้งไม้ไผ่อย่างศาลเพียงตา 4 หิ้ง ไว้บูชาเจ้าที่ ผีไฟ (ta lue may) สำหรับทำขวัญพืชผล (ta ta maw) สำหรับพิธีป้องกันศัตรูพืช (ta sae) มีการประดับศาลด้วยรวงข้าว และดอกข้าวโพด ข้างศาลจะทำไม้ไผ่เป็นสัญญลักษณ์ เช่น ta au khi (ไม้ไผ่มาผ่า 4 ซีกแยกออกเอาปลายปักบนดินมีไม้ไหม้ไฟ ปักตรงกลาง) ไก่ที่ใช้เซ่นนิยมใช้ไก่ขนน้ำตาลแดง ในพิธีใช้ไก่ 6 ตัว สำหรับการไหว้ ta sae จะนำไก่ใส่ตระกร้าผูกไว้บนเสา มีการทำรูปนกอินทรี ( li ) และงู (kue) จากไม้ไผ่ผูกไว้ด้วย (หน้า 85-88) พิธีเล้ยงผีนาข้าว (Bgaw a chi) ทำกันปีละครั้งระหว่างข้าวออกรวงมีบางรายทำปีละ 2ครั้งระหว่างสิงหาคม - กันยายน และช่วงธันวาคม - มกราคม ในอดีตมีความสำคัญมาก เพราะเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดเพราะทำพิธีปีละครั้ง โดยทั่วไปทำช่วงธันวาคม - มกราคม การสร้างหิ้งเซ่นผี จะใชัมัดข้าวทำหลังคาคลุมหิ้ง มีการวางเครื่องประดับ และใช้ ไก่หรือหมูเซ่นไหว้ และขั้นตอนก็เหมือนการเลี้ยงผีเจ้าที่ มีข้อแตกต่างปลีกย่อย เช่น บางรายไม่ทำพิธีในวันพระ การใช้หมูเซ่นไหว้เฉพาะรายที่มีที่นาผืนใหญ่ แต่บางราย ใช้หมูเซ่นไว้ 3 ปี ครั้ง (หน้า 88-89) การเลี้ยงผีเจ้าป่า (Lue pga poo ta ma khae) ทำพิธีเพื่อคุ้มครองดูแลสัตว์เลี้ยงที่หากินตามป่า บางที่การที่สัตว์เลี้ยงล้มป่วยหรือ มีเสือออกมาล่าเอาสัตว์เหล่านั้น เชื่อว่าเพราะผีเจ้าป่าไม่พอใจ พิธีทำในช่วงหน้าฝน เครื่องประกอบพิธี มักมีไก่ ข้าว และเหล้า เหมือนอย่างเครื่องเซ่นผี ในพิธีเลี้ยงผีทั่วไป (หน้า 89-90) กลุ่มที่ 3 พิธีเพื่อการเยี่ยวยารักษาผู้เจ็บป่วย และ แก้ไขการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ผิดประเพณี (หน้า 90-93) พิธีรักษาผู้เจ็บป่วย โดยเฉพาะกรณีที่การเจ็บป่วยไม่สามารถหาสาเหตุได้ และใช้วิธีรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผล มีการทำพิธีต่างๆ กันแล้วแต่กรณี บางกรณีมีการเรียกขวัญทำ sa taung ซึ่งเป็นแบบอย่างที่คนเมืองทำ โดยเอากาบกล้วยพร้อมใบมาใส่เครื่องเซ่น มีกล้วยมะเขือ พริก เกลือ ข้าว แล้ววางด้ายสีแดง สีขาวลงในถ้วย วางไว้ใกล้ๆ คนป่วย จากนั้นสวดเรียกให้ผีมารับเครื่องเซ่น ขออย่าทำอันตรายคนป่วย เสร็จแล้วเอา sa taung ไปทิ้ง แล้วให้ดื่มน้ำที่ใส่ กระดูก So khuey กะเหรี่ยงมีความเชื่อเกี่ยวกับ So khuey กล่าวกันว่าเป็นมนุษย์โบราณอาศัยอยู่ในป่ามีลักษณะพิเศษ ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้ ถ้านั่งแล้วก็ยืนไม่ได้ กะเหรี่ยงได้ทำให้ So khuey ล้มลงแล้วนำกระดูกที่มีลักษณะเป็นลูกปัดหินสีขาวมีรูตรงกลาง กระดูกที่ว่านี้มักนำมาฝนเอาผงให้คนป่วยกิน (หน้า 90) บางกรณีที่คาดว่าผีเจ้าที่ไม่พอใจทำให้เกิดเจ็บป่วยก็จะเซ่นผีที่บริเวณใกล้ส่วนของลำต้นต้นไม้ที่อยู่ติดกับพื้นดินมากที่สุด ในบริเวณบ้าน หากเกิดอุบัติเหตุให้เจ็บป่วยบริเวณใด ก็ทำพิธีเซ่นผี ที่บริเวณนั้น เช่น ทางแยกใกล้ลำธาร บางกรณีทำพิธี ta wee (หน้า 92) การเลี้ยงผีลัวะ ด้วยหมาดำกะเหรี่ยงเชื่อว่าแผ่นดินที่พวกเขาอยู่อาศัยนั้นลัวะเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่เคยอาศัยอยู่ ของพวกลัวะ พิธีแก้ไขการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ผิดประเพณี (ma kei) (หน้า 93-94) พิธี me kei แปลว่า การทำให้ดี เพื่อให้การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เป็นสิ่งไม่ให้โทษภัยต่อชุมชน หรือ หมู่บ้าน และทำให้ความสัมพันธ์นั้นกลับมาถูกต้อง ให้ฮีโข่เป็นผู้ทำพิธีที่ศาลผีประจำหมู่บ้าน ภายหลังใช้ผู้ที่อาวุโส ทำพิธีแทนฮีโข่ โดยเลี้ยงผี Thee Ka Cha และ Kaw Ka Cha ต่อมาพบว่าชายหญิงกะเหรี่ยงมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานมากขึ้น ชุมชนกะเหรี่ยงแม่ลา จึงทำพิธีนี้ทุกปี เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่ดีของหมู่บ้าน กลุ่มที่ 4 พิธีเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ด้วยเหตุที่กะเหรี่ยงเชื่อว่า คนนั้นมีวิญญาณคุ้มครอง ที่เรียกว่า ขวัญ (K'la) จึงต้องมีการทำพิธีเรียกขวัญ ทั้งในแง่ ให้เกิดความมั่นคงกับจิตใจ และเพื่อ บรรเทาหรือปลอบประโลมใจ เมื่อมีเหตุร้ายจึงทำพิธีผูกด้ายขวัญ (Ki Cue) มีอยู่หลายกรณีดังนี้ (หน้า 94-102) พิธีผูกด้ายขวัญแบบธรรมดา (Ki Cue low low) (หน้า 94) ปกติเป็นพิธีที่พ่อแม่ทำให้เด็กๆ เวลาป่วยไข้ หรือเพื่อให้เด็กมีความเป็นอยู่ที่ดี ในพิธีมีการเชือดไก่ และนำไปแกงใส่ชามวางไว้ตรงกลางถาดไม้ทรงกลม (me la) เอาข้าววางไว้รอบชามแกง ด้ายสีขาวหลายเส้นวางพาดบนปากชามแกง เริ่มพิธีโดยใช้ไม้คนข้าว (naw do khwa) เคาะขอบถาดไม้ ขอให้ขวัญ(K'la) กลับมา พิธีเรียกขวัญกลับมา (Kicue Kaw K'la) (หน้า 96-97) ก่อนเริ่มพิธีต้องต้มเหล้า เครื่องที่จะใช้เซ่นพร้อมเหล้านั้นขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าภาพมักเชิญญาติมาร่วมพิธีด้วย โดยผู้อาวุโสเป็นผู้ทำพิธี กรณีที่เจ้าภาพฐานะดี มักเซ่นไหว้ด้วยหมูที่เลี้ยง พร้อมไก่ 2 ตัว บางกรณีเครื่องประกอบพิธีใช้ชุดเสื้อผ้า และย่ามสะพาย มีเหล้ากับแก้วเล็กๆ พร้อมข้าวเหนียวห่อใบตองเป็นรูปผู้หญิง (me taw mo) และรูปผู้ชาย (me taw pha) กับข้าวปุ๊ก ทั้งหมดใส่ในตระกร้า (fae) วางที่หัวบันไดบ้านซึ่งมีไก่ผูกไว้ด้วย ผู้ทำพิธีอาจเป็นปู่ย่าหรือพ่อแม่ เอาทัพพีเคาะเรียกขวัญตรงหัวบันได เสร็จแล้วเชือดไก่นำมาปรุงอาหารเลี้ยงแขก โดยจัดสำรับกับข้าวอย่างพิธี Ki Cue low low แต่มีข้าวสารครึ่งถ้วย ไข่ต้ม หอย เทียน และเงิน 30-85 บาท เพิ่มเข้ามา การเสี่ยงทายว่าขวัญมาหรือยัง ใช้หอยเบี้ยวางบนไข่ที่ไส่ในชามข้าวสาร ถ้าหอยไม่หล่นแสดงว่าขวัญมาแล้ว จากนั้นนำกับข้าวอย่างละเล็กละน้อยใส่มือคนที่ถูกเรียกขวัญ พร้อมเอาด้ายจุ้มเหล้า จุ่มแกง ผูกข้อมือให้ ยังมีเคล็ดอีกว่า ถ้าผู้ถูกเรียกขวัญเป็นผู้ชาย ใช้คนเรียกขวัญเป็นผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย 1คน เรียก ถ้าผู้ถูกเรียกขวัญเป็นผู้หญิงใช้ ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน และเมื่อปอกเปลือกไข่ต้มออก ไข่มีทรงปกติ แสดงผีพอใจ หากไม่เป็นเช่นนั้น ต้องทำพิธีใหม่หมด พิธีเรียกขวัญสำหรับผู้ไม่แข็งแรง (Ki choo cue) (หน้า 98-99) มักประกอบพิธีในวันอังคารตอนเที่ยง มีความแตกต่างเล็กน้อย กับพิธีเรียกขวัญทีกล่าวมาข้างต้น หากผู้ถูกเรียกขวัญเป็นผู้ใหญ่ มักเพิ่มหมากพูล พริก และเกลือ เพิ่มเข้ามา เรียกขวัญครั้งแรกเอาขวัญร้ายออกไป โดยนำเเลือดไก่ พร้อมอาหารใส่มือผู้ถูกเรียกขวัญ แล้วเอาน้ำล้างออก ครั้งที่สอง เอาอาหารใส่มืออีกครั้ง พร้อมผูกด้ายที่ข้อมือ แล้วสวดอวยพร บางครอบครัวที่มีผู้ใหญ่สูงอายุมักทำพิธีนี้ทุกปี พิธีเรียกขวัญขมาโทษ (Ki cue) (หน้า 99-100) เป็นพิธีเพื่อชุมชน ต้องทำเพื่อเป็นการขอขมาโทษเมื่อการบาดหมางหมองใจกันในกรณี ที่น้อง ชาย/หญิง ก็ตามแต่งงานก่อนพี่ เชื่อว่าจะให้ผลร้ายแก่ลูกที่เกิดมาตายหรือพิการ พิธีใช้ไก่ 2 ตัว เหล้า และ เสื้อผ้า ทั้งยังจัดในกรณีบางกรณีมีการวิวาท ผู้อ่อนกว่าทำร้ายผู้ที่อาวุโส ซึ่งนอกจาก ไก่ และเหล้าที่จะนำมาทำพิธี ยังอาจต้องใช้สินไหมค่าเสียหายเป็นเงินด้วย พิธีผูกขวัญในโอกาสขึ้นปีใหม่ (ki cue saw see kho la khu pu) (หน้า100-102) หมายถึงการผูกขวัญในเดือนแรกของปีใหม่ พิธีปีใหม่ที่กะเหรี่ยงจัดมี 2 แบบ คือ 1.แบบประเพณีกะเหรี่ยงดั้งเดิม จัดช่วงมกราคม 2.แบบสงกรานต์ที่ทำตามคนเมือง ช่วงเมษายน ประเพณีปีใหม่กะเหรี่ยงเป็นการรวม 2พิธีเข้าด้วยกัน คือ การเลี้ยงผีที่ศาลประจำหมู่บ้าน (Thaw ka cha) และ พิธีผูกขวัญ (ki cue) การเลี้ยงผีที่ศาลผี เป็นพิธีส่วนรวมของหมู่บ้านประกอบพิธีโดยฮีโข่ โดยแต่ละบ้านจะนำไก่มาไหว้และหัวไก่ กับขานกจะนำมามอบให้ฮีโข่ ส่วนการผูกขวัญ (ki cue) จะจัดกันในแต่ครัวเรือน จัดหลังจากเลี้ยงผี ในวันเดียวกัน หรือ อีกวัดถัดมา โดยมีขั้นตอนเหมือนการผูกขวัญทั่วไป มีการรื่นเริงโดยการร้องเพลง tha เป็นกลุ่มๆ ส่วนการผูกขวัญช่วงสงกรานต์ มักจัดโดยกะเหรี่ยงพุทธ ที่วัดชั่วคราวของหมู่บ้าน โดยมีพิธีรดน้ำดำหัวแบบคนเมือง เพิ่มจากการผูกขวัญตามประเพณีกะเหรี่ยง (หน้า 100-102) ส่วนที่เป็นพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน พิธีแต่งงาน ในหลักการสำคัญนั้นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับทั้ง สมาชิกของครอบครัว และชุมชน หากยังรวมถึงการต้องให้ความเคารพต่อวิญญาณ บรรพบุรุษด้วย การแต่งงานตามประเพณีดั้งเดิมนั้นมีขั้นตอน ที่ต้องทาบทามสู่ขอจนถึงขั้นตกลงแต่งงาน สิ่งสำคัญที่ต้องมีในพิธี ได้แก่ เหล้า การขับเพลง (tha) หมูและประรำ(blaw) เริ่มพิธีจิบเหล้าที่บ้านเจ้าบ่าวก่อนเคลื่อนขบวนเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวต้องรินเหล้าใส่แก้วส่งต่อให้ผู้ที่อาวุโสเซ่นไหว้ผีคุ้มครองที่สำคัญ (day pa si) ผู้อาวุโสขอให้ผีอวยพร จากนั้นเจ้าบ่าวส่งต่อจอกเหล้าเวียนให้ทุกคนจิบตามลำดับอาวุโสเป็นวงกลมจนเหลือมาที่เจ้าบ่าวจิบสุดท้าย ตามธรรมเนียมกะเหรี่ยงการทำหน้าที่นี้หมายถึง ชายที่แต่งงานแล้ว ระหว่างการจิบเหล้านี้จะร้องเพลง pha wa tha ซึ่งอวยพรเจ้าบ่าว และครอบครัว จากนั้นเมื่อขบวนเจ้าบ่าวมาถึงประตูหมู่บ้านเจ้าสาว ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะเชิญให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายนั่งบนเสื่อมีการดื่มเหล้า จากนั้นจึงมีการดื่มกันอีกใน ประรำ (blaw) มีการเซ่นเหล้าที่เสาประรำ และแขวนหัวหมูที่หลังคาประรำ หมูที่ใช้ต้องเป็นหมูที่เจ้าสาวเลี้ยง บนบ้านจะมีการเลี้ยงผีคุ้มครองด้วยสำหรับอาหาร 2 ถาด พร้อมเหล้า ขั้นตอนสำคัญ คือ การที่เจ้าบ่าวต้องเปลี่ยนไปสวมเสื้อสีแดง โดยผู้อาวุโสชายช่วยสวม สำหรับเจ้าสาวก็ต้องผลัดเสื้อสาวโสดไปสวมเสื้อกระโปรงขาวสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วโดยมีผู้อาวุโสหญิงคอยช่วยเช่นกัน ระหว่างพิธีก็มักมีการดื่มเหล้า และร้อง เพลง tha ตลอด รุ่งขึ้นจึงมีพิธีผูกขวัญโดยพ่อแม่ฝ่ายหญิง และมีการเซ่นเหล้าแก่ผีคุ้มครองอีกครั้งหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงศาสนาของกะเหรี่ยง ทำให้เกิดการผสมผสานพิธีกรรมดั้งเดิม กับความเชื่อในศาสนาใหม่ กะเหรี่ยงคริสต์ยังคงมีขั้นตอน การสาบานต่อหน้าพระเจ้า ในการยอมรับซึ่งกันและกัน ในส่วนของผู้นับถือคาทอลิค ไม่ห้ามที่จะมีการต้มเหล้า และดื่มเหล้าในพิธี (หน้า113) พ่อเจ้าสาวยังคงต้องนำสำหรับอาหาร หมากพูลบอกกล่าวผีว่าลูกสาวจะแต่งงาน ซึ่งเปลี่ยนธรรมเนียมเป็นการที่เจ้าสาวต้องไปทำพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว ในบางรายก็ยังมีการสร้างประรำ (blaw) อย่างรวบรัดไม่มีการดื่มเหล้า หรือร้องเพลง แต่งยังมีการเซ่นผีที่ประรำ ก่อนจะขึ้นบ้านเจ้าบ่าว (หน้า114) ขั้นตอนการเปลี่ยนเสื้อผ้าของบ่าวสาวยังคงมีอยู่เหมือนธรรมเนียมดั้งเดิม พิธีศพ กะเหรี่ยงเชื่อว่าความตาย คือ การเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง จึงต้องมีการสื่อสาร ให้วิญญาณผู้ตายเข้าใจสถานะภาพนั้นโดยการให้ชายที่แต่งงานแล้ว ทำพิธี nae mue yaw la โดยจุดเทียนเดินวนรอบโลงศพและบอกทิศให้สลับกัน เช่น ทิศเหนือ ก็ต้องบอกว่าทิศใต้ เพื่อชี้ทิศทางให้ผู้ตายไปยังโลกของผู้ตาย (plue poo) การเอาข้าวของเครื่องใช้ใส่ย่ามแขวนไว้เหนือโลงศพ เพื่อช่วยเหลือให้วิญญาณได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางด้วย การร้องเพลง "Thaw Se Sa" ช่วยให้ผู้ตายได้มีผลไม้กินระหว่างเดินทางไปสู่โลกใหม่ การเล่น "Sue Khay" ซึ่งจะช่วยผู้ตายให้ประสบผลสำเร็จจากการค้าขาย โดยทั่วไปเอาศพไว้ 3 คืน คืนที่ 3 จะมีการเซ่นศพ รุ่งขึ้นจึงนำศพไปเผา กองฝืนสำหรับเผาศพจะวางฝืนซ้อนกัน 7 ชั้น และใช้การยิงธนูจุดไฟเผาศพ พิธีกรรมตามประเพณีดั้งเดิมนั้น มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง กับสถานะการณ์ปัจจุบัน หลายพิธีกรรมกะเหรี่ยงได้รับแบบอย่างมาจาก คนเมือง (ไทยเหนือ) ทั้งด้านรูปแบบ และเนื้อหา เห็นได้ชัดจากประเพณีปีใหม่กะเหรี่ยง (หน้า 100) นั้นได้กำหนดไว้ 2 ช่วงเวลา คือ ในราวต้นเดือนมกราคม ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิม และช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทย ซึ่งเป็นการรับเอาธรรมเนียมของคนไทยเหนือมาปฏิบัติ ส่วนหนึ่งมาจากการหันมานับถือพุทธศาสนาตามแบบคนเมืองที่มีลักษณะไปด้วยกันได้กับความเชื่อในระบบเดิม ซึ่งขยายแนวคิดไปถึงความเชื่อในเรื่อง "ต้นบุญครูบา" ซึ่งเป็นขบวนการของพระสงฆ์ ที่มีปฏิปทา น่าเลื่อมใส และได้ทำงานช่วยเหลือ ส่งผลในทางดีต่อชุมชนด้วย (หน้า 198, 199)

Education and Socialization

โครงการพระธรรมจาริก (หน้า 176-177) เป็นโครงที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทพุทธศาสนา ต่อความหมายของความเป็นชาติเป็นการอบรมเยาวชนชาวเขา โดยการบรรพชาอุปสมบทในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อให้เกิดแนวคิดอุดมคติ ต่อชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ตามนโยบายของรัฐส่วนกลาง ที่มีผลสืบเนื่องจากนโยบายรักษาความมั่นคง จากการคุกคามของระบอบคอมมิวนิตส์ ชาวเขาที่เข้าร่วมโครงการนี้ ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง ร้อยละ 59 (หน้า 179) ผลดีของโครงการทำให้กะเหรี่ยงได้รับโอกาสการเรียนรู้และการศึกษา ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต (หน้า 181)

Health and Medicine

การรักษาผู้เจ็บป่วยนั้น โดยทั่วไปหากเป็นความเจ็บป่วยเล็กน้อย ใช้วิธีการพื้นบ้าน รวมทั้งการใช้ยาสมุนไพร บางกรณีพบการใช้ฝิ่นช่วยระงับความเจ็บปวดด้วย (หน้า 30) นอกจากนี้ การจัดพิธีกรรมบูชา ขออำนาจศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปัดเป่า การใช้เวทมนต์ คาถา ยังพบอยู่โดยมาก โดยเฉพาะกรณีที่การเจ็บป่วยไม่สามารถหาสาเหตุได้ การเจ็บป่วยที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ลื่นล้ม จะต้องมีการบูชาเรียกขวัญตรงสถานที่เกิดเหตุด้วย การเรียกขวัญบูชาขวัญนั้นมักทำควบคู่กับการรักษาโดยทั่วไป เพราะความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ในร่างายมนุษย์แต่ละส่วนนั้นมีขวัญคอยดูแลอยู่ การเจ็บป่วยย่อมแสดงให้เห็นความไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับขวัญจึงต้องทำให้ขวัญกลับคืนสภาพปกติ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติเช่นกัน และนอกจากนี้ก็ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยด้วย กรณีที่การรักษาตามวิธีพื้นบ้านนั้นไม่ได้ผล ก็จะใช้วิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สะดวกต่อการเดินทางจากหมู่บ้านไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

Tha (ทา) เป็นบทเพลงที่ใช้ร้องเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรม เรียกได้ว่าเป็นบทเพลงของบรรพบุรุษ (หน้า 109) เนื้อหาสาระแสดงถึงเรื่องราวต่างๆ และตำนานของแต่ละเรื่อง ซึ่งจะแบ่งเป็นบทเพลงแต่ละประเภท ใช้ในวาระพิธีกรรมต่างๆ กัน ผู้ร้องมักเป็นผู้อาวุโส อาศัยการท่องจำสืบต่อกันมายึดถือกันว่าจะให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีการออกเสียงอักขระในบทเพลงให้ถูกต้องด้วย (หน้า 28) บ้านกะเหรี่ยงสกอว์ (หน้า 53-54) แบบดั้งเดิมนั้นสร้างจากไม้ไผ่มีเพียงห้องเดียว บ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยเสาหลักหกต้น หน้าบ้านมีเฉลียงโล่งออกมารับด้วยเสารอง อีกสองต้น ส่วนที่สำคัญนั้นเป็นบริเวณที่ประกอบอาหาร คือ เตาไฟซึ่งจะใช้เป็นที่รับรองแขกด้วย เหนือเตาไฟจะผูกเป็นร้านเล็กขึ้นไปในแนวตั้งสองชั้นใช้เก็บของบริเวณเตาไฟ ดังกล่าวถือว่าเป็นที่สถิตย์ของวิญญาณบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของบ้าน หัตถกรรมที่ปรากฏในการศึกษานี้ ส่วนใหญ่เป็นหัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยพิธีกรรมตามความเชื่อ พื้นฐานหัตกรรมกะเหรี่ยงจะใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ทั่วไปในชุมชน หัตถกรรมที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุพื้นฐานที่พบมากที่สุด เช่น การจักสานตระกร้า หิ้งบวงสรวง (หน้า 86) นอกจากนี้พบการประดิษฐ์กึ่งหัตกรรมกึ่งสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ คือ เจดีย์ที่กะเหรี่ยงพุทธสร้างขึ้นบูชาในเทศกาลสงกรานต์ โครงเป็นไม้ไผ่ตกแต่งด้วยเสื้อผ้าพื้นเมืองกะเหรี่ยง และของใช้ที่ทำจากผ้า เช่น ถุงย่าม (หน้า 174) การละเล่นที่เล่นระหว่างพิธีศพ (หน้า 116) มีนัยที่จะให้ความช่วยเหลือแก่วิญญาณผู้ตาย การละเล่นดังกล่าวจะใช้ผู้เล่นชายสองคนวาดภาพต้นไม้บนด้านหลังถาดไม้ไผ่ แล้วนำเหรียญมาเป็นสัญลักษณ์แทนผลไม้ แล้วก็ใช้เหรียญเดินตั้งแต่รากต้นไม้ ไปหากิ่งไม้ แล้วร้องเพลง "Thaw Se Sa" แปลว่า เก็บผลไม้ ช่วยให้ผู้ตายได้มีผลไม้กินระหว่างเดินทางไปสู่โลกใหม่ ส่วนการละเล่นอีกอย่างจะคล้ายกับหมากรุก เรียกว่า "Sue Khay" ซึ่งจะช่วยผู้ตายให้ประสบผลสำเร็จจากการค้าขาย ปะรำ (Blaw) ในพิธีแต่งงานต้องมีการสร้างปะรำเฉพาะขึ้น ขนาดประมาณ 3x4 เมตร สูงประมาณ 1.5 เมตร สร้างจากเสาไม้ไผ่ 4 ต้น และหลังคาตัดเรียบมุงด้วยฟาง หรือผ้าพลาสติก สมัยก่อนแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีปะรำนี้ เอาไว้เป็นที่ชุมนุมส่วนรวม และไว้เพื่อการรื่นเริงของชุมชนแต่สำหรับพิธีแต่งงาน ใช้เป็นที่บวงสรวงเทวดาอารักษ์ของหมู่บ้าน และเป็นที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว และแขกผู้อาวุโสจะร่วมดื่มเหล้าและร้อง ทา (Tha) (หน้า 110-111)

Folklore

ตำนานเกี่ยวกับพระเจ้าผู้สร้าง ของกะเหรี่ยง "Ywa" (ขวัญ) ที่เป็นพระเจ้าสูงสุด (หน้า 37) เป็นผู้สร้างมนุษย์และวัฒนธรรมต่างๆ เกี่ยวพันกับตำนาน "คัมภีร์ทองคำ" ปรากฏคำเรียกกะเหรี่ยงแรกเริ่มว่า "ปะปากญอ" ซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงสะกอร์ ในตำนานขวัญเรียกให้กะเหรี่ยงมารับคัมภีร์ แต่กะเหรี่ยงยุ่งอยู่กับการแกงปลา ซึ่งใช้เวลานาน สุดท้ายก็ไม่ได้ เพราะคัมภีร์ดังกล่าวถูกคนผิวขาวขโมยไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่าประเด็นนี้ต่างกันไป ดังในนิทาน "Thaw Me Pa" (เขี้ยวหมูป่า) ว่าเป็นการที่กะเหรี่ยงไม่รู้จักวิธีแกงหอย ทำให้เสียเวลา จนไม่สามารถจับหมู่ป่า ที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษ ในระหว่างการอพยพหาที่ตั้งรกรากแห่งใหม่ (หน้า 37) การทำพิธีกรรมที่มีการใช้ไก่มามีบทบาทในพิธีบวงสรวง โดยความเชื่อที่ว่าไก่ได้กินเศษเถ้าของคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวพันกับตำนานเรื่อง "the Golden BooK" ที่กล่าวว่าเป็นเพราะความหลงลืมคัมภีร์มีค่าดังกล่าวจนมีไฟป่ามาทำลาย ทำให้กะเหรี่ยงประสพความทุกข์ยาก ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่มาทีหลังและในกรณีศึกษานี้ ก็ไม่พบการบอกเล่าถึงตำนานดังกล่าว (หน้า 37) อย่างไรก็ตามก็มีการกล่าวถึงเหตุผลความสำคัญของไก่ ตามความเชื่อของพิธีกรรมว่า ครั้งหนึ่ง Ywa ได้ใช้ให้เป็ดทำหน้าที่ปลุกคนในตอนเช้า แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาจึงใช้ไก่ เพื่อส่งเสียงขันปลุกคน Ywa จึงให้นำทุกส่วนของไก่มาใช้บวงสรวงได้ (หน้า 38) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในการห้ามกินบางส่วนของไก่ในแต่ละเพศด้วย เช่น ผู้หญิงห้ามกินปลายปีก เพราะเชื่อว่าจะทอผ้าไม่เรียบและห้ามเด็กชายกินหัวไก่เพราะจะทำให้ดื้อ เป็นต้น ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติของกะเหรี่ยง ส่งผลให้มีวิถีชีวิตผูกพันกับสิ่งเหล่านี้อย่างมาก กะเหรี่ยงเชื่อในเรื่องของ "ขวัญ" (K'la) และในร่างกายคนนั้นมีขวัญประจำอยู่ตามส่วนต่างๆ (หน้า 47) หากมีความผิกดปกติของร่างกาย เจ็บไข้ไม่สบาย แสดงว่า ขวัญในส่วนใดส่วนหนึ่งอาจหนีหายไป จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ นอกจากนี้ในรายละเอียดของความเชื่อเช่นนี้ ได้ขยาย ไปสู่ ตำนาน มูโก๊ะลี (Mue Kawli) (หน้า 40) กล่าวว่าเป็นคนรับใช้ของขวัญซึ่งเป็นผู้ชาย เกี่ยวพันถึงการเกิดขึ้นของมนุษย์คู่แรก บางกรณีก็ว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ เหมือนขวัญแต่ไม่ยิ่งใหญ่เท่ามูโก๊ะลี มักมีลักษณะที่ใช้เล่ห์กลต่างที่ปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้าน จนเป็นที่มาของการปฏิบัติบางประการมีคุณค่าทางความเชื่อมีลักษณะเป็นธรรมเนียมจารีต เช่น การต้มเหล้าและที่มาของเหล้าในพิธีกรรม เป็นผู้แนะนำให้ปฏิบัติเรื่องต่างๆ ในพิธีศพหรือในการสั่งสอนให้มีความขยันทำมาหากิน เป็นต้น (หน้า 40)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ประชากรกะเหรี่ยงนั้นพบได้ในหุบเขาและพื้นที่ภูเขา ตามแนวชายแดนระหว่างไทยและพม่า กะเหรี่ยงจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย เช่น โปว์ ปะหล่อง สะกอร์ ตองสู แต่ตามประวัติศาตร์แล้ว ล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน คงไว้ซึ่งพื้นฐานวัฒนธรรมเดียวกัน (หน้า 9) นับแต่ศตวรรษที่ 19 คำว่า "Karen" ได้ใช้กับคนกะเหรี่ยงกลุ่มที่ใช้คำดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่อาณานิคมอังกฤษและผู้มีการศึกษา การเคลื่อนไหวของขบวนการสร้างชาติกะเหรี่ยง หรือ Karen National Union (KNU) ในพม่า ที่พยายามเรียกร้องความเป็นอิสระจากรัฐพม่าและพยายามเขียนประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงขึ้นใหม่ นอกจากภาษาพูด ตำนาน และประวัติศาตร์ความเป็นมา ส่วนที่เป็นพื้นฐานของการกำหนดอัตลักษณ์กะเหรี่ยงให้ต่างออกไปจากเผ่าอื่น (หน้า 9-12) นอกจากนี้ กะเหรี่ยงมีนิทานเกี่ยวกับ Pho Khae ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ยากจนและโชคร้าย ซึ่งสะท้อนความคิดของกะเหรี่ยงในสถานภาพของกลุ่มชนที่ขาดโอกาส ไม่มีอิสระ ไม่มีอำนาจ และยากไร้ เป็นผลจากประวัติศาตร์อันยาวนานที่ต้องเข้าอยู่ใต้การปกครองของกลุ่มชนอื่นๆ กะเหรี่ยงจึงกำหนดสถานะตนเอง ต่อสังคมรอบข้างเหมือนฐานะของเด็กกำพร้า (หน้า 44)

Social Cultural and Identity Change

การยกเลิกความเชื่อในการนับถือผี นับถือวิญาณบรรพบุรุษของกะเหรี่ยงสะกอร์ เป็นการเปลี่ยนแปลงจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบอำนาจ ความเชื่อในยุคสมัยที่เฮ่โขหรือฮีโข่ ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนแบบดั้งเดิมจำต้องเปลี่ยนไปเมื่อไปรับความเชื่อ และศรัทธาในคริสต์ศาสนา อย่างไรก็ตามได้มีการต่อต้านและไม่ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น และเริ่มแพร่ขยายมากขึ้น (หน้า 27, 50)

Map/Illustration

รูปภาพ และ ตาราง จำนวน 26 รายการ 1. ตารางจำนวนครัวเรือนในหมู่บ้าน (1998) หน้า 18 2. แผนที่แสดงที่ตั้งของชุมชน หน้า 19 3. ภาพจำลองแสดงใจกลางบ้านรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (ที่สถิตย์วิญญาณบรรพบุรุษ) ที่อยู่ภายในบ้านกะเหรี่ยง หน้า54 4. ภาพใจกลางบ้านแบบดั้งเดิม หน้า 55 5. ภาพหิ้งบูชาชั่วคราว "Ta Lue Khaw" หน้า 77 6. ภาพนาข้าวขั้นบันได หน้า 79 7. ภาพการเตรียม เครื่องประกอบพิธี สำหรับบูชาอุทิศ ในพิธี "Ta Cao Ti" หน้า 83 8. ภาพสิ่งประดิษฐ์ ที่รวบรวมได้ ใช้อุทิศบูชาสำหรับพิธี "Ta Cao Ti" หน้า 83 9. ภาพการเชิญ "Cao Ti" มารับเครื่องบูชาในพิธี หน้า 83 10. ภาพหิ้งสังเวย ใช้ในพิธี "Ta Ta Maw" หน้า 86 11. ภาพพิธี " A Ki Cue Kaw K'la" (พิธีเรียกขวัญ) จัดเพื่อหญิงชรา หน้า 97 12. ภาพ "Blaw" ประรำพิธีชั่วคราว ในพิธีแต่งงาน หน้า 110 13. ภาพ พิธีแต่งงานแบบคริสเตียน จัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว หน้า 114 14. ภาพ ห่อเสื้อผ้าขนาดใหญ่ ที่แขวนเหนือ โลงศพที่มีการตกแต่ง หน้า 117 15. ภาพ "Thaw Se Sa" พิธีการละเล่น ที่เล่นในระหว่างพิธีศพ หน้า 117 16. ภาพ Sue Khay" พิธีการละเล่น ที่เล่นในระหว่างพิธีศพ หน้า 117 17. ภาพ ชาย 2 คน กำลังบอกทางไปสู่โลกของความตาย หน้า 118 18. ภาพลานประกอบพิธีศพ หน้า 118 19. ภาพกะเหรี่ยงรอรดน้ำครูบาหล้า (ขณะนั่งในปะรำพิธี) หน้า 175 20. ภาพเจดีย์ผ้า ซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องแต่งกายกะเหรี่ยง หน้า 175 21. ตารางตารางจำนวนพระภิกษุ, อาศรม และ ชาวเขาที่บวช ในโครงการพระธรรมจาริก หน้า 178 22. ภาพหิ้งบูชาแบบพุทธ หน้า 185 23. ภาพพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ หน้า 189 24. ตารางจำนวนครัวเรือน จำแนกตามศาสนา (1998) หน้า 191 25. ภาพการรออาหาร และสิ่งของ ข้างศาลาการเปรียญวัด หน้า 198 26. ภาพผู้นำทางจิตวิญญาณ คู่แฝด ของกองทัพพระเจ้า (the God's Army) หน้า 212

Text Analyst พรนรินทร์ เพิ่มพูล Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), กระบวนการต่อรอง, การปฏิบัติตามศาสนา, การเปลี่ยนแปลงของชุมชน, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง