|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,แนวทางงานศึกษาวิจัย |
Author |
Christian Bauer |
Title |
A Guide to Mon Studies |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
32 |
Year |
2529 |
Source |
Centre of Southeast Asian Studies, Monash University, Australia. |
Abstract |
เป็นการรวบรวมงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมอญที่เป็นการศึกษาทั้งของชาวตะวันตกและชาวเอเชีย งานในระยะแรกส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับด้านภาษาศาสตร์ ได้แก่ การศึกษาคำศัพท์ โครงสร้างทางการออกเสียงและการเขียน มีการทำเป็นพจนานุกรมภาษามอญขึ้น เมื่อสามารถเข้าใจภาษามอญ งานชิ้นหลังๆ ก็เป็นงานเกี่ยวกับทางด้านมานุษยวิทยา คติชนวิทยา และวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การตั้งถิ่นฐาน ประเพณี วรรณกรรม ภาษาถิ่น ภาษาและศาสนา นิทานพื้นถิ่น และนักวิชาการชาวตะวันตกหลายคนก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับจารึกภาษามอญโบราณ และมีการจัดทำพจนานุกรมภาษามอญโบราณขึ้นเฉพาะ (หน้า 11,14) ผู้เขียนยังได้แบ่งงานการศึกษาเกี่ยวกับมอญ ออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ การศึกษาศาสนา ดนตรี วรรณกรรม มานุษยวิทยา สังคมศาสตร์ และคติชนวิทยา ศิลปะ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ และรวบรวมงานในรูปแบบบรรณานุกรมไว้ เพื่อให้ผู้อ่านได้ทำการศึกษาต่อไป (หน้า 17) |
|
Focus |
ทบทวนงานและการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษามอญ และทำบรรณานุกรมการศึกษามอญโดยจัดเรียบเรียงตามหัวข้อ ได้แก่ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญในประเทศพม่าและประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามอญเป็นภาษาที่อยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค และเป็นภาษาที่มีตัวอักษรซึ่งมีหลักฐานที่เป็นศิลาจารึกเก่าแก่ประมาณ คริสตศตวรรษที่ 6 ภาษามอญไม่ใช่ภาษาที่มีระบบวรรณยุกต์ (หน้า 3) ปัจจุบันนี้การเรียนภาษามอญจำกัดอยู่กับวัดมอญทั้งในไทยและพม่า และมีการเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ไม่มากนัก (หน้า 7) |
|
Study Period (Data Collection) |
ค้นคว้าเอกสารการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมอญ ตั้งแต่ ค.ศ.1799 - 1985 (หน้า 56,73) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานที่เป็นจารึกภาษามอญซึ่งพบมาตั้งแต่สมัยทวารวดีซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทางภาคกลางที่นครปฐม ลพบุรี สระบุรี ซึ่งพบจารึกที่กำหนดอายุได้ในคริสตศตวรรษที่ 6 หรือ 7 และยังพบใบเสมา สมัยทวารวดี และจารึกมอญโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงทางใต้ของประเทศกัมพูชา แสดงว่ากลุ่มคนที่ใช้ภาษามอญได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ จนถึงประมาณคริสตศตวรรษที่ 10 เขมรได้ผลักดันชาวมอญมาทางด้านตะวันตกของอีสาน ในปัจจุบันพบชาว "Nyah Kur" ซึ่งลักษณะภาษามีความเกี่ยวข้องกับภาษามอญ อาศัยอยู่ทางด้านตะวันตกของอีสาน และยังพบจารึกภาษามอญที่จังหวัดลำพูน กำหนดอายุได้ประมาณคริสตศตวรรษที่ 13 ส่วนในพม่ามอญได้ตั้งรัฐสะเทิม (Thaton) ได้พบจารึกซึ่งกำหนดอายุได้คริสต์ศตวรรษที่ 11 และพบจารึกมอญจำนวนหนึ่งที่เมืองหงสาวดี ซึ่งเมืองนี้ก็เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมอญสุดท้ายก่อนที่จะตกอยู่ภายใต้รัฐพม่า สำหรับเรื่องอาณาเขตของรัฐมอญที่เรียกว่า "ทวารวดี" นั้นยังคงเป็นปัญหาที่ยังไม่มีข้อยุติเพราะหลักฐานทางโบราณคดียังเป็นปริศนาอยู่เพราะศิลาจารึกที่พบในภาคกลางของไทยเก่าแก่ประมาณคริสตศตวรรษที่ 6-7 ส่วนที่พบในอีสานหลังคริสตศตวรรษที่ 9-10 และที่พบในลำพูนประมาณคริสตศตวรรษที่ 13 มอญในไทยส่วนใหญ่อพยพมาจากพม่าในเวลาต่างกัน และไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะระบุได้ว่ามีชุมชนมอญที่สืบเชื้อสายมาจากมอญทวารวดี ชาวมอญอพยพจากพม่าเข้าสู่ไทยในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน สมัยอยุธยาตอนต้นมีการอพยพเข้ามา 3 ครั้งใหญ่ สมัยอยุธยาตอนปลายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ค.ศ.1660 ในสมัยรัตนโกสินทร์ ค.ศ.1774 และใน ค.ศ.1814 ระหว่างการกบฏของมอญที่เมืองเมาะตะมะ (Martaban) มีเส้นทางอพยพ 3 เส้นทาง ที่จังหวัดตาก กาญจนบุรี และอุทัยธานี (หน้า 4-5,6-7) |
|
Demography |
ไม่มีสถิติที่ชัดเจนเรื่องประชากรมอญ แต่จากการสำรวจของนายแพทย์สุเอ็ด คชเสนีเมื่อ ค.ศ.1970 มีคนมอญในประเทศไทยประมาณ 100,000 คน และคนมอญในพม่า ไม่เกิน 1 ล้านคน (หน้า 4) |
|
Belief System |
ชาวมอญนับถือศาสนาพุทธ (หน้า 17) |
|
Education and Socialization |
ในปี ค.ศ.1962 ได้มีการสอนภาษามอญในพม่าเป็นภาษาเลือกในโรงเรียนประถม และทุกวันนี้ก็มีการสอนภาษามอญทั้งในพม่าและไทยแต่เป็นการเรียนการสอนกันในวัด ในระดับมหาวิทยาลัยมีการเรียนการสอนจารึกมอญโบราณ รวมทั้งวรรณกรรมมอญที่มหาวิทยาลัยร่างกุ้ง (Rangoon)ในพม่า และในไทยที่มหาวิทยาลัยศิลปากร (หน้า 7) ส่วนพระสงฆ์มอญก็มีบทบาทในการเผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของมอญ ด้วยการพิมพ์ตำราธรรมะทีปนี (Dhammadipani) (หน้า 17) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
พบวรรณกรรมมอญที่เก่า ได้แก่ ตำรายา โหราศาสตร์ การเขียนประวัติศาสตร์ และบทสวดจากคัมภีร์ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาทางศาสนา ซึ่งเป็นการคัดลอกมาจากใบลานและจัดทำในรูปหนังสือ นอกจากนี้ยังมีงานเขียนมอญแบบร่วมสมัย คือ เรื่องสั้นและบทความในพม่า ซึ่งก็มักถูกจำกัดโดยรัฐพม่า งานเขียนเป็นบทกลอนและนิทานท้องถิ่นตีพิมพ์ในนิตยสารรอบปีพิมพ์ทั้งภาษามอญและพม่าทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง พิมพ์ในร่างกุ้ง มัณฑเลย์ และ Moulmein ในไทยมีโรงพิมพ์อยู่ที่ปากลัด อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ตั้งขึ้นโดยเจ้าอาวาสวัดแค ตีพิมพ์พงศาวดาร ตำรายา ตำราทางศาสนา พระไตรปิฎก และพจนานุกรมบาลี - มอญ (หน้า 20, 22-23) มีการนำวรรณกรรมมอญดั้งเดิมมาตีพิมพ์อีกครั้งในร่างกุ้ง ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับโหราศาสตร์ พิธีฝังศพ และพุทธประวัติในภาษามอญ รวมทั้งเพลง นิทานพื้นบ้านและบทสวดในพิธีกรรม (หน้า 25-26) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ "มอญ" ที่เก่าแก่สุดพบในศิลาจารึกเป็นภาษามอญโบราณในปี ค.ศ.1102 คือ "rmeñ" (ใกล้เคียงกับคำว่า "รามัญ") แต่ประมาณ 200-300 ปีก่อนหน้านั้นพบในศิลาจารึกภาษาขอมโบราณ ในชื่อที่เรียกพวกทาสต่าง ๆ กัน อย่างเช่น "vã ramañ" (คริสตศตวรรษที่ 6/7) "kñumฺฺ rmmañ ta kantai" (คริสตศตวรรษที่ 6/7) jetã rãmanyacampãdÍñ (คริสตศตวรรษที่ 9/10) ส่วนในศิลาจารึกภาษาชวาที่ใช้ rmên (ค.ศ.1021) และ rêmên ทำให้สันนิษฐานว่า คำว่า "มอญ" คงจะกร่อนมาจากคำต่าง ๆ ดังกล่าว และคำที่มอญใช้เรียกตัวเอง (หน้า 2-3) แต่พม่าเรียกมอญว่า "ตะเลง" ซึ่งหมายถึง คนไม่ดี หรือคนนอก สำหรับชาวมอญในไทยจะได้รับสิทธิและประโยชน์เท่าเทียมกับคนไทย และวัดก็กลายเป็นแหล่งสืบทอดวัฒนธรรมของชาวมอญให้คงอยู่เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บรวบรวมตำรายา ตำราทางศาสนา และพงศาวดาร (หน้า 2, 4,19) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากชนชาติที่มีอารยธรรมที่มีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่เมืองสะเทิม ร่างกุ้ง และหงสาวดี กลับกลายเป็นชนกลุ่มน้อยภายใต้ชาติที่มีอำนาจเหนือกว่าทั้งในพม่าและไทย ย่อมมีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมบางอย่างได้สูญหายไปจากชาวมอญในไทยแต่ยังคงดำรงอยู่ในพม่า เช่น การรำ Kalok-dance (หน้า 18) |
|
|