|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ,ดอยอินทนนท์ |
Author |
สุวณี ทรัพย์พิบูลผล |
Title |
การท่องเที่ยวทางนิเวศกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) บ้านแม่กลางหลวงและบ้านอ่างกาน้อย อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
109 |
Year |
2544 |
Source |
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาเรื่องการท่องเที่ยวทางนิเวศกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) บ้านแม่กลางหลวงและบ้านอ่างกาน้อย อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านบวกและลบ ทางสังคมและวัฒนธรรม จากการศึกษาพบว่าโครงสร้างหลักทางสังคมและวัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ได้มีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมรอบด้าน ชุมชนยังคงไว้ซึ่งวิถีการผลิตพึ่งตนเอง และคงความสัมพันธ์แบบเครือญาติมีการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน ซึ่งแม้ว่าชุมชนจะมีการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาไปแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งระบบคุณค่าของการเคารพธรรมชาติที่มีสิ่งเหนือธรรมชาติควบคุมอยู่ การท่องเที่ยวก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ เกิดการสร้างงานและรายได้ และช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และมีผลกระทบต่อชุมชนในเรื่องปัญหามลพิษ และการรบกวนพื้นที่ส่วนตัวจากการท่องเที่ยว ชุมชนสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้เป็นกิจกรรมทางเลือกสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในลักษณะธุรกิจชุมชนพร้อมๆ กับการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (หน้า ง-จ) |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ ทั้งในแง่บวกและลบที่เกิดขึ้นกับชุมชน หลังจากที่มีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชาวปกาเกอะญอ บ้านแม่กลางหลวง และบ้านอ่างกาน้อย อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 3) ปกาเกอะญอแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ตามภาษาพูด คือ 1) สกอ (Sgaw) 2) โปว์(Pow) 3) ตองสู (taungthu) และ 4) คะยา (Kayah) เดิมปกาเกอะญออาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกของธิเบต ต่อมาเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในจีนจนถึงพุทธศตวรรษที่ 2 ถูกราชวงศ์จิ๋นรุกรานแตกพ่ายหนีลงมาตามแม่น้ำแยงซีเกียงได้ปะทะกับชนเผ่าไต ทำให้ต้องถอยร่นมาตามลำน้ำแม่โขงและสาละวิน จนราวพุทธศตวรรษที่ 18 ได้อาศัยอยู่ตามหุบเขาด้านตะวันออกของประเทศพม่าและด้านตะวันตกของไทย นับเป็นกลุ่มชาวเขาใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ (หน้า 31) ปกาเกอะญอมีประชากรทั้งหมด 392,295 คน คิดเป็นร้อยละ 46.8 ของจำนวนชาวเขาทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ประมาณ 752,728 คน ในปี พ.ศ. 2541 (หน้า 31-32) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชุมชนแถบนี้พูดภาษา "กะเหรี่ยงสกอ" ภาษากะเหรี่ยง (Karenic) อยู่ในกลุ่มภาษาธิเบต-กะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของภาษาธิเบต อันเป็นกลุ่มภาษาหนึ่งในสามกลุ่มที่พบอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หน้า 31) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนใช้เวลาศึกษา ตั้งแต่ช่วง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2543 ถึง ต้นปี พ.ศ. 2544 (หน้า 23) |
|
History of the Group and Community |
ปกาเกอะญอที่อาศัยในแถบนี้อพยพมาจากประเทศพม่า สู่อำเภอแม่สะเรียง จนถึงทศวรรษ 2330 จึงได้อพยพมาอยู่ลุ่มน้ำแม่กลาง มีการอพยพไปมาหลายครั้งด้วยเหตุผลต่างๆ แต่อยู่ในรัศมี 1-5 กิโลเมตร (หน้า 32) หมู่บ้านแม่กลางหลวงตั้งมาได้กว่า 200-300 ปีมาแล้ว ไม่ได้มีการบันทึกไว้ แต่ใช้วิธีนับผู้นำหมู่บ้านที่สืบทอดทางสายโลหิต นับเป็นคนที่ 37 แล้ว เมื่อแรกตั้งหมู่บ้านมีบ้านเรือน 4-5 หลังคา ส่วนบ้านอ่างกาน้อยเป็นหมู่บ้านที่แยกออกมาจากบ้านแม่กลางหลวง แต่บางคนย้ายมาจากแม่สะเรียง เดิมชุมชนยังมีการเพาะปลูกเพื่อยังชีพ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 2510 เริ่มมีการตัดถนนเข้าสู่ดอยอินทนนท์ เริ่มมีการส่งเสริมปลูกพืชเชิงพาณิชย์ ตลอดจนโครงการต่างๆ เช่น โครงการหลวง กรมประชาสงเคราะห์ ทำให้ชุมชนเริ่มเปลี่ยนไปสู่การผลิตเพื่อขาย (หน้า 32) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนปกาเกอะญอมักนิยมตั้งบ้านเรือนในหุบเขา มีผืนป่าล้อมรอบ และอยู่ใกล้ลำน้ำ ในระดับความสูงตั้งแต่ 600 - 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง จะสร้างบ้านรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นเครือญาติกัน การสร้างบ้านในปัจจุบันนิยมสร้างให้แน่นถาวร หลังคามุงด้วยกระเบื้องหรือสังกะสีแทนบ้านสมัยก่อน ซึ่งจะเป็นบ้านชั้นเดียว มีใต้ถุนบ้านสูง มีเสาไม้เนื้อแข็ง พื้นและฝาปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบพลวง หญ้าคา ภายในเป็นทั้งห้องครัว ห้องรวมและห้องรับแขก ไม่มีการแยกกั้นห้องต่างหาก เพื่อป้องกันความหนาวเย็นของอากาศจึงไม่มีช่องหน้าต่าง มีลักษณะทึบ การระบายอากาศไม่สะดวก แต่ละบ้านมีเตาไฟเป็นรางไม้สี่เหลี่ยมบรรจุดินอยู่ภายใน ใช้ประกอบอาหารและเลี้ยงผีบรรพบุรุษ บนเตาไฟเป็นที่เก็บอาหาร (หน้า 33) |
|
Demography |
ทั้งสองหมู่บ้านมีจำนวนคัวเรือนรวมกันทั้งหมด 75 ครัวเรือน (หน้า 20) |
|
Economy |
เมื่อหมู่บ้านถูกประกาศให้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในปี พ.ศ. 2531 การทำไร่หมุนเวียนทั้งสองหมู่บ้านมีข้อจำกัดมากขึ้น แต่ชุมชนยังคงทำนาข้าวขั้นบันได มีระบบทดน้ำแบบธรรมชาติ โดยทำนาปีละครั้ง ได้แรงงานมาจากการช่วยเหลือกัน หรือ "เอามื้อ" ส่วนไร่เก่าของชาวบ้านปัจจุบันกลายเป็นเขตอุทยานฯ แต่ชาวบ้านยังสามารถเข้าไปหาฟืนได้ นอกจากนี้ยังมีการท่องเที่ยวเข้าไปในชุมชน ระบบการผลิตของชุมชนทั้งสองจึงถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ กล่าวคือมีธุรกิจการท่องเที่ยวเกิดขึ้นในชุมชน เมื่อหมดหน้านา ที่นาจะถูกใช้เป็นสนามศึกษาภูมิปัญญาการทำนาขั้นบันได และเป็นสถานที่ตั้งแคมป์ของนักท่องเที่ยว ปัจจุบันทั้งสองชุมชนมีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก คือทำนา, ปลูกดอกไม้, ไม้ผลเมืองหนาว และผักเมืองหนาว เช่น ท้อ บ๊วย นอกจากนี้ยังมีคนนำทางนักท่องเที่ยว และรับจ้างในช่วงว่างจากนา เช่น เก็บลำไย หรือรับจ้างอุทยานฯ (หน้า 32, 50-51) รายได้เฉลี่ย 20,000-30,000 บาทต่อปี ร้อยละ 25.3 และร้อยละ 16 ตามลำดับ (หน้า 48) เป็นรายได้จากการขายผลผลิตร้อยละ 58.7 รองลงมาคือ รายได้จากรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 32 จากการขายสินค้าหัตถกรรมให้นักท่องเที่ยวร้อยละ 1.3 และรายได้จากการรับจ้างในธุรกิจท่องเที่ยวในชุมชนร้อยละ 8.0 แม้ว่าวิถีการผลิตจะมีการปรับเปลี่ยนจากผลิตเพื่อยังชีพสู่ผลิตเพื่อขาย แต่ชุมชนทั้งสองยังพยายามคงไว้ซึ่งภูมิปัญญาและวิถีการผลิตพึ่งพาตนเอง เช่นใช้ครกกระเดื่องตำข้าว ปั่นด้ายเอง ทอผ้าเอง นอกจากนี้ยังปลูกสตอเบอรี่ กาแฟ มะม่วง ลิ้นจี่ ลูกท้อ ผักเมืองหนาว มีการเลี้ยงสัตว์ไว้กินและทำพิธีกรรม (หน้า 36-39) (ดูตารางปฏิทินการเกษตรแบบดั้งเดิมของปกาเกอะญอ หน้า 37) |
|
Social Organization |
ครัวเรือนทั้งสองชุมชนส่วนใหญ่มีจำนวนสมาชิก 4 คน ร้อยละ 30.7 รองลงมาคือ 5 คน ร้อยละ 24 ครอบครัวส่วนใหญ่มีลักษณะครอบครัวเดี่ยว ร้อยละ 47 และพบว่าครอบครัวขยายที่มีสมาชิก 10 คนขึ้นไปมีจำนวนลงเรื่อยๆ เหลือเพียงร้อยละ 27 ตามธรรมเนียมแล้วบุตรสาวที่เพิ่งแต่งงานจะอาศัยอยู่กับบิดามารดาสักระยะหนึ่งประมาณ 1-2 ปี หรือจนกว่าบุตรสาวคนรองจะได้แต่งงาน จึงสามารถย้ายครอบครัวออกไป แต่นิยมปลูกบ้านใหม่ในบริเวณเดิมของตน ปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของทั้งสองว่าต้องการให้ย้ายไปอยู่ฝ่ายใด (หน้า 46-47) |
|
Political Organization |
ไม่ได้กล่าวถึงชัดเจน กล่าวเพียงเรื่องการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรชุมชนด้านการท่องเที่ยวซึ่งหมายถึงกระบวนการที่ชุมชนได้เรียนรู้ รับรู้การถ่ายทอดข้อมูลขาวสารตลอดจนการฝึกปฏิบัติและการเป็นผู้นำนักท่องเที่ยว การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กับบุคคลภายนอก ตลอดจนการเข้ามาถือหุ้นการทำกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (หน้า 5) ภาพรวมชุมชนยังขาดการมีส่วนร่วม กล่าวคือ การท่องเที่ยวในชุมชนไม่ได้เริ่มต้นจากความคิดของคนในในชุมชนเอง แต่เป็นการแนะนำยากบุคคลภายนอกชุมชน แต่ชุมชนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากเป็นสิ่งแปลกใหม่มีคนเพียงบางส่วนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ชุมชนจึงอยู่ในช่วงการจับตามและพิสูจน์ นอกจากนี้ชุมชนยังขาดข้อมูลข่าวสาร ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บางสาวนตอบว่าขอใช้ชีวิตแบบชาวนาอย่างเดิม (หน้า 61-62) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนา ทั้งสองหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 72 รองลงมาคือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 22.7 ส่วนใหญ่เป็นชาวชุมชนบ้านอ่างกาน้อยที่นับถือคริสต์ ส่วนการนับถือผี ร้อยละ 2.7 (หน้า 45) ศาสนาคริสต์ ที่หมู่บ้านอ่างกาน้อยมีผู้นับถือคริสต์ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด มีโบสถ์คริสต์นิกายคาธอลิค 1 หลัง ชาวชุมชนให้ความเคารพศรัทธามาก ชุมชนแห่งนี้จึงเลิกพิธีถือผี เว้นการผูกข้อมือปีใหม่ยังกระทำอยู่บ้าง (หน้า 40-41) ชาวปกาเกอะญอทั้งบ้านแม่กาหลวงและอ่างกาน้อย ต่างยังมีความเชื่อพื้นฐานนับถือผีอยู่ เชื่อว่าทุกสิ่งมีเจ้าของคอยดูแลรักษา หากจะใช้หรือทำการใดต้องขออนุญาตเสียก่อน ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่ามี "ยวา" เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มนุษย์ประกอบด้วยขวัญ 37 ตัว หากขวัญออกไปจากร่าง จะทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วย และต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับคืนมา หรืออาจเจ็บป่วยจากการกระทำของผี ถ้าต้องการทราบสาเหตุต้องใช้กระดูกไก่มาเสี่ยงทาย ที่บ้านแม่กลางหลวงยังคงมีการปฏิบัติอยู่ เพราะส่วนใหญ่นับถือผีและศาสนาพุทธ ส่วนบ้านอ่างกาน้อยได้หันมานับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ จึงเหลือเฉพาะคนกลุ่มน้อยที่ยังเชื่อและทำอยู่ (หน้า 34) นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมของปกาเกอะญอ เช่น พิธีผูกข้อมือ เป็นพิธีเรียกขวัญกำลังใจ แสดงความนอบน้อมต่อพระแม่ธรณี เพื่อขอพรและความคุ้มครอง พิธีนี้จะทำกันปีละ 2 ครั้งช่วงหลังฤดูกาลผลิต เพื่อเตรียมเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ปัจจุบันนี้เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้าน ก็สามารถเข้าร่วมได้ หลังพิธีผูกข้อมือ ต่อมาเป็นพิธีบูชาผีเจ้าที่เจ้าทาง เมื่อเห็นว่าข้าวเริ่มเขียว ในช่วงเวลาหลังเข้าพรรษา แต่ไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่นผูกข้อมือช้า หรือเก็บผลผลิตช้า ชาวบ้านจะทำเครื่องบูชา 3 ประเภทคือ 1) "หลื่อชิ" เป็นเครื่องบูชาในพิธีกรรมเลี้ยงผี เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา เป็นการขออนุญาตใช้ที่ดิน น้ำ ป่า เพื่อเพาะปลูก มีการสร้างเพิงเล็กๆ ทำด้วยไม้ไผ่ปักไว้ที่นาของตนเอง ใช้ไก่ต้ม 1 คู่ ตัวผู้ตัวเมียและเหล้าต้ม 2) "ต่าแซะ" คือการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ไล่เชื้อโรคไปจากต้นข้าว โดยทำเพิงไม้ไผ่เล็กๆ บรรจุด้วยของไหว้เช่นไก่ตัวผู้ เป็นไก่ดำหรือไก่แดงก็ได้ ห้ามใช้ไก่ขาว และใช้ข้าวผสมแกลบ ยีส บุหรี่หรือหมากพลู 3) "ตาเต่อเมาะ" คือการแสดงความเคารพบูชาแม่โพสพ ให้ข้าวเจริญงอกงาม ไม่ให้นาล้ม โดยสร้างเพิงไม้ไผ่เล็ก ใช้ไก่ต้มตัวเมีย และ"โกะมีลอปอ" หรือ ข้าวผสมแกลบและยีสปนกัน เมื่อทำพิธีทั้ง 3 อย่างเสร็จ เจ้าของที่นาผืนนั้นจะเดินออกจากที่นาเป็นคนสุดท้าย แล้วต้องทำ "คะแก๊ะ" โดยใช้เศษข้าว กระดูก โกะมีลอปอ และหมากพลูวางไว้ เป็นการห้ามทุกคนเข้าไปในพื้นที่นาตลอดวันที่ทำพิธี มีการปักไม้ไผ่ห้ามเข้า หากมีคนมาบุกรุก ต้องขอขมาโดยวางยาสูบไว้ตามทางเดิน (หน้า 34-36) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านแม่กลางหลวงมีศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง ถึงชั้น ป.6 มีครู 2 คน มีนักเรียน 36 คน มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ โดยมีหลักสูตรชาวเขาโดยเฉพาะ 3 วิชาคือ การพัฒนา, อนามัย และการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเรียนต่อเนื่องในระดับมัธยมต้น-ปลาย สำหรับบ้านอ่างกาน้อย ยังไม่มีโรงเรียน จะต้องเดินทางไปเรียนยังหมู่บ้านอื่นห่างออกไป 4 กม. หรือส่งไปเรียนที่ต่างอำเภอ ปัจจุบันชาวบ้านนิยมส่งลูกหลานให้ได้เรียนสูงเพื่อไปทำงานในเมือง ด้วยเหตุผลอาชีพเกษตรเป็นอาชีพลำบาก (หน้า 39-40) |
|
Health and Medicine |
ในชุมชนไม่มีสถานีอนามัย ชาวบ้านจึงนิยมไปโรงพยาบาลอำเภอจอมทอง หากเจ็บป่วยเล็กน้อย ครูของหมู่บ้านแม่กลางหลวงจะทำหน้าที่หมอไปด้วย ทุกหลังคาเรือนมีส้วมซึมใช้ แต่ปัญหาของชุมชนคือปัญหาขยะ ผู้ใหญ่บ้านจึงรณรงค์ให้ทุกบ้านขุดหลุมฝังกลบขยะ หรือเผาทิ้ง (หน้า 41) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายจะบอกถึงสถานภาพและเอกลักษณ์ของชนเผ่า ผู้ชายจะสวมเสื้อทอสีแดงสด สวมกางเกงขายาวหลวมๆ สีน้ำเงินเข้มหรือดำ แต่ปัจจุบันนี้ไม่นิยมสวมใส่ นอกจากเวลาประกอบพิธีกรรม เช่นการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ การไปโบสถ์ เดิมจะโพกศรีษะด้วยผ้าทั้งชายและหญิง ผู้ชายสมัยก่อนนิยมสักตามตัว ผู้หญิงจะเจาะรูหูกว้างเพื่อใส่กำไลมือ ลูกปัดต่างๆ ซึ่งยังพอเห็นอยู่บ้างในผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดสีเดียวกันตลอดผืน หรือชุดสีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ มีลักษณะคล้ายถุงกระสอบยาวถึงข้อเท้า แต่เมื่อแต่งงานแล้ว จะใส่เสื้อกับผ้าถุงคนละสี มีสีสันลวดลายมากขึ้น เสื้อยาวเสมอเอว ส่วนล่างปักด้วยลูกเดือยหรือด้ายสีต่างๆ สวมผ้าถุงลายมัดหมี่สีชมพูสดหรือแดง ตัดขวางเกือบตลอด โดยใช้ผ้าสองชิ้นเย็บติดกัน จะเว้นบริเวณคอและแขนเพื่อให้สวมลงไปได้ ปัจจุบันเริ่มใส่ชุดพื้นเมืองน้อยลง (หน้า 33-34) ในอดีตหญิงปกาเกอะญอต้องปลูกฝ้าย ปั่นด้าย ซ่อมเสื้อผ้าและทอผ้าใช้เอง แต่ปัจจุบันซื้อฝ้ายสำเร็จรูปมาทอ เด็กสาวจะได้รับการอบรมสั่งสอนให้ทอผ้าเป็น เพื่อเตรียมไว้ใช้ในงานแต่งงานของตนเองในอนาคต (หน้า 34) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชุมชนไม่หวั่นเกรงว่าการท่องเที่ยวจะเข้ามามีผลกระทบเปลี่ยนจิตใจของเยาวชนให้เลียนแบบพฤติกรรมที่ผิดจากบรรพบุรุษของตน เพราะยังยึดมั่นว่าวัฒนธรรม ประเพณี คำสอนของพ่อแม่ ยังคงเหนียวแน่นอยู่ในจิตใจของกะเหรี่ยงทุกคน เด็กจะไม่ชอบสวมเสื้อผ้าทันสมัยเกินหน้าตาผู้อื่น และยังยินดีให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การผูกข้อมือ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ผ่านมาว่าวัฒนธรรมถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธุรกิจการท่องเที่ยว และชุมชนมีความยืดหยุ่น ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น (หน้า 81) |
|
Social Cultural and Identity Change |
นอกจากการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตจากพึ่งตนเองมาสู่การผลิตเพื่อขายมากขึ้น การท่องเที่ยวยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนบ้านแม่กลางหลวง ที่มีการท่องเที่ยวในชุมชน เกิดผลกระทบทั้งผลดีและผลเสียต่อชุมชน เช่นการมีรายได้ อาชีพเสริม เกิดความรู้สึกหวงแหนรักษาวัฒนธรรมประจำเผ่า เพราะเมื่อมีคนต่างถิ่นเข้ามาในชุมชน มีการพัฒนามาจากภายนอก มีกระบวนการปลูกสำนึกรักธรรมชาติให้เยาวชน และลดการย้ายถิ่นเพราะสามารถทำงานในชุมชนได้ ส่วนผลเสียได้แก่ปัญหามลพิษและขยะ การรบกวนระบบนิเวศ และขาดพื้นที่ส่วนตัว ในขณะที่บ้านอ่างกาน้อย ได้เห็นการเปลี่ยนในบ้านแม่กลางหลวง คิดอยากให้บ้านของตนมีการพัฒนาอย่างบ้านแม่กลางหลวง (หน้า 64-74) ชุมชนบางส่วนเห็นว่าการท่องเที่ยวที่เข้ามา ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมวิถีชีวิตของตนเอง แต่บางส่วนเห็นว่าชีวิตความเป็นส่วนตัวถูกรบกวนจากการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมชุมชนเห็นว่าการท่องเที่ยวทำให้ชุมชนพัฒนามากขึ้น และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตวัฒนธรรมน้อย (หน้า 64-74) |
|
Other Issues |
การมีส่วนร่วมในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เริ่มจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องการให้การชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวมากที่สุด แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ขอสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เนื่องจากในตอนเริ่มต้น ผู้ถือหุ้นจะต้องจ่าย 500 บาทต่อ 1 หุ้น เพื่อการลงทุน ชาวบ้านจึงต้องคิดคำนวณการลงทุน ชาวชุมชนมีพื้นฐานทำการเกษตรไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องธุรกิจ และมองว่าธุรกิจนี้เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น จึงมีคนจำนวนไม่มากที่เข้าร่วม ทางด้านผู้ประกอบกิจการมีความเข้าใจและพยายามถ่ายโอนอำนาจการบริหารให้กับชุมชนมากขึ้น และมีการฝึกฝนตนเองในด้านต่างๆ ตลอดจนการร่วมมือจากองค์กรภายนอกเพื่อให้การท่องเที่ยวสามารถยั่งยืนได้ อย่างไรก็ตาม ยังเกิดปัญหาเรื่องการถ่ายทอดและการสื่อความรู้ยังไม่สามารถทำได้ดีนัก การท่องเที่ยวก่อให้เกิดความกระตือรือร้นร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้ด้วย (หน้า 79-80) |
|
Map/Illustration |
ตารางที่ 2.1 แสดงผลดีผลเสียที่มีสาเหตุมาจากการท่องเที่ยว (หน้า 11) ตารางที่ 4.1 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ (หน้า 43) ตารางที่ 4.2 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุ (หน้า 43) ตารางที่ 4.3 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา (หน้า 44) ตารางที่ 4.4 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเชื้อชาติ (หน้า 44) ตารางที่ 4.5 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามการนับถือศาสนา (หน้า 45) ตารางที่ 4.6 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามสถานภาพการสมรส (หน้า 45) ตารางที่ 4.7 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือน (หน้า 46) ตารางที่ 4.8 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามลักษณะครอบครัว (หน้า 47) ตารางที่ 4.9 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้ต่อปี (หน้า 48) ตารางที่ 4.10 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้หลัก (หน้า 49) ตารางที่ 4.11 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาชีพหลัก (หน้า 49) ตารางที่ 4.12 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาชีพรอง (หน้า 50) ตารางที่ 4.13 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามการปลูกข้าวต่อการบริโภค (หน้า 51) ตารางที่ 4.4 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาชีพเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว (หน้า 51) ตารางที่ 4.15 แสดงค่าร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามการรับข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว (หน้า 52) ตารางที่ 4.16 ข้อมูลแสดงความคิดเห็นถึง "ข้อดี" อันมีที่มาจากการท่องเที่ยวในชุมชน (หน้า 53) ตารางที่ 4.17 ข้อมูลแสดงความคิดเห็นถึง "ข้อเสีย" อันมีที่มาจากการท่องเที่ยวในชุมชน (หน้า 55) ตารางที่ 4.18 ข้อมูลแสดงความคิดเห็นในระดับต่างๆ ถึงการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีจากการท่องเที่ยวในชุมชน (หน้า 57) ตาราง 4.19 แสดงลักษณะและระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร แผนภูมิ 2.1 แสดงความต้องการด้านต่างๆ อันเป็นที่มาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (หน้า 8) แผนภูมิ 2.2 แสดงกรอบแนวคิด (หน้า 18) |
|
|