|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน,ไทพวน,การตั้งถิ่นฐาน,เศรษฐกิจสังคม,การปรับตัว,ลพบุรี |
Author |
Kennon Breazeale, Snit Smukarn |
Title |
Culture in Search of Survival: The Phuan of Thailand and Laos |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
262 |
Year |
2531 |
Source |
Yale University Southeast Asia Studies New Haven, Connecticut |
Abstract |
การศึกษานี้เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของพวนในที่ราบภาคกลางของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการเมืองเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายประชากร การตั้งถิ่นฐานของพวนในพื้นที่ต่าง ๆ ของไทย และการปรับตัวของพวนให้เข้ากับเศรษฐกิจและสังคมไทย ในการศึกษาผู้เขียนใช้ข้อมูลจากเอกสารเพื่อจะได้เข้าใจประวัติศาสตร์ของพวน และเก็บข้อมูลภาคสนามที่อำเภอบ้านหมี่ เพื่อเข้าใจสภาวะสังคมและวัฒนธรรมของพวนในปัจจุบัน ส่วนแนวคิดในการศึกษาใช้แนวคิดการผสมกลมกลืนมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ผลการศึกษาผู้เขียนสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจแบบยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจแบบเงินตราทำให้พวนต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงการเลี้ยงชีพ เปลี่ยนจากการปลูกข้าวเพื่อยังชีพมาเป็นการปลูกเพื่อการค้า เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและมีหนี้สินจากการปลูกข้าวมากขึ้น พวนเปลี่ยนอาชีพไปทำงานอื่นที่มีรายได้เลี้ยงชีพมากกว่าการปลูกข้าว และขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ได้ทำให้พวนหันมาให้ความสนใจกับการรักษาวัฒนธรรมของตนเองมากยิ่งขึ้น |
|
Focus |
ศึกษาองค์ประกอบทางการเมืองที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายประชากร การตั้งถิ่นฐานใหม่ของพวนในพื้นที่ต่างๆ ของไทย และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยของพวนในช่วงอายุ 5-6 รุ่น การศึกษานี้พยายามเน้นความแตกต่างระหว่างคนพวนกับคนไทยและลาว โดยอธิบายขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพวน รวมทั้งพยายามอธิบายว่าทำไมวัฒนธรรมของพวนจึงยังคงอยู่รอดมาเป็นเวลานานในที่ราบภาคกลางของไทย (น.8) |
|
Theoretical Issues |
การศึกษาชิ้นนี้มีแนวทางการศึกษา 2 ส่วน ส่วนแรก ตั้งแต่บทที่ 1 ถึงบทที่ 8 เป็นการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ อธิบายความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างรัฐไทย ลาว และเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อรัฐพวนที่ตั้งอยู่ในดินแดนระหว่างลาวกับเวียดนาม โดยเฉพาะนโยบายของรัฐไทยที่อพยพพวนออกจากบ้านเกิดเพื่อป้องกันมิให้พวนสามารถสนับสนุนช่วยเหลือลาว และส่วนที่สอง เป็นการศึกษาวัฒนธรรมพวนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย ผู้เขียนพยายามอธิบายวัฒนธรรมพวนที่ยังคงอยู่รอดในสังคมไทยโดยใช้แนวความคิดเรื่องการผสมกลมกลืน (assimilation) และได้นำวิธีการศึกษาของ John Hickman มาใช้ ซึ่งในการศึกษาการเปลี่ยนแปลง Hickman มีสมมุติฐานว่า แบบแผนพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ภายในขอบเขตอันจำกัดของสังคมหมู่บ้าน จะเปลี่ยนไปเป็นพฤติกรรมแบบตะวันตกในระหว่างกระบวนการแห่งการผสมกลมกลืน (the process of assimilation) และเขาก็มองว่าการเลื่อนฐานะทางสังคม (social mobility) เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผสมกลมกลืน เขาได้สร้างเครื่องมือสำหรับวัดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต (life-style) ท่ามกลางการเลื่อนฐานะ (the mobile) โดยสร้างเกณฑ์จำแนกของตัวแปรต่าง ๆ ที่แยกความแตกต่างคนแต่ละคน (น.195) สำหรับการศึกษาพวนชิ้นนี้ ผู้เขียนได้ใช้ตัวแปรที่สะท้อนระดับการข้องเกี่ยวกับสังคมที่กว้างกว่าสังคมหมู่บ้าน โดยตัวแปรแต่ละตัวจะมีเกณฑ์ (categories) สำรวจการเปลี่ยนแปลงแบบแผนความคิดและพฤติกรรมของพวนไปสู่ความคิดและพฤติกรรมสมัยใหม่แบบเมือง เกณฑ์เหล่านี้จะช่วยกำหนดแบบแผนและอัตราการเลื่อนฐานะในหมู่บ้านที่ศึกษาทั้งสองแห่ง รวมทั้งเปรียบเทียบระดับการผสมกลมกลืนด้วย ตัวแปรเหล่านั้นได้แก่ ตัวแปรที่ 1 ความเป็นอิสระจากคำอธิบายแบบจารีตเดิมเกี่ยวกับความสำเร็จ ชาวบ้านมองคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจว่าเป็นผลมาจาก 1) การสะสมบุญในอดีตชาติ 2) ส่วนหนึ่งจากผลบุญที่สะสมในอดีตและอีกส่วนหนึ่งจากการทำงานหนัก และ 3) การทำงานหนักและวางแผนอย่างรอบคอบ ตัวแปรที่ 2 การศึกษาของเด็ก ๆ ชาวบ้านคิดอย่างไร 1) ไม่สนใจให้การศึกษา 2) ให้เด็กเรียนหนังสือ แต่ยังต้องการให้พวกเขายังคงอยู่ในหมู่บ้าน 3) ต้องการให้เด็ก ๆ มีการศึกษาสูง โดยให้เด็กผู้ชายออกไปนอกหมู่บ้าน ส่วนเด็กผู้หญิงยังคงอยู่ในหมู่บ้าน และ 4) ต้องการให้เด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายมีการศึกษาสูง มีงานดี แม้ว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งหมู่บ้านก็ตาม ตัวแปรที่ 3 ก. ประสบการณ์นอกชุมชนหมู่บ้าน 1)ไม่เคยเดินทางออกนอกอำเภอ 2) เดินทางออกนอกอำเภอในบางโอกาส 3) เดินทางออกนอกอำเภอบ่อยเพื่อติดต่อธุรกิจหรือเที่ยว และ 4) เดินทางออกนอกอำเภอบ่อยมาก - ตัวแปรที่ 3 ข. ระดับการเปิดรับสื่อ (หนังสือพิมพ์ระดับชาติ) - ตัวแปรที่ 3 ค. การข้องเกี่ยวติดต่อนอกเหนือระดับหมู่บ้าน ตัวแปรที่ 4. ความสามารถในการสื่อสารภาษาไทยราชการ 1)ไม่สามารถพูด อ่าน หรือเขียนภาษาไทย 2) พูดภาษาไทยได้ แต่ไม่สามารถอ่านหรือเขียน 3) พูด อ่านและเขียนภาษาไทยได้ และ 4) พูด อ่านและเขียนภาษาไทยได้ดี ตัวแปรที่ 5. ความสนใจทางการเมือง 1) ไม่สนใจการเมืองและไม่เข้าไปมีส่วนร่วม 2) สนใจการเมืองบ้าง แต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม และ 3) สนใจการเมืองบ้าง และเข้าไปมีส่วนร่วมบ้าง ตัวแปรที่ 6 ทักษะความรู้ด้านอาชีพ 1) ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว 2) ปลูกข้าวและพืชอื่นๆ หรือทำสวน หรือเลี้ยงสัตว์ และ 3) ต้องออกนอกหมู่บ้านเพื่อใช้ทักษะความรู้ด้านอาชีพ (ช่างไม้ ครู ค้าขาย รับราชการ) (น.195-208) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนพวนในที่ราบภาคกลางของไทยโดยเฉพาะบริเวณบ้านหมี่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 (น.8) และเน้นการศึกษาที่บ้านเสา (Ban Sao) กับบางกะพี (Bang Kaphi) (น.131) |
|
History of the Group and Community |
ก่อนอพยพเข้ามาในไทย พวนได้ตั้งถิ่นฐานมีฐานะเป็นรัฐอิสระอยู่ติดกับเวียดนาม โดยมีภูเขากั้นระหว่างที่ราบอันเป็นที่ตั้งเมืองทั้งสอง รัฐพวนประกอบด้วยเมืองเล็ก ๆ หลายเมือง มีเจ้าเมืองเชียงขวางเป็นผู้ปกครอง พวนถือว่าตนสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษไท (น.3) พวนอพยพเข้ามาในไทยเนื่องจากความขัดแย้งและสงครามระหว่างรัฐไทย ลาว และเวียดนาม ราชสำนักไทยเห็นว่าจากสถานที่ตั้งของรัฐพวน ทำให้รัฐพวนเป็นแหล่งสนับสนุนเสบียงอาหารให้กับกองทัพฝ่ายตรงข้ามของไทย เพื่อป้องกันความช่วยเหลือดังกล่าว จึงจำเป็นต้องกวาดต้อนผู้คนพวนออกจากถิ่นที่อยู่เดิมให้หมด การกวาดต้อนได้เริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2377 (1834) ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 (น.23-24) หลังการอพยพในปี พ.ศ.2419 (1876) คนพวนก็ได้เริ่มเข้ามาตั้งบ้านเรือนตามลำน้ำที่บ้านเสาในบริเวณทางเหนือของลพบุรีเป็นแห่งแรก และประมาณปี พ.ศ.2426 (1883) ชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางการบริหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อเปลี่ยนศตวรรษใหม่ก็กลายเป็นที่ทำการอำเภอสนามแจ้งซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ต่อมาก็ได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปตามตำบลต่าง ๆ หลายแห่ง และสุดท้ายก็ย้ายกลับมาตั้งที่ทำการอำเภอในตลาดแห่งใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ทำการเดิมแห่งแรก และในปี พ.ศ.2454 (1916) ชื่ออำเภอได้เปลี่ยนมาเป็น "บ้านเสา" ตามชื่อที่ตั้งที่ทำการอำเภอเดิม และเมื่อปี พ.ศ.2482 (1939) ก็เปลี่ยนชื่ออำเภออีกครั้งหนึ่งเป็น "บ้านหมี่" ซึ่งคำว่า "หมี่" มาจากชื่อที่ใช้เรียกผ้าทอพื้นเมืองของพวนที่ใช้ไหมและฝ้ายทอผสมกันอันเป็นลักษณะเฉพาะของคนพวนที่นี่ (น.133) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนกล่าวถึงลักษณะบ้านของพวนในที่ราบภาคกลางของไทยว่า โครงสร้างบ้านของพวนแตกต่างจากบ้านเรือนไทยเพียงเล็กน้อย โดยทั่วไปเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ หลังคาเป็นไม้แผ่นเล็ก ๆ หรือสังกะสี ถ้าเป็นคนจนเรือนจะเป็นไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบหญ้า ตัวเรือนยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร ส่วนมากแล้วพื้นที่หลักของเรือนอาจจะยกพื้นสูงกว่าส่วนอื่น ๆ โดยแบ่งเป็นห้อง ๆ และเหลือพื้นที่โล่งไว้ส่วนหนึ่งเป็นระเบียง หรือลักษณะเรือนอาจจะเป็นตัวเรือน 2 หลังหรือมากกว่าสองหลังหันหน้าชนกันมีนอกชานแล่นกลางเชื่อมตัวระหว่างเรือนทั้งสอง สำหรับบริเวณที่ใช้ทำครัวจะเป็นห้องโล่ง ส่วนใต้ถุนเรือนใช้เป็นคอกสัตว์ และใกล้กับตัวเรือนจะมียุ้งสำหรับเก็บข้าวเปลือกต่างหาก (น.148) |
|
Demography |
ผู้เขียนกล่าวถึงข้อมูลประชากรภาคสนามที่อำเภอบ้านหมี่ว่า เป็นพวนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นคนไทย ลาวและคนจีน โดยคนไทยจะอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ แม่น้ำ Bang Kam ขณะที่คนลาวจะตั้งบ้านเรือนกระจาย ส่วนคนจีนซึ่งเป็นคนรุ่นที่สองจะอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ตลาดและศูนย์การค้าของบ้านหมี่ (น.134) สำหรับประชากรบ้านเสาและบ้านบางกะพีที่ถูกสัมภาษณ์ส่วนใหญ่เป็นเพศชายทั้งสองหมู่บ้าน คือ บ้านเสา 72.8% และบ้านบางกะพี 68.8% โดยส่วนที่เหลือเป็นเพศหญิง ทั้งสองหมู่บ้านมีโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานโดยมีความแตกต่างกันเล็กน้อยคือ ประชากรที่บ้านเสาส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 46-60 ปี จำนวน 53.3% รองลงมาอายุระหว่าง 26-45 ปี จำนวน 29.4% ขณะที่บ้านบางกะพีประชากรส่วนใหญ่อายุระหว่าง 26-45 ปี จำนวน 57.9% รองลงมาอายุระหว่าง 46-60 ปี จำนวน 21.3% ส่วนประชากรอายุตั้งแต่ 25 ปีลงมา ทั้งสองหมู่บ้านมีน้อยที่สุดเหมือนกันคือ บ้านเสา 1.1% บ้านบางกะพี 3.5% ประชากรของหมู่บ้านทั้งสอง 80% ขึ้นไปมีสถานภาพสมรส คนโสดในบ้านเสามีอัตราน้อยกว่าบ้านกะพี คือ 2.2% ขณะที่บ้านบางกะพีมี 4.5% ส่วนการหย่าร้างและแยกกันอยู่ทั้งสองหมู่บ้านมีอัตราใกล้เคียงกัน คือ 2.2% และ 1.1% ในบ้านเสา ส่วนบ้านบางกะพี 2.0% และ 1.0% การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ในบ้านเสามีอัตราสูงกว่าบ้านบางกะพีมากคือ แต่งงานกับคนไทย 26.1% และแต่งกับคนลาว 7.6% ขณะที่บ้านบางกะพีแต่งกับคนไทยเพียง 7.9% และคนลาว 5.9% ส่วนการแต่งกับคนจีนมีเฉพาะในบ้านบางกะพี 0.5% ในด้านการศึกษาอัตราคนไม่รู้หนังสือในหมู่บ้านทั้งสองแห่งใกล้เคียงกัน คือ 9.8% และ 10.4% จำนวนประชากรของทั้งสองหมู่บ้านส่วนใหญ่จบประถมศึกษาปีที่ 4 คือ บ้านเสา 51.1% และบ้านบางกะพี 57.4% แต่อัตราคนที่จบการศึกษาสูงกว่าประถมศึกษาปีที่ 4 ในบ้านเสามีมากกว่าบ้านบางกะพี คือ 21.7% ส่วนบ้านบางกะพีมีเพียง 6% และในด้านการประกอบอาชีพของหมู่บ้านทั้งสองแห่งมีความแตกต่างกันดังนี้ บ้านเสาปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว 34.8% ปลูกข้าวร่วมกับพืชอื่น 14.0% ค้าขาย 23.9% รับราชการ 5.4% แรงงานฝีมือ 3.3% แรงงานทั่วไป 10.9% ขณะที่บ้านบางกะพีมีผู้ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวแค่ 16.3% ปลูกข้าวและพืชอื่น ๆ สูงถึง 55.0% ค้าขาย 10.9% รับราชการ 2.5% แรงงานฝีมือและแรงงานทั่วไปรวมกันได้เพียง 5% |
|
Economy |
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ : ในบทนำอธิบายสภาพการติดต่อค้าขายทั่วไปของรัฐพวนว่า การติดต่อค้าขายกับคนภายนอกจะทำได้ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เนื่องจากระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมเป็นฤดูมรสุมการเดินทางลำบาก การแลกเปลี่ยนสินค้าทำให้พวนมีของใช้จำเป็นที่พวกเขาต้องการจากโลกภายนอก สินค้าที่พวนนำมาแลกเปลี่ยน ได้แก่ งาช้าง ทอง cinnmon, gum benjamin, cardamoms และ สมุนไพรหายาก ผ้าไหม ขี้ผึ้ง ยาสูบ และอื่น ๆ เกลือเป็นสินค้าจำเป็นที่พวนต้องซื้อจากภายนอก จากชายฝั่งอันนำและหลวงพระบาง เพราะรัฐพวนไม่มีแหล่งเกลือ (น.4-5) ในบทที่ 12 ผู้เขียนกล่าวถึงลักษณะเศรษฐกิจของพวนในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในที่ราบภาคกลางว่า ลักษณะเศรษฐกิจไม่มีความแตกต่างจากท้องถิ่นเดิมของพวกเขา การค้าขายแลกเปลี่ยนภายในท้องถิ่นและระหว่างท้องถิ่นในราชอาณาจักรไทยส่วนใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน (barter) เงินตราในรูปเงินเหรียญยังหายากอยู่ พืชผลผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก ๆ อย่างเช่น ข้าว จะแลกเปลี่ยนกันในระยะทางสั้น ๆ เท่านั้น ตลาดที่ใช้แลกเปลี่ยนสินค้าเป็นพื้นที่โล่ง โดยจะเริ่มทำการแลกเปลี่ยนกันก่อนตะวันขึ้นแล้วเลิกในตอนสาย ๆ ในระยะนี้สภาพหมู่บ้านกับตัวเมืองไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากเศรษฐกิจพื้นฐานในชนบทเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ ในเมืองยังไม่มีถนนและร้านค้าเกิดขึ้น ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานเพื่อขยายการค้านอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนแบบเดิม (barter) จึงได้เกิดเมืองที่เป็นปรากฏการณ์แบบเมืองขึ้น (an urban phenomenon) (น.179) ต่อมาประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 19 ลักษณะสภาพเศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไป ความเจริญเติบโตทางการค้าในช่องแคบมะละกาและฮ่องกง รวมทั้งการขนส่งที่มีอันตรายลดลง ทำให้ข้าวจากเมืองไทยสามารถส่งไปยังจีนและยุโรปได้ง่ายขึ้น เมื่อไทยมีพื้นฐานการค้าดีสะดวกขึ้นและมีการตั้งหอการค้า (rice-trading towers) มั่นคงแล้ว รวมทั้งรายได้จากการค้าที่ต่อเนื่องแน่นอนก็ได้ทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจเงินตราขึ้น ชาวบ้านต้องการเงินสดเพื่อใช้จ่ายมากขึ้น พวกเขาได้ดึงดูดพ่อค้าชาวจีนจากกรุงเทพฯ และนอกประเทศให้เข้ามาสร้างอาคารร้านค้าถาวรขายสินค้าต่างๆ และเป็นพ่อค้าคนกลางขายข้าวเปลือกให้แก่พ่อค้าข้าวในกรุงเทพฯ หลังจากกลางคริสตศตวรรษที่ 19 เมืองต่างจังหวัดแบบใหม่จึงปรากฏขึ้น เมื่อเศรษฐกิจแบบเงินตราเริ่มนำการค้าแบบเมืองเข้ามายังหมู่บ้านสำคัญ ๆ ที่ชนชั้นผู้ดี/ขุนนางต่างจังหวัดอาศัยอยู่ (น.179-180) ผู้เขียนเห็นว่า การค้าข้าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมมากมาย ชาวบ้านต้องพึ่งพาข้าวในการเลี้ยงชีพมากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจแบบเงินตราทำให้รัฐหันมาใช้ระบบการเก็บภาษีที่ง่ายกว่าโดยการเรียกเก็บเป็นเงินตรา รัฐได้ยกเลิกระบบการเก็บภาษีแบบเก่า อันได้แก่ การเก็บภาษีของป่า การขุดแร่และการตัดไม้ แล้วใช้ระบบภาษีรายได้ ในช่วงต้นครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 เมื่อการค้าข้าวและเศรษฐกิจแบบเงินสด (the cash economy) ขยายตัว ระบบการจัดเก็บภาษีแบบเดิมก็เริ่มลดลง และกลางทศวรรษ 1890 ก็ยกเลิกระบบภาษีแบบเดิมหมด ใช้ระบบภาษีแบบใหม่และเก็บภาษีบุคคลเป็นเงินสดแทน (น.180) ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ยังทำให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวเพื่อการค้าแทนการปลูกเพื่อยังชีพ ซึ่งทำให้เกิดการกู้เงินเป็นหนี้ในหมู่ชาวบ้าน ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการเงินเพื่อนำไปลงทุนในการปลูกข้าวเพื่อการค้า เมื่อชาวนาเผชิญกับปัญหาเงินกู้ยืม ที่ดินของเขาซึ่งเพิ่งมีมูลค่าทางการค้าสำหรับพวกเขาในช่วง 2-3 ชั่วอายุคนที่ผ่านมา จึงเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่ใช้ประกันการกู้ยืม และชาวบ้านก็ได้สูญเสียที่ดินไปเนื่องจากหนี้สินและอัตราดอกเบี้ยที่สูง (น.183) ระบบเศรษฐกิจชุมชนในอำเภอบ้านหมี่ ข้าวเป็นพืชที่ปลูกได้ดี เนื่องจากดินในบริเวณนี้เป็นดินดำเหนียว แต่ก็มีพืชอีกชนิดหนึ่งที่ปลูกได้ดีในบริเวณนี้คือ ปอกระเจา (kenaf) ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงเกษตรให้เป็นพืชเศรษฐกิจตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ขณะเดียวกันในบริเวณที่มีน้ำชลประทานก็สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น ข้าวโพด ฝ้าย และไม้ผล เช่น น้อยหน่า มะม่วง มะละกอ ได้ (น.135) ในด้านการค้าแลกเปลี่ยน บ้านหมี่มีตลาดสองแห่ง คือ ตลาดเสริมศักดิ์ซึ่งตั้งขึ้นเป็นตลาดแห่งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และตลาดบุญเจริญที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1950 ตลาดบุญเจริญมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเสริมศักดิ์และดึงดูดแม่ค้าพ่อค้ามากกว่ารวมทั้งมีสินค้ามากว่าด้วย (น.138) และก่อนที่ตลาดจะพัฒนา พวนทำการแลกเปลี่ยนผลผลิตส่วนเกินโดยตรงกับหมู่บ้านอื่นที่อยู่ไม่ไกลนัก เรียกกิจกรรมการแลกเปลี่ยนนี้ว่า "แลกข้าว" เพราะมีข้าวเป็นสินค้าหลักในการแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนจะทำในช่วงฤดูแล้งเพราะเป็นช่วงที่มีความต้องการแรงงานในไร่นาน้อย พวนจะนำผลผลิตของตนไปแลกเปลี่ยนกับเนื้อแห้ง ของป่า และอาหารต่าง ๆ ที่ผลิตได้ในหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณที่สูงหรือภูเขา ซึ่งดินในบริเวณนั้นเหมาะสำหรับปลูกพริก ถั่วลิสงและฝ้าย ต่อมาเมื่อเป็นระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนเงินตรา ข้าวที่เป็นผลผลิตส่วนเกินก็ถูกขายโดยตรงให้กับพ่อค้าคนกลาง แต่กิจกรรมการ "แลกข้าว" ก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่มีข้าวรวมอยู่ในรายการของที่ใช้แลกเปลี่ยนก็ตาม (น.135) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน สาวพวนจะแต่งงานในช่วงอายุ 17-20 ปี ขณะที่หนุ่มพวนจะแต่งงานในช่วงอายุ 21-25 ปี และนิยมบวชก่อนแต่งงาน แต่ในพวนที่มีการศึกษาช่วงอายุการแต่งงานจะเลื่อนออกไป และคนโสดที่อายุ 30 ปีขึ้นไปในหมู่พวนก็มีจำนวนน้อยมาก ในการเลือกคู่ พ่อแม่ก็ปรารถนาให้ลูกของตนแต่งงานกับคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมเท่าเทียมกับตนหรือสูงกว่า ขณะที่ลูกชายมักจะต้องการแต่งงานกับผู้หญิงสวย ซึ่งความสวยในทัศนะของหนุ่มพวนคือ ผู้หญิงที่มีผมตรง ตากลมโต หน้าอกกลางๆ สะโพกกลม ขาตรง ท้วมเล็กน้อยเพราะเป็นเครื่องหมายแสดงการมีสุขภาพดีและศักยภาพการเป็นมารดาที่ดี ส่วนผู้หญิงผอมไม่ดึงดูดใจหนุ่ม ๆ การสู่ขอ ถ้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายมีฐานะเท่าเทียมกัน พ่อของฝ่ายชายจะไปเจรจากับพ่อแม่ฝ่ายหญิงโดยตรง แต่ถ้าฝ่ายหญิงมีฐานะสูงกว่า พ่อแม่ของฝ่ายชายก็จะหาตัวแทนจากหมู่ญาติซึ่งมักเป็นผู้อาวุโสเป็นตัวแทนเจรจากับพ่อแม่ฝ่ายหญิง ถ้าฝ่ายหญิงตกลง ฝ่ายชายจะต้องจ่ายค่าสินสอดเป็นเงินจำนวนตามแต่จะตกลงกัน รวมทั้งของหมั้น เช่น สร้อยคอทองคำหรือเครื่องประดับเพชรพลอย ซึ่งสินสอดจะให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นค่าเลี้ยงดู ส่วนของหมั้นถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าสาว หลังการแต่งงานในปีแรกคู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาว (น.159-161) ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา พวนถือกันว่าสามีควรจะเป็นใหญ่เหนือภรรยา ภรรยาต้องปฏิบัติต่อสามีเหมือนดั่งพี่ชายมากกว่าหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน ภรรยาเปรียบเหมือนกับน้องสาวที่ต้องเคารพเชื่อฟังพี่ชาย และสามีจะต้องปกป้องภรรยาและเลี้ยงดูครอบครัว พวนมีข้อห้ามในการแต่งงานสองประการ คือ ห้ามแต่งงานกับญาติผู้พี่ ซึ่งเรียกว่า "pin" เพราะจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่แต่งงานผิดแบบแผนการลำดับญาติ การแต่งงานลักษณะนี้จะนำโชคร้ายความเจ็บป่วยและตายก่อนแก่มาให้ (น.161) ข้อห้ามอีกประการหนึ่งคือ การแต่งงานข้ามลำดับกัน เช่น พี่แต่งกับน้องและน้องก็แต่งกับพี่ ซึ่งเรียกว่า "tao" การข้ามลำดับเช่นนี้ถือว่าผิดระเบียบธรรมชาติ ทั้งยังทำให้เกิดปัญหาการเรียกขานลำดับญาติกันด้วย ดังนั้น พี่จึงควรคู่กับพี่ และน้องคู่กับน้อง (น.163) |
|
Political Organization |
ผู้เขียนกล่าวถึงแบบแผนการปกครองของรัฐพวนในอดีตว่า มีลักษณะเดียวกับเมืองต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขง แต่ละเมืองจะมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองสูงสุด โดยมีผู้ช่วยเจ้าเมือง เจ้าราชวงศ์และเจ้าราชบุตรซึ่งเป็นเชื้อสายในตระกูลเจ้านาย มีอำนาจรองลงมาตามลำดับ และก็มีคณะกรมการเมืองเป็นที่ปรึกษา แม้แต่ละเมืองจะมีอิสระในการปกครองแต่ก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าเมืองเชียงขวาง เนื่องจากถือว่าเจ้าเมืองเชียงขวางมีสถานภาพสูงกว่าเมืองอื่น ๆ (น.4) ในบทที่ 9 ผู้เขียนกล่าวว่า รูปแบบการบริหารการปกครองแบบปัจจุบันได้เข้ามาแทนที่การบริหารรูปแบบเดิมเมื่อคริสตศตวรรษที่ 19 ซึ่งการบริหารแบบเดิมจะอยู่ภายใต้ครอบครัวคนในท้องถิ่นไม่กี่ครอบครัว แต่ปัจจุบันการบริหารโดยคนท้องถิ่นจะถูกจำกัดให้อยู่ในงานด้านสาธารณูปโภค การดูแลเมืองให้สวยงามและความสะอาดในตลาด และเจ้าหน้าที่เทศบาลมีสำนักงานของตนเอง ส่วนงานอื่นๆเป็นหน้าที่ของหน่วยงานในกระทรวงต่าง ๆ ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงลักษณะการบริหารการปกครองบ้านหมี่โดยตรง แต่ก็กล่าวถึงบริการด้านต่างที่เป็นของรัฐ ในบ้านหมี่ ได้แก่ สำนักงานไฟฟ้าจังหวัด ที่ทำการไปรษณีย์และโทรเลข สำนักงานประปา ธนาคารออมสิน และสำนักงานชลประทาน โรงพยาบาล โรงเรียน (น.136) |
|
Belief System |
ศาสนาพุทธ พวนนับถือศาสนาพุทธ ทุกบ้านจะมีที่เฉพาะสำหรับตั้งพระพระพุทธรูป พร้อมทั้งจัดอาหาร น้ำ ดอกไม้ ตั้งไว้หน้าพระพุทธรูปทุกวัน ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ 'การถวายของบูชา' ('worship' offerings) ในเชิงเทวนิยม เพราะพระพุทธรูปไม่ได้แทนอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ สิ่งของที่วางไว้หน้าพระพุทธรูปแสดงถึงการตอบแทนและความสุขของครอบครัว พวนเชื่อว่าพระพุทธรูปมีพลังอำนาจปกป้อง ไม่มีอำนาจใดยิ่งใหญ่กว่าอำนาจพระพุทธคุณ ก่อนเข้านอนหัวหน้าครอบครัวจะไหว้พระสวดมนต์ และขอให้คุณพระปกป้องคุ้มครองตนและครอบครัวจากอันตรายหรือสิ่งชั่วร้าย (น.168) พวนเชื่อว่าการปฏิบัติสามอย่างอันได้แก่ การบวชลูกชายเป็นพระ การทำบุญทอดกฐิน และการได้ร่วมสร้างวัดในพุทธศาสนา จะทำให้พวกเขาไปดีเมื่อตาย (น.171-172) ความเชื่อเกี่ยวกับผี พวนเชื่อว่ามีผีร้ายกับผีดี ผีร้ายที่น่ากลัวมากคือ ผีปอบ เพราะเชื่อว่าผีปอบชอบกินอวัยวะภายใน คนที่โดนผีปอบเข้าจะไม่รู้ตัวจนกระทั่งผีปอบได้ทำลายอวัยวะข้างใน หมอผีซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกันกับหมอยาก็จะถูกตามตัวให้มาขับไล่ผีปอบ ส่วนผีดีเป็นผีที่ช่วยรักษาดูแล จะอยู่ทั่วไปและอยู่รอบ ๆ หมู่บ้าน พวนจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ไว้ที่มุมหนึ่งภายในบริเวณบ้านสำหรับผีดีอยู่อาศัย ซึ่งพวนเรียกผีนี้ว่า "เจ้าพ่อ" เป็นผีที่มีอำนาจปกป้องคุ้มครอง และจะต้องถวายอาหาร น้ำและดอกไม้แก่เจ้าพ่อเป็นการตอบแทน (น.173) พิธีกรรม พิธีกรรมสำคัญที่กล่าวถึงในการศึกษานี้ ได้แก่ งานบุญห่อข้าวซึ่งจัดก่อนสิ้นเดือน 9 สองสามวัน เป็นการทำบุญให้กับผี การกำฟ้า จะทำในวันข้างขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 ครั้งหนึ่งและวันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 3 อีกครั้งหนึ่ง ในวันกำฟ้านี้ชาวบ้านจะไม่ทำเสียงดังใด ๆ ทุกคนจะรักษาความเงียบตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน (น.175) พิธีศพ งานศพจะจัดที่วัด ถ้าผู้ตายมีลูกชาย ลูกชายก็จะบวชหน้าศพให้โดยเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายจะจับชายจีวรของพระลูกชายไปสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีลูกชาย หลานชายหรือญาติผู้ชายก็จะเป็นผู้บวชให้ พวนแบ่งการตายเป็น 3 อย่าง คือ แก่ตาย ตายห่าและตายโหง โดยถือการแก่ตายเป็นการตายดี เพราะตายตามธรรมชาติ ส่วนตายห่าและตายโหงเป็นการตายไม่ดีเพราะตายก่อนวัยแก่ ตายห่าคือการเจ็บป่วยตาย ส่วนตายโหงคือการตายเนื่องจากอุบัติเหตุ พวนจะไม่เผาศพให้กับคนที่ตายห่าและตายโหง แต่จะฝังแทน (น.177-178) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาโรคภัยไข้เจ็บของพวนมีพื้นฐานความรู้จากพุทธศาสนาและโลกวิญญาณ หมอรักษาของพวนมี 2 แบบคือ หมอยากับหมอผี หมอยาจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร ส่วนหมอผีรักษาโรคที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผี เช่น ผีปอบ ด้วยพลังอำนาจพิเศษ (น.172-173) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนกล่าวถึงหัตถกรรมการทอผ้าของพวนที่บ้านหมี่ไว้เล็กน้อยว่า เมื่อพวนได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนที่บ้านหมี่ ดินที่บ้านหมี่สามารถปลูกฝ้ายได้ดี พวกเขาจึงได้พัฒนาการทอผ้าไหมโดยนำใยฝ้ายมาใช้ทอผ้าผสมกับใยไหมเกิดเป็นผ้าทอลักษณะเฉพาะถิ่น ซึ่งเรียกว่า "หมี่" และผ้าทอนี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของชาวบ้าน แต่ในช่วงทศวรรษ 1970 ก็เหลือเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นที่ยังทอผ้านี้ นอกจากการทอผ้าแล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงไว้เล็กน้อยว่า ผู้หญิงพวนนิยมไว้ผมยาวและนุ่งซิ่น ซึ่งเหมือนกับผู้หญิงลาว (น.133-134) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
พวนทั้งที่บ้านบางกะพีและบ้านเสาส่วนใหญ่มองตนเองว่า เป็นคนไทกลุ่มหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษตระกูลไท มีเพียงจำนวนน้อย (5.5 %ที่บ้านเสา) มองว่าตนเองเหมือนคนลาว และก็มีจำนวนหนึ่ง (28%) มองว่าคนพวนแตกต่างจากคนไทยและคนลาวซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าประสบการณ์การศึกษาและประสบการณ์นอกหมู่บ้าน ได้เพิ่มการตระหนักรู้ถึงความแตกต่างดังกล่าวในหมู่คนกลุ่มนี้ และการตระหนักรู้ในตัวตน (self-awareness) เพิ่มและลดระดับลงตามกระบวนการการเปลี่ยนแปลงและการผสมกลมกลืน (the process of mobility and assimilation) พวนที่บ้านเสาส่วนมากจะรู้สึกว่าการเรียกพวกเขาว่า "ลาวพวน" แสดงนัยยะความต่ำต้อย พวกเขามองตนเองว่าเป็น "พวน" โดยไม่ต้องอ้างอิงหรือเชื่อมโยงกับไทยหรือลาว ขณะที่พวนบ้านบางกะพียอมรับการเรียกนี้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์พวนน้อย พวกเขาคิดว่าแผ่นดินพวนโบราณผูกพันใกล้ชิดกับลาว และความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตก็เป็นประว้ติศาสตร์บอกเล่าจากผู้สูงอายุในหมู่บ้านเกือบทั้งหมด โดยทั่วไป คนพวนไม่ลังเลใจที่จะบอกว่าตนเป็นพวน ความภูมิใจในการเป็นพวนมองเห็นได้ในกลุ่มคนที่มีการเลื่อนฐานะทางสังคมสูงขึ้นกว่าเดิม ในทัศนะของผู้เขียน แนวโน้มนี้ไม่สอดคล้องกับการยอมรับการเรียก "ไทย-พวน" (หมายถึงคนพวนในประเทศไทย) พวนจำนวนมากต้องการเรียกร้องให้มาสนใจวัฒนธรรมของพวกเขา เช่น การแสดงหมอลำพวน การออกหนังสือพิมพ์ข่าวสารไทยพวนเพื่อเชื่อมโยงคนพวนในจังหวัดต่างๆ เข้าด้วยกัน และที่สำคัญคือ การที่คนพวนเริ่มพูดภาษาพวนในที่สาธารณะ เพราะถ้าพวกเขาไม่พูดภาษาพวนก็จะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นพวน แม้แต่ในหมู่คนพวนด้วยกันเอง พวกเขาต้องการให้คนอื่นโดยเฉพาะคนไทยภาคกลางตระหนักถึงฐานะ "คนพวน" ที่เท่าเทียมกับคนกลุ่มใหญ่ (น.223-224) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ จากเศรษฐกิจแบบยังชีพมาสู่เศรษฐกิจการตลาด ทำให้เกิดการเลื่อนฐานะทางสังคม (social mobility) ในชนบทมากขึ้น อัตราการเลื่อนฐานะและการผสมกลมกลืน (mobility and assimilation) ในพวนรุ่นหนุ่มสาวมีสูงกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ เพราะการทำมาหากินแบบเดิมไม่สามารถหารายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพอีกต่อไป (น.227-228) การเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือ ในระบบการเก็บภาษีแบบเดิม กลุ่มคนในหมู่บ้านมีหน้าที่จัดหาสิ่งของที่รัฐต้องการ เช่น ไม้ซุง ทอง ไหม เครื่องเทศ ซึ่งปริมาณสิ่งของที่จัดส่งให้รัฐจะคำนวณจากจำนวนแรงงานในพื้นที่ ระบบภาษีแบบนี้ไม่ใช่ภาษีบุคคล แต่เป็นภาษีของหน่วยทางสังคม (a tax on the social units) ระบบเช่นนี้ทำให้ผู้ชายและผู้หญิงต้องทำงานร่วมกันเพื่อผลิตหรือจัดหาสิ่งของให้แก่รัฐ รูปแบบของประเพณีการร่วมมือกันทำงานเช่นนี้ คือ ระบบแรงงานไพร่ (the corvee labour system) ซึ่งได้หายไปอย่างรวดเร็วในจังหวัดที่พวนอาศัยอยู่ (น.180) นอกจากนี้ การติดต่อกับวัฒนธรรมเมืองก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวบ้านเสาแบบอื่น ๆ ด้วย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำนาแบบดั้งเดิม แรงงานสัตว์ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรยนต์ การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประเมินคุณภาพดินและใช้ปุ๋ยเคมี (น.183-184) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ 1 : แหลมอินโดจีน (น.VIII) แผนที่ 2: รัฐพวน (น. IX) ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบอายุ การแต่งงาน การศึกษาและอาชีพระหว่างบ้านเสากับบ้านบางกะพี ปี พ.ศ. 2514 (น.145) ตารางที่ 2 แสดงทัศนะของงานในอุดมคติ ปี พ.ศ. 2514(น. 192) ตารางที่ 3 แสดงจำนวนเด็กที่ถูกส่งไปโรงเรียนโดยแยกตามอาชีพของพ่อแม่ ปี พ.ศ.2514 (น.199) |
|
|