สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,สาธารณสุข,การวางแผนครอบครัว,ภาคเหนือ
Author Peter Kunstadter, Chupinit Kesmanee, Prawit Pothiart
Title Hmong and Karen Health and Family Planing: Cultural and Other Factors Affecting Use of Modern Health and Family Planning Services by Hilltribes in Northern Thailand
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 225 Year 2530
Source The Family Health Division, Department of Health Ministry of Public Health, Bangkok.
Abstract

ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากอุบัติเหตุ สาเหตุจากภายในและจากธรรมชาติภายนอก รวมถึงการเจ็บป่วยที่มีความสัมพันธ์กับสังคม ข้อห้าม และจิตวิญญาณ เทพเจ้าต่าง ๆ การรักษามีหลายวิธีการ การตัดสินใจเลือกใช้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์แต่ละบุคคลที่เจ็บป่วย หากไม่ได้มีสาเหตุภายนอกซึ่งได้วินิจฉัยแล้วโดยหมอผี การรักษาก็จะเป็นไปโดยใช้ยาสมุนไพรแบบดั้งเดิม ยาสมัยใหม่ หรือใช้คาถา หรือผสมผสานวิธีการรักษาทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ สำหรับการวางแผนครอบครัวของม้งยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัจจัยทางด้านสังคมที่เป็นครอบครัวขยาย การสืบโคตรตระกูลฝ่ายพ่อทำให้มีความต้องการลูกชายมากกว่าลูกสาวแต่ก็ยังคงต้องการมีลูกสาวเช่นกันเพื่อช่วยเศรษฐกิจในครอบครัว และต้องการแรงงานมาใช้ในการผลิต ปัจจัยทางโครงสร้างทางสังคม ความเชื่อและพิธีกรรมได้หยั่งรากลึก และแม้จะดูเหมือนว่าม้งจะยอมรับวัฒนธรรมภายนอกแต่ดูเหมือนจะยอมรับวัฒนธรรมทางวัตถุสมัยใหม่ได้ง่ายกว่า แต่ยังคงสืบทอดโครงสร้างทางสังคมแบบดั้งเดิม หากเป็นไปตามกระบวนการนี้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาในการวางแผนครอบครัว ซึ่งแนวทางในการแก้ไขอาจจะอยู่ที่การสนับสนุนแนวคิดที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันในเรื่องเพศให้เหมือนกับในสังคมไทย ทั้งลูกสาวและลูกชายสามารถดูแลครอบครัวได้ก็อาจจะช่วยลดอัตราการเกิดได้ (หน้า 141-148) กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก แต่ส่วนใหญ่การเจ็บป่วนเกิดจากผี เทพเจ้า หรือการเสียขวัญ ซึ่งจะต้องมีการเซ่นไหว้ด้วย หมู ไก่ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แต่กะเหรี่ยงก็มีอีกหลายวิธีการในการรักษาอาการเจ็บป่วยเช่น การใช้ยาสมุนไพร น้ำมนต์ ยาสมัยใหม่ ฯลฯ การรักษาแบบสมัยใหม่ได้รับความนิยมน้อยเนื่องจากค่ารักษาแพงกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม และมีปัจจัยเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดที่โรงพยาบาลจะทำให้เด็กไม่มีบุญและมารดาเจ็บมากกว่าการคลอดที่บ้าน กลุ่มกะเหรี่ยงยังคงต้องการความรู้เกี่ยวกับการดูและครรภ์ การเลี้ยงดูเด็กและโภชนาการเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องการวางแผนครอบครัว พบว่ามีปัจจัยทางวัฒนธรรมบางประการที่ช่วยในเรื่องของการวางแผนครอบครัวได้ดีกว่าม้ง เช่นจากการที่กะเหรี่ยงไม่ได้เป็นครอบครัวขยายและไม่ได้คาดหวังกับเพศของบุตรมากเท่าม้ง แม้ว่าจะนิยมมีลูกสาวมากกว่าก็ตาม และ ในกลุ่มหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาเป็นกลุ่มที่ใช้การคุมกำเนิดมากกว่า แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปทางสังคมเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการวางแผนครอบครัว (หน้า 217-219)

Focus

สำรวจเชิงปริมาณเพื่อศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันทางเศรษฐกิจ สังคม และศึกษาปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้การสาธารณสุขแบบใหม่และการวางแผนครอบครัวในกลุ่มชาวเขา โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดอัตราการตายของกลุ่มชาวเขาให้อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มชนที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ราบ (หน้า 1-3)

Theoretical Issues

สังคม คือ ปฎิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลหรือกลุ่ม ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ จะมีความสำคัญในการใช้เพื่อวางแผนการสาธารณสุขและการวางแผนครอบครัวทั้งในทางตรงและทางอ้อม วัฒนธรรมแสดงถึงรูปแบบความเชื่อพฤติกรรมของกลุ่มซึ่งจะมีผลต่อรูปแบบการรักษาโรค อาจจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของการเจ็บป่วยและการเข้าใจที่แตกต่างไปทำให้ใช้การรักษาที่แตกต่างกันออกไป ความเชื่อในการรักษาแบบดั้งเดิมอาจจะขัดขวาง ไม่ต้อนรับ การรักษาแบบสมัยใหม่หรือรู้สึกสะดวกกว่าที่จะใช้การรักษาแบบดั้งเดิม และการเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในการป้องกันการเจ็บป่วยหรือในการรักษาการเจ็บป่วย มีรายงานในระบบการรักษาโรคของเอเชียไว้เสมอว่า "กลุ่มคนในแถบนี้รวมถึงชาวเขาเป็นกลุ่มที่มีหลากหลายความเชื่อ "Ploralistic" ที่ผสมอยู่และใช้ในเวลาเดียวกันและมีความขัดแย้งในระบบ (Kunstadter 1975: Riley and Sermsri 1974)" (หน้า 12-13)

Ethnic Group in the Focus

ม้งและกะเหรี่ยงใน 2 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอนและตาก (หน้า 21 ตารางหมู่บ้าน) ม้ง ใน 4 หมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดตาก คือ บ้าน Wang Tham Leung, Ban Maeo Mae Thaw, Ban Pa Pheung และ Ban Huai Luang สองหมู่บ้านแรกสามารถเดินทางเข้าถึงตัวหมู่บ้านได้สะดวก สำหรับสองหมู่บ้านหลังค่อนข้างอยู่ห่างไกล (หน้า 33) กะเหรี่ยง บ้าน Mae Haw และ บ้าน Mae Kanai ตำบล Mae Haw อำเภอแม่สะเรียง จังหวัด แม่ฮ่องสอน และกะเหรี่ยงบ้าน Mae Ou sou และ Mae Tha ตำบล Mae Tan อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (หน้า 154-155)

Language and Linguistic Affiliations

ม้ง เชื่อว่าพวกเขามีภาษาเขียนใช้เป็นของตนเองในอดีตซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้ แต่พวกเขาทำหายไป ปัจจุบันมีความพยายามที่จะเขียนภาษาม้งกับตัวอักษรอื่นๆ ภาษาม้งเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น เดียวกับภาษาไทย และภาษาจีน ภาษาม้งจัดอยู่ในตระกูล (Miao-Yao) ภาษาม้งในกลุ่มม้ง "Der" และ ม้ง "Njua" มีความแตกต่างบ้างแต่ยังเข้าใจกันได้ (หน้า 36)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1987

History of the Group and Community

ในบันทึกของชาวจีนกล่าวถึงกลุ่มชนแม้ว (Miao or Meo) ซึ่งก็คือกลุ่มชาวม้งในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง ไม่มีบันทึกก่อนหน้านี้ว่ากลุ่มชนเหล่านี้มาจากไหน แต่บันทึกแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง สงครามระหว่างชาวฮ้นประชาการส่วนใหญ่ของจีนกับชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ เป็นเหตุผลให้ม้งอพยพลงใต้มายังบริเวณ ทางเหนือของเวียดนาม ทางตอนใต้ของจีน ทางเหนือของลาว พม่า และประเทศไทย โดยอพยพเข้าสู่ประเทศไทยทาง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน และจังหวัดเลย มาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมา ประชากรม้งในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นทั้งจากการเกิดและการอพยพ (หน้า 34 )

Settlement Pattern

ม้งนิยมตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่สูงเหมาะสมกับการเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกฝิ่น ส่วนใหญ่หมู่บ้านจะตั้งอยู่สูงประมาณ 1000 เมตรเหนือน้ำทะเลหรือมากกว่า มีประเพณีมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกที่ตั้งบ้าน เช่น จะหลีกเลี่ยงสร้างบ้านตรงกับบ้านคนอื่นในที่ต่ำกว่าเนื่องจากผีจากบ้านที่อยู่สูงกว่าอาจจะมารบกวนได้ และไม่เลือกสร้างบ้าน 3 หลังในบริเวณสามแยก เป็นต้น บ้านของม้งทั่วไปจะไม่ยกพื้น ผนังและหลังคาทำด้วยไม้ หากเป็นบ้านที่ฐานะยากจน ผนังจะทำด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยหญ้า หรือใบไม้ เป็นต้น ภายในบ้านจะมีการแบ่งพื้นที่ส่วนที่เป็นห้องนอนจะอยู่ติดผนัง และมีเตาเผาสำหรับทำอาหารอยู่บนบ้านและจะมีที่สำหรับบูชาผีบรรพบุรุษ ปัจจุบันบ้านม้งมีการสร้างด้วยวัสดุสมัยใหม่ เช่น ทำพื้นซีเมนต์ หลังคามุงกระเบื้องหรือสังกะสี เป็นต้น (หน้า 43-47)

Demography

ม้ง บ้าน Wang Tham Leung มีจำนวนประชากร 24 ครัวเรือน Ban Maeo Mae Thaw มีจำนวนประชากร 42 ครัวเรือน Ban Pa Pheung มีจำนวนประชากร 31 ครัวเรือน และ Ban Huai Luang มีจำนวนประชากร 14 ครัวเรือน (หน้า 32-34) กะเหรี่ยง บ้าน Mae Haw มีประชากรทั้งหมด 57 ครัวเรือน บ้าน Mae Kanai ประกอบด้วย 26 ครัวเรือน บ้าน Mae Ou sou ประกอบด้วยกะเหรี่ยง 86 ครัวเรือน และมีชาวเหนือ 4 ครัวเรือน และบ้าน Mae Tha ประกอบด้วย 45 ครัวเรือนทั้งหมดเป็นกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 154-156)

Economy

ม้ง ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของม้งอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน การปลูกข้าวโพด เลี้ยงหมู และ การปลูกฝิ่น ระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ราบซึ่งได้เปลี่ยนแปลงเป็นปลูกข้าวโพดเพื่อขาย (พืชเศรษฐกิจ) แต่ในพื้นที่สูงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานมีนัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมด้านสาธารณสุข เช่น รายรับที่เพิ่มขึ้น และ การเดินทางสะดวกมากขึ้นทำให้สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้สะดวกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงการทำงานก็มีนัยสำคัญ เช่น การทำงานที่มีเครื่องมือที่ทันสมัยทำให้ผู้หญิงไม่ต้องทำงานหนักในไร่ ลดอัตราการเสี่ยงในการแท้งขณะตั้งครรภ์ (หน้า 69-71) กะเหรี่ยง จากการสำรวจพบว่า 44.4% ให้ลูกสาวทำงานอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวและอาศัยอยู่กับครอบครัวดูแลพ่อแม่ต่อไป และ 22.6% ให้ลูกชายทำงานดั้งเดิม และ 11.3% ให้ลูกชายทำงานอะไรก็ได้ตามต้องการ (หน้า 207-208) จากระบบสังคมดั้งเดิมที่ลูกสาวเมื่อแต่งงานจะอยู่กับครอบครัวและดูแลพ่อแม่ เป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ว่าอาชีพที่พ่อแม่อยากให้ลูกสาวทำเป็นอาชีพดั้งเดิมเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับลูกชายสามารถไปที่ไหนก็ได้จึงนิยมให้ลูกชายทำงานที่หลากหลายมากกว่าลูกสาว และในกลุ่มที่ไม่ใช้ยาคุมกำเนิดต้องการให้ลูกทำงานดั้งเดิมมากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาคุมกำเนิด หมู่บ้านในอำเภอแม่สะเรียง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนา จะไม่มีใครอยากให้ลูกชายทำงานดั้งเดิม และมีเพียง 4 คู่ที่ให้ลูกสาวทำงานดั้งเดิม ในขณะที่ หมู่บ้านที่อำเภอท่าสองยาง ซึ่งไม่ได้รับการพัฒนามากนัก ยังคงต้องการให้ลูกสาวและลูกชายทำงานดั้งเดิมมากกว่า (หน้า 207-210)

Social Organization

ม้ง สังคมม้งแบบดั้งเดิมจะอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงอย่างเป็นอิสระโดยมีความสัมพันธ์ในรูปแบบเครือญาติเป็นหลัก และเป็นเส้นสายในการติดต่อกับโลกภายนอก (หน้า 84) ปฎิสัมพันธ์ทางสังคมส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในรูปของความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และจะเป็นครอบครัวขยาย ผู้สูงอายุชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัว อาจจะมีคนอยู่ร่วมกันในครอบครัวถึง 4 รุ่น ภายหลังการแต่งงานภรรยาจะย้ายมาอยู่บ้านสามีแต่ในบางกรณีสามีจะไปอยู่บ้านภรรยา เช่น ครอบครัวของภรรยาไม่มีลูกชายและไม่มีญาติ ก็จะขอให้ลูกเขยมาอยู่บ้านแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนนับถือผีบรรพบุรุษ สำหรับภรรยาจะเปลี่ยนไปนับถือผีของฝ่ายสามี และลูกที่เกิดก็จะถือเป็นสมาชิกของโคตรตระกูลฝ่ายพ่อ การสืบทอดสายตระกูลผ่านทางผู้ชายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวต้องการมีลูกชายมากกว่า 1 คน (หน้า 85) โดยปกติมีข้อห้ามที่ไม่ให้แต่งงานภายในโคตรตระกูลเดียวกัน ข้อห้ามนี้รวมถึงม้งและชาวจีนที่อยู่ในโคตรตระกูลเดียวกันเช่นกัน แต่มีข้อยกเว้นในโคตรตระกูล Xiong และ Vang สามารถแต่งงานภายในโคตรตระกูลได้แต่ต้องแน่ใจว่ามาจากบรรพบุรุษที่ต่างกัน และจากต่างสายตระกูล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการป้องกันการแต่งงานเครือญาติใกล้ชิดที่จะทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานในหมู่ลูกพี่ลูกน้อง เช่น แต่งานกับลูกสาวของน้องสาวพ่อ หรือ แต่งงานกับลูกสาวของน้องชายแม่ เป็นต้น ภายหลังการแต่งงานจะอยู่อาศัยกับครอบครัวฝ่ายชาย แต่ถ้าครอบครัวที่มีลูกชายที่แต่งงานแล้วหลายคน ลูกชายคนโตจะแยกออกมาสร้างครอบครัวของตนเอง ลูกชายคนสุดท้องจะอยู่กับพ่อแม่และถ้าพ่อแม่ตายลูกชายคนอื่นๆ ก็จะแยกมาสร้างครอบครัวของตนเอง โดยยังคงมีหัวหน้าสายตระกูลคือพี่ชายคนโตในการประกอบพิธีกรรมในเทศกาลต่างๆ (หน้า 86-88)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ม้ง นับถือผีและเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดโชคดี ความอุดมสมบูรณ์และก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้เช่นกัน เทพเจ้าที่รู้จักดีคือ "Saub" เป็นผู้สร้างทุกสิ่งบนโลก รวมถึงกฎและข้อปฏิบัติต่างๆ - "Nju tus teng" เป็นเทพเจ้าแห่งความตายเมื่อคนตายจะไปพบเทพเจ้าองค์นี้ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะได้กลับมาเกิดใหม่หรือไม่ และเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ - "Neng spirits" เป็นจิตวิญญาณที่ดี ในพิธี ua neng ปกติดจะเป็นการขอให้ neng spirit เรียกขวัญของคนไข้กลับเข้าสู่ร่างเพื่อช่วยให้หายเจ็บป่วย - "Da spirits" สามารถทำให้เกิดทั้งสิ่งดีและสิ่งร้ายมี 2 กลุ่ม คือ de nye รวมผีบ้าน, ผีประจำประตู และผีประจำเสาบ้าน และ ser ka spirit ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตของครอบครัวเป็นไปได้ด้วยดี และช่วยเพิ่มสมาชิกให้กับครอบครัว สร้างความร่ำรวยให้กับครัวเรือน - "Altar Shelves" เมื่อประกอบพิธีกรรมสำหรับ neng spirit บางครั้งในบ้านจะมีชั้นสำหรับผี เจ้าที่ประเจ้าบ้านและช่วยในการรักษา อาการเจ็บป่วย - "ผีบรรพบุรุษ" บางคนกล่าวว่าจะอยู่ที่เสาบ้าน ในช่วงเทศกาลจะถูกเชิญมาเซ่นไหว้ ผีบรรพบุรุษจะช่วยสนับสนุนและป้องกันสมาชิกในครอบครัวจากอันตรายต่าง ๆ แต่หากสมาชิกในครอบครัวทำผิดข้อห้ามก็จะทำให้เกิดความไม่สงบ เช่น สัตว์เลี้ยงตาย สูญเสียเงินทอง และก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและตายได้ - "wild spirits" เป็นเทพเจ้าที่อยู่ตามธรรมชาติ ป่าไม้ แม่น้ำ ภูเขา และ ถ้ำ เป็นต้น สามารถก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้ (หน้า 50-55) กะเหรี่ยง ส่วนใหญ่นับถือผีและเทพเจ้าต่างๆ แต่ก็มีบางกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ในกลุ่มที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่มักจะเข้าร่วมกระทำพิธีในศาสนาพุทธโดยเฉพาะภายใต้การนำของครูบาขาว สำหรับกลุ่มทีนับถือผี ครอบครัวเป็นทั้งหน่วยทางเศรษฐกิจและพิธีกรรม กะเหรี่ยงบางคนจะทำพิธี "awkre" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนับถือผีบรรพบุรุษ และกะเหรี่ยงเชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิดเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งการเกิดใหม่จะเกิดในสถานะที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าได้ และกะเหรี่ยงเชื่อว่าในร่างกายประกอบด้วย 32 ขวัญ ถ้าขวัญบางส่วนออกจากร่างอาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วย หรือตายได้ขวัญอาจจะออกจากร่างไปเพื่อเยี่ยมญาติที่ล่วงลับไปแล้วหรืออาจถูกขโมยไปโดย ผี หรือหรือวิญญาณชั่วร้าย ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการทำพิธีเพื่อเรียกขวัญเข้าร่าง นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังมีข้อห้ามต่างๆ ที่หากกระทำผิดอาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้เช่นกัน เช่น การห้ามแต่งงานกับญาติพี่น้องใกล้ชิด การกระทำพิธีกรรมส่วนใหญ่จะทำภายในครัวเรือนแต่ก็มีหมอผีประจำหมู่บ้านประกอบพิธีกรรมใหญ่ในหมู่บ้าน แต่ไม่ได้มีอำนาจมากนัก กะเหรี่ยงสะกอ เรียกว่า "Thipokawkesaw" และในกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ เรียกว่า "Sjaechengkhu" (หน้า 157-159)

Education and Socialization

ปัจจัยทางการศึกษากับการใช้ยาคุมกำเนิดของกะเหรี่ยง พ่อแม่ในกลุ่มที่ให้ลูกมีอาชีพอื่น ๆ นอกจากอาชีพดั้งเดิมค่อนข้างจะเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษาเพื่ออนาคตทางการงานของลูก และเข้าใจว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียน และเด็ก ๆ ไม่สามารถช่วยงานของครอบครัวได้มากนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้าพ่อแม่อยากให้เด็กมีการศึกษาก็จะใช้การคุมกำเนิดเพื่อไม่ให้มีลูกมาก และสามารถส่งเสียบุตรได้ สำหรับกลุ่มที่ไม่ใช้การคุมกำเนิดเป็นกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ได้สนใจให้ลูกมีการศึกษาแบบสมัยใหม่มากนัก ในสองหมู่บ้าน อำเภอแม่สะเรียงค่อนข้างจะเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจกับการศึกษาของลูกและต้องการให้ลูกประกอบอาชีพอื่นๆ มากว่า สองหมู่บ้านในอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (หน้า 210)

Health and Medicine

พฤติกรรมด้านสาธารณสุขใน 4 หมู่บ้านม้ง การรักษาแบบสมัยใหม่ใช้ร่วมกับการรักษาแบบดั้งเดิม ในการเจ็บป่วยรุนแรงมีการส่งโรงพยาบาลแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าสะดวกในการเดินทางไปโรงพยาบาลมากน้อยเพียงใด การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ประสบความสำเร็จและไม่เป็นที่เข้าใจในจุดมุ่งหมาย กรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีหญิงในหมู่บ้านเพียงเล็กน้อยที่ใช้ยาคุมกำเนิด (หน้า 69-71) สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์ ความเชื่อ มีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์และกำเนิดบุตร โดยปัญหาเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ธรรมชาติ สังคม และสิ่งเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นสาเหตุในการคลอดบุตรยาก เช่น การทำงานหนักไป ยกของหนัก ในช่วงตั้งครรภ์ ยาที่ใช้ทั้งจากแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ก็อาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นอันตราย ผู้หญิงท้องต้องหลีกเลี่ยงยาและอาหารบางอย่างในขณะตั้งครรภ์ เช่น ไม่กินของเค็ม เปรี้ยวและมัน และสามีจะต้องพยายามหาอาหารทุกชนิดที่ภรรยาต้องการ สังคม ม้งเชื่อว่าเด็กอาจจะเจ็บป่วยได้จากสังคม (Social Psychological) ภรรยาไม่ควรทะเลาะกับสามี พ่อแม่สามีและพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้เด็กคลอดยาก สิ่งเหนือธรรมชาติ ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและการตั้งครรภ์ ผู้หญิงท้องเชื่อว่าควรจะหลีกเลี่ยงการไปในป่าที่มีผี เทพเจ้าที่ชั่วร้ายอาจจะก่อให้เกิดการเจ็บป่วย และม้งจะใช้หมอผีในการวินิจฉัยโรคหากเกิดมีความผิดปกติจากการผิดผี และม้งยังเชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด การตายและการเกิดใหม่ ถ้าเด็กตายในท้องหรือเกิดแล้วตาย ไม่สารารถป้องกันได้แต่ถ้าเด็กเจ็บป่วยก็จะมีการยกบุตรให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่นเพื่อป้องกันเด็กตาย (หน้า 72-73) สัญญาณที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ ความรู้ของชาวม้งเกี่ยวกับสัญญาณที่จะบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ คือประจำเดือนไม่มาติดต่อกันสองเดือน มีอาการแพ้ท้องในช่วงต้นแต่จะดีขึ้นหลังสามเดือน จะมีอาการอยากอาหารบางประเภทโดยเฉพาะของเปรี้ยว ท้องจะโตขึ้นแต่เชื่อว่าไม่ควรจะโตมากจนเกินไป มีการพันผ้าป้องกันไว้ไม่ให้ท้องใหญ่มากจะได้ไม่มีปัญหาในการคลอด และจะมีสัญญาณบางอย่างจะบอกถึงความผิดปกติในการตั้งครรภ์ และส่วนใหญ่ถ้าเกิดความผิดปกติเหล่านี้จะนิยมใช้การรักษาแบบดั้งเดิม รวมถึงการใช้หมอผี หมอยา คาถา เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย หากหมอผีเชื่อว่าควรจะทำพิธีเพื่อไม่ให้เลือดออกมากเมื่อคลอดจะมีการทำพิธีที่เรียกว่า "un neng chai" เป็นต้น และจะมีการใช้สมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการเจ็บในเช้าวันต่อมา (หน้า 74-75) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการคลอดบุตร ปกติเด็กจะครบกำหนดคลอดเมื่อ 9 เดือน 10 วัน ถ้าเด็กคลอดก่อนจะมีใจร้อน (Hot Heart) เด็กจะอ่อนแอ ถ้าเด็กคลอดหลังกำหนดจะมีใจเย็น (Cool heart) จะเติบโตขึ้นแข็งแรง เมื่อถึงเวลาคลอดจะรับรู้ได้จาก ตาลึกและถุงน้ำคร่ำแตก ปวดท้อง เด็กก็จะคลอดในอีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา ในประเพณีดั้งเดิมจะทำคลอดที่บ้านฝ่ายหญิง สามีและญาติจะช่วยทำคลอด หากเกิดกรณีผิดปกติและคลอดยากก็จะมีการส่งไปโรงพยาบาลหรือมีการท่องคาถาหรือใช้หมอผีมาช่วย (หน้า 76) สาเหตุของการเจ็บป่วย การเจ็บป่วยของ เด็ก มีมากกว่าผู้ใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าหญิง โรคที่พบ เช่น ท้องร่วง 1 คน โรคระบบทางเดินหายใจ 11 คน โรคมาลาเรีย 1 คน โรคอื่น ๆ 3 คน รับการรักษาสมัยใหม่ 7 คน รับการรักษาแบบดั้งเดิม 1 คน และรับการรักษาทั้งสองแบบ 14 คน และไม่รับการรักษาใด ๆ 1 คน การเจ็บของผู้ใหญ่ (16-19 ปี) ไม่มีเพศชายเป็นหญิง 3 คน เป็นโรคอื่น ๆ ทั้งสามคน เข้ารับการรักษาแบบสมัยใหม่ 1 คน เข้ารับการรักษาทั้งสองแบบ 2 คน จากตารางแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างโรคใดเป็นพิเศษที่จะใช้การรักษาแบบสมัยใหม่หรือแบบดั้งเดิม กล่าวคือมีการผสมผสานในการรักษาโรคทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ (หน้า 78-80) สังคมและวัฒนธรรมม้งกับการยอมรับการวางแผนครอบครัว ในวัฒนธรรมและประเพณีของม้งเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่ จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าแนวคิดนี้ค่อนข้างแข็งแรงที่จะมีครอบครัวขยายและอยู่ร่วมกันอย่างน้อยสามชั่วอายุคน ทำให้ไม่ค่อยมีการยอมรับการวางแผนครอบครัวเท่าไรนัก จากการสอบถามจำนวนเด็กและเพศที่ต้องการของคู่แต่งงานใหม่คือ ควรจะมีลูก 5 คน ลูกชาย 3 คน ลูกสาว 2 คน ส่วนใหญ่อยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว เนื่องจากลูกชายจะเป็นผู้สืบทอดตระกูล พ่อแม่รักลูก ๆ แต่ก็เห็นเด่นชัดในเรื่องของลูกกับบริบททางเศรษฐกิจ ในการช่วยเหลือครอบครัวในการทำไร่ และลูกสาวแต่งงงานค่าสินสอดจะนำมาสนับสนุนภาวะการเงินในครอบครัวรวมถึงเป็นค่าสินสอดเจ้าสาวของลูกชาย (หน้า 53-58, 91) อย่างไรก็ตาม จากการรับรู้ถึงสถานการณ์ซึ่งกระทบต่อการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมรวมถึงรัฐกำหนดการใช้พื้นที่ป่าไม้ อัตราการเจริญเติบโตของประชากรและการที่รัฐห้ามปลูกฝิ่นซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมของการใช้แรงงานและพื้นที่ การรับการศึกษาสมัยใหม่ของเด็ก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเริ่มสนใจในการวางแผนครอบครัวเพื่อกำหนดขนาดของครอบครัวตามพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ (หน้า 141-148) 4 หมู่บ้านกะเหรี่ยง : พฤติกรรมด้านสาธารณสุขใน การวินิจฉัยโรคและอาการเจ็บป่วย เมื่อเกิดการเจ็บป่วยจะมีการรักษาเบื้องต้นภายในครอบครัว ซึ่งพยายามหากสาเหตุของโรคและใช้สมุนไพร การนวด หรือให้บุคคลที่มีความรู้ในการรักษาอาการมาช่วย ถ้าการรักษาประสบความสำเร็จก็ถือว่าวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง แต่ถ้าอาการของคนป่วยยังไม่ดีขึ้น จะมีการรักษาอื่น ๆ แต่ต้องหาสาเหตุของโรคว่าเกิดจากอะไร เช่น จากธรรมชาติ ผี เทพเจ้า กระทำ หรือจากการเสียขวัญ หรือเกิดจากการกระทำของพ่อมดแม่มด เป็นต้น ซึ่งจะมีวิธีการในการวินิจฉัยจาก การหมุนกระดูกไก่หรือดูมุมของรูกระดูกไก่ การตอกไข่ดูสี การตัดสินใจจากจำนวนเมล็ดข้าวที่ติดในมือ หลังการวินิจฉัยจะเริ่มทำการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ถ้าเกิดจากการเสียขวัญจะมีการทำพิธีเพื่อเรียกขวัญกลับเข้าร่าง และมีการเซ่นไหว้ด้วย ไก่ หมู เป็นต้น ถ้าเกิดจากการกระทำของผี เทพเจ้า ก็จะมีการเซ่นไหว้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากเป็นการกระทำผิดร้ายแรงเช่นการร่วมประเวณีของพี่น้อง ก็จะต้องให้คนทั้งคู่ออกจากหมู่บ้านไปและหมู่บ้านจะมีการทำพิธีกรรมเพื่อขอขมาต่อผี ถ้าเกิดจากการกระทำของพ่อมดแม่มดก็จะมีการจ้างพ่อมดแม่มดอื่นมาทำพิธีกล่าวคาถา หรือการใช้น้ำมนต์ให้ดื่มหรือรดหัว เนื่องจากสาเหตุของการเจ็บป่วยอาจจะไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างแน่ชัด อาจจะมีการใช้วิธีการรักษาหลาย ๆ แบบจนกระทั่งผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น (หน้า 160-162) การป้องกันการเจ็บป่วย : กะเหรี่ยงมีการป้องกันการเจ็บป่วยโดยการไม่ทำผิดข้อห้าม (taboo) เช่น ไม่แต่งงานกับญาติพี่น้องใกล้ชิด หรือกินอาหารบางอย่างขณะตั้งครรภ์ และมีการเซ่นไหว้ ผี และเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพ และมีการสักเพื่อป้องกันการกระทำจากพ่อมดแม่มด ปิดบ้านหรือหมู่บ้านจากภายนอกโดยเฉพาะเมื่อสมาชิกในครอบครัวอ่อนแอ (หน้า 162) การใช้การรักษาแบบสมัยใหม่และแบบดั้งเดิม : การใช้การรักษาของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะใช้การรักษาโดยคิดขึ้นเองหรือจากคำบอกเล่าหรือคำแนะนำของเพื่อนบ้าน หรือจากกลุ่มชนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง การตั้งครรภ์ : กะเหรี่ยงเชื่อว่ามีสัญญาณที่จะบอกให้ทราบถึงการตั้งครรภ์ เช่น อาเจียนตอนเช้า อยากทานของเปรี้ยว อ่อนเพลียง่าย ถ้าท้องปกติอาการอาเจียนจะหายไปใน 2-3 เดือน ถ้าท้องผิดปกติ หญิงที่ท้องไม่สามารถกินหรือทำงานได้ตามปกติ มือและเท้าบวม ถ้ามีเลือดออกเมื่อตั้งครรภ์ถือว่าเป็นอาการผิดปกติมากอาจจะทำให้แท้งได้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเกิดจากหญิงที่ตั้งครรภ์ร่างกายไม่แข็งแรง ท้องถี่เกินไป ทำงานหนัก หรือเด็กไม่มีบุญมาเกิด ผู้หญิงท้องควรจะหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสด ยกเว้นเนื้อไก่ โดยเฉพาะเนื้อของสัตว์ป่า เช่น เสือ ลิง งู ฯลฯ และไม่ควรกินขนุนและหลีกเลี่ยงการกินพริกไทยในช่วงเดือนแรกของการตั้งครรภ์ อาหารที่ควรจะกินคือ น้ำข้าว ผักสีเขียว ไก่ ปลา เป็นต้น และหากมีการดื่มน้ำมนต์จะช่วยให้คลอดง่าย การคลอดยากอาจจะเกิดจากน้ำหนักตัวของเด็กมาเกินไปหรือเด็กอยู่ผิดท่า (หน้า 164-165) การคลอดและการดูแลภายหลังคลอด : การคลอดส่วนใหญ่จะทำคลอดที่บ้าน ใช้ไม้ไผ่ตัดรกเด็กและมีความเชื่อว่าหากเด็กคลอดที่โรงพยาบาลเด็กจะไม่มีบุญ และมารดาจะเจ็บ ทรมานจากการคลอดและภายหลังคลอดมากกว่าคลอดที่บ้าน ภายหลังคลอดแม่ควรจะให้เลือดเสียออกให้หมดและหลังจากนั้นควรจะอยู่ไฟจนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวและท้องแบนราบจึงจะกลับไปทำงานตามปกติ การเลี้ยงดูบุตรจะให้เด็กกินนมแม่ประมาณ 6 เดือนหลังจากนั้นเริ่มให้อาหารเสริมซึ่งเร็วกว่าม้ง อาหารที่ให้เด็กกิน เช่น ข้าว ไข่ต้ม แต่ไม่ควรให้เด็กกินเนื้อควายในช่วงที่เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เพราะจะทำให้เด็กไม่สบายได้ ควรให้เด็กกินนมแม่จนอายุ 9 เดือน - 1 ปี หรือถึง 2 ปี และจะให้เด็กอยู่บ้านจนกว่าจะรู้จักช่วยตนเองได้จึงจะพาไปไร่ด้วยซึ่งจะเป็นช่วงอายุประมาณ 3-5 ปี (หน้า 163-170) การให้วัคซีน : การให้วัคซีนไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และส่วนใหญ่เด็กไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน แต่พอจะรับรู้เกี่ยวกับการให้วัคซีนผ่าน สาธารณสุขหมู่บ้าน แพทย์เคลื่อนที่ โรงพยาบาลประจำอำเภอเป็นต้น (หน้า 173) การเจ็บป่วยและการักษา : สัญญาณที่บ่งบอกให้เกิดการเจ็บป่วยที่รับรู้ได้ชัดคือ อาการท้องร่วง อาการป่วยเรื้อรัง เช่น หายใจติดขัด ปวดหน้าอก ส่วนใหญ่วิธีรักษาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมมากกว่า แต่มีบางส่วนที่ใช้วิธีการรักษาแบบสมัยใหม่ เช่น จากการเข้าร่วมโครงการของโรงพยาบาลประจำอำเภอ การซื้อยาตามร้านขายยาในตลาด หรือเมื่อมีทีมแพทย์เคลื่อนที่เข้ามายังหมู่บ้านเป็นต้น (หน้า 174) จากตารางแสดงการใช้วิธีรักษา (ตารางหน้า 177-182) แสดงให้เห็นว่าปกติจะใช้วิธีรักษาแบบดั้งเดิมก่อนที่จะไปใช้วิธีการรักษาแบบสมัยใหม่ แต่มีบางกรณีที่ใช้วิธีการรักษาสมัยใหม่ก่อนเช่นกัน และมีการใช้สมุนไพรหลังจากออกจากโรงพยาบาล แต่พบว่าส่วนใหญ่จะไปโรงพยาบาลหลังจากที่เจ็บป่วยมากว่า 1 ปีหรือมากกว่าก่อนที่จะใช้การรักษาแบบสมัยใหม่มีเพียง 1 รายที่เจ็บป่วยและไปโรงพยาบาลทันที (หน้า 176-182) ปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้กะเหรี่ยงใช้การวางแผนครอบครัว ปัจจัยด้านกายภาพ : กะเหรี่ยงมีความรู้เรื่องกายภาพของผู้หญิงจะต้องมีประจำเดือนในช่วงอายุ 12-15 ปี ก่อนที่จะท้องได้ แต่ควรจะตั้งครรภ์หลังจากอายุ 14-15 ปีขึ้นไป ผู้หญิงจึงจะรู้ว่าควรจะเลี้ยงดูบุตรอย่างไร และหยุดมีลูกเมื่ออายุ 40-50 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ผู้หญิงหมดประจำเดือน ถ้ามีลูกหลังจากอายุ 45 ปีขึ้นไป เด็กอาจจะพิการ ปัญญาอ่อน หรืออ่อนแอได้ ถ้ามีลูกเมื่ออายุน้อยก็จะทำให้เด็กอ่อนแอเช่นเดียวกัน ความเชื่อและประเพณีดั้งเดิม : ในแนวคิดแบบประเพณีดั้งเดิมผู้หญิงควรจะอายุ 15-20 ปีก่อนที่จะแต่งงาน เป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงแข็งแรงและสามารถทำงานดูแลครอบครัวได้ ผู้ชายควรจะมีอายุ 17-25 ปี ก่อนที่จะแต่งงาน ซึ่งสามารถเรียนรู้งานและดูแลครอบครัวได้เช่นกัน แต่มีผู้หญิงที่แต่งงานก่อนช่วงอายุที่กล่าวมาข้างต้นนี้เช่นกัน และถ้าน้องสาวหรือน้องชายแต่งงานก่อนพี่สาวหรือพี่ชาย อาจจะทำให้เกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้ก็ควรจะมีการเซ่นไหว้ จำนวนบุตรที่ต้องการจากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ต้องการมีลูก 4-12 คน แต่อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-5 คน ส่วนใหญ่อยากได้ทั้งลูกชายและลูกสาว และมีแนวคิดว่าลูกสาวจะช่วยดูแลครอบครัวดูแลพ่อแม่เมื่อแก่ชรา ส่วนลูกชายช่วยทำงานในไร่ ภายหลังจากการแต่งงานลูกสาวจะอยู่กับครอบครัวส่วนลูกชายจะแต่งงานและออกจากบ้านไป กะเหรี่ยงเชื่อว่าระยะห่างของการตั้งครรภ์แต่ละครั้งควรจะอยู่ที่ 5-17 เดือน แต่ไม่ควรตั้งครรภ์เร็วจนเกินไปนักเพราะอาจจะทำให้เจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนแอได้ (หน้า 183-187) กะเหรี่ยงเชื่อว่า 60% ของเด็กจะอยู่รอดจนโต และเชื่อว่าสาธารณสุขจะดีขึ้นเมื่อลูกๆ ของพวกเขาโตขึ้น ด้วยความเชื่อนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเขาใช้การวางแผนครอบครัว (หน้า 206-207) การคุมกำเนิด : การคุมกำเนิดมีการนิยมใช้เพิ่มขี้เพื่อให้ระยะห่างของการตั้งครรภ์ยาวออกไป แต่มีการกลัวถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นกับการใช้ยาการคุมกำเนิด (หน้า 187) การให้การศึกษาของบุตรกับความสัมพันธ์ในการวางแผนครอบครัว : กะเหรี่ยงรับรู้ว่าการเลี้ยงดูบุตรจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเป็นความคิดของกลุ่มที่ใช้การวางแผนครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนของบุตร (หน้า 202) การเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ดิน : ครอบครัวกะเหรี่ยงเชื่อว่าที่ดินจะเสื่อมคุณภาพลงเป็นความเชื่อที่ขยายตัวอย่างกว้างขวางและดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเจริญเติบโตของประชากรซึ่งอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการวางแผนครอบครัวถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจ (หน้า 204-205)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ม้ง การเข้ามาของฝ่ายซ้าย (คอมมิวนิสต์) ในช่วงที่มีการต่อต้านรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและรับแนวคิดด้านการรักษาแบบสมัยใหม่ และการวางแผนครอบครัวในกลุ่มม้ง จังหวัดตาก เนื่องจากฝ่ายซ้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเป็นระยะเวลาหลายเดือน (หน้า 69-71) กะเหรี่ยง การเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรกรรมไปสู่การเป็นแรงงานรับจ้าง ค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์ในแง่การคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัว และยังมีความสัมพันธ์กับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับการคุมกำเนิด โดยเฉพาะการศึกษาในกลุ่มผู้หญิง (หน้า 207-208)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฏาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, สาธารณสุข, การวางแผนครอบครัว, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง