|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ยวน,เกษตรกรรม,นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ,ภาคเหนือ |
Author |
Andrew Walker |
Title |
Agricultural Transformation and the Politics of Hydrology in Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
24 |
Year |
2546 |
Source |
Institute of Social Studies 2003 Blackwell Publishing, 9600 Garsington Road, Oxford OX4 2DQ, UK and 350 Main St., Malden, MA 02148, USA. |
Abstract |
ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย มักจะมีการกล่าวถึงบ่อยครั้งถึงการลดลงของน้ำในแหล่งน้ำ อันเนื่องมาจากการถางป่าไม้ บทความชิ้นนี้เสนอข้อโต้แย้งเโดยอาศัยหลักฐานการศึกษาทรัพยากรน้ำหลายด้านว่าอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการที่มีการใช้น้ำเพิ่มขี้นมากในขณะที่ปริมาณมีลดลง ผู้วิจัยเสนอว่าการเปลี่ยนมุมมองจากอุปทานน้ำ (Water supply) ไปยังความต้องการใช้น้ำ (Water demand) จะช่วยให้เห็นแนวทางปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำได้ชัดเจนขึ้น ถ้าข้อโต้แย้งสาธารณะยังคงมุ่งประเด็นเรื่องอุปทานน้ำ ก็จะมุ่งประเด็นทั่วไปที่กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในป่าบนพื้นที่สูง แต่ถ้าการจัดการน้ำเปลี่ยนไปมุ่งประเด็นไปที่ความต้องการใช้น้ำหรืออุปสงค์ ความสนใจจะเปลี่ยนไปที่ความต้องการใช้น้ำซึ่งมีที่มาหลากหลาย (หน้า 941) |
|
Focus |
ผู้เขียนได้ศึกษาข้อถกเถียงเรื่องความขัดแย้งและวิกฤติในเรื่องการใช้น้ำ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเสนอว่าหลักฐานการใช้น้ำที่นำมาแสดงว่าวิกฤติการณ์ใช้น้ำเกิดจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนมากว่าที่จะเกิดจากปริมาณฝนที่ตกลดลง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มประชากรในพื้นที่ Mae Uam ประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน คือ 2 หมู่บ้านกะเหรี่ยงบนพื้นที่สูงและ 5 หมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือบนที่ราบ (หน้า 945) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของประชากรแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนพื้นที่สูง และกลุ่มชาวไทยภาคเหนืออาศัยอยู่บนพื้นที่ราบ (หน้า 945) |
|
Demography |
ประชากรในพื้นที่ Mae Uam ทั้งหมดประมาณ 3,500 คน |
|
Economy |
อาชีพ จากการสำรวจพบว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทำการเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทำการเกษตรกรรม มีระบบการชลประทานทั้งในพื้นที่ราบลุ่มและในพื้นที่สูง แต่ก็ยังทำการเพาะปลูกโดยใช้น้ำฝน มุ่งเน้นการเพาะปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปลูกถั่วเหลืองเพื่อการค้าขายทั้งในกลุ่มชาวไทยภาคเหนือและกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังมีการเก็บหน่อไม้ เห็ด ผักป่าในพื้นที่ป่ารอบๆ (หน้า 945-947) การใช้ที่ดิน การใช้ที่ดินในพื้นที่รับน้ำฝน Mae Uam ให้ข้อมูลที่น่าสนใจในช่วงปี ค.ศ. 1985-1995 เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านการทำเกษตรกรรม ในพื้นที่สูงกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำไร่ถาวรเพิ่มขึ้น และในพื้นราบชาวไทยภาคเหนือได้ขยายการใช้ที่ดินสำหรับการเพาะปลูก ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างระบบชลประทานและโครงการพัฒนาอื่นๆ (หน้า 947-948) |
|
Political Organization |
แนวนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ การจัดการทรัพยากรน้ำกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรัฐ กลุ่มอนุรักษ์และสมาชิกในกลุ่มชลประทานในพื้นที่ราบ แนวคิดการที่ป่าไม้ถูกทำลายโดยกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นความคิดที่มีมายาวนาน ภาพนี้ถูกแสดงเป็นการกระทำที่เป็นสาเหตุพื้นฐานของการทำลายสภาพแวดล้อมและป่าไม้ทางภาคเหนือ แต่ความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นชนกลุ่มน้อย และทำให้รัฐบาลออกกฎหมายในการดูแลป้องกันป่าไม้ในพื้นที่อย่างเข้มงวด และย้ายพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนออกจากพื้นที่ป่าไม้หรือให้หยุดการทำไร่หมุนเวียน กลุ่ม NGO เข้ามาโต้แย้งว่าวิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงรวมถึงการทำไร่หมุนเวียนไม่ได้เป็นการทำลายป่าไม่แต่เป็นระบบที่มีการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือป่าไม้เป็นกุญแจหลักของการจัดการแหล่งน้ำจากทั้งรัฐและท้องถิ่น ทั้งสองกลุ่มต่างเชื่อว่าการมีป่าไม้ปกคลุมจะดำรงแหล่งน้ำใช้ "Water supply" และการทำลายป่าจะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ และทำให้เกิดข้อโต้แย้งใน เรื่องของการจัดการทรัพยากรควรจะเป็นรัฐหรือท้องถิ่น นโยบายและแนวทางในทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำในภาคเหนือของไทยจึงมุ่งเน้นแต่ประเด็นของการอนุรักษ์ป่าไม้ แต่ประเด็นของน้ำที่ใช้ได้กับความต้องการใช้น้ำของประชากรยังไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าควรได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น และถ้าการจัดการเปลี่ยนมุมมองไปที่ความต้องการใช้น้ำของทุกแหล่งความสนใจ จะเปลี่ยนจากกลุ่มคนบนพื้นที่สูงไปยังความต้องการใช้น้ำในสังคมทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและแหล่งอื่น ๆ (หน้า 943-944) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงกับคนไทยบนพื้นที่ราบ คนบนพื้นที่ราบกล่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดลงของปริมาณน้ำใช้ในพื้นที่ราบ และแสดงนัยของการเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยเข้ามาอยู่อาศัยอย่างไม่ถูกฎหมาย (หน้า 941-942) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรกรรมในฤดูฝนและฤดูแล้ง การเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก การทำเกษตรกรรมในช่วงฤดูฝนในพื้นที่ Mae Uam ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจทั้งหมู่บ้านกะเหรี่ยงและหมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือ การเพาะปลูกส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกข้าวสำหรับการดำรงชีพ และมีการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง พื้นที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่จะทำการเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีการชลประทานแต่ข้าวโพดและถั่วเหลืองส่วนใหญ่จะปลูกโดยอาศัยน้ำฝน ในช่วงฤดูแล้งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเพาะปลูก จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์แสดงให้เห็นว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งค่อนข้างจำกัดเฉพาะพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ลำธารเท่านั้น หรือการทำสวนผักริมตลิ่งแม่น้ำ แต่ระบบเศรษฐกิจในช่วงฤดูกาลนี้ขึ้นอยู่กับการรับจ้างเป็นแรงงานและการค้าขาย โดยเฉพาะการค้าขายสัตว์ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าเกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน กับหมู่บ้านอื่นๆ รวมถึงการค้าขายข้ามชายแดนไทยพม่าหรือเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ การเปลี่ยนแปลงมาเป็นการเพาะปลูกถั่วเหลืองในช่วงฤดูแล้งทั้งในกลุ่มกะเหรี่ยงและชาวไทยภาคเหนือเป็นนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต จากข้อมูลการสำรวจพบว่า มีการปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่นาที่มีการชลประทานสูงถึงเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี ค.ศ. 1997-1998 การปลูกถั่วเหลืองได้รับการสนับสนุนให้ปลูกเพื่อการค้า ถั่วเหลืองขายได้ราคาดี ไม่ต้องใช้แรงงานมาก การเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งมีความสัมพันธ์ต่อความต้องการใช้น้ำเพิ่ม และการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อขายเพิ่มมากขึ้น (หน้า 953-955) และการเปลี่ยนแปลงที่กลุ่มชนบนพื้นที่สูงเริ่มทำการเพาะปลูกในฤดูแล้งมากขึ้นอาจจะเป็นอันตรายรุนแรงต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้นและทำลายป่าไม้มากกว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน (หน้า 945) |
|
Other Issues |
แนวนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ ประวัติศาสตร์ในช่วงไม่นานมานี้ การพัฒนาพื้นที่สูงของแผ่นดินใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปัญหาเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับทรัพยากร อัตราการเจริญเติบโตของประชากร การอพยพ การค้าขาย (Commercialization) และการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรบนพื้นที่สูงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และในขณะเดียวกันระบบของรัฐพยายามที่จะหาแนวทางที่จะทำให้ทั้งการพัฒนาและการอนุรักษ์สามารถทำได้ทั้งสองประการ ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่รับน้ำฝน (รูปที่ 1) มีรายงานเกี่ยวกับความขัดแย้งในการจัดการน้ำใช้ในการทำเกษตรกรรมระหว่างกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงและกลุ่มชนที่อาศัยในพื้นที่ราบ ปัญหาจากความขัดแย้งเหล่านี้มักเกิดจากการที่กลุ่มชนบนพื้นที่ราบอ้างว่ากลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดลงของปริมารณน้ำใช้ในพื้นที่ราบ แต่ปัญหาในเรื่องนี้มักไม่ให้ความสำคัญต่อความต้องการใช้น้ำ งานวิจัยแสดงหลักฐานข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทำการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้งที่เพิ่มขี้นอย่างช้าๆ ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มหุบเขา และในพื้นที่ที่มีการชลประทาน แสดงนัยของการขยายที่เกินขอบเขต และทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น การทำความเข้าใจปริมาณน้ำที่มีใช้และความต้องการใช้น้ำควรได้รับการสนใจเพิ่มมากขึ้นในการจัดการทรัพยากรน้ำ (หน้า 942-943) แหล่งน้ำ ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม และภาคเหนือของประเทศไทย ฤดูฝนจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ฝนไม่ตกนอกฤดูมากนักบางปีฝนทิ้งช่วงนานกว่า 3 เดือน ค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนในฤดูในปี ค.ศ. 1980 ประมาณ 910 มิลลิเมตร แต่ฝนจะตกมากกว่าในพื้นที่รับน้ำฝน อาทิบริเวณยอดดอยอินทนนท์ซึ่งปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 2200 มิลลิเมตร ในฤดูฝนแหล่งน้ำจะมีน้ำมากที่สุดประมาณเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม หลังจากนั้นปริมาณน้ำจะลดลงในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนเมษายน โดยในช่วงฤดูแล้งจะมีน้ำเหลือในแม่น้ำลำธาร ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญของการชลประทานสำหรับการเพาะปลูกพืชหน้าแล้ง จะมีการทำฝายกั้นน้ำโดยใช้ไม้หรือคอนกรีต และทำการแจกจ่ายน้ำเข้าสู่พื้นที่ไร่นาสำหรับทั้ง 2 หมู่บ้านกะเหรี่ยงและ 5 หมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือ จากการขาดแคลนน้ำช่วงหน้าแล้งมีแนวคิดที่จะสร้างเขื่อนซึ่งได้รับการคัดค้านจากกลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยบนพื้นที่สูง ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำบนพื้นที่สูง ใกล้ อ.แม่แจ่ม กะเหรี่ยงกล่าวว่าพวกเขากลัวว่าจะต้องย้ายพื้นที่เนื่องจากการที่ชาวไทยภาคเหนือบนพื้นที่ราบกล่าวถึงผลกระทบที่ทำให้ขาดแคลนน้ำมาจากการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงและในพื้นที่อ.จอมทองซึ่งอยู่ติดกันมีความขัดแย้งที่รุนแรงในการประท้วงม้งที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงซึ่งทำการถางป่าทำให้แหล่งน้ำลดลง (หน้า 948-949) การสูญเสียป่าและแหล่งน้ำ ประเด็นแรกในการศึกษาเรื่องน้ำคือการสูญเสียป่าไม้จะทำให้ลดปริมาณของน้ำในแหล่งน้ำหรือไม่ จากข้อมูลการลดลงของพื้นที่ป่ารับน้ำฝนแม่แจ่ม จาก 78 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ.1985 เหลือ 72 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ.1995 และมีหลักฐานยืนยันถึงความเสื่อมโทรมของป่าไม้โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ การลดลงของป่าไม้ในพื้นที่ยังน้อยกว่าการลดลงของป่าไม้ทั้งหมดในพื้นที่ภาคเหนือที่จากที่เคยมีป่าปกคลุมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ในปีค.ศ.1900 ลดลงเหลือ 44 เปอร์เซ็นต์ในกลางปี ค.ศ. 1990 (หน้า 949 -950) การถางป่าทำให้ฝนลดลง ข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่ อำเภอแม่แจ่มซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่รับน้ำฝน Mae Uam แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำฝนค่อย ๆ ลดลงแต่ไม่รุนแรงมากนัก แต่จากใน อำเภอจอมทองซึ่งอยู่ใกล้เคียงป่าไม่ถูกทำลายมากกว่าและความขัดแย้งในเรื่องน้ำมีมากกว่า แต่ฝนไม่ได้ลดลงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ประเด็นการถางป่าทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลงจึงเป็นเพียงการเลือกอ่านข้อมูลบางส่วนและนำมาสนับสนุนแนวคิดนี้ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าความสัมพันธ์ของการถางป่าและฝนตกดูเหมือนจะเป็นอิสระต่อกัน (หน้า 951) ป่าไม้เป็นแหล่งซับน้ำ ประเด็นข้อโต้แย้งในสาธารณะมักจะกล่าวถึงป่าไม้บนพื้นที่สูงเป็นแหล่งซับน้ำกักเก็บไว้ในฤดูฝน และปล่อยให้ไหลออกมาในฤดูแล้ง จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงฤดูฝนป่าไม้มีการซับน้ำฝนรับน้ำมากกว่าผิวดินชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ประเด็นป่าไม้เป็นแหล่งซับน้ำเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และจากแนวคิดเรื่องการสูญเสียพื้นที่ซับน้ำทำให้มีน้ำไหลลงลำธารในฤดูฝนมากขึ้นและทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง การศึกษาพื้นที่รับน้ำฝนโดย Bruujnzeel ให้ความเห็นโต้แย้งว่าหากมีการดูแลให้พื้นที่ที่ถูกถางไปมีการซึมซับน้ำเป็นอย่างดีก็จะช่วยให้มีน้ำไหลลงในหน้าแล้งได้มากขึ้น (หน้า 952) การทำการเกษตรกรรมที่เพิ่มขึ้นกับความต้องการใช้น้ำ สถานการณ์รุนแรงเกี่ยวกับแหล่งน้ำมีเหตุผลมาจากการทำเกษตรกรรมที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง เป็นสาเหตุให้เกิดความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น จากตารางที่ 5 แสดงปริมาณน้ำจากแหล่งน้ำและความต้องการใช้น้ำในเดือนกุมภาพันธ์ (Figure 5. Estimate of water supply and water demand in February) แสดงให้เห็นความต้องการใช้น้ำในการทำการเพาะปลูกถั่วเหลืองเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลา 11 ปี ผู้วิจัยมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายสถานการณ์ปัญหาเป็นผลกระทบมาจากการลดลงของป่าไม้ทำให้แหล่งน้ำใช้ลดลง จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำควรจะเป็นเป้าหมายหลักของประเด็นปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรในพื้นที่รับน้ำฝนบนที่สูง ซึ่งควรจะมีการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและชัดเจนในความต้องการเหล่านี้ (หน้า 952-956) |
|
|