สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ยวน,เกษตรกรรม,นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ,ภาคเหนือ
Author Andrew Walker
Title Agricultural Transformation and the Politics of Hydrology in Northern Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 24 Year 2546
Source Institute of Social Studies 2003 Blackwell Publishing, 9600 Garsington Road, Oxford OX4 2DQ, UK and 350 Main St., Malden, MA 02148, USA.
Abstract

ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย มักจะมีการกล่าวถึงบ่อยครั้งถึงการลดลงของน้ำในแหล่งน้ำ อันเนื่องมาจากการถางป่าไม้ บทความชิ้นนี้เสนอข้อโต้แย้งเโดยอาศัยหลักฐานการศึกษาทรัพยากรน้ำหลายด้านว่าอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการที่มีการใช้น้ำเพิ่มขี้นมากในขณะที่ปริมาณมีลดลง ผู้วิจัยเสนอว่าการเปลี่ยนมุมมองจากอุปทานน้ำ (Water supply) ไปยังความต้องการใช้น้ำ (Water demand) จะช่วยให้เห็นแนวทางปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำได้ชัดเจนขึ้น ถ้าข้อโต้แย้งสาธารณะยังคงมุ่งประเด็นเรื่องอุปทานน้ำ ก็จะมุ่งประเด็นทั่วไปที่กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในป่าบนพื้นที่สูง แต่ถ้าการจัดการน้ำเปลี่ยนไปมุ่งประเด็นไปที่ความต้องการใช้น้ำหรืออุปสงค์ ความสนใจจะเปลี่ยนไปที่ความต้องการใช้น้ำซึ่งมีที่มาหลากหลาย (หน้า 941)

Focus

ผู้เขียนได้ศึกษาข้อถกเถียงเรื่องความขัดแย้งและวิกฤติในเรื่องการใช้น้ำ

Theoretical Issues

ผู้เขียนเสนอว่าหลักฐานการใช้น้ำที่นำมาแสดงว่าวิกฤติการณ์ใช้น้ำเกิดจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนมากว่าที่จะเกิดจากปริมาณฝนที่ตกลดลง

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มประชากรในพื้นที่ Mae Uam ประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน คือ 2 หมู่บ้านกะเหรี่ยงบนพื้นที่สูงและ 5 หมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือบนที่ราบ (หน้า 945)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 2003

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานของประชากรแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนพื้นที่สูง และกลุ่มชาวไทยภาคเหนืออาศัยอยู่บนพื้นที่ราบ (หน้า 945)

Demography

ประชากรในพื้นที่ Mae Uam ทั้งหมดประมาณ 3,500 คน

Economy

อาชีพ จากการสำรวจพบว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทำการเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทำการเกษตรกรรม มีระบบการชลประทานทั้งในพื้นที่ราบลุ่มและในพื้นที่สูง แต่ก็ยังทำการเพาะปลูกโดยใช้น้ำฝน มุ่งเน้นการเพาะปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปลูกถั่วเหลืองเพื่อการค้าขายทั้งในกลุ่มชาวไทยภาคเหนือและกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังมีการเก็บหน่อไม้ เห็ด ผักป่าในพื้นที่ป่ารอบๆ (หน้า 945-947) การใช้ที่ดิน การใช้ที่ดินในพื้นที่รับน้ำฝน Mae Uam ให้ข้อมูลที่น่าสนใจในช่วงปี ค.ศ. 1985-1995 เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านการทำเกษตรกรรม ในพื้นที่สูงกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำไร่ถาวรเพิ่มขึ้น และในพื้นราบชาวไทยภาคเหนือได้ขยายการใช้ที่ดินสำหรับการเพาะปลูก ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างระบบชลประทานและโครงการพัฒนาอื่นๆ (หน้า 947-948)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

แนวนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ การจัดการทรัพยากรน้ำกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรัฐ กลุ่มอนุรักษ์และสมาชิกในกลุ่มชลประทานในพื้นที่ราบ แนวคิดการที่ป่าไม้ถูกทำลายโดยกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นความคิดที่มีมายาวนาน ภาพนี้ถูกแสดงเป็นการกระทำที่เป็นสาเหตุพื้นฐานของการทำลายสภาพแวดล้อมและป่าไม้ทางภาคเหนือ แต่ความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นชนกลุ่มน้อย และทำให้รัฐบาลออกกฎหมายในการดูแลป้องกันป่าไม้ในพื้นที่อย่างเข้มงวด และย้ายพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนออกจากพื้นที่ป่าไม้หรือให้หยุดการทำไร่หมุนเวียน กลุ่ม NGO เข้ามาโต้แย้งว่าวิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงรวมถึงการทำไร่หมุนเวียนไม่ได้เป็นการทำลายป่าไม่แต่เป็นระบบที่มีการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือป่าไม้เป็นกุญแจหลักของการจัดการแหล่งน้ำจากทั้งรัฐและท้องถิ่น ทั้งสองกลุ่มต่างเชื่อว่าการมีป่าไม้ปกคลุมจะดำรงแหล่งน้ำใช้ "Water supply" และการทำลายป่าจะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ และทำให้เกิดข้อโต้แย้งใน เรื่องของการจัดการทรัพยากรควรจะเป็นรัฐหรือท้องถิ่น นโยบายและแนวทางในทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำในภาคเหนือของไทยจึงมุ่งเน้นแต่ประเด็นของการอนุรักษ์ป่าไม้ แต่ประเด็นของน้ำที่ใช้ได้กับความต้องการใช้น้ำของประชากรยังไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าควรได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น และถ้าการจัดการเปลี่ยนมุมมองไปที่ความต้องการใช้น้ำของทุกแหล่งความสนใจ จะเปลี่ยนจากกลุ่มคนบนพื้นที่สูงไปยังความต้องการใช้น้ำในสังคมทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและแหล่งอื่น ๆ (หน้า 943-944)

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงกับคนไทยบนพื้นที่ราบ คนบนพื้นที่ราบกล่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดลงของปริมาณน้ำใช้ในพื้นที่ราบ และแสดงนัยของการเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยเข้ามาอยู่อาศัยอย่างไม่ถูกฎหมาย (หน้า 941-942)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรกรรมในฤดูฝนและฤดูแล้ง การเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก การทำเกษตรกรรมในช่วงฤดูฝนในพื้นที่ Mae Uam ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจทั้งหมู่บ้านกะเหรี่ยงและหมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือ การเพาะปลูกส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกข้าวสำหรับการดำรงชีพ และมีการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง พื้นที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่จะทำการเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีการชลประทานแต่ข้าวโพดและถั่วเหลืองส่วนใหญ่จะปลูกโดยอาศัยน้ำฝน ในช่วงฤดูแล้งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเพาะปลูก จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์แสดงให้เห็นว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งค่อนข้างจำกัดเฉพาะพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ลำธารเท่านั้น หรือการทำสวนผักริมตลิ่งแม่น้ำ แต่ระบบเศรษฐกิจในช่วงฤดูกาลนี้ขึ้นอยู่กับการรับจ้างเป็นแรงงานและการค้าขาย โดยเฉพาะการค้าขายสัตว์ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าเกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน กับหมู่บ้านอื่นๆ รวมถึงการค้าขายข้ามชายแดนไทยพม่าหรือเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ การเปลี่ยนแปลงมาเป็นการเพาะปลูกถั่วเหลืองในช่วงฤดูแล้งทั้งในกลุ่มกะเหรี่ยงและชาวไทยภาคเหนือเป็นนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต จากข้อมูลการสำรวจพบว่า มีการปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่นาที่มีการชลประทานสูงถึงเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี ค.ศ. 1997-1998 การปลูกถั่วเหลืองได้รับการสนับสนุนให้ปลูกเพื่อการค้า ถั่วเหลืองขายได้ราคาดี ไม่ต้องใช้แรงงานมาก การเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งมีความสัมพันธ์ต่อความต้องการใช้น้ำเพิ่ม และการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อขายเพิ่มมากขึ้น (หน้า 953-955) และการเปลี่ยนแปลงที่กลุ่มชนบนพื้นที่สูงเริ่มทำการเพาะปลูกในฤดูแล้งมากขึ้นอาจจะเป็นอันตรายรุนแรงต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้นและทำลายป่าไม้มากกว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน (หน้า 945)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

แนวนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ ประวัติศาสตร์ในช่วงไม่นานมานี้ การพัฒนาพื้นที่สูงของแผ่นดินใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปัญหาเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับทรัพยากร อัตราการเจริญเติบโตของประชากร การอพยพ การค้าขาย (Commercialization) และการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรบนพื้นที่สูงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และในขณะเดียวกันระบบของรัฐพยายามที่จะหาแนวทางที่จะทำให้ทั้งการพัฒนาและการอนุรักษ์สามารถทำได้ทั้งสองประการ ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่รับน้ำฝน (รูปที่ 1) มีรายงานเกี่ยวกับความขัดแย้งในการจัดการน้ำใช้ในการทำเกษตรกรรมระหว่างกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงและกลุ่มชนที่อาศัยในพื้นที่ราบ ปัญหาจากความขัดแย้งเหล่านี้มักเกิดจากการที่กลุ่มชนบนพื้นที่ราบอ้างว่ากลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดลงของปริมารณน้ำใช้ในพื้นที่ราบ แต่ปัญหาในเรื่องนี้มักไม่ให้ความสำคัญต่อความต้องการใช้น้ำ งานวิจัยแสดงหลักฐานข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทำการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้งที่เพิ่มขี้นอย่างช้าๆ ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มหุบเขา และในพื้นที่ที่มีการชลประทาน แสดงนัยของการขยายที่เกินขอบเขต และทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น การทำความเข้าใจปริมาณน้ำที่มีใช้และความต้องการใช้น้ำควรได้รับการสนใจเพิ่มมากขึ้นในการจัดการทรัพยากรน้ำ (หน้า 942-943) แหล่งน้ำ ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม และภาคเหนือของประเทศไทย ฤดูฝนจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ฝนไม่ตกนอกฤดูมากนักบางปีฝนทิ้งช่วงนานกว่า 3 เดือน ค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนในฤดูในปี ค.ศ. 1980 ประมาณ 910 มิลลิเมตร แต่ฝนจะตกมากกว่าในพื้นที่รับน้ำฝน อาทิบริเวณยอดดอยอินทนนท์ซึ่งปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 2200 มิลลิเมตร ในฤดูฝนแหล่งน้ำจะมีน้ำมากที่สุดประมาณเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม หลังจากนั้นปริมาณน้ำจะลดลงในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนเมษายน โดยในช่วงฤดูแล้งจะมีน้ำเหลือในแม่น้ำลำธาร ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญของการชลประทานสำหรับการเพาะปลูกพืชหน้าแล้ง จะมีการทำฝายกั้นน้ำโดยใช้ไม้หรือคอนกรีต และทำการแจกจ่ายน้ำเข้าสู่พื้นที่ไร่นาสำหรับทั้ง 2 หมู่บ้านกะเหรี่ยงและ 5 หมู่บ้านชาวไทยภาคเหนือ จากการขาดแคลนน้ำช่วงหน้าแล้งมีแนวคิดที่จะสร้างเขื่อนซึ่งได้รับการคัดค้านจากกลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยบนพื้นที่สูง ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำบนพื้นที่สูง ใกล้ อ.แม่แจ่ม กะเหรี่ยงกล่าวว่าพวกเขากลัวว่าจะต้องย้ายพื้นที่เนื่องจากการที่ชาวไทยภาคเหนือบนพื้นที่ราบกล่าวถึงผลกระทบที่ทำให้ขาดแคลนน้ำมาจากการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงและในพื้นที่อ.จอมทองซึ่งอยู่ติดกันมีความขัดแย้งที่รุนแรงในการประท้วงม้งที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงซึ่งทำการถางป่าทำให้แหล่งน้ำลดลง (หน้า 948-949) การสูญเสียป่าและแหล่งน้ำ ประเด็นแรกในการศึกษาเรื่องน้ำคือการสูญเสียป่าไม้จะทำให้ลดปริมาณของน้ำในแหล่งน้ำหรือไม่ จากข้อมูลการลดลงของพื้นที่ป่ารับน้ำฝนแม่แจ่ม จาก 78 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ.1985 เหลือ 72 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ.1995 และมีหลักฐานยืนยันถึงความเสื่อมโทรมของป่าไม้โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ การลดลงของป่าไม้ในพื้นที่ยังน้อยกว่าการลดลงของป่าไม้ทั้งหมดในพื้นที่ภาคเหนือที่จากที่เคยมีป่าปกคลุมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ในปีค.ศ.1900 ลดลงเหลือ 44 เปอร์เซ็นต์ในกลางปี ค.ศ. 1990 (หน้า 949 -950) การถางป่าทำให้ฝนลดลง ข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่ อำเภอแม่แจ่มซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่รับน้ำฝน Mae Uam แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำฝนค่อย ๆ ลดลงแต่ไม่รุนแรงมากนัก แต่จากใน อำเภอจอมทองซึ่งอยู่ใกล้เคียงป่าไม่ถูกทำลายมากกว่าและความขัดแย้งในเรื่องน้ำมีมากกว่า แต่ฝนไม่ได้ลดลงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ประเด็นการถางป่าทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลงจึงเป็นเพียงการเลือกอ่านข้อมูลบางส่วนและนำมาสนับสนุนแนวคิดนี้ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าความสัมพันธ์ของการถางป่าและฝนตกดูเหมือนจะเป็นอิสระต่อกัน (หน้า 951) ป่าไม้เป็นแหล่งซับน้ำ ประเด็นข้อโต้แย้งในสาธารณะมักจะกล่าวถึงป่าไม้บนพื้นที่สูงเป็นแหล่งซับน้ำกักเก็บไว้ในฤดูฝน และปล่อยให้ไหลออกมาในฤดูแล้ง จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงฤดูฝนป่าไม้มีการซับน้ำฝนรับน้ำมากกว่าผิวดินชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ประเด็นป่าไม้เป็นแหล่งซับน้ำเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และจากแนวคิดเรื่องการสูญเสียพื้นที่ซับน้ำทำให้มีน้ำไหลลงลำธารในฤดูฝนมากขึ้นและทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง การศึกษาพื้นที่รับน้ำฝนโดย Bruujnzeel ให้ความเห็นโต้แย้งว่าหากมีการดูแลให้พื้นที่ที่ถูกถางไปมีการซึมซับน้ำเป็นอย่างดีก็จะช่วยให้มีน้ำไหลลงในหน้าแล้งได้มากขึ้น (หน้า 952) การทำการเกษตรกรรมที่เพิ่มขึ้นกับความต้องการใช้น้ำ สถานการณ์รุนแรงเกี่ยวกับแหล่งน้ำมีเหตุผลมาจากการทำเกษตรกรรมที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง เป็นสาเหตุให้เกิดความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น จากตารางที่ 5 แสดงปริมาณน้ำจากแหล่งน้ำและความต้องการใช้น้ำในเดือนกุมภาพันธ์ (Figure 5. Estimate of water supply and water demand in February) แสดงให้เห็นความต้องการใช้น้ำในการทำการเพาะปลูกถั่วเหลืองเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลา 11 ปี ผู้วิจัยมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายสถานการณ์ปัญหาเป็นผลกระทบมาจากการลดลงของป่าไม้ทำให้แหล่งน้ำใช้ลดลง จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำควรจะเป็นเป้าหมายหลักของประเด็นปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรในพื้นที่รับน้ำฝนบนที่สูง ซึ่งควรจะมีการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและชัดเจนในความต้องการเหล่านี้ (หน้า 952-956)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ยวน, เกษตรกรรม, นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง