สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความเป็นมา,การปรับตัว,เพชรบุรี
Author สุมิตร ปิติพัฒน์, เสมอชัย พูลสุวรรณ
Title ลาวโซ่ง : พลวัตของระบบวัฒนธรรมในรอบสองศตวรรษ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 43 Year 2540
Source สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
Abstract

เนื้อหาครอบคลุมพื้นที่ศึกษาทั้งถิ่นฐานเดิมของลาวโซ่ง คือ สิบสองจุไท และถิ่นฐานที่ถูกกวาดต้อนเข้ามา คือ จังหวัดเพชรบุรี ภาคกลางของประเทศไทย และมีการเคลื่อนย้ายถิ่นออกไปในหลายจังหวัดของภาคกลาง การเปลี่ยนแปลงทางด้านนิเวศน์ ทำให้ลาวโซ่งมีกลไกทางสังคมในการธำรงชาติพันธุ์หลายระดับและที่สำคัญที่สุด คือ คติการนับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งนับว่าเป็นรากแก้วของวัฒนธรรมลาวโซ่งทั้งระบบ และเพิ่มความเข้มข้นจนทำให้เกิดเครือข่ายทางสังคมรูปแบบใหม่ๆ

Focus

การปรับตัวทางวัฒนธรรมของลาวโซ่ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ว่า "ลาวโซ่ง" และ "โซ่ง" ผสมกัน แต่ยังมีชื่อเรียกอื่นที่ใช้เรียก เช่น "ลาวทรงดำ"และ "ผู้ไทยดำ" ที่คนไทยภาคกลางใช้เรียก ในเอกสารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า "ลาวซ่ง" (หน้า 4-5)

Language and Linguistic Affiliations

ลาวโซ่งเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท เนื่องมาจากบรรพบุรุษ คือ ไทดำซึ่งเป็น พลเมืองในเขตสิบสองจุไทของประเทศเวียดนามและเขตหัวพันของลาวพูดภาษาตระกูลไท (หน้า 3)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุรายละเอียด แต่มีช่วงที่ผู้วิจัยสำรวจชุมชนลาวโซ่งช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 (หน้า 2)

History of the Group and Community

เขตสิบสองจุไท (สิบสองเจ้าไท) แบ่งการปกครองออกเป็น 12 หัวเมืองหลัก ซึ่งต่างเป็นอิสระต่อกัน ประกอบด้วยหัวเมืองของผู้ไทขาว 4 เมือง ได้แก่ เมืองไล เมืองเจียน เมืองมุน และเมืองบาง หัวเมืองผู้ไทดำ 8 เมือง ได้แก่ เมืองแถง เมืองควาย เมืองดุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด (วาด) และเมืองซาง ซึ่งอยู่ในเขตต่อแดนระหว่างมหาอำนาจในท้องถิ่น 3 ฝ่าย คือ จีน เวียดนาม และลาวหลวงพระบาง ผู้ไทดำอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายคราว จากการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยคึก ครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรีกองทัพไทยยกทัพไปตีอาณาจักรล้านช้าง เมื่อ พ.ศ. 2322 ครั้งที่สอง รัชกาลที่ 1 เจ้านันทเสนแห่งเวียงจันทร์ยกทัพตีเมืองพวนและเมืองแถนได้กวาดต้อนครัวลาวทรงดำมาที่กรุงเทพฯ ครัวลาวถูกส่งไปอยู่เมืองเพชรบุรีรวมกับพวกแรก ที่อพยพมาครั้งกรุงธนบุรี ครั้นรัชกาลที่ 3 มีการกวาดต้อนลาวทรงดำจากสิบสองจุไทมากรุงเทพแล้วถูกส่งให้ไปอยู่เมืองเพชรบุรีทั้งหมด (หน้า 6)

Settlement Pattern

เขตสิบสองจุไทหมู่บ้านของคนไทตั้งอยู่แทบทุกแห่ง ถ้าหากที่ราบเล็กหมู่บ้านก็จะเล็ก หากเป็นที่ราบกว้างใหญ่ชุมชนก็ใหญ่ เช่นเมืองแถงมีที่ราบกว้างแอ่งกระทะ ประกอบด้วยหลายหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลผ่านกลาง และล้อมรอบด้วยภูเขาในทุกทิศทุกทาง (หน้า 10) ลาวโซ่งส่วนใหญ่นิยมตั้งบ้านเรือนรวมอยู่เป็นกลุ่ม ส่วนพื้นที่ทำการเกษตรกรรมจะอยู่นอกหมู่บ้าน มีบางกรณีที่เงื่อนไขทางนิเวศน์ไม่เอื้ออำนวย ชาวบ้านเข้าบุกรุกป่าเพื่อทำกิน ซึ่งที่ค่อนข้างดอนและกันดาร(หน้า 23-24)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ระบบการผลิตของผู้ไทที่สิบสองจุไทส่วนใหญ่นิยมทำนา ซึ่งมี 2 ระบบด้วยกัน คือ การทำนาดำบริเวณที่ราบลุ่มหุบเขา และการทำไร่ (เฮ็ดไฮ่) คือ การปลูกข้าวพื้นเมืองทนแล้งในที่ดอน โดยระบบการทำไร่จะมีความไม่แน่นอนของผลผลิตมากกว่าระบบการทำนาดำ เนื่องจากต้องพึ่งลมฟ้าอากาศมาก หากฝนแล้งหรือทิ้งช่วงนานก็เสี่ยงต่อผลผลิตเสียหาย แม้ฝนฟ้าจะอุดมสมบูรณ์แต่ผลผลิตก็ยังต่ำกว่าการทำนาดำอยู่ดี (หน้า 9-10)

Social Organization

โครงสร้างสังคมของไทดำในอดีตเป็นแบบมีชนชั้น ซึ่งแบ่งตาม "สิง" (ตระกูล) โดยจะสืบทอดข้างพ่อ (patrilineal society) โดยสิงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นชนชั้นปกครอง หรือ "ผู้ต๊าว" (สิงลอ สิงคำ) กลุ่มสองเป็นสามัญชน หรือ "ผู้น้อย" (เช่น สิงกวาง สิงวี สิงกา) (หน้า 14) การนับตระกูล (สิง) ของลาวโซ่งในประเทศสยามไม่ต่างไปจากของไทดำในสิบสองจุไทที่เป็นบรรพบุรุษ กล่าวคือ การสืบสายตระกูลจะเป็นไปตามสายฝ่ายชาย ลูกสังกัดสิงฝ่ายพ่อ และภรรยาเป็นสมาชิกสิงฝ่ายสามี (หน้า 19)

Political Organization

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นราชสำนักไทยใช้นโยบายปกครองเช่นเดียวกับการปกครองไพร่ คือ แบ่งคนในสังคมออกเป็นพวกมูลนายกลุ่มหนึ่ง โดยมูลนายลาวที่อยู่ภายใต้การปกครองมักตั้งจากคนลาวด้วยกัน และเข้าเป็นขุนนางของราชสำนักไทย ที่จะถูกปกครองด้วยขุนนางไทยอีกชั้นหนึ่ง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารและยกเลิกระบบไพร่ ทำให้การควบคุมคนผ่านมูลนายต้องยุติไปโดยปริยาย (หน้า 7-8)

Belief System

ความเชื่อทางศาสนา เชื่อเกี่ยวกับขวัญ แถน และผี - ขวัญ คนไทเชื่อว่าร่างกายของคนจะมีขวัญประจำอยู่ตามอวัยวะสำคัญ หากขวัญยังประชุมรวมกันอยู่ร่างกายก็จะปกติสุข หากขวัญหนีหายจะมีอาการผิดปกติ หรือเจ็บไข้ ต้องมีการเรียกขวัญกลับคืนมา - แถน เป็นเทวดาอยู่ในเมืองฟ้า เป็นผู้กำกับความเป็นไปของโลกมนุษย์ทั้งด้านดีและร้าย - ผี หมายถึงขวัญของคนที่ตายไปแล้ว ผีจะเดินทางไปที่ต่าง ๆ ได้ และหากกลับมาอยู่ที่เรือนของตนเองจะกลายเป็นผีเรือน นอกจากนี้ยังมีผีป่า ผีบ้าน (ผีประจำหมู่บ้าน) ที่สามารถบันดาลโชคชะตาทั้งดีและร้ายให้มนุษย์ ดังนั้น จึงต้องมีการเซ่นไหว้ตามวาระอันควร และหลีกเลี่ยงการ "ผิดผี" ไม่เช่นนั้นผีจะลงโทษ (หน้า 13-14) พิธีกรรมการเสนเรือน คือ การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว รายชื่อบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะถูกจดบันทึกเป็นลายลักษ์อักษรอยู่ในบัญชีผีของตระกูล การเสนเรือนโดยปกติจะจัดทุก ๆ รอบหนึ่งถึงสามปี หมอผู้ประกอบพิธีจะเรียกชื่อผีเหล่านั้นมารับเครื่องเซ่นเป็นรายบุคคล สมาชิกทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเครือญาติที่นับถือผีเดียวกันจะต้องมาร่วมพิธี (หน้า 26-27) ชนชั้นทางสังคม 2 ชนชั้น คือ ผู้ต๊าวและผู้น้อย ทำให้การเสนเรือนผู้ต๊าวและผู้น้อยมีวิธีการและรายละเอียดบางอย่างแตกต่างกัน เช่น เสนผีผู่ต๊าวทำเป็นพิธีใหญ่ต้องฆ่าควายเป็นเครื่องเซ่น และใช้หมอประกอบพิธีที่เป็นผู้ต๊าว ส่วนเสนผีผู้น้อยใช้เพียงฆ่าหมูเป็น เครื่องเซ่นและใช้หมอเสนที่เป็นผู้น้อย (หน้า 15) พิธีศพ พวกโซ่งนิยมเผาศพเหมือนคนไทย ปัจจุบันเผาที่วัด ในอดีตเผาที่ป่าเฮ่ว (ป่าช้า) หลังจากเผาศพแล้วจะรวบรวมเถ้ากระดูกไปฝัง แล้วปลูกเรือนหลังเล็ก ๆ เรียกว่าเรือนแก้ว คร่อมทับหลุมกระดูกไว้ โซ่งมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายแล้วขวัญหรือวิญญาณของผู้ตาย จะเดินทางไปเฝ้าแถนก่อนที่จะกลับมาประจำอยู่ที่เรือน กลายเป็นผีเรือน (หน้า 27)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

เหตุแห่งความเจ็บป่วยผูกติดอยู่กับความเชื่อเรื่องขวัญ สุขภาพดีเนื่องจากขวัญอยู่ปกติสุข หากขวัญหนีหายออกจากร่างกาย ก็จะทำให้มีอาการผิดปกติ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ต้องหาวิธีเรียกขวัญให้กลับคืนมา (หน้า13)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

คำว่า "ซ่ง" หรือ "ส้วง" ในภาษาโซ่ง หมายถึง กางเกงพื้นเมืองที่ชายโซ่งชอบสวมใส่ ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย และมักย้อมด้วยสีครามเข้มเกือบดำ ลาวซ่งดำ นี่คือลักษณะการแต่งกายที่เชื่อว่าเป็นที่มาของชื่อในปัจจุบัน (หน้า 5) ลักษณะทางวัฒนธรรมที่ผู้วิจัยทำการศึกษา การแต่งกายและการไว้ทรงผมแบบพื้นเมือง (โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุ) จะหายไปง่ายที่สุด (หน้า25)

Folklore

ตำนานเรื่องน้ำเต้าปุง เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ ผู้ต๊าวและผู้น้อยมีกำเนิดต่างกัน ผู้น้อยสืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่พากันหลั่งไหลออกมาจากผลน้ำเต้าปุงหลังจากน้ำท่วมโลก ขณะที่ขุนบูลมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของผู้ต๊าวเป็นผู้ที่แถนส่งลงมาเพื่อปกครองผู้คน (หน้า 14-15) การบอกทางให้กับขวัญของผู้ตายจะทำอย่างละเอียด เนื่องจากมีการจดบันทึกด้วยภาษาลาวโซ่งที่เรียกว่า "ปั๊บ" เพื่อบอกทางไปเฝ้าแถน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ออกไปจากหมู่บ้านของตัวเอง และเลียบเลาะหมู่บ้านลาวโซ่งใกล้เคียง หากเป็นลาวโซ่งที่เพชรบุรีก็จะต้อง วกเส้นทางผ่านขึ้นไปทางชุมชนใหญ่ของลาวโซ่งในเขตจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีก่อน จึงเดินทางต่อไปเวียงจันทร์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงเมืองแถงในประเทศเวียดนาม และขึ้นฟ้าไปเฝ้าแถนในที่สุด (หน้า 27)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การธำรงชาติพันธุ์ ผู้วิจัยศึกษาการเปลี่ยนแปลงในสังคมลาวโซ่ง มีการตั้งข้อสังเกตว่าการตอกย้ำความเป็นพวกเดียวกันหลายด้านด้วยกัน เช่น ภาษา เครื่องแต่งกาย ที่สำคัญที่สุดน่าจะได้แก่ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษผ่านพิธีกรรม คือ การเสนเรือนและพิธีศพ (หน้า 26-27) ความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่น ในสิบสองจุไทผู้ไทประสบผลสำเร็จในการครอบครอง และใช้ผลประโยชน์จากที่ตามหุบเขาเต็มที่ พวกอื่นจะถูกกันให้ออกไปอยู่ในที่ป่าดอน และถูกเหยียดโดยพวกผู้ไทให้เป็น "ส่า" หรือข่า ในภาษาลาว และข้า ในภาษาไทย (หน้า 10) ความสัมพันธ์กับคนไทยสยามนั้น ผู้ไทดำถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกสงคราม ราชการไทยส่งไปอยู่เมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นในของกรุงเทพ สำหรับให้เป็นกำลังผลิตเสบียงตลอดจนใช้แรงงานไพร่ ในกิจการของราชการและของมูลนาย (หน้า 29-30) คนไทยภาคกลางเรียกผู้ไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไทว่า "ลาวโซ่ง" หรือ "ลาวทรงดำ" หรือ "ผู้ไทดำ" เมื่อประมาณสองศตวรรษเศษที่ผ่านมาคำว่า "ลาว" เป็นสรรพนามที่คนไทยสยามแต่โบราณใช้เรียกคนที่พูดภาษาไทหลายกลุ่มที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (หน้า 4)

Social Cultural and Identity Change

การถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้ระบบการปกครองแบบมูลนาย-ไพร่ของรัฐบาลสยาม ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างบางมิติของวัฒนธรรมดั้งเดิมของลาวโซ่ง ความแตกต่างทางสังคมและเศรษฐกิจระหว่างชนชั้นทางวัฒนธรรม (ผู้ต๊าวและผู้น้อย) ทำให้ระบบศักดินาค่อย ๆ เลือนหาย แต่สำนึกทางวัฒนธรรมของการเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งร้อยรัดด้วยประเพณี ความเชื่อ กลับเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของมิติ (หน้า 31)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตารางที่ 1 หมู่บ้านโซ่งที่ทำการศึกษา (หน้า 24) ตารางที่ 2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม (หน้า 26)

Text Analyst วิฑูรย์ คุ้มหอม Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, ความเป็นมา, การปรับตัว, เพชรบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง