|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ความเป็นมา,การปรับตัว,เพชรบุรี |
Author |
สุมิตร ปิติพัฒน์, เสมอชัย พูลสุวรรณ |
Title |
ลาวโซ่ง : พลวัตของระบบวัฒนธรรมในรอบสองศตวรรษ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
43 |
Year |
2540 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ |
Abstract |
เนื้อหาครอบคลุมพื้นที่ศึกษาทั้งถิ่นฐานเดิมของลาวโซ่ง คือ สิบสองจุไท และถิ่นฐานที่ถูกกวาดต้อนเข้ามา คือ จังหวัดเพชรบุรี ภาคกลางของประเทศไทย และมีการเคลื่อนย้ายถิ่นออกไปในหลายจังหวัดของภาคกลาง การเปลี่ยนแปลงทางด้านนิเวศน์ ทำให้ลาวโซ่งมีกลไกทางสังคมในการธำรงชาติพันธุ์หลายระดับและที่สำคัญที่สุด คือ คติการนับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งนับว่าเป็นรากแก้วของวัฒนธรรมลาวโซ่งทั้งระบบ และเพิ่มความเข้มข้นจนทำให้เกิดเครือข่ายทางสังคมรูปแบบใหม่ๆ |
|
Focus |
การปรับตัวทางวัฒนธรรมของลาวโซ่ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ว่า "ลาวโซ่ง" และ "โซ่ง" ผสมกัน แต่ยังมีชื่อเรียกอื่นที่ใช้เรียก เช่น "ลาวทรงดำ"และ "ผู้ไทยดำ" ที่คนไทยภาคกลางใช้เรียก ในเอกสารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า "ลาวซ่ง" (หน้า 4-5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท เนื่องมาจากบรรพบุรุษ คือ ไทดำซึ่งเป็น พลเมืองในเขตสิบสองจุไทของประเทศเวียดนามและเขตหัวพันของลาวพูดภาษาตระกูลไท (หน้า 3) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุรายละเอียด แต่มีช่วงที่ผู้วิจัยสำรวจชุมชนลาวโซ่งช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 (หน้า 2) |
|
History of the Group and Community |
เขตสิบสองจุไท (สิบสองเจ้าไท) แบ่งการปกครองออกเป็น 12 หัวเมืองหลัก ซึ่งต่างเป็นอิสระต่อกัน ประกอบด้วยหัวเมืองของผู้ไทขาว 4 เมือง ได้แก่ เมืองไล เมืองเจียน เมืองมุน และเมืองบาง หัวเมืองผู้ไทดำ 8 เมือง ได้แก่ เมืองแถง เมืองควาย เมืองดุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด (วาด) และเมืองซาง ซึ่งอยู่ในเขตต่อแดนระหว่างมหาอำนาจในท้องถิ่น 3 ฝ่าย คือ จีน เวียดนาม และลาวหลวงพระบาง ผู้ไทดำอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายคราว จากการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยคึก ครั้งแรกสมัยกรุงธนบุรีกองทัพไทยยกทัพไปตีอาณาจักรล้านช้าง เมื่อ พ.ศ. 2322 ครั้งที่สอง รัชกาลที่ 1 เจ้านันทเสนแห่งเวียงจันทร์ยกทัพตีเมืองพวนและเมืองแถนได้กวาดต้อนครัวลาวทรงดำมาที่กรุงเทพฯ ครัวลาวถูกส่งไปอยู่เมืองเพชรบุรีรวมกับพวกแรก ที่อพยพมาครั้งกรุงธนบุรี ครั้นรัชกาลที่ 3 มีการกวาดต้อนลาวทรงดำจากสิบสองจุไทมากรุงเทพแล้วถูกส่งให้ไปอยู่เมืองเพชรบุรีทั้งหมด (หน้า 6) |
|
Settlement Pattern |
เขตสิบสองจุไทหมู่บ้านของคนไทตั้งอยู่แทบทุกแห่ง ถ้าหากที่ราบเล็กหมู่บ้านก็จะเล็ก หากเป็นที่ราบกว้างใหญ่ชุมชนก็ใหญ่ เช่นเมืองแถงมีที่ราบกว้างแอ่งกระทะ ประกอบด้วยหลายหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลผ่านกลาง และล้อมรอบด้วยภูเขาในทุกทิศทุกทาง (หน้า 10) ลาวโซ่งส่วนใหญ่นิยมตั้งบ้านเรือนรวมอยู่เป็นกลุ่ม ส่วนพื้นที่ทำการเกษตรกรรมจะอยู่นอกหมู่บ้าน มีบางกรณีที่เงื่อนไขทางนิเวศน์ไม่เอื้ออำนวย ชาวบ้านเข้าบุกรุกป่าเพื่อทำกิน ซึ่งที่ค่อนข้างดอนและกันดาร(หน้า 23-24) |
|
Economy |
ระบบการผลิตของผู้ไทที่สิบสองจุไทส่วนใหญ่นิยมทำนา ซึ่งมี 2 ระบบด้วยกัน คือ การทำนาดำบริเวณที่ราบลุ่มหุบเขา และการทำไร่ (เฮ็ดไฮ่) คือ การปลูกข้าวพื้นเมืองทนแล้งในที่ดอน โดยระบบการทำไร่จะมีความไม่แน่นอนของผลผลิตมากกว่าระบบการทำนาดำ เนื่องจากต้องพึ่งลมฟ้าอากาศมาก หากฝนแล้งหรือทิ้งช่วงนานก็เสี่ยงต่อผลผลิตเสียหาย แม้ฝนฟ้าจะอุดมสมบูรณ์แต่ผลผลิตก็ยังต่ำกว่าการทำนาดำอยู่ดี (หน้า 9-10) |
|
Social Organization |
โครงสร้างสังคมของไทดำในอดีตเป็นแบบมีชนชั้น ซึ่งแบ่งตาม "สิง" (ตระกูล) โดยจะสืบทอดข้างพ่อ (patrilineal society) โดยสิงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นชนชั้นปกครอง หรือ "ผู้ต๊าว" (สิงลอ สิงคำ) กลุ่มสองเป็นสามัญชน หรือ "ผู้น้อย" (เช่น สิงกวาง สิงวี สิงกา) (หน้า 14) การนับตระกูล (สิง) ของลาวโซ่งในประเทศสยามไม่ต่างไปจากของไทดำในสิบสองจุไทที่เป็นบรรพบุรุษ กล่าวคือ การสืบสายตระกูลจะเป็นไปตามสายฝ่ายชาย ลูกสังกัดสิงฝ่ายพ่อ และภรรยาเป็นสมาชิกสิงฝ่ายสามี (หน้า 19) |
|
Political Organization |
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นราชสำนักไทยใช้นโยบายปกครองเช่นเดียวกับการปกครองไพร่ คือ แบ่งคนในสังคมออกเป็นพวกมูลนายกลุ่มหนึ่ง โดยมูลนายลาวที่อยู่ภายใต้การปกครองมักตั้งจากคนลาวด้วยกัน และเข้าเป็นขุนนางของราชสำนักไทย ที่จะถูกปกครองด้วยขุนนางไทยอีกชั้นหนึ่ง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารและยกเลิกระบบไพร่ ทำให้การควบคุมคนผ่านมูลนายต้องยุติไปโดยปริยาย (หน้า 7-8) |
|
Belief System |
ความเชื่อทางศาสนา เชื่อเกี่ยวกับขวัญ แถน และผี - ขวัญ คนไทเชื่อว่าร่างกายของคนจะมีขวัญประจำอยู่ตามอวัยวะสำคัญ หากขวัญยังประชุมรวมกันอยู่ร่างกายก็จะปกติสุข หากขวัญหนีหายจะมีอาการผิดปกติ หรือเจ็บไข้ ต้องมีการเรียกขวัญกลับคืนมา - แถน เป็นเทวดาอยู่ในเมืองฟ้า เป็นผู้กำกับความเป็นไปของโลกมนุษย์ทั้งด้านดีและร้าย - ผี หมายถึงขวัญของคนที่ตายไปแล้ว ผีจะเดินทางไปที่ต่าง ๆ ได้ และหากกลับมาอยู่ที่เรือนของตนเองจะกลายเป็นผีเรือน นอกจากนี้ยังมีผีป่า ผีบ้าน (ผีประจำหมู่บ้าน) ที่สามารถบันดาลโชคชะตาทั้งดีและร้ายให้มนุษย์ ดังนั้น จึงต้องมีการเซ่นไหว้ตามวาระอันควร และหลีกเลี่ยงการ "ผิดผี" ไม่เช่นนั้นผีจะลงโทษ (หน้า 13-14) พิธีกรรมการเสนเรือน คือ การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว รายชื่อบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะถูกจดบันทึกเป็นลายลักษ์อักษรอยู่ในบัญชีผีของตระกูล การเสนเรือนโดยปกติจะจัดทุก ๆ รอบหนึ่งถึงสามปี หมอผู้ประกอบพิธีจะเรียกชื่อผีเหล่านั้นมารับเครื่องเซ่นเป็นรายบุคคล สมาชิกทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเครือญาติที่นับถือผีเดียวกันจะต้องมาร่วมพิธี (หน้า 26-27) ชนชั้นทางสังคม 2 ชนชั้น คือ ผู้ต๊าวและผู้น้อย ทำให้การเสนเรือนผู้ต๊าวและผู้น้อยมีวิธีการและรายละเอียดบางอย่างแตกต่างกัน เช่น เสนผีผู่ต๊าวทำเป็นพิธีใหญ่ต้องฆ่าควายเป็นเครื่องเซ่น และใช้หมอประกอบพิธีที่เป็นผู้ต๊าว ส่วนเสนผีผู้น้อยใช้เพียงฆ่าหมูเป็น เครื่องเซ่นและใช้หมอเสนที่เป็นผู้น้อย (หน้า 15) พิธีศพ พวกโซ่งนิยมเผาศพเหมือนคนไทย ปัจจุบันเผาที่วัด ในอดีตเผาที่ป่าเฮ่ว (ป่าช้า) หลังจากเผาศพแล้วจะรวบรวมเถ้ากระดูกไปฝัง แล้วปลูกเรือนหลังเล็ก ๆ เรียกว่าเรือนแก้ว คร่อมทับหลุมกระดูกไว้ โซ่งมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายแล้วขวัญหรือวิญญาณของผู้ตาย จะเดินทางไปเฝ้าแถนก่อนที่จะกลับมาประจำอยู่ที่เรือน กลายเป็นผีเรือน (หน้า 27) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เหตุแห่งความเจ็บป่วยผูกติดอยู่กับความเชื่อเรื่องขวัญ สุขภาพดีเนื่องจากขวัญอยู่ปกติสุข หากขวัญหนีหายออกจากร่างกาย ก็จะทำให้มีอาการผิดปกติ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ต้องหาวิธีเรียกขวัญให้กลับคืนมา (หน้า13) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
คำว่า "ซ่ง" หรือ "ส้วง" ในภาษาโซ่ง หมายถึง กางเกงพื้นเมืองที่ชายโซ่งชอบสวมใส่ ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย และมักย้อมด้วยสีครามเข้มเกือบดำ ลาวซ่งดำ นี่คือลักษณะการแต่งกายที่เชื่อว่าเป็นที่มาของชื่อในปัจจุบัน (หน้า 5) ลักษณะทางวัฒนธรรมที่ผู้วิจัยทำการศึกษา การแต่งกายและการไว้ทรงผมแบบพื้นเมือง (โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุ) จะหายไปง่ายที่สุด (หน้า25) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องน้ำเต้าปุง เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ ผู้ต๊าวและผู้น้อยมีกำเนิดต่างกัน ผู้น้อยสืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่พากันหลั่งไหลออกมาจากผลน้ำเต้าปุงหลังจากน้ำท่วมโลก ขณะที่ขุนบูลมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของผู้ต๊าวเป็นผู้ที่แถนส่งลงมาเพื่อปกครองผู้คน (หน้า 14-15) การบอกทางให้กับขวัญของผู้ตายจะทำอย่างละเอียด เนื่องจากมีการจดบันทึกด้วยภาษาลาวโซ่งที่เรียกว่า "ปั๊บ" เพื่อบอกทางไปเฝ้าแถน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ออกไปจากหมู่บ้านของตัวเอง และเลียบเลาะหมู่บ้านลาวโซ่งใกล้เคียง หากเป็นลาวโซ่งที่เพชรบุรีก็จะต้อง วกเส้นทางผ่านขึ้นไปทางชุมชนใหญ่ของลาวโซ่งในเขตจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีก่อน จึงเดินทางต่อไปเวียงจันทร์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงเมืองแถงในประเทศเวียดนาม และขึ้นฟ้าไปเฝ้าแถนในที่สุด (หน้า 27) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การธำรงชาติพันธุ์ ผู้วิจัยศึกษาการเปลี่ยนแปลงในสังคมลาวโซ่ง มีการตั้งข้อสังเกตว่าการตอกย้ำความเป็นพวกเดียวกันหลายด้านด้วยกัน เช่น ภาษา เครื่องแต่งกาย ที่สำคัญที่สุดน่าจะได้แก่ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษผ่านพิธีกรรม คือ การเสนเรือนและพิธีศพ (หน้า 26-27) ความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่น ในสิบสองจุไทผู้ไทประสบผลสำเร็จในการครอบครอง และใช้ผลประโยชน์จากที่ตามหุบเขาเต็มที่ พวกอื่นจะถูกกันให้ออกไปอยู่ในที่ป่าดอน และถูกเหยียดโดยพวกผู้ไทให้เป็น "ส่า" หรือข่า ในภาษาลาว และข้า ในภาษาไทย (หน้า 10) ความสัมพันธ์กับคนไทยสยามนั้น ผู้ไทดำถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกสงคราม ราชการไทยส่งไปอยู่เมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นในของกรุงเทพ สำหรับให้เป็นกำลังผลิตเสบียงตลอดจนใช้แรงงานไพร่ ในกิจการของราชการและของมูลนาย (หน้า 29-30) คนไทยภาคกลางเรียกผู้ไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไทว่า "ลาวโซ่ง" หรือ "ลาวทรงดำ" หรือ "ผู้ไทดำ" เมื่อประมาณสองศตวรรษเศษที่ผ่านมาคำว่า "ลาว" เป็นสรรพนามที่คนไทยสยามแต่โบราณใช้เรียกคนที่พูดภาษาไทหลายกลุ่มที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (หน้า 4) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้ระบบการปกครองแบบมูลนาย-ไพร่ของรัฐบาลสยาม ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างบางมิติของวัฒนธรรมดั้งเดิมของลาวโซ่ง ความแตกต่างทางสังคมและเศรษฐกิจระหว่างชนชั้นทางวัฒนธรรม (ผู้ต๊าวและผู้น้อย) ทำให้ระบบศักดินาค่อย ๆ เลือนหาย แต่สำนึกทางวัฒนธรรมของการเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งร้อยรัดด้วยประเพณี ความเชื่อ กลับเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของมิติ (หน้า 31) |
|
Map/Illustration |
ตารางที่ 1 หมู่บ้านโซ่งที่ทำการศึกษา (หน้า 24) ตารางที่ 2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม (หน้า 26) |
|
|