|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก,ความสัมพันธ์,ไทย,ลาว,สระบุรี |
Author |
พิทักษ์ อินทิยศ |
Title |
ปัญหาม้งอพยพสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และสปป.ลาว |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
85 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาถึงพัฒนาการ วิเคราะห์และประเมินแนวโน้มของปัญหาผู้อพยพชาวเขาเผ่าม้งที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก จ.สระบุรีกับผลกระทบที่มีต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและลาวในยุคหลังสงครามเย็น ผลวิจัยพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งฝ่ายไทยและลาวเห็นว่า ม้งอพยพที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยขณะนี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลาวและไทย ทำให้ลาวหวาดระแวงไทยเรื่อยมาว่า ให้การสนับสนุนม้งกลุ่มนี้เพื่อต่อต้านรัฐบาลลาว โดยแนวโน้มในอนาคตของความหวาดระแวงจะเป็นอย่างไรไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศในเวลานั้นว่าเป็นอย่างไร หากไทยแก้ไขปัญหาผู้อพยพม้งที่ถ้ำกระบอกอย่างเป็นรูปธรรม โอกาสรื้อฟื้นความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจย่อมมีสูง (ดูหน้าบทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาถึงพัฒนาการ วิเคราะห์และประเมินแนวโน้มของปัญหาผู้อพยพชาวเขาเผ่าม้งที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก จ.สระบุรีกับผลกระทบที่มีต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและลาวในยุคหลังสงครามเย็น (หน้า 13) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาจากผู้เกี่ยวข้องในนโยบายการต่างประเทศของทั้งฝ่ายไทยและลาว เช่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งฝ่ายไทยและลาว ทูตลาวประจำประเทศไทย นักการทูตไทยประจำประเทศลาว ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมไปถึงผู้นำชุมชนม้งในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก เป็นต้น (หน้า 14 - 15) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของการแทรกแซงทางทหารและการเมืองในลาว ในช่วงสงครามเย็น รัฐบาลไทยเริ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ลาว และต่อต้านความเป็นกลางของลาวภายหลังการเจรจาสันติภาพในอินโดจีนที่กรุงเจนีวาในปีพ.ศ.2497 ทำให้ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นกลางของนายกรัฐมนตรีเจ้าสุวันพูมาล้มเหลวถึง 3 ครั้ง เพราะถูกแทรกแซงจากไทยและสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในลาวระหว่างลาวทั้ง 3 ฝ่ายระหว่างปี พ.ศ. 2503 - 2516 โดยสหรัฐอเมริกาสนับสนุนด้านการเงิน อาวุธและคำปรึกษาทางการทหารแก่รัฐบาลลาวฝ่ายขวา และสนับสนุนกองทัพชาวเขาเผ่าม้งของนายพลวังเปา ขณะที่องค์การ CIA ของสหรัฐฯได้จ้างอาสาสมัครเสือพรานจากไทยและทหารรับจ้างจากประเทศอื่นๆ ไปช่วยเหลือรัฐบาลลาวฝ่ายขวา จนในที่สุดสงครามในลาวก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่าย "ปเทดลาว" และจากการแทรกแซงทางการเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้นำของฝ่ายปเทดลาวหรือพรรคประชาชนปฏิวัติลาวไม่พอใจ หวาดระแวงในพฤติกรรมของไทยและสหรัฐอเมริกาเรื่อยมา หลังสงครามองค์การ CIA ของสหรัฐฯ ได้อพยพชาวเขาเผ่าม้งของนายพลวังเปาจำนวนประมาณ 30,000 คนเข้ามาในประเทศไทย และเพิ่มมากขึ้นหลังจากปี พ.ศ.2518 โดยในช่วงปี พ.ศ.2518 - 2527 มีปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้านลาวทั้งในและนอกประเทศ ทำสงครามกองโจรซุ่มโจมตีปิดทางหลวงสายสำคัญๆ จากปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ไทยเป็นที่หวาดระแวงแก่รัฐบาลลาวเรื่อยมา แม้ไทยจะส่งผู้อพยพกลับประเทศลาวและประเทศที่สามแล้วก็ตาม สำหรับที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกมีม้งอพยพตกค้างอยู่ประมาณ 13,000 คน โดยที่รัฐบาลลาวสงสัยว่าจะมีกลุ่มต่อต้านลาวจำนวนหนึ่งหลบซ่อนอยู่ในสำนักสงฆ์แห่งนี้ เพราะนับตั้งแต่เดือน มีนาคม พ.ศ.2543 มีการลอบวางระเบิดของขบวนการต่อต้านลาวอยู่บ่อยครั้ง (หน้า 11-13 , 29-63) สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกมีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 โดยพระจำรูญ ปานจันทร์ เพื่อเป็นศูนย์รักษาและบำบัดผู้ติดยาเสพติดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก (พระจำรูญ ปานจันทร์) รับม้งมาบำบัดอาการติดยาเสพติดเริ่มแรกจำนวน 10 ครอบครัว ต่อมามีม้งเข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีประมาณ 30,000 คน การที่มีม้งจำนวนมากมาอาศัยในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกแห่งนี้ ทำให้พระจำรูญถูกกล่าวหาว่าจัดตั้งศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดบังหน้าเพื่อสนับสนุนกลุ่มต่อต้านลาวซึ่งเป็นกลุ่มของนายพลวังเปา ข้อสงสัยที่ทางการไทยมีต่อพระจำรูญ ปานจันทร์ มีมาตั้งแต่สมัยที่บวช (ครั้งแรก) แล้วสึกออกไปทำงานให้กับบริษัท ซี ซัพพลาย จำกัด ซึ่งบริษัทนี้ถูกกล่าวหาว่าทำงานเป็นฉากบังหน้าของ CIA เพื่อสนับสนุนกลุ่มต่อต้านลาวตามแนวชายแดน หลังจากที่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก สำนักสงฆ์แห่งนี้ก็ถูกขึ้นบัญชีดำจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ระบุว่า สำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นแหล่งซุกซ่อนยาเสพย์ติดแหล่งใหญ่แห่งหนึ่ง พระจำรูญปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และว่าข้อกล่าวหานี้เป็นความพยายามของทางการไทยที่จ้องการปิดสำนักสงฆ์เพื่อไม่ให้ม้งอยู่ในพื้นที่ และการบำบัดยาเสพย์ติดทำให้ผู้ค้าเสียผลประโยชน์มหาศาล พระจำรูญกล่าวว่าหากท่านเปิดโปงเรื่องนี้จะทำให้ ส.ส. กว่าครึ่งต้องลาออก (หน้า 45 - 47) ม้งภายในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก สามารถสรุปได้เป็น 3 ประเภทคือ 1) ม้งลาวที่หลบหนีจากศูนย์อพยพควบคุมผู้อพยพชาวลาวในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยซึ่งปิดตัวลงเพื่อให้ผู้อพยพชาวลาวเดินทางกลับประเทศ 2) ม้งลาวที่เป็นสมาชิกของขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหวังโค่นล้มรัฐบาลคอมมิวนิสต์ 3) ม้งในประเทศไทยที่เข้ามาบำบัดรักษายาเสพติดภายในสำนักสงฆ์แห่งนี้ และไม่สามารถเดินทางกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตัวเองได้อีกต่อไป (หน้า 47 - 48) |
|
Settlement Pattern |
ม้งที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกปลูกบ้านพักอาศัยเป็นกระท่อม มุงหลังคาด้วยหญ้าคา อยู่กันเป็นกลุ่มๆ (หน้า 49) |
|
Demography |
ม้งที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกคาดว่ามีประมาณ 30,000 คน (หน้า 47) แต่จากการสำรวจของหน่วยงานราชการเมื่อปี พ.ศ.2536 โดยสำรวจชาวเขาที่พักอาศัยในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกพบว่า มีจำนวนชาวเขาที่เป็นชาย 2,134 คน หญิง 3,962 คน รวมทั้งหมด 6,096 คน 959 ครอบครัว เป็นผู้เข้ามาบำบัดรักษายาเสพติดจำนวน 299 คน นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้สำรวจชาวเขาเผ่าม้งในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกเมื่อปี พ.ศ.2539 พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 13,650 คน เป็นผู้ใหญ่ 7,868 คน (ชาย 4,048 คน หญิง 3,820 คน) เด็กอายุระหว่าง 1 - 12 ปี จำนวน 5,782 คน (ชาย 2,945 คน หญิง 2,837 คน) และสำรวจอีกครั้งในปี พ.ศ.2541 พบว่ามีม้ง 1,767 ครอบครัว มีประชากรทั้งสิ้น 13,889 คน และจากการสำรวจของเทศบาลตำบลพระพุทธบาทเมื่อปี พ.ศ.2541 พบว่ามีม้งในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกจำนวน 20,370 คน เป็นชายจำนวน 10,418 คน หญิงจำนวน 9,952 คน โดยบุคคลเหล่านี้มีสถานะเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและรัฐบาลลาวก็ไม่ประสงค์จะรับบุคคลเหล่านี้เดินทางกลับประเทศ (หน้า 48 - 50) |
|
Economy |
อาชีพของม้งในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกมีดังนี้ รับจ้างทั่วไปร้อยละ 40 ไม่ได้ประกอบอาชีพร้อยละ 30 ค้าขายร้อยละ 10 ช่างฝีมือร้อยละ 10 การเกษตรร้อยละ 10 (หน้า 49) ส่วนใหญ่จะขายแรงงานให้กับภาคการเกษตรทั้งในและนอกพื้นที่ (หน้า 83) |
|
Political Organization |
ในช่วงปี พ.ศ.2518 - 2527 กลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาวมีอยู่หลายกลุ่ม บางครั้งอาจจะเปลี่ยนชื่อตั้งเป็นกลุ่มใหม่อยู่เสมอ เช่น กลุ่มชาวเขาเผ่าม้งของนายพลวังเปา กลุ่มของเจ้าเอี้ยงและเจ้าสีสุก ณ จำปาสัก กลุ่มอดีตรัฐมนตรีอินเปง สะยาภัยและพันตรีบัวเลื่อน วันพะซัย กลุ่มของนายพลกองแล กลุ่มม้ง ปักกาเฮอ กลุ่มนายพลทองลิด โจกเบ่งบุน กลุ่มของพ.อ.ลุน สีสนุน (หน้า 12) ขบวนการกู้ชาติลาวของร้อยเอกกองแล ชาวเขาเผ่าม้ง เย้าและกลุ่มอื่น ๆ โดยความสนับสนุนของจีน ปฏิบัติการอยู่ในแถบเมืองคุนหมิงของจีนและพรมแดนไทย - ลาว (หน้า 36) ภาคเหนือมีกลุ่มต่อต้านที่สำคัญคือ กลุ่มขบวนการลาวเสรีกู้ชาติหรือกลุ่มสิงห์ดง เกิดจากการรวมตัวของชาวเขาเผ่าเย้า กลุ่มลาวเทิง (นำโดยพันเอกคำผาย วิไลพัน) ปฏิบัติการอยู่ในแขวงไชยบุรีและแขวงหลวงน้ำทา และกลุ่มต่อต้านของพันตรีบุญเลิศ พรมพิทักษ์ ปฏิบัติการอยู่ในแขวงไชยบุรี ภาคกลาง (เขตเชียงขวาง หลวงพระบาง เวียงจันทน์) มีกลุ่มต่อต้านของปักกาเฮอ ประกอบไปด้วยชาวเขาเผ่าม้งภายใต้การนำของนายพลวังเปามีกำลังพล 19,000 คน และม้งไม่ติดอาวุธให้การสนับสนุนอีก 200,000 คน ถือว่าเป็นกลุ่มต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดในลาว แต่ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของลาว ทำให้กองพลวังเปาและม้งจำนวนมากต้องอพยพเข้ามาในประเทศไทย และม้งบางส่วนเข้าไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ภาคใต้ มีกลุ่มขบวนการ "ลาวเป็นลาว" จัดตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ.2518 ต่อมาในปี พ.ศ.2519 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ขบวนการกู้ชาติ" และยังมีกลุ่มต่อต้านของนายพลภูมี หน่อสวัน (ปฏิบัติการในสุวรรณเขต) กลุ่มต่อต้านของกองแล (ปฏิบัติการในพื้นที่เมืองพิม เมืองผาลานและเมืองเซบั้งไฟ) กลุ่มของเจ้าสัก ณ จำปาสัก และกลุ่มต่อต้านของนายบุญเลิศ ชัยโกศรี ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาวที่ประกอบไปด้วยลาวฝ่ายขวาและฝ่ายที่เป็นกลางมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ม้งประกาศจัดตั้งรัฐบาล "เจ้าฟ้าม้งลาวใหม่" เพื่อหาแนวร่วมระหว่างม้งด้วยกันเอง นอกจากนี้จีนยังสนับสนุนกลุ่มต่อต้านลาวประมาณ 3,000 คนจัดตั้ง "พรรคสังคมนิยมลาว" (Lao Socialist Party : LSP) เพื่อเป็นปากเสียงของประชาชนลาวผู้รักชาติต่อต้านการรุกรานของเวียดนามและรัฐบาลลาวหุ่นของเวียดนาม นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2524 นายพลภูมี หน่อสวัน อดีตผู้นำลาวฝ่ายขวาได้จัดตั้ง "แนวร่วมปลดปล่อยชาติลาว" หาเสียงสนับสนุนจากประเทศยุโรปตะวันตกเพื่อจัดตั้งรัฐบาลลาวพลัดถิ่นปลดปล่อยลาวจากการปกครองของเวียดนาม (หน้า 38 - 41) ปี พ.ศ.2542 อาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยดงดอก ปัญญาชน ข้าราชการและชนชั้นกลาง ได้รวมตัวจัดตั้ง "ขบวนการนักศึกษาลาวเพื่อประชาธิปไตย" (Lao Student Movement for Democracy) เพื่อประท้วงรัฐบาลให้ลาออกและให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ถูกรัฐบาลลาวจับกุมเสียก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหว (หน้า 59) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ม้งในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกไม่มีการคุมกำเนิด และป่วยเป็นโรคเท้าช้างกันมาก ขณะนี้มีสถานีอนามัยย่อยในสำนักสงฆ์เพื่อป้องกันและรักษาโรคแล้ว (หน้า 77 - 78) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) 1.มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกัน มีการถ่ายทอด ผสมผสาน แลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางด้านภาษา วรรณกรรม ศิลปะ งานเพลง และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้ง 2 ชาติในงานประเพณี งานบุญ เทศกาลสำคัญต่างๆ 2.ด้านการเมือง ความสัมพันธ์ได้รับการส่งเสริมจากปัจจัยทางการเมือง สภาพแวดล้อมทางการเมืองระหว่างประเทศ นโยบายของไทยที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน การที่ลาวเปิดประเทศมากขึ้นและใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาด นอกจากนี้ไทยและลาวยังยึดถือความสัมพันธ์เป็นแบบ "บ้านพี่ - เมืองน้อง" มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และผู้นำของแต่ละประเทศได้เยี่ยมเยือนกันและกันอย่างต่อเนื่อง 3.ด้านเศรษฐกิจ ไทยและลาวมีการค้าขายกันเป็นเวลานานระหว่างประชาชนตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ มีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในประเทศลาวมากขึ้น และประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ลาวทั้งการให้เงินสนับสนุนด้านการศึกษา การให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ ลาวอาศัยเส้นทางของประเทศไทยเป็นเส้นทางออกสู่โลกภายนอก เพราะลาวไม่มีเส้นทางออกสู่ทะเลเป็นของตนเอง เป็นต้น ปัจจัยที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ลาว 1. ปัญหาผู้อพยพม้ง ม้งเหล่านี้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยหลังจากลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสังคมนิยมในปี พ.ศ. 2518 โดยม้งได้ร่วมต่อสู้เพื่อต่อต้านขบวนการ "ปเทดลาว" ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ไทยและลาวฝ่ายขวา ทำให้หลังจากขบวนการ "ปเทดลาว" เปลี่ยนแปลงการปกครองได้ในปีพ.ศ.2518 แล้ว ม้งเหล่านี้จึงเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองของฝ่ายปเทดลาวที่ต้องการกวาดล้าง การที่ม้งและลาวฝ่ายขวาจำนวนมากอพยพเข้ามาในประเทศไทย ได้สร้างความหวาดระแวงแก่รัฐบาลลาวว่าประเทศไทยสนับสนุนผู้อพยพเหล่านี้ให้เข้าไปสร้างความวุ่นวายทางการเมืองเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองในลาว โดยเฉพาะหลังจากที่ม้งกลุ่มนี้ย้ายมาอาศัยในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก จ.สระบุรี และเป็นที่รวมของม้งจนถึงปัจจุบันนี้ 2. ปัญหาเส้นเขตแดน การกำหนดเส้นเขตแดนที่ไม่ได้ทำไปตามหลักของกฎหมายและความยุติธรรม แต่ได้ทำไปตามความต้องการของฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียวตามอนุสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2469 ทำให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่เรื่อยมา 3. ปัญหาเกี่ยวกับหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขง (นปข.) ฝ่ายไทยนำเรือปฏิบัติการลำน้ำโขงมาดูแลรักษาความสงบตามลำน้ำโขงตั้งแต่ปีพ.ศ.2518 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันการแทรกซึมของฝ่ายปเทดลาวในช่วงสงครามเย็น ทำให้ลาวไม่พอใจและเกิดการปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง 4. ปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆ การล่อลวงแม่หญิงลาวเข้ามาค้าประเวณีในไทย การนำเสนอข่าวสารและรายการของไทยที่ดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชนลาว (หน้า 1 - 13) - ความหวาดระแวงของสปป.ลาวเกี่ยวกับการที่ประเทศไทยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในลาว ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นตรงกันว่า การที่ไทยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็นเพื่อทำสงครามกับลาวเป็นสิ่งที่ยากต่อการลืมเลือน และส่งผลให้ลาวหวาดระแวงไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ การจะหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยขึ้นอยู่กับสภาพความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศในเวลานั้น ๆ หากความสัมพันธ์อยู่ในระดับดีก็จะมีการพูดคุยกันน้อยมากหรือไม่พูดถึงเลย แต่หากความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น เนื่องจากความขัดแย้งบางประการก็จะทำให้ลาวหันกลับมาระแวงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายลาวเห็นในทางเดียวกันว่าบทเรียนในอดีตเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและจดจำเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลัง และความสัมพันธ์ของทั้งไทยและลาวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีแม้บางครั้งจะมีข้อกังขาหรือปัญหาเกิดขึ้นก็ตาม - ปัญหาผู้อพยพม้งที่พำนักในประเทศไทยและมีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลลาว จะยังเป็นอุปสรรคต่อการสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสปป.ลาวหรือไม่ ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการสานความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอยู่มาก เพราะฝ่ายลาวเห็นว่าไทยรู้เห็นเป็นใจและให้การสนับสนุนม้งให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในลาว ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายลาวเห็นว่ากลุ่มผู้อพยพที่มีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลลาวที่พำนักอยู่ในประเทศไทยหรือที่อื่นๆ ทั่วโลกเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าและความสมานฉันท์ของคนลาวทั้งชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่อพยพในประเทศไทย ทางการลาวจะคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเรื่องนี้เป็นอุปสรรคต่อการสานความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศอยู่มาก - กรณีม้งบางกลุ่มในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกพัวพันกับยาเสพติดกับท่าทีของรัฐบาลสปป.ลาวในการรับผู้อพยพกลับประเทศ ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายลาวเห็นว่านโยบายของรัฐบาลลาวไม่ต้อนรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้าประเทศ หากไทยประสงค์จะส่งผู้อพยพม้งกลับต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อไม่ให้บุคคลนั้นเข้าไปสร้างความเสียหาย ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นว่าการส่งม้งอพยพกลับไปในลาวเป็นเรื่องยาก เพราะผู้อพยพไม่ประสงค์จะกลับ และลาวเองก็ยังหวาดระแวงกลุ่มบุคคลเหล่านี้อยู่ - อุดมการณ์และกำลังความสามารถของกลุ่มต่อต้านลาวในการต่อสู้กับรัฐบาลสปป.ลาวเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นว่ากลุ่มต้อต้านลาวไม่มีกำลังความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในสปป.ลาวได้ เพราะต้องมีแหล่งสนับสนุนด้านการเงิน อาวุธ มวลชนทั้งภายในและนอกประเทศที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายลาวเห็นว่าปัจจุบันลาวมีเอกภาพมากกว่าอดีตมาก คนลาวเลื่อมใสระบอบการปกครองและรัฐบาล ทำให้การจะปลุกระดมมวลชนไม่ใช่เรื่องง่ายนอกจากจะมีระบบการจัดการที่ดี - ความร่วมมือและความช่วยเหลือที่รัฐบาลไทยให้กับรัฐบาลลาว ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในยุคสงครามเย็น มีผลทำให้ความหวาดะแวงที่สปป.ลาวมีต่อประเทศไทยกรณีผู้อพยพม้งลดน้อยลงไปหรือไม่ เพราะอะไร ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นว่าความช่วยเหลือที่ไทยให้กับลาวกับความหวาดระแวงที่ลาวมีต่อไทยเป็นคนละเรื่องกัน ความหวาดระแวงที่ลาวมีต่อไทยในเรื่องผู้อพยพม้งก็ยังมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนฝ่ายลาวเห็นว่าความช่วยเหลือที่ไทยมีให้กับลาวเป็นเรื่องที่ดีต่อความสัมพันธ์ แต่ความช่วยเหลือก็ไม่ได้ขจัดความระแวงที่ลาวมีต่อไทยแต่อย่างใด นอกจากการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อผู้อพยพที่ถ้ำกระบอกโดยเร็ว - แนวโน้มและทิศทางของปัญหาความหวาดระแวงที่สปป.ลาวมีต่อไทยในกรณีผู้อพยพม้ง ผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายไทยเห็นว่า ความหวาดระแวงที่ลาวมีต่อไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นประเด็นประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลไทยในอดีตทำกับลาวไว้มาก ส่วนฝ่ายลาวเห็นว่าความหวาดระแวงที่ลาวมีต่อไทยจะเป็นเช่นใดไม่สามรารถชี้ชัดลงไปได้ ต้องอาศัยระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ (หน้า 66 - 77) |
|
|