สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ลาหู่แดง,ระบบเศรษฐกิจ,สังคม,ภาคเหนือ
Author Anthony R. Walker
Title Lahu Nyi (Red Lahu) Village Society and Economy in North Thailand, Volume Two
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 278 Year 2513
Source Tribal Research Centre, Chiang Mai. p.302-580
Abstract

รายงานวิจัยชิ้นนี้เป็นความพยายามทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่แดง "Lau Nyi" หมู่บ้าน Sha O Kha บนพื้นที่สูงบริเวณดอย Mae Tad อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน พืชหลักที่ทำการเพาะปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด พริกและฝิ่น และมีการค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งภายในหมู่บ้านและกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็น8oไทยภาคเหนือ และจีนฮ่อ พ่อค้าเหล่านี้มักจะเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านปีละหลายครั้งเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขายเป็นหลักประกันหากการเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ผลเต็มที่พวกเขาก็ยังสามารถอยู่ได้จนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป ลักษณะโครงสร้างสังคมลาหู่แดง "Lau Nyi" เป็นสังคมที่มีความเป็นอิสระและความเท่าเทียมกัน ซึ่งหมายถึงการเป็นอิสระจากสังคมของตนเองและเป็นอิสระจากสังคมอื่น ทุกคนต่างทำงานของตนเองมีความเท่าเทียมกันไม่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากนัก และโครงสร้างทางสังคมของลาหู่แดง "Lau Nyi" เป็นโครงสร้างหลวมไม่มีการสร้างสัมพันธ์ในรูปแบบสายตระกูลคือโคตรตระกูล ซึ่งลักษณะโครงสร้างทางสังคมมีความสัมพันธ์กับแนวคิดของความเป็นอิสระความเท่าเทียมกันรวมถึงรูปแบบการดำรงชีวิตที่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอ การที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาปกครองกลุ่มลาหู่แดง "Lau Nyi" รัฐควรจะมีความรู้ความเข้าใจลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมหมู่บ้านลาหู่แดง "Lau Nyi" รายงานวิจัยชิ้นนี้หวังว่าจะเป็นส่วนช่วยในการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและลาหู่แดง "Lau Nyi" เพิ่มมากขึ้นรวมถึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาปางประการตามความเห็นของผู้วิจัย (หน้า 550-558)

Focus

การศึกษาระบบเศรษฐกิจและสังคมลาหู่แดง "Lahu Nyi" หมู่บ้าน Sha O HKa อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่แดง หมู่บ้าน Sha O HKa อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาในการสื่อสาร ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย ภาษาลาหู่มีความสำคัญในฐานะของภาษาที่ใช้ติดต่อระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ลีซอ "Lisu" อาข่า ผู้ชายส่วนใหญ่จะพูดลาหู่ได้ รวมถึงพ่อค้าจีนฮ่อก็สามารถพูดภาษาลาหู่ได้เช่นกัน แต่ลาหู่เองไม่สามารถพูดภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ บนพื้นที่สูงได้มากนัก สำหรับการติดต่อกับคนไทยภาคเหนือในพื้นที่ราบ ลาหู่แดง "Lahu Nyi" จะใช้ภาษาไทยเหนือ (คำเมือง) ในการสื่อสาร (หน้า 544-545)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ.1970

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

การเลือกพื้นที่ในการทำไร่ ลาหู่แดง"Lahu Nyi" พิจารณาเลือกพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนโดยคำนึงปัจจัยทั้ง 6 ประการดังนี้ 1. ลักษณะพืชพรรณ : พื้นที่จะเหมาะสมในการทำไร่ถ้ามีไม้ไผ่ประเภทต่าง ๆ ขึ้นอยู่เช่น ต้นไผ่ชนิด Meh Sha and Va Kaw ขึ้นอยู่ พื้นที่จะเหมาะสมต่อการทำไร่พริก สำหรับไร่ฝิ่นจะเป็นต้นไผ่ชนิด Va Kaw จะเป็นผลให้พื้นที่สามารถใช้ในการปลูกฝิ่นได้หลายปี และในพื้นที่ที่มีต้นไผ่ชนิด Meh Baw จะเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกข้าวแต่จะไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพริก 2. ดิน : ดินสีดำหรือสีแดงและนุ่มเหมาะสมต่อการปลูกพริกและปลูกข้าว ดินสีดำหรือสีเทาและมีพืชปกคลุมดินอยู่จะเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกฝิ่น และพื้นที่ดินทรายไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก 3. หิน : ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวและพริกมีหินก้อนใหญ่ได้แต่ไม่ควรมีหินมากจนเกินไป สำหรับพื้นที่ปลูกฝิ่นมีหินก้อนใหญ่มากแสดงว่าพื้นที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก 4. ระดับความสูง : ข้าวควรปลูกที่ระดับต่ำกว่า 1,000 เมตร ถ้าสูงกว่าระดับนี้จะเพาะปลูกได้ไม่ดีในหมู่บ้านพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ที่ระดับความสูง 800-1000 เมตร พริกควรจะปลูกที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,000 เมตรระดับสูงกว่านี้พริกจะเจริญเติบโตได้ดีแต่จะมีโรครบกวนมาก สำหรับพื้นที่ปลูกฝิ่นส่วนใหญ่จะสูงกว่าระดับ 1,000 เมตร 5. สภาพภูมิประเทศทั่วไป : พื้นที่ที่ไม่มีความชันมากเหมาะสมต่อการปลูกข้าว สำหรับพริกและฝิ่นความชันมีผลต่อการเลือกพื้นที่เพาะปลูก 6. พื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ : พื้นที่ใกล้น้ำดีกว่าเพราะว่าจะช่วยให้พวกเขามีน้ำใช้อุปโภคบริโภค (หน้า 333-341) ปฎิทินการทำงาน มกราคม กรีดฝิ่นเก็บเป็นฝิ่นดิบ เก็บเกี่ยวพริก เลือกพื้นที่ใหม่ในการเพาะปลูกข้าว พริกและฝิ่น กุมภาพันธ์ กรีดฝิ่นเก็บเป็นฝิ่นดิบ เก็บเกี่ยวพริก ถางไร่ มีนาคม เสร็จการกรีดฝิ่น เสร็จการเก็บเกี่ยวพริก ถางไร่ปีที่แล้วสำหรับการเพาะปลูกในปีนี้ เมษายน เผาที่ใหม่ที่จะใช้ในการเพาะปลูก ปลูกข้าวโพดในพื้นที่เก่าปีที่แล้ว และเตรียมปลูกพืชอื่นๆ เช่น งา ข้าวฟ่างและลูกเดือยในนาข้าว ถางที่สำหรับไร่ฝิ่นและไร่พริก หยอดเมล็ดในแปลงเพาะต้นกล้า ปลูกข้าวเบา พฤษภาคม กำจัดวัชพืช ปลูกข้าวเจ้า มิถุนาคม ปลูกข้าวเหนียว นำต้นพริกจากแปลงเพาะไปที่ไร่ กำจัดวัชพืชในไร่ข้าวเบา เตรียมพื้นที่ไร่ฝิ่นครั้งที่ 1 กรกฎาคม กำจัดวัชพืชในไร่ข้าวเหนียว และไร่พริก เตรียมพื้นที่สำหรับไร่ฝิ่นครั้งที่ 2 เก็บเกี่ยวข้าวโพด สิงหาคม เก็บเกี่ยวข้าวโพด เก็บเกี่ยวข้าวเบา เตรียมพื้นที่ไร่ฝิ่นครั้งที่ 3 กันยายน เก็บเกี่ยวข้าวโพด เก็บเกี่ยวพริก กำจัดวัชพืชไร่ฝิ่นก่อนการหยอดเมล็ดฝิ่น ตุลาคม เก็บเกี่ยวข้าวโพด เก็บเกี่ยวพริก หยอดเมล็ดฝิ่น กำจัดวัชพืชในไร่พริกและไร่ฝิ่น พฤศจิกายน เก็บเกี่ยวข้าวเหนียว กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น เก็บเกี่ยวพริก ธันวาคม กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น กรีดฝิ่นและเก็บเป็นฝิ่นดิบ เก็บเกี่ยวพริก งา ข้าวฟ่างและลูกเดือย การถางไร่ : ครัวเรือนจะเลือกพื้นที่สำหรับถางไร่และใช้เครื่องมือประเภทมีดพร้าในการถางไร่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะช่วยกันทำการถางไร่ สำหรับการโค่นต้นไม้ใหญ่เป็นหน้าที่ของผู้ชายและจะใช้ขวานเป็นเครื่องมือ เครื่องมือส่วนใหญ่ซื้อมาจากตลาดในเมืองพร้าว ราคา 30-50 บาท (หน้า 351-364) การเผาไร่ : เมื่อถางไร่ใหม่หรือไร่เก่าเสร็จจะปล่อยให้แห้งประมาณ 1 เดือนช่วงเดือนมีนาคมถึงอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน ก็จะทำการเผาไร่ เป็นงานของผู้ชาย การเผาจะต้องใช้ความระมัดระวังและการดูทิศทางลม หลังจากนั้นจะเข้าเคลียร์พื้นที่เอาขอนไม้ที่ไม่ไหม้ออกจากพื้นที่ (หน้า 366) การปลูกข้าวโพด เริ่มทำการปลูกปลายเดือนมีนาคม-ต้นพฤษภาคม พื้นที่ปลูกข้าวโพดมักจะเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกฝิ่นหรือปลูกพริกมาก่อน บางครั้งจะปลูกใกล้แม่น้ำใกล้กับพื้นที่ปลูกข้าวและปลูกพริก การปลูกจะขุดหลุมแล้วหยอดเมล็ดหลุมละ 3-4 เมล็ดหลังจากนั้นจะกลบซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้หญิง การเก็บเกี่ยวข้าวโพดใช้เวลาทั้งหมดสี่เดือน เริ่มเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม หลังจากเก็บเกี่ยวจะนำกลับไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง (หน้า 413) การปลูกพริก เริ่มทำการเพาะต้นกล้าในแปลงเพาะในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน พื้นที่สำหรับเพาะต้นกล้าจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำและไม่ไกลจากไร่มากนัก สะดวกต่อการย้ายต้นกล้า ซึ่งจะทำการย้ายในช่งเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ก่อนการย้ายต้นกล้าจะต้องมีการกำจัดวัชพืชในพื้นที่เพาะปลูกเสียก่อน นอกจากนี้ ในไร่พริกอาจจะมีการปลูกพืชอื่นๆ เช่น ข้าวฟ่าง งา ข้าวโพดรวมอยู่ด้วย การปลูกพืชเสริมชนิดใดขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละครัวเรือน การกำจัดวัชพืชในไร่พริกจะทำ 2 ครั้ง/ปี การเก็บเกี่ยวพริกใช้เวลาทั้งหมด 7 เดือนโดยเริ่มจากเดือนกันยายน-มีนาคม เมื่อเก็บเกี่ยวพริกเสร็จจะนำมาตากแห้ง (หน้า 390-413) การปลูกข้าว ลาหู่แดง "Lahu Nyi" จะปลูกข้าว 2 ชนิดหลัก คือ ข้าวเบาจะปลูกก่อนในช่วงกลางเดือนเมษายน หลังจากนั้นอีก 3 อาทิตย์จะปลูกข้าวหลัก การขุดหลุมจะใช้เสียมเป็นงานของผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็จะทำถ้าไม่มีแรงงานผู้ชาย การหยอดเมล็ดเป็นงานของผู้หญิง หลังจากนั้น จะทำการกลบหลุม การกำจัดวัชพืชซึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กๆ แต่หากครอบครัวไม่มีแรงงานเด็กผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงจะช่วยกันกำจัดวัชพืช ซึ่งจะทำในช่วงต้นเดือนมิถุนาคม-ต้นเดือนกรกฎาคม และจะมีการทำหุ่นฟางไล่นกไม่ให้มารบกวน การเก็บเกี่ยวข้าวจะใช้เคียวเกี่ยวรวมเป็นมัดแล้วทำการนวดข้าวด้วยเท้าบนเสื่อไม่ไผ่ หลังจากนั้นจะนำไปเก็บในยุ้งฉาง ข้าวเบาจะเริ่มเก็บเกี่ยวก่อนตามมาด้วยข้าวหลักที่ปลูก (หน้า 416-420) การปลูกฝิ่น ในช่วงแรกจะต้องกำจัดวัชพืชและพุ่มไม้ออก เป็นหน้าที่ของทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางครั้งจะทำการปลูกฝิ่นในพื้นที่เดิมแต่จะปลูกหลังจากที่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่นั้นแล้ว การกำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่นใช้แรงงานมากที่สุดหลังจากกำจัดวัชพืชเสร็จจะเริ่มหยอดเมล็ดและกลบทันที พื้นที่ปลูกฝิ่นมักเป็นที่ที่มีความชัน การปลูกจะเริ่มจากที่ต่ำขึ้นไปสู่ที่สูง การกรีดฝิ่นจะทำในช่วงเวลา 11 โมงเช้าจนถึง บ่าย 3 โมงเย็น ใช้เวลาเก็บเกี่ยวทั้งหมด 3 เดือน (หน้า 431-441) ฝิ่นในระบบเศรษฐกิจของ ลาหู่แดง"Lahu Nyi" หมู่บ้าน Sha O HK'a การขายฝิ่นและการขายพริกของลาหู่แดง"Lahu Nyi" แสดงความหมายของการยกระดับชีวิตเหนือไปจากการยังชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน ชาวบ้านรู้สึกว่าพวกเขาต้องการเครื่องมือและวัตถุอื่นๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับจากเงิน วิทยุ ม้า และอื่นๆ ฝิ่นมักจะมีความหมายถึงการที่พวกเขาสามารถมีของฟุ่มเฟือยในชีวิตได้ แต่ฝิ่นก็เป็นเครื่องประกันความมั่นคงหากข้าวที่เพาะปลูกไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มที่ พวกเขาก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป (หน้า 553-554) การล่าสัตว์ : ลาหูแดง "Lahu Nyi" ได้ชื่อว่ามีความสามารถในการล่าสัตว์ สัตว์ที่ล่า เช่นกวาง และ เม่น รวมถึงการล่าสัตว์ขนาดเล็กเช่น นก หนู อยู่บ่อยๆ อาวุธที่ใช้ในการล่าคือหน้าไม้ (หน้า 523-526) การหาของป่า : การเก็บพืชผักมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านไม่มากนัก ส่วนใหญ่ลาหู่แดง "Lahu Nyi" จะยุ่งกับการเพาะปลูกข้าว พริก และฝิ่น แต่อาจจะมีการเก็บใบตองขายให้กับคนเมืองหรือเก็บใบชาป่าขายเมื่อราคาสูงในตลาด (หน้า 527) การจัดการแรงงาน : โครงสร้างทางสังคมลาหู่แดง "Lahu Nyi" เป็นโครงสร้างแบบหลวมไม่มีรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์แบบสายตระกูลหรือโคตรตระกูล ทำให้แต่ละครัวเรือนเป็นอิสระต่อกัน ลักษณะสังคมแบบนี้เป็นส่วนสำคัญในการจัดการแรงงานสำหรับการทำไร่หมุนเวียน การร่วมมือระหว่างครัวเรือนมีน้อย แต่ในประเพณีดั้งเดิมของลาหู่ก็ช่วงเวลาที่หัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้อาวุโสจะขอแรงงาน แต่ละครัวเรือนจะส่งสมาชิกอย่างน้อย 1 คนมาช่วยงานและจะมีการฆ่าหมูสำหรับทำอาหารกลางวันเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน อย่างไรก็ตามในบางช่วงของปีครัวเรือนอาจจะได้รับการช่วยเหลือแรงงานจากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องในหมู่บ้านและมีการจ่ายเงินค่าจ้างให้หรือให้สิ่งของอื่นๆ ตอบแทนโดยเฉพาะฝิ่น (หน้า 460-463) การค้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ : กลุ่มพ่อค้ามักจะเข้ามาในหมู่บ้านบ่อยครั้ง ทั้งพ่อค้าคนไทยภาคเหนือที่อาศัยอยู่บนพื้นที่ราบ จีนฮ่อ ใน อ.แม่สาย จ. เชียงราย แต่ส่วนใหญ่พ่อค้ามักจะมาจากพื้นที่ราบบริเวณหุบเข้าใน อ. พร้าว อ.เวียงป่าเป้า และ อ. แม่สาย ของที่นำมาขายมักจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภค ของใช้ในครัวเรือน เสื้อผ้า โดยจะจ่ายเป็นเงินสดหรือแลกเปลี่ยนกับพริก ฝิ่นหรือพืชผักต่างๆ (หน้า 533-534)

Social Organization

ลาหู่แดง "Lahu Nyi" หมู่บ้าน Sha O HK'a มีลักษณะเด่นคือมีโครงสร้างสังคมที่มีความเป็นอิสระและเท่าเทียมกัน สังคมที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ และเป็นสังคมที่มีโครงสร้างหลวม แนวคิดเกี่ยวกับความอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร และความเท่าเทียมอยู่ในแนวคิดของสังคมลาหู่อย่างเห็นได้ชัด ทุกคนในแต่ละครัวเรือนจะทำงานในไร่ของตนไม่นิยมจ้างแรงงาน อิสรภาพของลาหู่แดง "Lahu Nyi" คือการเป็นอิสระทั้งจากสังคมของตนเองและจากสังคมของผู้อื่น แม้ว่าพวกเขาจะรับรู้ว่าวิถีชีวิตของพวกเขายากลำบากกว่ากลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่ราบ แต่พวกเขาก็มีจิตสำนึกของการเป็นลาหู่ พวกเขาคิดว่าภูเขาเป็นบ้านและพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ละครัวเรือนจะเป็นอิสระต่อกัน และมีสภาพความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกัน มีเพียงส่วนน้อยที่จะร่ำรวยกว่าผู้อื่น (หน้า 550-552) สังคมลาหู่แดง "Lahu Nyi" มีระบบเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของการทำไร่หมุนเวียน ทำให้ต้องอพยพเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ บ้านจะสร้างอย่างง่ายๆ และไม่มีสิ่งของมากนัก การอพยพส่วนใหญ่จะทำหลังจากที่เสร็จฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต และต้องการหาพื้นที่ใหม่ในการเพาะปลูก แต่ในบางกรณีหากมีการเจ็บป่วย โรคร้ายที่หมอผีประจำหมู่บ้านไม่สามารถแก้ไขได้ หรือมีคำทำนายให้อพยพ ก็จะมีการอพยพเคลื่อนย้ายเช่นกัน (หน้า 552-553) ลาหู่แดง "Lahu Nyi" มีความเป็นอิสระในแต่ละครัวเรือน และหากมีข้อโต้แย้งในการอพยพเคลื่อนย้าย หรือการไม่ยอมรับอำนาจของหัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้อาวุโสประจำหมู่บ้าน ก็จะทำให้เกิดการแยกตัวออกจากกัน อีกทั้งลาหู่แดง "Lahu Nyi" ไม่มีการนับถือสายตระกูลหรือโคตรตระกูลสำหรับยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้ด้วยกัน จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะมีการแตกแยกออกเป็นกลุ่มย่อยในแต่ละครัวเรือน รวมทั้งแนวคิดการไม่ตั้งถิ่นฐานถาวรทำให้พวกเขายังคงลักษณะทางสังคมแบบนี้ไว้อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้นี้ (หน้า 553) การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน : ในหมู่บ้านลาหู่แดง "Lahu Nyi" จะมีการให้ของขวัญต่อกันโดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆ เช่น วันปีใหม่ โดยแต่ละครัวเรือนจะนำของขวัญไปให้อีกครัวเรือนหนึ่งหรือนำของขวัญไปให้กับเพื่อนสนิท หรือให้ของขวัญกับคนที่เคยมารับจ้างเป็นแรงงานในไร่ โดยหวังผลที่จะได้รับการช่วยเหลือด้านแรงงานต่อไปในอนาคต สำหรับพ่อค้าคนไทยที่เดินทางเข้ามาค้าขายในหมู่บ้าน จะได้รับการดูแลต้อนรับจากเพื่อนลาหู่เช่นเดียวกันกับเมื่อลาหู่เดินทางไปในพื้นที่ราบ ก็จะพักแรมและได้รับการต้อนรับจากเพื่อนคนไทย (หน้า 561)

Political Organization

หัวหน้าหมู่บ้านลาหู่แดง "Lahu Nyi" ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่รัฐประจำอำเภอ หัวหน้ามีชุดประจำตำแหน่ง แต่เนื่องจากหมู่บ้านค่อนข้างห่างไกลจากอำเภอ ทำให้การไปประชุมที่อำเภอเป็นไปได้ลำบาก แต่รัฐบาลไทยก็ประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนบนพื้นที่สูง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ควรแสดงบทบาทของผู้มีอำนาจเหนือกว่า (หน้า 559-561)

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ความรู้เกี่ยวกับภายนอก ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวภายนอกหมู่บ้านมาจากการที่พ่อค้าเข้ามาเยี่ยมเยือนหมู่บ้าน ลาหู่แดง "Lahu Nyi" มีความรู้เกี่ยวกับเชียงใหม่ค่อนข้างกว้างขวาง จังหวัดทางภาคเหนือที่รู้จักส่วนใหญ่จะตอบว่า เชียงใหม่ เชียงราย และลำปางและรู้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย มีกษัตริย์ปกครอง และพวกเขารับรู้ว่ากำนันเป็นหัวหน้าตำบล สำหรับความรู้เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์และดินแดนต่างๆ พวกเขารู้ว่ามีดินแดนไทใหญ่ ดินแดนฝรั่ง ดินแดนคอมมิวนิสต์ (หมายถึงจีน) (หน้า 546-548)

Health and Medicine

กลุ่มคนที่ติดฝิ่นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานในไร่แล้ว มีหนุ่มสาวติดฝิ่นแต่พวกเขาก็รับรู้ว่าถ้าติดฝิ่นโอกาสที่จะหาคู่แต่งงานเป็นไปได้ยาก ส่วนใหญ่จะใช้ฝิ่นหลังจากที่แต่งงานงานและส่งผลให้เกิดการแตกแยกของครอบครัว ยกเว้นแต่ทั้งสามีและภรรยาจะติดฝิ่นด้วยกันทั้งคู่จึงจะอยู่ด้วยกันได้ สาเหตุของการติดฝิ่นในเบื้องต้นเป็นการใช้เพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วย หรืออาการเจ็บปวดจากอุบัติเหตุและติดฝิ่นต่อมา การรักษาการติดฝิ่นที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่วิธีการที่ดีในการรักษา เนื่องจากสภาพแวดล้อมแตกต่างจากบนภูเขามาก มีชาวบ้านไปรับการรักษาแต่ก็กลับมาติดฝิ่นอีกครั้ง ผู้วิจัยแนะนำโรงพยาบาลบนดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่เป็นสถานที่ดีกว่าเนื่องจากสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม การรักษาอาการติดฝิ่นจะไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ารัฐบาลหรือมิชันนารีไม่ช่วยสนับสนุนเรื่องยา เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ฝิ่นเป็นยารักษาโรค (หน้า 553-558) การรักษาด้วยยาสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับความเชื่อเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเกิดจากการกระทำของผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ "Spirit" แต่อาจจะเป็นทางเลือกเมื่อการรักษาของหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้านไม่สำเร็จ และควรมีการจัดทีมแพทย์เคลื่อนที่เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย และจากอัตราการเจริญเติบโตของประชากรในภาคเหนือควรจะมีการหาวิธีในการวางแผนครอบครัว ซึ่งอาจจะใช้ยาคุมกำเนิดหรือวิธีอื่นๆ ทางการแพทย์ (หน้า 557-558)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลาหู่แดง "Lahu Nyi" มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนเมืองในพื้นที่ราบมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง เมื่องต้องการความช่วยเหลือลาหู่แดง "Lahu Nyi" จะมองหาจากหมู่บ้านลาหู่ใกล้เคียงและตรงไปหมู่บ้านของคนเมืองในพื้นที่ราบ (หน้า 559-561)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ข้อเสนอแนะจากผู้วิจัย 1. การทำไร่หมุนเวียนไม่ใช่การทำลายทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำ รัฐบาลและกรมป่าไม้ควรทำความเข้าใจในว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นระบบที่มีวงจร แต่ปัญหาการทำไร่หมุนเวียนมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มประชาการ และผลกระทบจากการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ การควบคุมประชากรไม่ใช้การวางแผนครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการควบคุมการอพยพเข้ามาใหม่ของประชากรเข้ามาสู่พื้นที่สูง ซึ่งในการแก้ปัญหานี้จะต้องมีการร่วมมือกันระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระยะยาวจะต้องมีการให้ความรู้คนไทยภาคเหนือไม่ให้พวกเขาทำลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ รวมถึงควบคุมอัตราการเจริญเติบโตของประชากรและการทำการเกษตรกรรมของพวกเขา โดยจำกัดการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงเพื่อสามารถรักษาระบบเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่สูงและพื้นที่ลุ่มเอาไว้ รวมถึงยังคงรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ (หน้า 310-314) 2. รัฐบาลไทยควรให้ความสนใจต่อลักษณะทางสังคมของลาหู่แดง "Lahu Nyi" และรัฐอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดและไม่สามารถดำเนินงานตามจุดมุ่งหมายได้หากพยายามเข้ามาในหมู่บ้านในฐานะของผู้เหนือกว่า การศึกษา วัตถุ อาจจะได้รับการยอมรับจากลาหู่แดง "Lahu Nyi" แต่พวกเขาจะไม่ยอมรับระบบสังคมที่มีอำนาจสูงกว่า 3. จากการทำไร่หมุนเวียนอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนให้กระทำต่อไปได้ในอนาคต ควรจะมีการเปลี่ยนเป็นการทำการเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง และปรับปรุงดูแลพื้นที่ลุ่มให้คงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เอาไว้ แต่ควรมีการระมัดระวังในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากการทำเกษตรกรรมมีความแตกต่างไปจากการทำไร่หมุนเวียนของพวกเขา และจะทำให้พวกเขายอมรับการจ้างแรงงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเป็นคนอื่น "Being another person's man" (หน้า 550-552) 4. การพยายามจัดการกับปัญหาการปลูกฝิ่นควรจะคำนึงถึงปัจจัย 2 ประการคือ ระบบเศรษฐกิจและการใช้ฝิ่นในการรักษาอาการเจ็บป่วย ถ้าเลิกปลูกฝิ่นพวกเขาก็ไม่สามารถทำการค้าขายซึ่งเคยมีอยู่กว่าร้อยปีในพื้นที่หุบเขา และพวกเขาใช่ฝิ่นเป็นยาในการรักษาอาการเจ็บป่วย ถ้าหากยังไม่มียาอื่นๆ มาทดแทนได้ก็จะยังคงมีการปลูกฝิ่นอยู่ (หน้า 553-557) 5. การศึกษาจะช่วยให้ลาหู่แดง "Lahu Nyi" สามารถดำรงชีวิตในรูปแบบของการเป็นประเทศขนาดใหญ่ได้ ในหมู่บ้านไม่มีแนวคิดเรื่องการศึกษา มีเพียงชายลาหู่ 1 คนที่ส่งลูกไปอยู่กับเพื่อนคนไทยที่หมู่บ้านในอำเภอพร้าว เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียน ในหมู่บ้านเด็กๆ ต้องช่วยงานในไร่หรือช่วยดูแลน้องเมื่อแม่หรือพี่สาวคนโตไปทำงาน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงสังคมแต่หากสามารถแก้ไขเรื่องแรงงานเด็กได้ก็จะทำให้เด็กสามารถไปโรงเรียนได้ และในหลายหมู่บ้านคริสต์เตียนลาหู่มีโรงเรียนในหมู่บ้านและเด็กๆ ไปโรงเรียน กลุ่มคริสต์เตียนลาหู่จึงเป็นกลุ่มที่ได้รับการศึกษาดีกว่า รัฐบาลไทยควรตระหนักในเรื่องนี้ (หน้า 558-559) 6. สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีการแลกเปลี่ยนของขวัญ และเมื่อเข้ามาในหมู่บ้านเจ้าหน้าที่ไม่ควรให้ชาวบ้านฆ่าหมูเพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือควรจะให้เงินตอบแทน (หน้า 561) 7. รัฐบาลควรจัดการเรื่องภาษีเถื่อนและการจัดเก็บภาษีควรมีการประชุมขอความร่วมมือกับหัวหน้าหมู่บ้าน 8. ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย และมีสังคมที่ซับซ้อนยากที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามทิศทางของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ควรให้ลาหู่แดง "Lahu Nyi" มีอิสระในการดำรงชีวิตตามรูปแบบวัฒนธรรมของตนเอง และพวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านอำนาจรัฐหรือก่อปัญหาร้ายแรงอย่างในประเทศเพื่อนบ้านของไทย งานวิจัยนี้หวังว่าจะเป็นส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจในระบบ เศรษฐกิจและสังคมของลาหู่แดง "Lahu Nyi" มากขึ้นและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงกับรัฐบาลไทย (หน้า 564-565)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ลาหู่, ลาหู่แดง, ระบบเศรษฐกิจ, สังคม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง