สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,พิธีกรรม,ประเพณี,ความเชื่อ,การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม,เชียงราย
Author เบญจวรรณ วงศ์คำ (บรรณาธิการ)
Title "อ่าข่า" : พิธีกรรม ความเชื่อ ความจริง และความงาม กุศโลบายดำรงวิถีแห่งชนเผ่า
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาค มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 52 Year 2546
Source สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาค ชั้น 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,พิมพ์ที่วนิดา เพรส, เชียงใหม่
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประเพณีพิธีกรรมของอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

Focus

นำเสนอประเพณี พิธีกรรม และ อัตลักษณ์ของอ่าข่า

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

อ่าข่า บ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย โดยทั่วไปคนมักเรียกชื่อชนเผ่า "อ่าข่า" ว่า "อาข่า" ซึ่งการออกเสียงเรียกชนเผ่านี้ว่า "อ่าข่า" เป็นสำเนียงที่ถูกต้องตามการออกเสียงของชนเผ่ามากที่สุด จึงใช้คำว่า "อ่าข่า" เมื่อกล่าวถึงชนเผ่านี้ อ่าข่า (AKHA) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในเขตประเทศจีน พม่า ลาว เวียดนาม และไทย จัดอยู่ในตระกูล จีน-ธิเบต สาย ธิเบต-พม่า แขนงชนชาติโลโล และมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ฮ่าหนี่ (ha niq) หรือ ไอ่หนี่ฉุ (I ni cuq) -ประเทศจีน, ก้อ-ประเทศลาว, อ่าข่า -ประเทศพม่าและเวียดนาม และอีก้อ ซึ่งเป็นชื่อเรียกในอดีต และเปลี่ยนเป็น อ่าข่าในปัจจุบัน-ประเทศไทย (หน้า 4- 5)

Language and Linguistic Affiliations

อ่าข่ามีภาษาของตนเองในการสื่อสาร จัดอยู่ในกลุ่มภาษาพูดของธิเบต-พม่า แต่ว่าไม่มีภาษาเขียน ซึ่งมีตำนานเล่าว่าสมัยบรรพบุรุษอ่าข่าเคยมีภาษาเขียนโดยการเขียนใส่ในหนังควาย แต่เมื่อมีสงครามความไม่สงบ บรรพบุรุษอ่าข่าได้ตกลงต้มหนังควายกินและให้จดจำตัวอักษรไว้ในสมอง จึงทำให้ภาษาเขียนของอ่าข่าสูญหายไป และทำให้อ่าข่าสืบสานพิธีกรรมประเพณีโดยการจำต่อๆ กันมานานกว่า 2,700 ปี แต่ปัจจุบัน อ่าข่าได้พัฒนาภาษาเขียนโดยการใช้ตัวอักษรโรมันเพื่อการเขียนสื่อสาร (หน้า 7)

Study Period (Data Collection)

เริ่มดำเนินการวิจัยปลายปี พ.ศ.2543 โดยใช้ระยะเวลาเก็บข้อมูล 1 ปี (หน้า 15, 20)

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

อ่าข่าในประเทศไทยส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ตาก และมีบางกลุ่มอพยพไปยังจังหวัดน่านและเพชรบูรณ์ ในช่วงประมาณปี พ.ศ.2542 (หน้า7)

Demography

อ่าข่าในประเทศไทย มีประชากรในปัจจุบันจำนวนกว่า 63,000 คน และอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงรายมากที่สุด อ่าข่ามีการแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันในเรื่อง การแต่งกายและการเรียกชื่อกลุ่มทั้งหมด 8 กลุ่ม แต่ว่ามีความเชื่อและการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีเหมือนกัน ทั้ง 8 กลุ่มประกอบด้วย 1.อู่โล้อ่าข่า 2.ลอมี้อ่าข่า 3.ผาหมีอ่าข่า 4.เปียะอ่าข่า 5.อาเต้ออ่าข่า 6.หน่าค้าอ่าข่า 7.อู่พีอ่าข่า 8.อาจ้ออ่าข่า และชื่อบรรพบุรุษอ่าข่าเรียกว่า "จึ" มีการสืบสายวงศ์ตระกูลตามลำดับและให้ผู้ชายเป็นผู้สืบสายตระกูล โดยเฉลี่ยผู้หญิงมีอายุอย่างต่ำ 40 ปี ผู้ชายมีอายุอย่างน้อย 50 ปีขึ้นไป (หน้า 7-8) สำหรับหมู่บ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย นับเป็นชุมชนอ่าข่าขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงราย มีประชากรทั้งหมด 519 คน รวม 91 หลังคาเรือน (หน้า 16-17)

Economy

ชุมชนอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ประกอบอาชีพการเกษตรปลูกพืชไร่ พืชเศรษฐกิจและเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลัก (หน้า 17) รวมทั้งชุมชนอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็กยังมีการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ชุมชนได้กำหนดประเด็นเนื้อหาการท่องเที่ยวเพื่อบริการความรู้ด้านวิถีชีวิตชนเผ่า 3 ด้าน คือ 1.วัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตอ่าข่า 2.สิ่งแวดล้อมป่าชุมชน 3.การประกอบอาชีพเกษตรที่สูง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอ่าข่าที่บ้านห้วยขี้เหล็กนี้ เป็นกระบวนการจัดการท่องเที่ยวที่เน้นให้ชุมชนเป็นเจ้าของการจัดการและเผยแพร่ข้อมูลความรู้วิถีชีวิตชนเผ่าที่ถูกต้องไปยังผู้ที่สนใจ โดยมีรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวดังนี้ ? จัดให้มีการท่องเที่ยวในช่วงระยะเวลาที่มีพิธีกรรมประเพณีของชุมชนเท่านั้น ? จัดให้ผู้มีองค์ความรู้ ผู้สูงอายุ เยาวชน และสตรีมาทำหน้าที่มัคคุเทศน์เพื่ออธิบายเรื่องเกี่ยวกับชุมน เช่น พิธีกรรมประเพณี สมุนไพร ศิลปะการละเล่น ? นำเสนอกิจกรรมที่แสดงถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น การประกอบอาชีพ การประกอบพิธีกรรม ? กำหนดปฏิทินท่องเที่ยวเป็นรายปี ตามพิธีกรรมประเพณี ทั้งนี้มีการจัดผู้แทนครอบครัวในชุมชนเพื่อเรียนรู้ รับฟังปัญหาและพัฒนารวมทั้งรับผิดชอบ กิจกรรมท่องเที่ยวตามแผนงานที่ชุมชนกำหนดไว้ (หน้า 41-42)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ชุมชนอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มีการปกครอง 2 แบบ คือ 1.แบบเป็นทางการ กล่าวคือมีผู้ใหญ่บ้านที่รับรองด้วยฝ่ายปกครอง และ 2. แบบดั้งเดิม (ไม่เป็นทางการ) เมื่อมีปัญหาภายในครอบครัว หรือระหว่างเครือญาติ ชาวบ้านจะใช้กระบวนการตัดสินใจโดยใช้กระบวนการปกครองแบบดั้งเดิม เช่น การเสียค่าปรับ หรือ การเข้าระบบอาวุโส และยังมีการใช้วิถีชีวิตกฎจารีตบังคับต่างๆ แต่เมื่อคนในชุมชนมีปัญหากับคนภายนอกชุมชน ฝ่ายปกครองแบบเป็นทางการ คือ ตำรวจจะเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหา (หน้า 17)

Belief System

อ่าข่ามีขนบธรรมเนียม พิธีกรรมประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันที่เอื้อต่อระบบนิเวศน์ สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติในรูปแบบของความเชื่อ คำสอน ข้อห้าม ข้อปฏิบัติ ที่สืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่า 60 ช่วงบรรพบุรุษ หรือประมาณ 2,700 ปี แสดงให้เห็นว่า อ่าข่าเป็นชนเผ่าที่มีการสืบทอดชาติพันธุ์มายาวนานและมีการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมประเพณี รวมทั้งมีองค์ความรู้เรื่องคำสอนในรูปสุภาษิตโบราณหลายบท ที่ยังนำมาใช้เป็นสื่อในการปกครองและการเรียนรู้ในปัจจุบันด้วย เช่น "เช้จิ ถี่ซึ้มแตะเช้ บ่ยา ถี่แย๊ะจุ๊" อันมีความหมายว่า "สิบช่างตีเหล็กต้องช่วยตีเหล็กเส้นเดียว สิบแมลงผึ้งให้ดูดน้ำหวานในดอกเดียว" หรือ "อ่าข่า เช้ข่า ถี่ข่ามา" มีความหมายว่า "อ่าข่าแม้อยู่แห่งหนใดย่อมเป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นเผ่าพันธุ์เดียว" นับว่าเป็นกุศโลบายที่มีเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในชุมชน และในรอบ 1 ปี อ่าข่ามีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ทุกเดือน (หน้า 8-9) ซึ่งอ่าข่าที่ดำเนินชีวิตในปัจจุบันมีการประกอบพิธีกรรมหรือประเพณีที่เรียกรวมกันว่า "ย้อง ซ้อง โขะ" (Zahl Sahl qovq) อันหมายถึง กฎจารีตและพิธีกรรมประเพณีที่ใช้ในการปฏิบัติ โดยมีการแบ่งพิธีกรรมประเพณีเป็น 2 ภาคใหญ่ๆ คือ 1.พิธีกรรมประเพณี "แดะ ย้อง" (Dehvq Zahl) เป็นพิธีกรรมสำหรับ "คนเป็น" โดยจะมี การประกอบกิจกรรมทางศาสนาสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยพิธีกรรมนี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือการดำเนินชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการพูด การกิน การแต่งกาย การแต่งงาน ฯลฯ 2. พิธีกรรมประเพณี "ซี้ ย้อง" (Sil Zahl) เป็นพิธีกรรมสำหรับ "คนตาย" โดยจะมีการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตาย ซึ่งเป็นการจัดการงานศพที่มีพิธีกรรมอย่างสมบูรณ์ (หน้า 21) พิธีกรรมสำหรับคนเป็นที่อ่าข่าปฏิบัติในรอบ 12 เดือน ซึ่งสืบทอดมาจนปัจจุบันนั้นมีทั้งหมด 21 ประเพณี และแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่1 ส่วนของพิธีกรรม มี 2 ลักษณะ กล่าวคือ ลักษณะที่ 1 เป็นพิธีกรรมที่มีการประกอบศาสนกิจซึ่งมีทั้งหมด 8 พิธีกรรม คือ ? พิธีกรรม บ่องเยว แปะยะ-เออ (Bahq yoe pyehv-eu) พิธีเกี่ยวข้าวครั้งสุดท้าย ? พิธีกรรมชีจี้ ชี-เออ (Ci jil ci-eu) พิธีเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ? พิธีกรรมล้อข่องดู่-เออ (Lawl Kahq du-eu) พิธีปลูกประตูหมู่บ้าน ? พิธีกรรมมี้ซ้อง ล้อ-เออ (Mil sahl lawl-eu) พิธีบูชาศาลพระภูมิเจ้าที่ ? พิธีกรรมเบ่วโกะ แนยะ-เออ (Boeq ghovq nyehvq-eu) พิธีกรรมกำจัดศัตรูด้วงดิน ? พิธีกรรมแจบ้อง ลอง-เออ (Nyeh bahllah-eu) พิธีอยู่กรรมกำจัดตั๊กแตน ? พิธีกรรมแช้ฉึ จี้บ่า ถ่องอุ้ม-เออ (Cehl shuivq jil baq tahq uml-eu) พิธีเซ่นกระบอกเหล้าพิธี ? พิธีกรรมค๊าด่า ฉี่-เออ (Kal daq ciq-eu) พิธีเชิญผีเปรตสิ่งชั่วร้ายออกจากชุมชน ลักษณะที่2 เป็นพิธีกรรมที่ไม่มีการประกอบศาสนกิจ แต่จะมีการ "อยู่กรรม" (การหยุดทำงาน) มีพิธีกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง คือ ? พิธีกรรมหมี่จ่า เข่อหมี่ ลอง เออ (Miq Dzaq Keuq miq lah-eu) การอยู่กรรมไม่จุดไฟ ? พิธีกรรมบู่เด้แจะ ลอง-เออ (Buq del cwhv lah-eu) การอยู่กรรมให้แมลงดินต่อตัว ? พิธีกรรมแซ้ย์ ลอง (Sehl lah-eu) การอยู่กรรมให้สัตว์ที่ชื่อแซ้ย์ ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการนับวันตามราศีสัตว์ โดยเชื่อว่า แซ้ย์สามารถมองเห็นโลกของวิญญาณที่สัมผัสไม่ได้ ? พิธีกรรมหยะลอง เออ (Zavq lah-eu) การอยู่กรรมวันหมู ส่วนที่2ส่วนของประเพณี อ่าข่ามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและถือว่าเป็นพิธีใหญ่ มีทั้งหมด 9 ประเพณี ดังนี้ ? ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว (Qumq shuvq qumq mil aq poeq) ประเพณีเปลี่ยนฤดูกาล ? แช้คา อ่าเผ่ว (Cehl ka aq poeq) ประเพณีปลูกข้าว ? ขึ่มผี่ อ่าเผ่ว (Qumq piq aq poepq) ประพณีเรียกขวัญข้าวไร่ ? แย้ขู่อ่าเผ่ว (Yehl kuq aq poeq) ประเพณีโล้ชิงช้า ? ยอลาอ่าเผ่ว (Yaw la aq poeq) ประเพณีเซ่นไหว้ตำแหน่งผู้นำ ? ยาจิ อาเผ่ว (Za civ aq poeq) ประเพณีเชิญบรรพบุรุษมาเยี่ยม "ถอนขนไก่" ? ค้าแยะ ผ่าเผ่ว (Kahl yehv aq poeq) ประเพณีไล่ผี ? ยอพู นองหมื่อเช้ อ่าเผ่ว (Yaw pu nah muiq tesel aq poeq) ประเพณีเลือกฤกษ์ดีวันดีและกินข้าวใหม่ ? ค้าทอง อ่าเผ่ว (Kal tahl aq poeq) ประเพณีปีใหม่ลูกข่าง (หน้า21-23) สำหรับความหมายและความสัมพันธ์ของพิธีกรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของอ่าข่าสามารถอธิบายได้ดังนี้ - ความสัมพันธ์ของพิธีกรรมประเพณีที่มีต่อมนุษย์ อ่าข่าถือว่าพิธีกรรมประเพณีเป็นกฎและระเบียบอันชอบธรรม ในการใช้เป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติของมนุษย์ เพื่อดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อให้ชีวิตยั่งยืน มีความเหมาะสมและไม่เอาเปรียบกันระหว่างคน กล่าวคือ พิธีกรรมประเพณีได้สอนมนุษย์เรื่องต่างๆ ดังนี้ ? สอนให้มนุษย์รู้จักความกตัญญู โดยสิ่งที่อ่าข่าเชื่อและกระทำในการประกอบพิธีกรรมประเพณี คือ การเซ่นไหว้อ่าเผ่ว ล้อ เออ (Aq poeq lawl-eu) โดยมีการปฏิบัติเกือบทุกพิธีในรอบ 1 ปี การเซ่นไหว้นี้เป็นการถวายอาหารให้วิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับของตระกูล อ่าข่า เรียกว่า เผ่วผี จุมมา ทูเออ (Poeq piq jum ma tu-eu) รวมทั้งเทพเจ้าสูงสุดที่อ่าข่านับถือด้วย ทั้งนี้ ชุมชนอ่าข่าไม่จำเป็นต้องมีตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัยเพราะมีบรรพบุรุษคอยคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ? สอนให้มนุษย์รู้จักประกอบอาชีพ พิธีกรรมเป็นตัวกำหนดบทบาทหรือกระตุ้นเตือนให้มีการประกอบอาชีพตามระบบเกษตรดั้งเดิมของชนเผ่า จึงมีการนับเดือนประกอบพิธีกรรมทางการเกษตร เช่นเดือนฉ่าหง่อ บาลา (Tsaq ngawq ba la) เป็นเดือนที่มีประเพณีปลูกข้าว หรือ เดือนสี่แยะ (siq yehv) คือเดือนที่พืชผลออกดอก ? สอนมนุษย์เรื่องการปกครอง การประกอบพิธีกรรมประเพณีของอ่าข่าจะมีผู้นำวัฒนธรรมและการปกครอง เรียกว่า "เจ่วมา" ทำหน้าที่กำหนดวันฤกษ์ดีของการประกอบพิธีกรรมประเพณี ผู้นำวัฒนธรรมนี้ยังมีบทบาทเป็นนักปกครองชุมชนด้วย ในกรณีที่มีปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิหรือทำผิดกฎจารีต หรือ พิธีกรรมประเพณี ผู้นำวัฒนธรรมจะเป็นแกนหลักในการตัดสินคดีที่เกิดขึ้นร่วมกับผู้อาวุโส ซึ่งเป็นผู้ที่อ่าข่าให้ความเคารพนับถือ ? สอนการป้องกันโรคและสร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ การทำพิธีกรรมนี้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดกับชุมชนหรือสัตว์เลี้ยง เช่น พิธีค๊าด่าฉี่ เออ (Kal daqciq-eu) หรือพิธีเชิญผีเปรตสิ่งชั่วร้ายออกจากชุมชน เพราะในอดีตอ่าข่ากลัวโรคไข้ฝีดาษมาก แม้ปัจจุบันไม่มีโรคระบาดนี้แล้วก็ตาม ? สอนให้มนุษย์รู้จักการอนุรักษ์ชาติพันธุ์ การแต่งกาย ภาษา ด้วยการประกอบพิธีกรรมประเพณีที่หลากหลายและการมีความผูกพันกันได้ทำให้ชาติพันธุ์อ่าข่ายังคงดำรงมาจนทุกวันนี้ ทั้งนี้ การแต่งกาย ภาษาพูด ก็ล้วนมีพิธีกรรมประเพณีเป็นตัวกำหนดให้ อ่าข่าต้องปฏิบัติตาม เช่น บทสวดหรือคำพูดขณะประกอบพิธี การแต่งกายของสตรีในประเพณีโล้ชิงช้า เป็นต้น - ความสัมพันธ์ของพิธีกรรมประเพณีที่มีต่อระบบนิเวศน์ ด้วยพิธีกรรมประเพณีเป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นกฎระเบียบ ข้อบังคับในการดำเนินชีวิต จึงทำให้มีความสัมพันธ์ต่อป่าไม้ ดิน น้ำ สัตว์ป่า ดังนี้ ? ป่าไม้ ด้วยพิธีกรรมประเพณีในรอบปีนั้นมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับป่าโดยตรง เช่นพิธีกรรมปลูกประตูหมู่บ้าน พิธีบูชาศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ต้นไม้โดยตรงเพราะห้ามผู้ใดตัดไม้ในพื้นที่ดังกล่าว หรือการทำเขตรั้วชุมชน เพื่อไม่ให้สมาชิกในชุมชนทำไร่ รวมทั้ง อ่าข่าจะมีช่วงอยู่กรรม (หยุดงาน) ดังนั้น จึงไม่มีการใช้ไม้ดิบช่วงหลังประเพณีโล้ชิงช้าจนถึงประเพณีไล่ผี เป็นต้น (หน้า 25) ? ดิน เพราะจากการที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากดิน จึงต้องมีการบำรุงดิน จึงมีพิธีกรรมเรียกขวัญข้าวไร่ "ขึ่มผี่ล้อ เออ" (Qumq piq lawl-eu) มีการประกอบพิธีแกะไข่ไก่ให้จอมปลวก เนื่องจากอ่าข่าเชื่อว่าจอมปลวกเป็นหัวของดินและจะไม่ทำลายจอมปลวกด้วยวิธีการใดๆ จึงเท่ากับเป็นการรักษาแมลงที่ช่วยย่อยสลายดินหรืออินทรีย์วัตถุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างดิน และอ่าข่าจะไม่ใช้ดินตรงที่มีความลาดชันสูงเพราะเชื่อว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผี ซึ่งหากมีการใช้ก็จะส่งผลให้มีการชะล้างหน้าดิน (หน้า 26) ? น้ำ ด้วยน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของพืชและสัตว์ จึงมีพิธีกรรมที่ใช้แหล่งน้ำในการประกอบพิธี เช่น ประเพณี แช้คา อ่าเผ่ว (Cehl ka aq poeq) ที่มีการนำข้าวพันธุ์ไปชำระล้างในแหล่งน้ำบริสุทธิ์ของชุมชน เพราะน้ำมีส่วนสำคัญต่อการปลูกข้าว และข้าวก็มีความสำคัญต่อการเลี้ยงคน หรือ การเซ่นไหว้ต้นน้ำ "อีแม้ส่อเออ" (il mehl sawq-eu) อันเป็นการบูชาต้นน้ำเพื่อให้มีน้ำบริโภคตลอดปี เป็นต้น (หน้า 26) ? สัตว์ป่า หลังจากที่จัดประเพณีปลูกข้าวแล้วซึ่งตรงกับเดือนพฤษภาคม ก็จะไม่มีการล่าสัตว์ใหญ่ เนื่องจากสัตว์ป่าอยู่ในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ และมีข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามผู้ใดล่าสัตว์เกิน 10 ตัว ใน 1 ปี ห้ามมีการจับปูและกบที่บ่อน้ำบริสุทธิ์หรือบริเวณต้นน้ำ เพราะบริเวณต้นน้ำเป็นทางตันหากจับสัตว์หมดก็จะสูญพันธุ์ จึงมีพิธีกรรมให้กบปูเป็นผู้ดูแลรักษาต้นน้ำ เป็นต้น (หน้า 27) - ความสัมพันธ์ของพิธีกรรมประเพณีเชิงวัฒนธรรม อ่าข่ามีความเชื่อต่อการดำรงชีวิตร่วมกับสิ่งแวดล้อมทั้งมิติที่พบเห็นสัมผัสได้ คือโลกปัจจุบัน และมิติที่สัมผัสไม่ได้ คือโลกวิญญาณ ทั้ง 2 มิตินี้อ่าข่าให้ความเคารพ เชื่อถือ และถ่ายทอดเพื่อให้ 2 สิ่งนี้อยู่คู่กับมนุษย์ โดยการใช้พิธีกรรมประเพณีเป็นตัวเชื่อมให้ทั้ง 2 สิ่งอยู่อย่างสมดุล และยังเป็นสิ่งที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาหากเกิดผลกระทบต่อมนุษย์ ธรรมชาติและโลกที่สัมผัสไม่ได้ ดังนั้น การประกอบพิธีกรรมประเพณีจึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีการปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 28)

Education and Socialization

ชุมชนอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มีโรงเรียนวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่เป็นแหล่งวิชาการที่ให้ความรู้ต่างๆ และเป็นแหล่งการเรียนรู้ของเยาวชนอ่าข่านับตั้งแต่ปี การศึกษา 2545 เป็นต้นมา (หน้า 43)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เริ่มมีการให้ความสำคัญเรื่องการยอมรับการมีตัวตนด้วยการมีเอกสารหลักฐานยืนยันความเป็นอ่าข่า เพราะอ่าข่าคิดว่าสิ่งนี้เป็นค่านิยมของสังคมและเพื่อเป็นสื่อที่จะทำให้คนภายนอกเข้าใจและยอมรับความเป็นอ่าข่ามากขึ้น ดังนั้น จึงมีการเขียนเอกสารเพื่อสื่อสารเรื่องราวของอ่าข่าจากคนอ่าข่าเอง ไม่ใช่จากสื่อมวลชนหรือจากคนภายนอกที่มักจะเสนอสิ่งต่างๆ หรือเรื่องราวอ่าข่าคลาดเคลื่อนจากความจริง นอกจากนี้ การนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัฒนธรรมให้กับคนที่สนใจมาท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะสื่อสารตัวตนกับคนภายนอก และทำให้การท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์ในการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของตนด้วย (หน้า 13,18) ทั้งนี้ พิธีกรรมประเพณีมีความสัมพันธ์กับอ่าข่าในการรักษาความเป็นชาติพันธุ์ การมีอัตลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของตนเอง รวมทั้งมีการใช้ประเพณีพิธีกรรมในการรวมตัวเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย นอกจากนี้ การใช้องค์ความรู้ภูมิปัญญา ความเชื่อของพิธีกรรมประเพณีในการควบคุม ถ่ายทอด เรียนรู้ ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกัน การอยู่ร่วมกัน และการปกครองของสังคมอ่าข่า (หน้า23) นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามช่วงเวลาของเทศกาลประเพณีที่เกิดขึ้นจริงในชุมชน โดยคนในชุมชนอ่าข่าเอง ได้ทำให้เกิดการเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมประเพณีที่ถูกต้อง ให้กับผู้ที่มาท่องเที่ยวได้รับทราบ และยังส่งเสริมให้เด็กเยาวชนอ่าข่าได้เรียนรู้เพื่อการสืบสานพิธีกรรมประเพณีและชาติพันธุ์อ่าข่าและยังเป็นกระบวนการหนึ่งที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาอ่าข่าบนพื้นที่สูงอีกด้วย การจัดกิจกรรม การท่องเที่ยวนี้ มีกำหนดการจัดปีละ 9 ครั้ง ดังนี้ 1.ประเพณีชนไข่แดง 2.ประเพณีปลูกประตูหมู่บ้าน 3.ประเพณีปลูกข้าว 4. ประเพณีเรียกขวัญข้าว 5. ประเพณีโล้ชิงช้า 6. ประเพณีถอนขนไก่ 7. ประเพณีไล่ผี 8. ประเพณีกินข้าวใหม่ และ 9. ประเพณีปีใหม่ลูกข่าง (หน้า 29,31,33) ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในชุมชนจะต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ เช่น ต้องแจ้งการเข้ามาเที่ยวต่อคณะกรรมการการท่องเที่ยวบ้านห้วยขี้เหล็ก จำนวนนักท่องเที่ยวที่ชุมชนรับได้ต่อครั้งไม่เกิน15คน และห้ามเก็บพืชพรรณธรรมชาติออกจากพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งกฎระเบียบเหล่านี้เน้นให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎจารีตประเพณีของชุมชน จึงต้องมีมาตรการในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการจัดการท่องเที่ยว ด้วยการออกกฏระเบียบการท่องเที่ยวเพื่อใช้ปฏิบัติต่อคนในชุมชนหรือนักท่องเที่ยว และหากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีการลงโทษตามกฎจารีตและกฎหมาย (หน้า 35-37)

Social Cultural and Identity Change

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ได้ทำให้เกิดผลกระทบกับประเพณีวัฒนธรรมของอ่าข่าที่เคยมีวิถีชีวิตเรียบง่ายในชุมชนของตนเอง เพราะได้กลายเป็นเป้าหมายของการพัฒนาของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในฐานะผู้ด้อยโอกาส และเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวที่สนใจวิถีชีวิตของอ่าข่า ส่งผลให้อ่าข่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งความเชื่อ วิถีปฏิบัติ วัฒนธรรมบริโภค ภาษา การแต่งกาย และเด็กๆ อ่าข่าขาดความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตและพิธีกรรม เช่น เด็กอ่าข่าไม่ยอมพูดกันด้วยภาษาอ่าข่า และมีความขัดแย้งกับพ่อ แม่ ในเรื่องความเชื่อ เพราะเด็กๆ ได้ไปโรงเรียนที่มีรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่ไม่เชื่อในเรื่องพิธีกรรมที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการที่ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่สามารถอธิบายความหมายหรือคุณค่าของพิธีกรรมได้ หรือการที่บางคนไม่ต้องการอธิบาย ทำให้เด็กๆ อ่าข่าไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีการจำลองประเพณีบางอย่างเพื่อนำเสนอนักท่องเที่ยว เช่น แต่เดิม อ่าข่าจะมีลานเต้นชุมชนที่เต้นในเวลากลางคืน ก็กลับต้องเต้นแสดงในตอนกลางวันเมื่อมีมัคคุเทศก์มาว่าจ้าง ทำให้หลายพื้นที่เกิดการขัดแย้งระหว่างอ่าข่าด้วยกันในการแย่งพื้นที่เพื่อนำเสนอมัคคุเทศน์ (หน้า 10) และจากการรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าไปในชุมชนจึงมีผลให้เด็กอ่าข่ารับรู้เรื่องจากภายนอกชุมชนและยึดเป็นแม่แบบในการใช้ชีวิต เด็กๆ ไม่มีความรู้ในเรื่อภูมิปัญญาของอ่าข่าเอง ส่วนวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เหลืออยู่ก็กำลังกลายเป็นสินค้าเพื่อการท่องเที่ยว (หน้า12-13) แต่ว่าปัจจุบัน ชุมชนอ่าข่า บ้านห้วยขี้เหล็กมีการจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน กล่าวคือมีการจัดการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมให้เข้ากับยุคสมัย เช่น ภูมิปัญญา ความเชื่อของคนสมัยก่อนที่แต่เดิมไม่มีการอธิบาย แต่มีการปฏิบัติกันด้วยการใช้ความศรัทธาและความเชื่อ ก็นำข้อมูลเรื่องดังกล่าวมาอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลให้กับคนรุ่นใหม่ได้รับรู้ความเป็นอ่าข่ามากขึ้น สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นปัจจุบัน และยังคงรักษาความเป็นอ่าข่าของพวกเขาไว้ได้ (หน้า47-49)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. ภาพเครื่องประดับของอ่าข่า หน้า 7. 2. ภาพประเพณีโล้ชิงช้า หน้า 8. 3. ภาพชุมชนอ่าข่าบ้านห้วยขี้เหล็ก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย หน้า 16.

Text Analyst วิริยา วิฑูรย์สฤษฎ์ศิลป์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG อาข่า, พิธีกรรม, ประเพณี, ความเชื่อ, การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง