|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การอพยพ,การตั้งถิ่นฐาน,เศรษฐกิจ,สังคม,การปรับตัว,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน |
Author |
Robert Cooper |
Title |
Resource Scarcity and the Hmong Response |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
314 |
Year |
2527 |
Source |
Singapore University Press, Kent Ridge, Singapore |
Abstract |
ผู้เขียนสรุปว่า การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในสังคมม้งส่วนเล็ก ๆ ในการศึกษาครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแนวทฤษฎีโดยรวมที่จะนำไปใช้ได้กับส่วนอื่นๆ การขาดแคลนทรัพยากรไม่ได้มีผลกระทบต่อชุมชนม้งในแบบเดียวกัน บางพื้นที่อยู่ห่างไกล การแข่งขันในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่มีน้อย การวิเคราะห์พิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยู่ วิธีนำทรัพยากรนั้นไปใช้ประโยชน์ โดยเน้นที่รูปแบบการจัดการทำงาน รูปแบบนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการผลิตและความต้องการแรงงาน เพื่อให้เห็นภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับโครงสร้างหลักในการปกครอง การตัดสินคดี และคติความเชื่อ สถานการณ์ขาดแคลนทรัพยากรเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการจ้างงานและเงินทุน ในเศรษฐกิจและสังคมม้ง การเปลี่ยนระบบการใช้ที่ดินให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ผลผลิตส่วนเกินมาจากแรงงานในครอบครัวและการจ้างแรงงานจากภายนอก การสะสมและการลงทุนซ้ำทำให้เกิดการครอบครองที่ดินโดยบุคคล เมื่อเผชิญกับปัญหา ชุมชนม้งมีวิธีรับมือต่างกัน การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและระบบเศรษฐกิจของม้งในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ การเปลี่ยนวิธีการผลิตเป็นการเกษตรแบบถาวรต้องใช้เงินทุน ทำให้ม้งที่ยากจนไม่สามารถทำได้ จึงต้องหารายได้มาทดแทนผลผลิตที่ลดลงจากการทำไร่เลื่อนลอยโดยการขายแรงงาน ยิ่งทรัพยากรลดลงการพึ่งพารายได้จากการแรงงานก็เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมระหว่างผู้ครอบครองที่ดินกับลูกจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบที่เชื่อมโยงไปถึงด้านอื่น ๆ ของสังคม (หน้า 214, 247-250) |
|
Focus |
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของม้งเมื่อทรัพยากรขาดแคลน (หน้า 1, 12-13) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนม้ง เมื่อเผชิญกับปัญหาทรัพยากรขาดแคลนกล่าวถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้ทรัพยากรขาดแคลน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการอพยพการตั้งถิ่นฐาน และการจัดการทรัพยากร และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เชื่อมโยงกันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างสังคม ศาสนาและคติความเชื่อ ฯลฯ รวมทั้งการแก้ปัญหาของม้งในแต่ละกลุ่มเมื่อการย้ายถิ่นไม่สามารถทำได้อีกต่อไป (หน้า 1) ผู้เขียนได้นำแนวทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีอยู่หลายแนวมาอธิบายว่าแต่ละแนวทฤษฎีสามารถนำมาใช้กับชุมชนม้งที่ศึกษาอย่างไร เช่น แนวมาร์กซิสต์ ทุนนิยม ฯลฯ บางแนวก็สอดคล้องเพียงบางส่วน บางแนวก็ไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง (หน้า 222-233) สำหรับเนื้อหาของงานครอบคลุมในด้านประชากร การย้ายถิ่น การใช้แรงงาน ผลผลิต การแบ่งชนชั้น ศาสนา และคติความเชื่อ ประวัติศาสตร์ นอกจากนั้น ยังให้ข้อมูลด้านสถิติและชาติพันธุ์วรรณนาของม้งทางตอนเหนือของประเทศไทยส่วนหนึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (หน้า 1, 216-217) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่าไทยหรือจีนเรียกว่า แม้ว ส่วนลาวเรียกเป็นทางการว่า ม้ง (หน้า ii) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งทางเหนือของไทยอยู่ในตระกูลภาษา ชิโน - ธิเบต (Sino-Tibetan stock) (หน้า 2 บรรทัด 2) มีความแตกต่างทางภาษาด้านคำศัพท์และการออกเสียงระหว่างม้งขาวและม้งเขียว (หน้า 29) |
|
Study Period (Data Collection) |
กรกฎาคม ค.ศ.1973 - มีนาคม ค.ศ.1975 และเมษายน - พฤษภาคม ค.ศ.1978 (หน้า xvii) |
|
History of the Group and Community |
เนื่องจากม้งไม่มีภาษาเขียน ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของม้งจึงมาจากผู้ที่ไม่ใช่ม้ง ม้งที่อยู่ในดินแดนไทย ลาว และเวียดนาม สืบทอดเชื้อสายมาจากม้งอพยพซึ่งลงมาจากตอนใต้ของจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนกล่าวถึงการขับไล่พวก "แม้ว" จากตอนกลางลุ่มน้ำแยงซีมาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นกานซูราว 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช จากช่วงกลางของคริสตศตวรรษที่ 19 ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายย่ำแย่ มีการกบฎและปราบปรามเป็นระยะ นอกจากนั้น ยังสู้รบกับไทยและเวียดนามในช่วงทศวรรษที่ 1860 ในปี 1958 ม้งในลาวต่อสู้กับฝรั่งเศสตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ม้งมักมีส่วนร่วมในสงครามที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสงครามกลางเมืองในลาว ทำให้ม้งจำนวนมากอพยพลงจากเขามาอยู่ในค่ายอพยพซึ่งอเมริกันอุปถัมภ์ ม้งรุ่นเยาว์หลายคนได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกับซีไอเอ ในปี 1967 เกิดการสู้รบระหว่างม้งกับตำรวจไทย ฝ่ายไทยกล่าวหาว่าม้งมีแผนลับจากการวางแผน โดยคอมมิวนิสต์ในลาว ส่วนม้งกล่าวว่าตำรวจถูกโจมตีเพราะเข้าไปทำลายหมู่บ้านม้ง เนื่องจากม้งไม่ยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะเพิ่มในการปลูกฝิ่น ม้งจำนวนมากต้องย้ายมาอยู่ค่ายอพยพ ต่อมาผู้อพยพจำนวนมากย้ายกลับขึ้นภูเขา แต่บางส่วนก็พอใจกับพื้นที่เกษตรที่รัฐจัดให้ ส่วนม้งในเชียงรายมีการต่อสู้กับกองทัพก๊กมินตั๋งอพยพในช่วงเวลา 30 ที่ผ่านมา (หน้า 16-18) |
|
Settlement Pattern |
ม้งอยู่รวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านประมาณ 20-30 หลังคาเรือน สำหรับกรณีหมู่บ้านที่ศึกษา ครัวเรือนส่วนใหญ่มีการย้ายถิ่นทุก 10-15 ปี เนื่องจากการขาดแคลนทรัพยากร โดยย้ายเป็นครัวเรือน (ไม่ได้ย้ายทั้งหมู่บ้าน) อาจเริ่มจากการบุกเบิกของบุคคลหรือครอบครัวหนึ่งหรือสองหน่วยเพื่อหาที่ทำไร่ แล้วครัวเรือนอื่นจึงย้ายตามมาในภายหลัง (ซึ่งมักเป็นเครือญาติ) หมู่บ้านส่วนใหญ่มีครอบครัวแกนหลักที่มาจากที่เดียวกัน ส่วนหมู่บ้านเดิมจะถูกทิ้งและสลายไปในที่สุด (หน้า 94-96) การย้ายถิ่นของหมู่บ้านที่ศึกษามี 3 รูปแบบดังนี้ (แผนผังหน้า 69, 71-72) 1. การย้ายถิ่นแบบเส้นตรง (Lineal movement) ในกรณีของหมู่บ้านห้วยมะนาว หมู่บ้านนี้นับว่าเป็นหมู่บ้านที่อายุยืน ย้ายมาจากหมู่บ้านเก่าซึ่งอยู่ห่างออกไป 2 ชั่วโมงเดิน 9 ครอบครัวที่ย้ายมามีเชื้อสายเดียวกัน ทั้งหมู่บ้านเป็นม้งขาว 15 ปีถัดมา 5 ครอบครัวย้ายออกไปตามการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูก ตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่อยู่ไม่ไกล (หน้า 66-67) 2. การย้ายถิ่นแบบระเบิดออก (Explosive movement) ในกรณีของหมู่บ้านผานกกก 36.8 % ของครัวเรือน ย้ายมาจากหมู่บ้านแม่สาเก่า อยู่ห่างออกไปราว 1 ชั่วโมงเดิน สำหรับครัวเรือนอื่น ๆ มาจากหลายแห่ง เช่น หมู่บ้านขุนสา ดอยปุย ดอยคำ ลาว (ครัวเรือนในหมู่บ้านแม่สาเก่าย้ายออกไปตั้งเป็นสองหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ไปอยู่หมู่บ้านแม่สาใหม่) 3. การย้ายถิ่นแบบแบ่งส่วน (Divisive movement) ในกรณีของหมู่บ้านขุนสามีการย้ายถิ่น 2 แบบ หมู่บ้านขุนสา A ย้ายถิ่นแบบเส้นตรง มาจากหมู่บ้านขุนลอยซึ่งมีอายุยืนอาจมากกว่า 50 ปี ส่วนหมู่บ้านแม่สา B ย้ายเข้ามาจากที่ต่าง ๆ (หน้า 77, 81) |
|
Demography |
ผู้เขียนได้ให้ตัวเลขจำนวนประชากรชนเผ่าทางเหนือของไทย (ตารางหน้า 5) ม้งมีประมาณ 53,031 คน ม้งในหมู่บ้านที่ศึกษามี 660 คน แบ่งตามอายุ (ตารางหน้า 7-8) และตามเพศ (ตารางหน้า 253) เฉพาะหมู่บ้านผาปู่จอมมีการเปรียบเทียบจำนวนประชากรในระยะเวลา 5 ปี ประชากรกว่า 40% อายุต่ำกว่า 10 ปี แต่ผู้เขียนให้ความเห็นว่า ตัวเลขนี้อาจไม่ได้หมายถึงประชากรม้งเพิ่มขึ้น ยังมีปัจจัยอื่น เช่น อาจมีอัตราการตายของเด็กสูง และมีการย้ายถิ่น (หน้า 6) มีตารางแสดงจำนวนหลังคาเรือนของประชากรในหมู่บ้านที่ศึกษา (หน้า 59) |
|
Economy |
มีเศรษฐกิจ 4 รูปแบบ คือ ทำนาแบบเลื่อนลอย ไร่ฝิ่นแบบเลื่อนลอย นาข้าวทดน้ำ และการปลูกพืชเพื่อการค้าแบบถาวร โดยมีการทำทั้ง 4 แบบในครัวเรือนที่สามารถทำได้ในสัดส่วนที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ พืชหลัก คือ ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด บางพื้นที่ทำสวนผลไม้บ้าง มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ม้า วัว ควาย หมู ล่าสัตว์และเก็บของป่า เดิมม้งทำการเกษตรแบบเลื่อนลอย แต่การหาพื้นที่เพาะปลูกใหม่ทำได้ยากขึ้น สาเหตุหลัก ได้แก่ รัฐบาลไทยต้องการปลูกป่าเพิ่มขึ้น คนไทยพื้นราบขยายพื้นที่เพาะปลูกขึ้นที่สูง และการเพาะปลูกที่ถี่เกินไปทำให้ดินขาดความสมบูรณ์ ทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนวิธีผลิตเกษตรแบบถาวรในบางพื้นที่ ปัจจัยที่สำคัญคือเงินทุนเพื่อใช้ขยายพื้นที่เพาะปลูก ดังนั้น ม้งที่มีเงินทุนจึงสามารถทำได้ ส่วนม้งที่ยากจนต้องทำงานรับจ้างและพึ่งพารายได้จากค่าแรงมากขึ้น เนื่องจากรายได้จากการทำไร่เลื่อนลอยไม่เพียงพอ (หน้า 3-4, 19, 43, 216) (ตารางแสดงรายได้ หน้า 25-29) ชายม้งเกือบทุกคนมีไร่ฝิ่นเป็นของตนเองหลังการแต่งงาน ครัวเรือนเป็นหน่วยการผลิต โดยมีการช่วยเหลือระหว่างตระกูลเดียวกันบ้าง เมื่อกันส่วนที่ครอบครัวต้องการไว้แล้ว ผู้ชายเป็นผู้ตัดสินใจว่าผลผลิตที่เหลือจะนำมาบริโภค จำหน่ายหรือนำไปลงทุน (หน้า 103, 214, 237) ผู้เขียนจำแนกรูปแบบการจัดการแรงงานออกเป็น 5 แบบ ได้แก่ 1. ความร่วมมือกัน 2.แรงงานที่จ้างโดยตรง โดยจ้างคนนอกหมู่บ้านในช่วงที่ต้องใช้แรงงานมาก 3. แรงงานที่จ่ายทางอ้อม ระหว่างสามี-ภรรยา 4.แรงงานด้านธุรกิจ เช่น การผลิตและจำหน่ายของที่ระลึก (ที่ดอยปุย) และ 5.แรงงานแลกเปลี่ยนระหว่างครัวเรือนในบางช่วงของการเพาะปลูก (หน้า 100-121) |
|
Social Organization |
สังคมม้งเป็นสังคมเครือญาติ มีการรวมกลุ่มญาติสายตระกูลทางฝ่ายบิดา สำหรับหมู่บ้านสี่แห่งที่ศึกษามี 7 ตระกูล (ตารางหน้า 34) มีศัพท์เรียกคนในตระกูลเดียวกันว่า "kua ti" ผู้หญิงจะเปลี่ยนตระกูลเมื่อแต่งงาน โดยฝ่ายชายต้องจ่ายเงินค่าเจ้าสาวหรือบางคนอาจใช้วิธีทำงานให้พ่อของฝ่ายหญิงแทน การแต่งงานต่างกลุ่มวัฒนธรรมย่อยระหว่างม้งเขียวกับม้งขาวถือเป็นเรื่องธรรมดา กลุ่มร่วมสายโลหิต (lineage) ในตระกูลเดียวกัน ม้งถือว่าการร่วมสายโลหิตมีความสำคัญกว่าญาติกลุ่มอื่น เป็นการสืบทอดจากบรรพบุรุษเดียวกัน มีศัพท์เรียกคนร่วมสายโลหิตเดียวกันว่า "ii jua kua ti" กลุ่มร่วมสายโลหิตคือครอบครัวขยาย ผู้อาวุโสสูงที่สุดเป็นหัวหน้า เรียกว่า "tu hao zo" หมายถึง "หัวหน้าหมู่บ้าน" สิทธิและหน้าที่ที่มีต่อกันเข้มแข็ง และเป็นปัจจัยที่สำคัญเมื่อจะย้ายถิ่น เพราะถ้าเป็นการย้ายเข้าไปในหมู่บ้านที่มีอยู่แล้ว ญาติที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นจะช่วยเหลือ (หน้า 36) ครัวเรือนเป็นการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดและหน่วยสำคัญที่สุดในสังคมม้ง ในครัวเรือนอาจมี 3 รุ่นคนอาศัยอยู่ และสามีอาจมีภรรยาหลายคน ภรรยาทำตามคำสั่งของสามี ในครัวเรือนอาจมีสมาชิกอื่น เช่น ญาติสนิทที่ชราหรือเจ็บป่วย เมื่อลูกชายโตขึ้นอาจแยกบ้านออกไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกชาย พี่ชายและน้องชายยังเข้มแข็ง ในการแต่งงานกับหญิงที่อยู่หมู่บ้านอื่น ฝ่ายชายจะสร้างความสัมพันธ์กับพ่อตาเพื่อให้สามารถสร้างครอบครัวในหมู่บ้านของฝ่ายหญิง ความสัมพันธ์ระดับรองลงมาคือระหว่างพี่น้องผู้ชายฝ่ายภรรยากับพ่อและพี่น้องผู้ชายฝ่ายสามี ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ข้ามตระกูล (หน้า 39-40) ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง ในช่วงที่ต้องการแรงงานมากจะมีการจ้างแรงงานนอกหมู่บ้านเข้ามาชั่วคราว ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง คนเมืองและอาจมีม้งที่ยากจนด้วย โดยให้อาศัยกินนอนอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน (หน้า 104, 110) |
|
Political Organization |
ผู้นำครัวเรือนเป็นผู้มีอำนาจและมีอิสระในการตัดสินใจด้านการปกครองในครัวเรือนของตน โดยอาจได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้าน หรือหมอผีบ้าง ส่วนกฎของม้ง (หรือธรรมเนียม) มาจากคติที่พ่อแม่และผู้สูงอายุสอนเด็ก กฏการเคารพนับถือผู้อาวุโส และภรรยาเคารพสามี สำหรับหัวหน้าสายตระกูล "tu hao zo" ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านด้วย มีหน้าที่เป็นผู้นำทางศาสนาและพิธีกรรม มีอำนาจจำกัด เมื่อมีปัญหาขัดแย้งภายในหมู่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุจะมาประชุมกัน "tu hao zo" เป็นตัวแทนติดต่อกับคนนอกหมู่บ้าน และเมื่อแก่เกินจะปฏิบัติงาน น้องชายที่มีอายุลำดับถัดไปจะรับหน้าที่แทนในฐานะผู้ช่วย เมื่อมีหมู่บ้านหลายตระกูลเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดตำแหน่งผู้นำลำดับสอง เป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ เรียกว่าพ่อหลวง พบในหมู่บ้านส่วนใหญ่ ในหมู่บ้านที่กลุ่มร่วมสายโลหิตเข้มแข็ง เช่น หมู่บ้านห้วยมะนาวและขุนสา "tu hao zo" จะทำหน้าที่ตามประเพณี ส่วนพ่อหลวงจะทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับงานสมัยใหม่ เช่น ติดต่อกับทางการไทย และเป็นตัวแทนของหมู่บ้านแทน "tu hao zo" เมื่อมีบุคคลที่ไม่ใช่ม้งเข้ามาเกี่ยวข้อง พ่อหลวงจะพบกับหัวหน้าของอีกฝ่ายเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างหมู่บ้าน โดยรายงานต่อหมู่บ้านก่อน สำหรับบางหมู่บ้านที่ไม่มี "tu hao zo" เช่น ผานกกก และผาปู่จอม พ่อหลวงจะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมด้วย การตัดสินใจในระดับหมู่บ้านมาจากการประชุมหัวหน้าครัวเรือนทั้งหมดไม่ได้มาจากคนใดคนหนึ่ง เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในหมู่บ้านที่มาจากต่างตระกูลพ่อหลวงจะมีบทบาทในการตัดสิน การลงโทษจะเป็นการเสียค่าปรับ ซึ่งอาจเป็นเงินหรือสัตว์เลี้ยง สำหรับกรณีร้ายแรงเช่น ฆาตกรรมจะรายงานต่อทางการไทย ม้งยังต้องปฎิบัติตามกฎหมายไทยซึ่งมีการบังคับใช้ในระดับที่ต่างกัน (หน้า 128-129, 133-134, 215-216) |
|
Belief System |
ผีบรรพบุรุษ และศาสนาคริสต์ : ศาสนาของม้ง ต้องทำการบูชายัญสัตว์หลายปี เพื่อการเกิดใหม่ที่ดี ซึ่งต้องอาศัยเงินและการทำงานหนัก เพื่อซื้อวัวและหมูสำหรับใช้ทำพิธี ในการสะสมผลได้ทางวิญญาณ (spiritual gain) ในขณะที่ ศาสนาคริสต์ถือว่าความยากจนไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้น การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์จะทำให้หัวหน้าครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยลง ทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบด้านความสุขทางจิตใจของครอบครัวเพราะเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้า ซึ่งจะพบว่าม้งที่ยากจนหลายครอบครัวในหมู่บ้านขุนสาเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 169) พิธีทางศาสนานำโดยฝ่ายชาย ผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้มีส่วนร่วมในพิธีสำคัญบางอย่างหรือในบางส่วนของพิธีกรรม เช่นพิธีการฝังครั้งสุดท้าย (หน้า 237) เมื่อม้งเสียชีวิต วัวควรจะถูกฆ่า 1 ตัวสำหรับลูกชายทั้งหมด และอีก 1 ตัวสำหรับลูกสาว (หน้า 168) ในพิธีศพและพิธีกรรมของหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านจะมาร่วมดื่มกินและทำงานด้วยกัน ในงานศพ ส่วนใหญ่ราว 12 วัน ญาติจะมาจากถิ่นไกลอาจเป็นร้อย ๆไมล์ มีการสังสรรค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านทรัพยากรซึ่งเป็นประโยชน์ในการย้ายถิ่นต่อไป (หน้า 32,37) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ม้งส่วนใหญ่มีความรู้ด้านสมุนไพรจากป่า บางแห่งอาจมีหมอสมุนไพร (herbalist) ที่มีความรู้มากกว่าคนอื่นรับจ้างผสมยา (หน้า 37) หรืออาจปรึกษาหมอผี (shaman) ในการทำพิธีรักษาอาจมีการใช้สัตว์บูชายัญ เช่น วัว หรือหมู (ใช้วัวเมื่อเจ็บป่วยร้ายแรง) (หน้า 114) ส่วนฝิ่นใช้เป็นยากระตุ้น (หน้า 19) การแพทย์สมัยใหม่มีผลต่อสังคมม้งน้อยมาก แม้ว่ามีการรักษาฟรีในโรงพยาบาลเชียงใหม่ แต่ม้งไม่ค่อยไปเพราะค่าใช้จ่ายและความลำบากในการเดินทาง จำนวนหมอที่อยู่บนภูเขามีน้อยมาก ทำให้โรคที่รักษาไม่ยากอาจทำให้ม้งถึงตายได้ ม้งน้อยคนที่อายุยืน (หน้า 9, 23) ม้งที่มีฐานะ อาจซื้อยาแผนปัจจุบันใช้ในครอบครัว ส่วนม้งที่ยากจน เช่น ในหมู่บ้านขุนสา อาจขอรับยาแผนปัจจุบันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานเคลื่อนที่ของรัฐ ส่วนใหญ่เป็นยาแอสไพริน และไอโอดีน ม้งที่นับถือคริสต์จะถูกห้ามไม่ให้รักษาแบบเดิมที่ใช้สัตว์บูชายัญ ซึ่งถือว่า "ป่าเถื่อน" (หน้า168) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ ม้งเขียว และ ม้งขาว ในชีวิตประจำวันหญิงม้งเขียวใส่กระโปรงสีน้ำเงิน มีการย้อมบาติก(รับเทคนิคมาจากจีน) ผู้ชายใส่กางเกงเป้าต่ำ ส่วนหญิงม้งขาวจะใส่กางเกงสีน้ำเงินเช่นเดียวกับผู้ชาย กางเกงเป็นแบบที่รับมาจากจีน (คือเป้าสูงกว่าที่ม้งเขียวใส่) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ หญิงม้งขาวจะใส่กระโปรงขาวไม่ได้ย้อมบาติกหรือปักประดับ ส่วนหญิงม้งเขียวจะใช้เวลาปักประดับหลายเดือน หญิงม้ง ทั้งสองกลุ่มมีความเชี่ยวชาญในศิลปะปักประดับ (หน้า 28-29) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนแม้ว่าจะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอยู่บ้าง เห็นได้จากประการแรก ความเป็นหนึ่งเดียวกันในเชื้อชาติอยู่เหนือความแตกต่างทางวัฒนธรรม (กลุ่มย่อย) ประการที่สอง การแต่งงานกับชนต่างเผ่ามีน้อยมาก และ ประการที่สาม สังคมม้งแยกตัวจากกลุ่มอื่น ๆ (หน้า 218) นอกจากนั้น อัตลักษณ์ของม้งกำหนดโดยการเป็นสมาชิกของตระกูล (หน้า 35-36) สำหรับอัตลักษณ์ทางสังคม มีการแบ่งกลุ่มย่อยทางวัฒนธรรมเป็นม้งขาว (Hmong Doh) และม้งเขียว (Hmong Njua) จากความแตกต่างทางภาษา การแต่งกาย รูปแบบบ้าน และพิธีกรรมบางอย่าง ม้งในหมู่บ้านห้วยมะนาวและหมู่บ้านขุนสาทั้งหมดเป็นม้งขาว (มีครอบครัวไทย 4 ครอบครัว) หมู่บ้านผานกกกเป็นแบบผสมคือมีทั้งม้งขาวและม้งเขียว ส่วนหมู่บ้านผาปู่จอมเป็นม้งเขียวเกือบทั้งหมด (หน้า 3, 28-29) ม้งมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการรับจ้างทำงาน ซึ่งต้องรับคำสั่งจากคนอื่น จะทำให้รู้สึกเสียหน้า ม้งชอบความเป็นอิสระและการพึ่งพาตนเอง นอกจากนั้น ยังไม่ชอบสังคมเมือง (หน้า 110-112) ผู้เขียนกล่าวถึงทัศนคติของม้งต่อคนไทยในบางประเด็น เช่น ในการตอบโต้คนไทยที่วิจารณ์การมีภรรยาได้หลายคนของม้ง ม้งมองว่าคนไทยเป็นพวกพูดอย่างทำอย่าง เพราะแม้จะมีภรรยาคนเดียวตามกฎหมาย แต่อาจมีภรรยาน้อยซึ่งไม่มีสิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ (หน้า 135-136) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกเป็นการทำไร่ฝิ่นเพื่อการค้าทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมในครัวเรือนเปลี่ยนไป ความร่วมมือกันระหว่างสามีภรรยาเปลี่ยนไปสู่การเป็นนายจ้างลูกจ้าง การที่สามีเป็นผู้กำหนดผลตอบแทนของภรรยา ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน และการใช้ประโยชน์จากแรงงานของอีกฝ่าย นอกจากนั้น ลูกชายที่แต่งงานแล้วแม้จะยังไม่แยกบ้านมักมีไร่ฝิ่นเป็นของตน และใช้แรงงานในครอบครัวของตนเป็นหลัก ทำให้มีรายได้ของตนเองเป็นอิสระจากบิดา หน่วยการผลิตเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัวเดี่ยว น้ำหนักของความสำคัญทางเชื้อสาย (zo) ย้ายไปอยู่ที่บ้านหรือครอบครัว (jay) การลงทุนในเศรษฐกิจแบบถาวรของม้งที่ร่ำรวยบางคน ทำให้เกิดความแตกต่างทางฐานะระหว่างผู้ถือครองที่ดินกับแรงงานที่ไม่มีที่ดิน การแบ่งชั้นทางสังคมเริ่มจะเห็นได้ในสังคมม้ง (เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังไม่มี) (หน้า 134, 246-247) การขาดแคลนทรัพยากรส่งผลกระทบต่อสังคมแบบเครือญาติ จากเดิมม้งเชื้อสายเดียวกันมักอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อการย้ายถิ่นเพื่อหาที่เพาะปลูกถี่ขึ้น แนวโน้มที่ญาติสนิทจะอยู่กระจายออกจากกันมีมากขึ้น ทำให้หมู่บ้านที่มีหลายตระกูล (multi-clan village) และหมู่บ้านที่มีทั้งม้งขาวและม้งเขียวอยู่ร่วมกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (หน้า 45, 97, 214) |
|
Map/Illustration |
ตาราง ตัวเลขจำนวนประชากรชนเผ่าทางเหนือของไทย (หน้า 5) ตาราง ม้งในหมู่บ้านที่ศึกษา (หน้า 7-8) ตาราง แยกตามเพศ (หน้า 253) ตาราง แสดงจำนวนหลังคาเรือนของประชากรในหมู่บ้านที่ศึกษา (หน้า 59) ตาราง แสดงรายได้ (หน้า 25-29) |
|
|