|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อูรักลาโว้ย,ชาวเล,ความเป็นอยู่,การศึกษา,คุณภาพชีวิต,ภูเก็ต |
Author |
ละเอียด กิตติยานันท์ |
Title |
สภาพความเป็นอยู่และความต้องการที่เกี่ยวกับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเล |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
262 |
Year |
2529 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสารัตถศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของชาวเลในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา การปกครอง การสาธารณสุข ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความจำเป็นพื้นฐานและคุณภาพชีวิต รวมไปถึงความต้องการของชาวเลในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยศึกษาชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวน 84 ครอบครัว ผลการวิจัยพบว่า ชาวเลหาดราไวย์มีประชากรทั้งหมด 439 คน มีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน สร้างบ้านเรือนอยู่อย่างเรียบง่ายบนพื้นที่ของเอกชน ชาวเลส่วนใหญ่ประกอบอาชีพจับปลาในทะเลมาขาย แต่รายได้มักไม่พอกับรายจ่ายทำให้เป็นหนี้สินกันมาก ชาวเลส่วนใหญ่สมรสตั้งแต่อายุยังน้อยคือประมาณ 14-16 ปี สังคมของชาวเลยกย่องให้ภรรยาเป็นใหญ่ สามีจะประกอบอาชีพอะไรต้องขออนุญาตจากภรรยา ชาวเลส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และนับถือคำสอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด แต่ประเพณีต่าง ๆ ที่เก่าแก่ของชาวเล ได้รับเอาประเพณีและวิธีการของคนเมืองในบริเวณใกล้เคียงไปใช้ในบางส่วน ขณะเดียวกัน ชาวเลบางส่วนยังนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม แต่ก็เป็นไปอย่างไม่เคร่งครัดมากนัก ส่วนความเป็นอยู่ของชาวเลด้านสุขอนามัยนั้นพบว่า ชาวเลส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรง เพราะมีอาหารทะเลให้บริโภคอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ในชุมชนกลับไม่มีส้วมใช้ โรคที่ชาวเลเป็นกันมากคือโรคผิวหนัง (เกลื้อน) ชาวเลรักษาการเจ็บป่วยโดยซื้อยามากินเอง ชาวเลส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ารับการศึกษาตามระบบโรงเรียนเพราะความยากจน และไม่ต้องการให้บุตรหลานเข้าโรงเรียนที่เรียนร่วมกับคนพื้นเมือง เพราะไม่ต้องการให้เกิดการดูถูกเหยียดหยาม ชาวเลส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมตามที่รัฐระบุไว้ เช่น การเลือกตั้ง การเกณฑ์ทหาร ความสนใจด้านการเมืองการปกครองของชาวเลมีอยู่น้อยมาก ชาวเลส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ไม่เข้าเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐานในเป้าหมายของปี 2529 เกณฑ์วัดคุณภาพชีวิตของคนไทยเมื่อมาใช้วัดชาวเล ชาวเลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเกณฑ์นั้น นอกจากนี้ ชาวเลต้องการความรู้เกี่ยวกับหนังสือเพื่อให้สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยชาวเลต้องการระบบการศึกษานอกระบบโรงเรียน โดยให้ผู้รู้ช่วยสอนหรือแนะนำให้ นอกจากนี้ชาวเลยังต้องการความรู้เพื่อการประกอบอาชีพ ความรู้ในการรักษาพยาบาลและสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ความรู้ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนในชุมชนอีกด้วย ชาวเลเห็นว่าปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคือ ความยากจน การไม่รู้หนังสือ การไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง สุขลักษณะอนามัยที่ไม่สะอาด |
|
Focus |
ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของชาวเลในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา การปกครอง การสาธารณสุข ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความจำเป็นพื้นฐานและคุณภาพชีวิต รวมไปถึงความต้องการของชาวเลในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต (หน้า ง, 6, 194) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวน 84 ครอบครัว โดยชาวเลที่หาดราไวย์มี 2 กลุ่มคือ 1. ไทยใหม่ เป็นประชากรที่ผู้วิจัยเลือกศึกษา เดิมคือพวกมอเกล็นและอูรัก ลาโว้ย 2. สิงห์ เดิมอาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะของสหภาพพม่า ปัจจุบันอพยพมาที่หาดราไวย์ได้ 40 กว่าปีแล้ว (หน้า ง, 6-7, 71-72, 78, 194) พวกเขาเรียกตัวเองว่า "ไทยใหม่" |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของชาวเล จัดอยู่ในตระกูลภาษาสาขามลาโยโปลีนีเซียน (Malayo Polynesian) เป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับภาษามลายูและอินโดนีเซีย ภาษาของชาวเลยังแบ่งออกเป็นภาษาถิ่นย่อยได้หลายถิ่น (Sub-dialect) ชาวเลไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง สื่อความหมายกันผ่านทางภาษาพูดเท่านั้น โดยสำเนียงพูดคล้ายกับภาษามลายูและภาษาอินโดนีเซีย มีศัพท์น้อยคำ คำพูดบางคำก็สร้างขึ้นมาเองและใช้กันในวงแคบ คำเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและอาชีพการงานของพวกเขา ชาวเลส่วนใหญ่พูดภาษาไทยภาคใต้และภาคกลางได้ แต่ไม่นิยมพูดกัน (หน้า 60, 72, 75, 78, 87, 196, 206-208) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยระบุว่าได้เก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ด้วยตนเองเป็นเวลา 5 เดือน คือในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2527-เมษายน 2528 (หน้า 9) |
|
History of the Group and Community |
การศึกษาประวัติความเป็นมาของชาวเลได้รับความสนใจจากนักวิชาการหลายคน ทำให้ได้ความคิดเห็นที่หลากหลาย แตกต่างไปในรายละเอียด แต่สามารถสรุปความได้ว่าชาวเลไม่ได้เป็นชนพื้นเมืองของเกาะต่างๆ ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย แต่ชาวเลอพยพเร่ร่อนมาจากที่อื่น บ้างก็ว่าอพยพมาจากประเทศอินโดนีเซีย บ้างก็ว่าอพยพลงมาจากลุ่มน้ำแยงซีเกียง การศึกษาประวัติของชาวเลเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะชาวเลไม่มีภาษาเขียนจึงขาดหลักฐานที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ (ดูประวัติของชาวเลจากนักวิชาการท่านต่าง ๆ ได้ที่หน้า 54-60) ชาวเลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แบ่งได้ 3 กลุ่มย่อย คือ 1. พวกมะละกา (Malacca) สันนิษฐานว่าเดิมอาศัยอยู่แถบช่องแคบมะละกา 2. พวกลิงคา (Lingga) สันนิษฐานว่าเดิมอาศัยอยู่แถบหมู่เกาะลิงคา 3. พวกสิงห์หรือมาซิง อาศัยอยู่แถบเมืองมะริด ทวายและเกาะต่าง ๆ ในเขตประเทศพม่า ส่วนมากยังใช้ชีวิตอยู่ในแบบดั้งเดิม (Primitive) (หน้า 69-70) ส่วนชาวเลที่อาศัยอยู่บริเวณหาดราไวย์ บรรพบุรุษอพยพมาจากหมู่เกาะแถบประเทศมาเลเซีย (หน้า 78) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเลตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่งทะเลตามหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณฝั่งทะเลด้านตะวันตกตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่าไปจนถึงจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ตลอดไปจนถึงประเทศมาเลเซีย (หน้า 54) ลักษณะการตั้งถิ่นฐานเป็นแบบกระจุกตัวรวมกัน และสมาคมกันในเฉพาะหมู่บ้านของตนเอง นิยมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มย่อยมากกว่าอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ลักษณะบ้านเรือนจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก สร้างรวมกลุ่มกันตามชายหาด การตั้งบ้านเรือนมักไม่ถาวร โดยจะสร้างให้สามารถรื้อหรือโยกย้ายได้สะดวก เพราะต้องอพยพไปหาแหล่งทำกินที่ดีกว่า (หน้า 60-61, 66-68, 75) บ้านของชาวเลที่หมู่บ้านราไวย์แบ่งได้ 3 ลักษณะคือ (1) บ้านแบบถาวร ลักษณะบ้านเหมือนคนในท้องถิ่นทั่วไป วัสดุที่ใช้เป็นแบบถาวรและถูกกำหนดให้ได้สัดส่วนตามห้องที่กำหนดไว้ (2) บ้านแบบกึ่งถาวร มีใต้ถุนสูงประมาณ 1 เมตร นิยมใช้สังกะสีทำเป็นประตูและฝาบ้าน เป็นการสร้างที่ไม่ได้เตรียมแบบไว้ (3) บ้านแบบชั่วคราว ลักษณะของบ้านสร้างติดอยู่กับพื้นดินหรือยกพื้นให้สูงจากดินเพียงเล็กน้อย วัสดุหาง่ายจากบริเวณใกล้เคียง การปลูกสร้างไม่พิถีพิถัน บ้านของชาวเลจะสร้างติดกันจนแทบไม่เหลือบริเวณบ้านโดยรอบ แต่บริเวณบ้านของแต่ละบ้านก็คือใต้ถุนบ้านนั่นเอง โดยใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่นั่งเล่น เก็บของ เลี้ยงสัตว์ (หน้า 83-86, 210-211) |
|
Demography |
ชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์มีจำนวนทั้งสิ้น 84 ครอบครัว จำนวนประชากร 439 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) จำนวน 234 คน เป็นผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 15 ปี) จำนวน 205 คน โดยมีประชากรเพศหญิงมากกว่าเพศชาย (หน้า 88-89, 195, 211-212) |
|
Economy |
ชาวเลส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ดำรงชีวิตด้วยการหาปลาและหอยจากทะเลเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังทำงานรับจ้างและหาของทะเลขายอีกด้วย ชาวเลทำมาหากินวันต่อวันไม่สนใจการสะสมทรัพย์หรืออาหาร เมื่ออาหารหมดถึงค่อยออกไปหาอีกครั้งหนึ่ง ชาวเลมีความชำนาญในการจับปลามาก แม้จะไม่ได้ออกเรือหาปลา แค่เพียงมีเหล็กแหลม 1 อันพร้อมกับแห 1 ปาก ก็เพียงพอให้พวกเขาจับสัตว์ทะเลมาเป็นอาหารได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมักไม่เก็บหรือถนอมอาหารไว้ (หน้า 67, 73, 75, 126) ชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ร้อยละ 76.67 เป็นผู้มีงานทำ ร้อยละ 23.33 ว่างงาน ผู้ที่มีงานทำในครอบครัวของชาวเลคือสามีเพียงคนเดียว ส่วนผู้ที่ว่างงานจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาชีพหลักของชาวเลคือการจับปลาในทะเลมาขาย (ร้อยละ 51.67) งมหอย (ร้อยละ 12.78) รับจ้าง (ร้อยละ 9.44) และค้าขาย (ร้อยละ 2.78) เรือที่ใช้จับปลามีทั้งที่เป็นของตนเองและเช่าจากนายทุนที่เป็นบุคคลภายนอก สินค้าของชาวเลจะขายให้กับเจ้าของที่ดินหรือนายทุน บางคนก็นำไปขายเอง บางครั้งก็มีคนมาซื้อโดยตรงจากชาวเลถึงในหมู่บ้าน ซึ่งให้ราคาต่ำกว่าท้องตลาดเป็นอันมาก ชาวเลส่วนใหญ่มีรายได้ 1,001-2,000 บาทต่อเดือน เป็นรายได้ที่ต่ำกว่ารายจ่าย ทำให้ชาวเลส่วนใหญ่เป็นหนี้สินกันมาก โดยสาเหตุที่ทำให้ชาวเลเป็นหนี้สินมากมาจากการกู้เงินเพื่อซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการจับปลา ซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในงานพิธีต่างๆ แต่ชาวเลก็ไม่ต้องการเปลี่ยนไปประกอบอาชีพใหม่ แต่ต้องการให้สมาชิกครอบครัวหารายได้เพิ่ม และต้องการให้ราชการหรือเอกชนส่งเสริมสนับสนุนด้านอาชีพ (หน้า 90-100, 196, 212-217) |
|
Social Organization |
โครงสร้างของครอบครัวมีขนาดกลาง ในครอบครัวหนึ่ง ๆ มีพ่อแม่อยู่รวมกัน เมื่อลูกหลานแต่งงานแล้วจะแยกออกไปตั้งบ้านเรือนใกล้ ๆ ภายในหมู่บ้านนั้น ผู้หญิงถือว่าเป็นใหญ่ในครอบครัว เพราะชาวเลเชื่อว่าหากครอบครัวใดมีบุตรหญิงมากก็มีค่าเหมือนทองที่สามารถพึ่งพิงในภายภาคหน้าได้ ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหนักทั้งออกทะเลเพื่อหาปลาหรือรับจ้างทำงานนอกบ้าน โดยผู้ชายต้องขออนุญาตจากภรรยาเสียก่อนว่าจะอนุญาตให้ไปทำงานตามที่ขอหรือไม่ (หน้า 63-64) ชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรสแล้ว (ร้อยละ 80.49) ส่วนใหญ่จะสมรสตั้งแต่อายุยังน้อย คือฝ่ายหญิงเมื่ออายุประมาณ 14-15 ปี ส่วนฝ่ายชายเมื่ออายุได้ 16-17 ปี จำนวนสมาชิกในครอบครัวมีประมาณ 5-6 คน ชาวเลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 78.83) พอใจอาศัยอยู่ในชุมชนปัจจุบัน ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ประเพณีการแต่งงาน หนุ่มสาวชาวเลมีอิสระในการเลือกคู่ครอง ส่วนใหญ่มักแต่งงานในหมู่ชาวเลด้วยกันเอง การแต่งกายของคู่บ่าวสาวนิยมแต่งกายแบบชาวมาเลเซีย พิธีแต่งงานมักจัดในตอนเย็นและฉลองจนสว่าง พิธีเริ่มจากแห่ขันหมากจากบ้านเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว พิธีการต่างๆ จึงมักจัดที่บ้านฝ่ายหญิง มีหมอไสยศาสตร์ทำคาถาเพื่อให้ผู้หญิงรักและหลงไม่นอกใจไปหาชายคนอื่น (หน้า 101-105, 112, 197, 217-219) |
|
Political Organization |
ในอดีต "โต๊ะ" หรือหมอไสยศาสตร์มีบทบาทในการปกครองชาวเลเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้ได้รับความเชื่อถือจากชาวเลในหลายๆ ด้าน ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายการปกครองในระดับท้องถิ่น ทำให้บทบาทของโต๊ะลดลงแทนที่ด้วยสารวัตรกำนัน ชาวเลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 63.20) มีบัตรประจำตัวประชาชน ร้อยละ 72.24 ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยการไปบ้างไม่ไปบ้าง ไม่มีชาวเลคนใดเสียภาษีอากรและเข้าร่วมการคัดเลือกทหาร โดยชาวเลอ้างว่าพระราชชนนีไม่ให้มีการเกณฑ์ทหารในหมู่ชาวเล เพราะชาวเลไม่รู้หนังสือ เจ้าหน้าที่ราชการระบุว่าเหตุที่ชาวเลได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร เพราะบางคนไม่มีบัตรประชาชน และต้องเร่ร่อนทำมาหากิน ไม่รู้หน้าที่ของชายไทย จึงได้รับการยกเว้น มีเจ้าหน้าที่จากราชการเข้าไปตรวจเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอคือ ครูและเจ้าหน้าที่จากสถานีอนามัย ชาวเลบอกว่าปกติไม่ค่อยมีใครเข้าไปเยี่ยม หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น นอกจากการพานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวเท่านั้น ชาวเลนิยมปรึกษาปัญหากับสารวัตรกำนัน ครู เจ้าหน้าที่อนามัย (หน้า 150-156, 199, 238-240) |
|
Belief System |
ไทยดั้งเดิมชาวเลเป็นกลุ่มเร่ร่อน อิทธิพลของศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ชาวเลจึงเป็นกลุ่มชนที่มีแค่ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เมื่อชาวเลติดต่อกับคนพื้นเมืองมากขึ้นจึงหันมานับถือศาสนาพุทธและศาสนาอื่นกันมากขึ้น ค่านิยมประจำหมู่พวกคือความซื่อสัตย์ ความสามัคคี ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบและไม่นิยมการออมทรัพย์ (หน้า 63, 74) ชาวเลมีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นของตนเองทั้งประเพณีการเกิด การแต่งงาน และการตาย (หน้า 66) ชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ (ร้อยละ 58.33) รองลงมาคือศาสนาคริสต์ (ร้อยละ 23.41) และศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 12.30) การนับถือศาสนาต่าง ๆ เป็นไปอย่างไม่เคร่งครัด บ้างนับถือตามชุมชนใกล้เคียง (พุทธ) หรือเพราะได้รับสวัสดิการจากศาสนานั้น (คริสต์) หรือนับถือตามบรรพบุรุษ (อิสลาม) ชาวเลร้อยละ 5.96 ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุไม่นับถือศาสนาอะไรเลย แต่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณบรรพบุรุษและไสยศาสตร์ รวมไปถึงคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ เช่น ความเชื่อเรื่องการทำเสน่ห์ การป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายในทะเล ห้ามออกเรือไปจับปลาในวันขึ้นหรือแรม 1 ค่ำ พิธีงานศพ เมื่อมีคนตายภายในหมู่บ้านชาวเล ทุกครอบครัวจะไปช่วยเหลือที่บ้านผู้ตาย ชาวเลไม่เก็บศพไว้หลายคืน หากมีคนตายระหว่างใกล้ค่ำหรือกลางคืน จะทำพิธีฝังในวันรุ่งขึ้น ถ้าตายตอนเช้าก็จะฝังให้เสร็จสิ้นในวันนั้นๆ เริ่มแรกต้องวางของมีคม เช่น มีดหรือกรรไกร หมากพลู บนหน้าอกของศพ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายถูกรบกวน โดยตลอดของพิธีศพจะมีพิธีกรรมทางไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนความเชื่อทางไสยศาสตร์ได้เป็นอย่างดี หลังจากพิธีศพชาวเลไม่นิยมไว้ทุกข์ ยังคงปฏิบัติตัวตามปกติเช่นเดิม พิธีการทำน้ำมนต์ เป็นพิธีเฉพาะหมู่บ้านหาดราไวย์เท่านั้น ทำกันปีละ 2 ครั้ง ในเดือน 6 และเดือน 11 มีหมอไสยศาสตร์ทำน้ำมนต์ให้ โดยชาวเลจะนำน้ำมนต์นี้ไปอาบและดื่ม เพื่อความเป็นศิริมงคลสำหรับชีวิต ประเพณีบุญเดือน 10 หรือ บุญวันสารท เป็นวันที่ชาวเลทุกครอบครัวทั้งที่มีฐานะดีและยากจนจะออกไปรับทาน ทั้งสิ่งของ เสื้อผ้า และอาหารการกินจากคนพื้นเมือง โดยประเพณีนี้เป็นไปตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่สอนให้กตัญญูต่อคนพื้นเมืองที่ให้ผืนแผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัย (หน้า 106-118, 197, 220-222) |
|
Education and Socialization |
หัวหน้าครอบครัว คือ บิดามารดา ผู้ปกครอง หัวหน้ากลุ่ม เป็นผู้ให้การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมรวมไปถึงให้การศึกษาอบรมและสร้างบุคลิกภาพให้แก่สมาชิกในสังคม แม้ปัจจุบันชาวเลจะให้บุตรหลานของตนเข้าไปศึกษาในโรงเรียน แต่ครอบครัวก็มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กและคนหนุ่มสาวชาวเลอย่างมาก เรื่องที่ให้สมาชิกเรียนรู้มีทั้งการทำมาหากิน การสร้างที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาลผู้ป่วย ระเบียบประเพณีของกลุ่ม หน้าที่ของสามีภรรยาในครอบครัว ความประพฤติทั่วไป ความเชื่อ ตลอดจนคอยคุ้มกันอิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอกที่จะเข้ามาปะปนในสังคม ชาวเลมีการศึกษาในระบบต่ำมาก สามารถอ่านหนังสือภาษาไทยได้เพียงร้อยละ 31.67 ชาวเลหมู่บ้านราไวย์ก็ใช้การสั่งสอน อบรมขัดเกลาคนรุ่นหลังผ่านทางสถาบันครอบครัว และการถ่ายทอดผ่านทางบรรพบุรุษ ขณะเดียวกันบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านก็มีโรงเรียนระดับประถมศึกษาอยู่ 1 โรงเรียน อาคารเรียนชั่วคราวของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จ.ภูเก็ต อยู่ 1 แห่ง แต่ชาวเลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 50.73) ก็ไม่เคยเข้ารับการศึกษาในระบบโรงเรียน หรือแม้ได้เข้าเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่จบการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 75.71) ชาวเลบางคนก็เคยเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ชาวเลต้องการให้รัฐบาลจัดตั้งโรงเรียนโดยเฉพาะสำหรับพวกเขา โดยระบุเหตุผลด้านความยากจน และการถูกเด็กพื้นเมืองรังแก (หน้า 64-65, 73-74, 138-149, 198-199, 231-238, 254-259) ชาวเลต้องการความรู้เพื่อให้อ่านออกเขียนได้มากที่สุด รองลงมาคือความรู้ในการประกอบอาชีพและความรู้ในการรักษาพยาบาล การรักษาสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ส่วนความรู้ที่ต้องการน้อยที่สุดคือความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยต้องการการศึกษานอกระบบโรงเรียนโดยให้ผู้รู้ช่วยสอนและแนะนำให้ (หน้า 187-191, 204, 214) |
|
Health and Medicine |
ที่ผ่านมาบ้านชาวเลมีน้ำครำขังใต้ถุนบ้าน ไม่มีการระบายน้ำ บริเวณหมู่บ้านเหม็นคาวปลาและสิ่งปฏิกูล ไม่มีส้วมใช้เพื่อสุขลักษณะ ปัจจุบันบ้านเรือนของชาวเลสวยงามและสะอาดมากขึ้น ชาวเลส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรง เพราะอยู่ใกล้ทะเล ได้รับอากาศบริสุทธิ์จากทะเล มีอาหารทะเลรับประทานทุกวัน ชาวเลเป็นโรคผิวหนังกันมากเพราะไม่ค่อยอาบน้ำ เป็นไข้มาลาเรียเพราะชายฝั่งทะเลฝั่งตะวันตกมียุงชุกชุม ส่วนเด็กมักเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและระบบการหายใจ ส่วนคนสูงอายุมักเป็นโรคที่เกี่ยวกับหูและตา ครอบครัวหนึ่งๆ มีบุตรเฉลี่ย 4-6 คน ไม่นิยมวางแผนครอบครัว (หน้า 65, 67-68, 74) สำหรับชาวเลหมู่บ้านหาดราไวย์มีสุขลักษณะสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศบริสุทธิ์ ไม่มีปัญหาน้ำเสียขังตามใต้ถุนบ้าน แต่ชาวเลในหมู่บ้านทั้งหมดไม่มีส้วมใช้ และนิยมทิ้งขยะมูลฝอยบริเวณบ้านโดยไม่กำจัดขยะเหล่านั้น ชาวเลรับประทานอาหารด้วยมือที่ดำและสกปรก จึงทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารตามมา ส่วนโรคที่เป็นกันมากคือโรคผิวหนัง เป็น "เกลื้อน" จากการไม่อาบน้ำ โดยเฉพาะผู้ชาย ชาวเลถือว่าการเป็นเกลื้อนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ ยิ่งผู้ชายเป็นเกลื้อนมากเท่าไหร่ก็จะมีเสน่ห์ทำให้ผู้หญิงชอบมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ็บป่วยชาวเลนิยมซื้อยามากินเอง รองลงมานิยมไปสถานีอนามัย ขณะที่บางคนยังใช้วิธีการทางไสยศาสตร์ บางคนบำบัดด้วยวิธีการธรรมชาติ เช่น เมื่อดำน้ำหาปลาจนตัวซีด ก็จะรักษาโดยฝังตัวเองอยู่ใต้ทรายที่อยู่ชายหาด โผล่มาเพียงแค่ศีรษะเท่านั้น ชาวเลนิยมเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดา พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางชนิดอีกด้วย (หน้า 119-137, 197-198, 223-231) ประเพณีการเกิด ในอดีตชาวเลคลอดลูกโดยหมอตำแย ก่อนคลอดหมอตำแยจะตรวจสุขภาพของหญิงมีครรภ์ตามพิธีทางไสยศาสตร์ วิธีการคลอดจะให้ผู้หญิงนั่งยอง ๆ บนร้านหรือแคร่เพราะคลอดง่าย และต้องการให้เลือดไหลออกมาก ๆ เพราะเมื่อเลือดตกถึงพื้นดิน กลิ่นคาวจะทำให้ผู้คลอดมีกำลังใจอดทนมากขึ้น และต้องการให้ผีเรือนมาช่วยทำคลอดด้วย ก่อนคลอดจึงต้องบรวงสรวงผีเรือนให้มาคุ้มครองคนไข้ (หน้า 111-112) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในอดีตชายชาวเลนิยมนุ่งผ้าเตี่ยว ไม่สวมเสื้อ ผู้หญิงมักไม่สวมเสื้อเช่นกัน โดยมักนุ่งกระโจมอกคลุมถึงเข่าโดยใช้โสร่งหรือผ้าถุง สาวชาวเลเชื่อว่าการแตกเนื้อสาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนหลัง ไม่น่าอับอายจนต้องปกปิดแต่อย่างใด ส่วนเด็กๆ ชาวเลนั้นแทบจะไม่สวมเสื้อผ้าเลย ปัจจุบันการแต่งกายของชาวเลเลียนแบบคนพื้นเมืองมากขึ้น ผู้ชายนิยมสวมกางเกงจีน ไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้หญิงหันมานุ่งผ้าถุง สวมเสื้อ เครื่องประดับที่ชาวเลนิยมมากที่สุดคือทองคำ (หน้า 62, 78-79, 195, 205-206) |
|
Folklore |
ชาวเลนิยมเล่นไพ่บริเวณบ้านในยามที่ไม่ได้ออกไปหาปลา เป็นกิจกรรมที่นิยมทำกันมากที่สุดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (หน้า 124-125) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
"ชาวเล" (ชาวทะเล) เป็นคำเดิมที่คนไทยภาคใต้ใช้เรียกชนกลุ่มนี้ หมายถึงคนที่ใช้ชีวิตทำมาหากินในทะเล แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "ชาวไทยใหม่" เป็นชื่อใหม่ที่ชาวเลใช้เรียกตัวเองและภูมิใจที่จะให้เรียกชื่อนี้ เพราะรู้สึกได้รับการยกย่องให้เสมอภาคเท่าเทียมกับคนไทย ส่วนคำเรียกชาวเลว่า "ชาวน้ำ" ในมุมมองของพวกเขาแล้วเป็นคำไม่สุภาพ โดยชาวเลให้เหตุผลว่ามนุษย์เกิดมาจากน้ำอสุจิซึ่งเป็นน้ำไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ คำว่า "ชาวน้ำ" จึงเป็นคำต่ำ ส่วน "ชาวสิงห์" หรือ "มาซิง" เป็นชื่อชาวเลพบได้ที่หาดราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต (หน้า ง, 68- 69, 78) มลายูเรียกชาวเลว่า "โอรัง ละอุต" (Orang-Laut) แปลว่า "คนทะเล" พม่าเรียกชาวเลว่า "ฉลาง" ชาวอังกฤษเรียกชาวเลว่า "Sea Gypsy" หมายถึงยิปซีทะเล เพราะสมัยที่อังกฤษเข้ามาค้าขายในดินแดนนี้ได้เห็นชาวเลอพยพเร่ร่อน ทำมาหากินไม่เป็นหลักแหล่ง คล้ายกับยิปซีที่อพยพเร่ร่อนในทวีปยุโรป บางครั้งก็เรียกทับศัพท์ว่า "Chaonam" (หน้า 55) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชาวเลนิยมแต่งกายเลียนแบบคนพื้นเมืองมากขึ้น ดังที่ชาวเลบางคนได้กล่าวไว้ว่า "เห็นคนอื่นเขาแต่งก็อยากแต่งบ้าง" ส่วนด้านศาสนาและความเชื่อ เดิมชาวเลเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ แต่ปัจจุบันเมื่อติดต่อกับคนพื้นเมืองมากขึ้นจึงหันมานับถือศาสนาพุทธและศาสนาอื่นกันมากขึ้น (หน้า 62-63, 206) ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี จากการได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากทั้งคนจีน คนไทยและมลายู ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลที่มากระทบต่อประเพณีดั้งเดิมได้ (หน้า 66) สำหรับหมู่บ้านหาดราไวย์ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวนั้น มีกลุ่มทัวร์ต่างๆ นำนักท่องเที่ยวเข้าไปชมในหมู่บ้าน ทำให้ได้รับอิทธิพลต่าง ๆ จากกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ทำให้ความเป็นอยู่และประเพณีเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เช่น ประเพณีการเกิด จากอดีตที่ใช้หมอตำแยทำคลอด ก็มาใช้บริการของเจ้าหน้าที่อนามัยหรือโรงพยาบาลของรัฐเพราะสะดวก ปลอดภัย (หน้า 110-112) ด้านการปกครอง ในอดีต "โต๊ะ" หรือหมอไสยศาสตร์มีบทบาทในการปกครองชาวเลเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้ได้รับความเชื่อถือจากชาวเลในหลายๆ ด้าน ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายการปกครองในระดับท้องถิ่น และสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้บทบาทของโต๊ะลดลงแทนที่ด้วยสารวัตรกำนันและการปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น (หน้า 150 - 151) |
|
Map/Illustration |
วิทยานิพนธ์เล่มนี้มีตาราง แผนภาพและภาพประกอบที่ช่วยสร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของงานวิจัยให้มากยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงการมีงานทำของชาวเล (ตารางที่ 2 หน้า 90) ตารางแสดงความต้องการให้บุตรหลานเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน (ตารางที่ 21 หน้า 146) แผนภาพแสดงที่ตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวเล (แผนภาพที่ 2 หน้า 71) ภาพแสดงชาวเลใช้เหล็กแหลมจับปลาหมึกมาเป็นอาหาร (รูปภาพที่ 19 หน้า 127) |
|
|