|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,พิธีรำเจ้าพ่อ,ดนตรี,พระประแดง,สมุทรปราการ |
Author |
ดวงรัตน์ ทรัพย์ประดิษฐ์ |
Title |
พิธีรำเจ้าพ่อของชาวมอญ : กรณีศึกษาดนตรีและพิธีรำเจ้าพ่อของชาวมอญ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
87 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกมานุษยดุริยางควิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า "ผีเจ้าพ่อ" เป็นผีอีกประเภทหนึ่งที่มอญเคารพนับถือเปรียบได้กับเทวดาของมอญ ชาวบ้านแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่บ้านจะมีเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่เป็นที่พึ่งทางใจต่างกันไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณบรรพบุรุษและเทวดา จึงมีพิธีรำเจ้าพ่อเจ้าแม่ทุกปี โดยพิธีรำเจ้าพ่อนิยมปฏิบัติหลังเทศกาลสงกรานต์ก่อนวันแรม 15 ค่ำ เดือน 5 แต่ละหมู่บ้านจะจัดเครื่องบูชามีอาหารประเภทข้าวหลาม ข้าวเหนียว มีดอกไม้พวงมาลัยถวาย การแต่งกายในพิธีรำเจ้าพ่อจะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของเจ้าพ่อนั้นๆ ชาวบ้านจะเชิญผู้ที่เป็นสื่อทางวิญญาณหรือ "ร่างทรง" แต่ละหมู่บ้านจะเชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่ของหมู่บ้านตัวเองมารวมกัน พิธีกรรมจะเริ่มขึ้นโดยการรำถวายเจ้าพ่อหลักเมืองเพราะเป็นเทพเจ้าสูงสุดของมอญพระประแดง กระบวนการพิธีรำเจ้าพ่อจะประกอบไปด้วย (1) ผู้รำ ส่วนมากมักเป็นผู้หญิงอาวุโสวัยชรา เป็นบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เป็นที่นิยมชมชอบของคนในหมู่บ้าน (2) ผู้ร่วมพิธีกรรม เป็นบุคคลในชุมชนผู้อาวุโส ญาติพี่น้องคนในครอบครัว เป็นการรวมกลุ่มของญาติพี่น้องผ่านการทำพิธีกรรม (3) สถานที่ประกอบพิธีกรรม มักใช้สถานที่ที่ผู้คนในชุมชนเชื่อถือ เช่น ศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน (4) นักดนตรี ส่วนมากมักเป็นผู้ชายและสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เครื่องดนตรีประกอบพิธีรำเจ้าพ่อประกอบด้วยฆ้องมอญปี่มอญ ระนาดเอก ตะโพนมอญ เปิงมาง 1 ลูกและฉิ่ง ปัจจุบันจะใช้เครื่องปี่พาทย์มอญเครื่องห้าหรือวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่บรรเลง บางครั้งอาจใช้เครื่องปี่พาทย์ไทยเครื่องห้า โดยทำนองเพลงจะเป็นเพลงนุ่มนวลบรรเลงช้า แสดงถึงความสง่างามของเจ้าพ่อที่เข้ามาในพิธี รูปแบบเพลง มักบรรเลงกลับไปกลับมา เพลงที่ใช้เป็นเพลงในการประโคมศพ กระสวนจังหวะ เป็นจังหวะซ้ำๆ มีรูปแบบจังหวะและสำนวนเพลงในแต่ละเพลงไม่มากนัก ลักษณะเพลงบรรเลงซ้ำรูปแบบเดิมและบรรเลงฆ้องวงแบบมือมอญ การบรรเลงเพลง ต้องสัมพันธ์กับท่ารำ โดยดูสัญญาณจากการเปลี่ยนสิ่งของในการรำถวาย |
|
Focus |
ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติที่มา วิเคราะห์เพลงที่ใช้ประกอบของพิธีรำเจ้าพ่อของมอญพระประแดง และรวบรวมบันทึกโน้ตเพลงที่ใช้ในพิธีรำเจ้าพ่อ (หน้า 8) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษามอญในพื้นที่ปากลัด อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ (หน้า 8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของมอญจัดอยู่ในตระกูลย่อยมอญ-เขมร และอยู่ในตระกูล "ออสโตรเอเชียติค" (หน้า 6) ระบบเสียงในภาษามอญมีหน่วยเสียงที่สำคัญ 2 ชนิดคือ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยัญชนะ ระบบคำ หน่วยคำ แบ่งหน่วยคำ แบ่งเป็นหน่วยสระกับหน่วยคำผูกพันกัน ลักษณะคำในภาษามอญมักเป็นคำพยางค์เดียวและ 2 พยางค์ มีรูปประโยค 3 ชนิด คือ ประโยคสามัญ ประโยคประสม ประโยคซับซ้อน (หน้า 12) จารึกภาษามอญแบ่งออกเป็นยุคสมัยต่างๆ ได้ 3 ยุคคือ ยุคโบราณ สมัยพุทธศตวรรษที่ 11-13 เป็นอักษรดั้งเดิมของอินเดียใต้ โดยจารึกวัดโพธิ์ร้าง พ.ศ.1143 เป็นภาษามอญเก่าแก่ที่ค้นพบได้ในประเทศไทย โดยเป็นจารึกที่เขียนด้วยอักษร "ปัลลวะ" ที่ยังไม่ได้ดัดแปลงเป็นภาษามอญ ยุคกลาง จารึกในสมัยนี้เป็นทั้งภาษามอญและอักษรมอญ พบในจารึกของพม่าทางภาคเหนือ ข้อความส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางพุทธศาสนา ยุคปัจจุบัน ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 จนถึงปัจจุบันเป็นจารึกบนใบลาน ตัวอักษรเป็นลักษณะกลมมีคำประพันธ์และกลอนต่างๆ (หน้า 34-38) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มอญถูกจัดว่ามีเชื้อชาติมองโกลอยด์ (Mongoloid) และภาษาถูกจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร หรือตระกูลออสโตรเอเชียติค มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันตกของจีน และอพยพจากจีนลงมาทางใต้และตั้งอาณาจักรทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี เป็นอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองสูงสุดในดินแดนสุวรรณภูมิ หลังจากนั้นจึงอพยพมาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยด้วยสาเหตุต่างๆ กัน เช่น เป็นเชลยสงคราม หนีจากกองทัพพม่า เข้ามาในฐานะผู้ลี้ภัยเมื่อถูกพม่ายึดเมืองได้ มอญที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกระจายและกระจุกตัวตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ชุมชนมอญ ธนบุรี ปากลัด จ.สมุทรปราการ สามโคก จ.ปทุมธานี บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร บ้านบางขันหมาก จ.ลพบุรี บางกระดี่ กรุงเทพฯ เป็นต้น (หน้า 1-4, 20-26, 85) ประวัติเมืองพระประแดง เมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา "เมืองพระประแดง" ตั้งอยู่ปากน้ำเจ้าพระยา เป็นเมืองของขอมที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลที่สำคัญ กระทั่งขอมหมดอำนาจในดินแดนแถบนี้ จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 โปรดเกล้าฯให้ตั้งเมืองป้อมปราการด่านชั้นใน 4 หัวเมือง โดยมีเมืองพระประแดงเป็นป้อมปราการทางทิศใต้ เมืองพระประแดงเปลี่ยนแปลงที่ตั้งตัวเมืองหลายครั้ง จนคราวเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310 กษัตริย์สมัยนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกำแพงเมืองพระประแดงเดิมที่ราษฎรบูรณะไปสร้างกำแพงพระราชวังที่กรุงธนบุรี เมืองพระประแดงจึงร้างและสิ้นซากนับแต่นั้นมา ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1 ดำริหาพื้นที่ทางใต้สร้างเป็นเมืองหน้าด่านป้องกันข้าศึกทางทะเลที่จะเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาจึงสำรวจพื้นที่ปากน้ำเจ้าพระยาเพื่อสร้างเมืองใหม่ขึ้น แต่ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน รัชกาลที่ 2 จึงดำเนินการต่อจนสร้างเมืองที่ปากลัดสำเร็จ แล้วทรงพระราชทานนามว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์" เมื่อปี พ.ศ. 2358 และโปรดเกล้าฯให้มอญที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนั้น จนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ดำริว่านามของเมืองพระประแดงมีมาแต่โบราณไม่ควรปล่อยให้สูญสลายไป และเมืองนครเขื่อนขันธ์อยู่ใกล้เคียงกับเมืองพระประแดงเดิม รัชกาลที่ 6 จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองนครเขื่อนขันธ์เป็นจังหวัดพระประแดงเมื่อปี พ.ศ.2458 (มี 3 อำเภอคือ อ.พระประแดง อ.ราษฎร์บูรณะ อ.พระโขนง) จนเกิดเศรษฐกิจตกต่ำในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ยุบจ.พระประแดงลงเป็น อ.พระประแดง ขึ้นกับจ.สมุทรปราการในปี พ.ศ. 2474 จนปี พ.ศ. 2485 จ.สมุทรปราการถูกยุบไปอยู่กับจ.พระนคร อ.พระประแดงจึงถูกยุบไปขึ้นกับจ.พระนครด้วย กระทั่งปี พ.ศ.2489 จ.สมุทรปราการมีฐานะเป็นจังหวัดอีกครั้ง พระประแดงจึงกลับมาขึ้นต่อจ.สมุทรปราการอีกครั้งจนถึงปัจจุบันนี้ (หน้า 27-31) |
|
Settlement Pattern |
มอญในอ.พระประแดงมี 16 หมู่บ้าน ใช้ชื่อหมู่บ้านเช่นเดียวกับเมื่อครั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่า ปัจจุบันทั้ง 16 หมู่บ้านขึ้นกับ 4 ตำบลคือ (1) ตำบลตลาด หมู่บ้านแซ่ หมู่บ้านทะมัง หมู่บ้านเต้อและหมู่บ้านดัง (2) ตำบลทรงคะนอง หมู่บ้านทรงคะนอง หมู่บ้านตองอุ๊ หมู่บ้านโรงเรือและหมู่บ้านอะม่วง (3)ตำบลบางพึ่ง หมู่บ้านฮะเริ่น หมู่บ้านตา หมู่บ้านเวหะราว หมู่บ้านสะพานช้างและหมู่บ้านเชียงใหม่ (4) ตำบลบางหญ้าแพรก มี 1 หมู่บ้านคือหมู่บ้านเดิงฮะโมก ระยะแรกที่มอญย้ายมาอยู่ที่พระประแดงจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำ ตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ปากคลองลัดหลวงและปากคลองลัดโพธิ์ ลักษณะของบ้านเป็นทรงเตี้ยมีเพิงยื่นไปทางหน้าบ้าน ฝาบ้านทำด้วยไม้ไผ่เรียกว่า "ฝาขัดแตะ" หลังคามุงจาก เมื่อฐานะดีขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นทรงไทยใต้ถุนสูง จนปัจจุบันบ้านเรือนเป็นลักษณะอาคาร ตึกสมัยใหม่มากขึ้น (หน้า 31-32) |
|
Demography |
จากหลักฐานการสำรวจของพม่าเมื่อปี 1931 พบว่ามีคนเชื้อสายมอญอยู่ 337,000 คน จากจำนวนชาวพม่าทั้งหมด 13,169,009 คน (หน้า 2) อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ มีประชากรทั้งสิ้น 205,564 คน (หน้า 27) |
|
Economy |
ในอดีตอาชีพหลักของมอญพระประแดงคือการทำนาเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่พม่าตอนใต้ โดยมอญหาที่ทำนาแถวอ.บางพลี อ.มีนบุรี โดยไปปลูกเพิงพักจนเสร็จฤดูทำนาจึงกลับมาพักผ่อนที่พระประแดง ช่วงพักจากการทำนา มอญพระประแดงจะมีอาชีพเสริมคือสานเสื่อกกเพื่อใช้เองหรือจำหน่าย (หน้า 32-33, 85) |
|
Belief System |
ความเชื่อของมอญที่เป็นเอกลักษณ์มาทุกยุคทุกสมัยคือ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและเชื่อถือผีและโชคลาง บูชาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาสูงสุด มอญพระประแดงเคร่งครัดในพุทธศาสนามากเมื่อถึงเทศกาลสำคัญๆจะไปทำบุญที่วัดอย่างพร้อมเพรียง มอญเชื่อว่าการทำบุญให้วัดจะส่งวิญญาณไปสู่สวรรค์ โดยประเพณีที่สำคัญของมอญมีดังนี้ ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต (1) ประเพณีการเกิด เมื่อภรรยาตั้งท้องได้ 2-3 เดือน สามีต้องตัดฟืน 9 ท่อน ตั้งเป็นกระโจมตากแดดไว้เพื่อให้รู้ว่าบ้านนี้จะคลอดลูกในไม่ช้า จนถึงวันที่เด็กเกิดจึงล้มกระโจมเพื่อเป็นเชื้อไฟ ต้องวางก้อนข้าวสุกเพื่อเซ่นสรวงผีสาง เทวดา ให้ปกปักรักษา เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วต้องนำไปนอนในกระด้ง หากเป็นเด็กชายให้วางสมุดดินสอลงไปเพื่อให้เก่งในการศึกษา หากเป็นเด็กหญิงให้วางเข็มด้ายเพื่อให้เก่งงานบ้านงานเรือน (2) ประเพณีการบวช ผู้ที่จะบวชต้องไปขอขมาญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือก่อนบวช 1 วัน ผู้บวชยังไม่ปลงผมจนถึงพระอุโบสถในวันที่บวชจึงปลงผม เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนาค ญาติพี่น้องจูงเข้าพระอุโบสถเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป (3) ประเพณีการแต่งงาน เหมือนกับธรรมเนียมของไทย วันแต่งงานจะมีขบวนขันหมากไปที่บ้านเจ้าสาว มีการเลี้ยงอาหาร เมื่อเสร็จแล้วเจ้าบ่าวต้องลากลับ พอตกกลางคืนจะมีขบวนนำเจ้าบ่าวมาส่งที่บ้านเจ้าสาวอีกครั้ง รุ่งเช้าก่อนตะวันขึ้นเจ้าบ่าวต้องกลับไปบ้านของตนเอง ปฏิบัติเช่นนี้จนครบ 7 วัน ฝ่ายเจ้าสาวจึงนำขบวนมาไหว้พ่อแม่และญาติพี่น้องฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นอันเสร็จพิธี (4) ประเพณีการตาย จะประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาโดยนิมนต์พระ 4 รูปมาสวดพระอภิธรรมที่บ้าน เชิญผู้มีความรู้มาอ่านหนังสือจำพวกพุทธประวัติ นิทานชาดกเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ แล้วจึงเผาศพและเก็บกระดูก แต่หากเป็นศพที่ตายโหงจะไม่มีพิธีสวดพระอภิธรรม แต่จะนำไปฝังที่ป่าช้าหรือโกดังเก็บศพ ห้ามเก็บไว้ค้างคืน หลังจากนั้น 3 ปีจึงขุดกระดูกขึ้นมาเผา แต่หากตายด้วยโรคติดต่อจะไม่ขุดขึ้นมาเผาอีกเลย เพราะเกรงจะเกิดโรคติดต่อขึ้นในชุมชน ประเพณีในรอบปี มีดังนี้ (1) ประเพณีเดือน 1 ทำบุญข้าวเม่าก่อนเกี่ยวข้าว ทำในวันพุธเท่านั้น (2)ประเพณีเดือน 2 เกี่ยวข้าว นวดข้าว เอาข้าวขึ้นยุ้ง ทำในวันพฤหัสบดีเท่านั้น (3) ประเพณีเดือน 3 เผาข้าวหลาม ทำบุญช่วงว่าง ผู้ชายจักสาน ผู้หญิงทอผ้าหรือจัดผ้าป่ากัน (4) ประเพณีเดือน 5 ทำบุญวันสงกรานต์ ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (5) ประเพณีเดือน 6 เริ่มไหว้ผีนาเพื่อไถนา (6) ประเพณีเดือน 9 ทำบุญให้ญาติที่ล่วงลับ (7) ประเพณีเดือน 10 ทำบุญปล่อยผีปล่อยเปรต (8) ประเพณีเดือน 11 ทำบุญออกพรรษา (9) ประเพณีเดือน 12 เซ่นไหว้แม่โพสพเพื่อความเป็นสิริมงคล ประเพณีของชุมชน มีดังนี้ (1) ประเพณีสงกรานต์ (ว่านอะต๊ะ) สงกรานต์พระประแดงเริ่มวันที่ 13-15 เมษายน ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่เช่นเดียวกับไทย จะมีการทำขนมประเพณีเรียกว่า "กวันฮะกอน" แปลว่าขนมกวน คนไทยเรียกขนมนี้ว่า "กาละแม" โดยขนมนี้จะทำแจกจ่ายระหว่างเทศกาล ในช่วงวันสงกรานต์มอญจะทำบุญที่วัดทั้ง 3 วัน มีการปล่อยนกปล่อยปลา รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ กลางคืนจะมีการเล่นสะบ้ากัน (2) ประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง (หล่องฮะเปรียงด๊าดซาย) นำน้ำผึ้งถวายพระทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 (3) ประเพณีเติมน้ำมันเรือสำเภา ปฏิบัติกันมาช้านานเพราะเห็นว่าเรือสำเภาสำคัญกับพุทธศาสนา เพราะสมัยก่อนพระสงฆ์ใช้เรือสำเภาเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา (หน้า 5-6, 38-57, 85-86) สังคมของมอญสมัยก่อนผู้ชายมีสิทธิเหนือผู้หญิงในทุกๆ ด้านตามทัศนคติที่ผู้ชายสามารถบวชเรียนได้ พ่อแม่จึงรักลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง ผู้หญิงไม่มีสิทธิเรียนหนังสือและแสดงความเห็น ต้องรับประทานอาหารหลังผู้ชาย ผู้หญิงไม่มีสิทธิร่วมพิธีกรรมในโบสถ์ พ่อจะไม่ใกล้ชิดกับลูกผู้หญิงพี่ชายก็ไม่ใกล้ชิดกับน้องสาว เพราะผู้ชายถือเป็นหลักของครอบครัวต้องวางตัวให้เหมาะสม (หน้า 32) ความเป็นมาของพิธีรำเจ้าพ่อ "ผีเจ้าพ่อ" เป็นผีอีกประเภทหนึ่งที่มอญเคารพนับถือเปรียบได้กับเทวดาของมอญ ในอดีตเมื่อครั้งที่มอญอพยพมาจากพม่าแต่ละคนจะมีสิ่งสักการะของตนเองติดตัวมาด้วย ชาวบ้านแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่บ้านจะมีเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่เป็นที่พึ่งทางใจต่างกันไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณบรรพบุรุษและเทวดา จึงมีพิธีรำเจ้าพ่อเจ้าแม่ทุกปี โดยพิธีรำเจ้าพ่อนิยมปฏิบัติหลังเทศกาลสงกรานต์ก่อนวันแรม 15 ค่ำ เดือน 5 แต่ละหมู่บ้าจะจัดเครื่องบูชามีอาหารประเภทข้าวหลาม ข้าวเหนียว มีดอกไม้พวงมาลัยถวาย เมื่อเสร็จพิธีชาวบ้านจะนำอาหารเหล่านั้นมาแบ่งกันกิน การแต่งกายในพิธีรำเจ้าพ่อ จะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของเจ้าพ่อนั้นๆ คือ (1) เจ้าพ่อหลักเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) นุ่งผ้าลอยชายสีแดง พาดผ้าคลุมไหล่ ผ้าคาดเอวสีเหลืองหรือสีส้ม (2) พระเสื้อเมือง ผ้าลอยชายสีเหลือง พาดผ้าคลุมไหล่เดียวสีเหลือง ผ้าคาดเอวสีเหลือง (3) เจ้าพ่อตะละเจิญงิ่ม (เจ้าพ่อช้างพัน) ผ้าลอยชายสีขมิ้นหรือสีส้ม พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีเขียวหรือส้ม ผ้าคาดเอวสีชมพู (4) อะปาโน๊กอะม่อน (เจ้าพ่อลัดโพธิ์) ผ้าลอยชายสีแดง พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีแดงหรือชมพู ผ้าคาดเอวสีเหลือง (5) อะปาโน๊กอะจุ๊ปอง (เจ้าพ่อหมู่บ้านตา) ผ้าลอยชายสีขมิ้นหรือสีแดง พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีแดงหรือชมพู ผ้าคาดเอวสีเหลือง (6) อะปาโน๊กเมินปร้าย (เจ้าพ่อหนุ่ม) ผ้าลอยชายสีแดงหรือสีส้ม พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีชมพู ผ้าคาดเอวสีแดงลายดอก (7) โกนวุดอาปาโน๊ก (ลูกสาวเจ้าพ่อหลักเมือง) ผ้าพื้นสีฟ้าลายทาง พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 ชายทิ้งด้านหน้าสีแดง ผ้าคาดเอวสีแดงลายดอก (8) อะปาโน๊กตู้ (เจ้าพ่อปู่ประจำตระกูลโลจายะ) ผ้าลายทางน้ำไหลสีแดง พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีเขียว (9) อะปาโน๊กเมินปร้าย ผ้าลอยชายสีเขียว พาดผ้าคลุมไหล่ทั้ง 2 สีส้ม รูปแบบในพิธีรำเจ้าพ่อ ชาวบ้านจะเชิญผู้ที่เป็นสื่อทางวิญญาณหรือ "ร่างทรง" แต่ละหมู่บ้านจะเชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่ของหมู่บ้านตัวเองมารวมกัน พิธีกรรมจะเริ่มขึ้นโดยการรำถวายเจ้าพ่อหลักเมืองเพราะเป็นเทพเจ้าสูงสุดของมอญพระประแดง โดยจะมีเครื่องเซ่นสังเวยเป็นสิ่งของถวายเป็นเครื่องบรรณาการ กระบวนการพิธีรำเจ้าพ่อ (1) ผู้รำ ส่วนมากมักเป็นผู้หญิงอาวุโสวัยชรา เป็นบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เป็นที่นิยมชมชอบของคนในหมู่บ้าน การสืบทอดการรำเจ้าในพระประแดงจะทำกันตามลำดับครอบครัว (2) ผู้ร่วมพิธีกรรม เป็นบุคคลในชุมชนผู้อาวุโส ญาติพี่น้องคนในครอบครัว เป็นการรวมกลุ่มของญาติพี่น้องผ่านการทำพิธีกรรม (3) สถานที่ประกอบพิธีกรรม มักใช้สถานที่ที่ผู้คนในชุมชนเชื่อถือ เช่น ศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน มักเป็นลานกว้างๆ เพื่อให้คนในชุมชนได้เข้าร่วมอย่างทั่วถึง (4) นักดนตรี ส่วนมากมักเป็นผู้ชายและสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ นักดนตรีส่วนใหญ่จะเป็นมอญพระประแดง ในพระประแดงมี 3 วง คือ วงวิเชียรศิลป์ วงชะลอศิลป์ วงวังพญา เครื่องดนตรีประกอบพิธีรำเจ้าพ่อ ประกอบด้วยฆ้องมอญปี่มอญ ระนาดเอก ตะโพนมอญ เปิงมาง 1 ลูกและฉิ่ง ปัจจุบันจะใช้เครื่องปี่พาทย์มอญเครื่องห้าหรือวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่บรรเลง บางครั้งอาจใช้เครื่องปี่พาทย์ไทยเครื่องห้า การศึกษาข้อมูลทางดนตรี (1) ทำนองเพลง เป็นเพลงนุ่มนวลบรรเลงช้า แสดงถึงความสง่างามของเจ้าพ่อที่เข้ามาในพิธี (2) รูปแบบเพลง มักบรรเลงกลับไปกลับมา เพลงที่ใช้เป็นเพลงในการประโคมศพ ต่างเพียงสถานที่ เวลาและสถานะ (3) กระสวนจังหวะ เป็นจังหวะซ้ำๆ มีรูปแบบจังหวะและสำนวนเพลงในแต่ละเพลงไม่มากนัก ลักษณะเพลงบรรเลงซ้ำรูปแบบเดิมและบรรเลงฆ้องวงแบบมือมอญ (4) การบรรเลงเพลง ต้องสัมพันธ์กับท่ารำ โดยดูสัญญาณจากการเปลี่ยนสิ่งของในการรำถวาย เมื่อผู้รำเปลี่ยนอุปกรณ์ในการรำเป็นดาบและเหล้า จะเปลี่ยนเป็นเพลงอินแสร้ง เมื่อเปลี่ยนถาด เพลงก็จะเปลี่ยนเพียงเพลงที่ 1 ส่วนเพลงที่ 2 และ 3 จะเหมือนเดิม (หน้า 57-84, 86) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
พิธีกรรมต่างๆ ของมอญมักใช้เครื่องดนตรีปี่พาทย์มอญประกอบในงานต่างๆ บางแห่งใช้วงเครื่องสายมอญ (หน้า 6) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
พม่าเรียกมอญมาหลายศตวรรษว่า "ตะเลง" (Talaing หรือ Taleng) โดยมอญไม่ชอบให้ใครเรียกว่า "ตะเลง" ขณะนี้ใช้คำว่า "มุน" (Mon) เรียกมอญ ปัจจุบันเรียกว่า "รามัญ" (Raman) (หน้า 2) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สภาพสังคมมอญเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันมอญที่ทำนาแทบจะหาไม่ได้แล้ว คนรุ่นใหม่ของมอญมีการศึกษาสูงขึ้น หลังจากจบการศึกษาส่วนใหญ่รับราชการ รัฐวิสาหกิจและทำงานรับจ้าง (หน้า 33) ภาษามอญใช้กันในหมู่คนเฒ่าคนแก่เท่านั้น ส่วนเด็กรุ่นใหม่ที่ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษาปัจจุบันไม่สามารถใช้ภาษามอญได้ (หน้า 38, 85) |
|
|