|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอแกน,วิถีชีวิต,หมู่เกาะสุรินทร์ |
Author |
อรรถกร ภาคีรุณ |
Title |
ก่อนจะเหลือเผ่าพันธุ์สุดท้าย มอแกน (SEA - GYPSIES) |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอแกน บะซิง มาซิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
158 |
Year |
2544 |
Source |
สำนักพิมพ์ธารบัวแก้ว |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของชนเผ่ามอแกนที่อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดยนำเสนอในรูปแบบสารคดีมีการอ้างอิงงานวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่ามอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในด้านวิถีชีวิต การทำมาหากิน สภาพสังคม รวมไปถึงประเพณีความเชื่อที่ผูกโยงกับวิถีชีวิตของมอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย โดยงานชิ้นนี้ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเล (Sea Nomads) คือ เผ่ามอแกน บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดยชาวเลเผ่า "มอแกน" จะเร่ร่อนตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายฝั่งอันดามัน โดยใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเรือที่เป็นทั้งบ้านและยานพาหนะ แต่ปัจจุบันจะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายฝั่งหรือบนเกาะ ชาวเล "มอแกน" พบได้ในหมู่บ้านตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดพังงา และหมู่เกาะมะริดในเขตน่านน้ำประเทศพม่า มอแกนมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับฤดูกาลจากลมมรสุม เมื่อทะเลเรียบและอากาศดี มอแกนจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเรือเพื่อจับปลาและงมหอย เมื่อถึงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ คลื่นลมจัด มอแกนจะขึ้นฝั่งสร้างกระท่อมอยู่กันชั่วคราว โดยเรือมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของมอแกน เพราะเป็นเครื่องมือทำมาหากินและที่อยู่อาศัยไปพร้อมกัน ดังนั้นมอแกนจึงมีพิธีเลี้ยงผีเรือก่อนถึงฤดูกาลที่ต้องออกทะเล มอแกนเชื่อว่าเรือแต่ละลำจะมีวิญญาณของผีไม้สิงสถิตอยู่ สังคมของมอแกนมีพื้นฐานอยู่แบบระบบเครือญาติแบบครอบครัวเดี่ยว หญิงและชายมีความสำคัญพอ ๆ กัน มักแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่แต่งงานในหมู่ญาติพี่น้อง ไม่นิยมเปลี่ยนคู่ครอง นอกจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตลง ครอบครัวของมอแกนที่แตกออกมาจากครอบครัวใหญ่ได้กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวเล็ก ๆ รวมตัวกันเป็นกองเรือขนาด 7-10 ลำ แต่ละกองเรือเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตเร่ร่อนทางทะเลของมอแกน โดยแต่ละกองเรือจะมีบุคคลที่เรียกว่า "ปาเตา" ทำหน้าที่นำทาง เขาคือตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดประจำเรือ เป็นผู้รับผิดชอบชะตากรรมของสมาชิก เป็นทั้งหมอผี หมอยา คนทรงและผู้พิทักษ์ประจำกองเรือ มอแกนมีอายุเฉลี่ย 28 ปี เพราะเสียชีวิตจากโรคที่ได้รับจากการบีบกดของน้ำขณะดำน้ำ เมื่อมอแกนเจ็บป่วยจะเยียวยาโดยให้โต๊ะหมอมาเข้าทรงและเซ่นไหว้ด้วยวิธีต่าง ๆ มอแกนยังใช้ความรู้ทางสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วย มอแกนมีนิทานและบทเพลงที่เป็นเรื่องเล่าสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของมอแกนในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิถีชีวิตด้านการเลือกคู่ครอง เนื่องจากปัจจุบันวิถีชีวิตของมอแกนต้องขึ้นมาอาศัยตามชายฝั่งของเกาะทำให้ต้องกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติมากขึ้น ทำให้ความเป็นอยู่ของมอแกนต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของเจ้าหน้าที่ |
|
Focus |
หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของชนเผ่ามอแกนที่อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ โดยนำเสนอในรูปแบบสารคดีมีการอ้างอิงงานวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่ามอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในด้านวิถีชีวิต การทำมาหากิน สภาพสังคม รวมไปถึงประเพณีความเชื่อที่ผูกโยงกับวิถีชีวิตของมอแกนในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเล (Sea Nomads) คือ เผ่ามอแกน บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ (หน้า 13) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
"ชาวเล" เป็นกลุ่มชนที่เร่ร่อนอยู่แถบชายฝั่งทะเลอันดามัน แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ "อุรักลาโว้ย", "มอแกลน" และ "มอแกน" โดย 2 กลุ่มแรกเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมาตั้งหลักแหล่งบนฝั่งอย่างถาวรมากขึ้น ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาภาคบังคับและได้สัญชาติไทยจึงเรียกชาวเล 2 กลุ่มแรกว่า "ไทยใหม่" (หน้า 28, 30) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเลใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเรือที่เป็นทั้งบ้านและยานพาหนะ แต่ปัจจุบัน ชาวเลส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายฝั่งหรือบนเกาะ ชาวเล "มอแกน" พบได้ในหมู่บ้านตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดพังงา เช่นที่หมู่บ้านไทยใหม่ อ.ท้ายเหมือง และยังอาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะมะริดในเขตน่านน้ำประเทศพม่า ตั้งแต่เกาะเซนท์ แมทธิว ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงเกาะคิงที่ 1 ส่วนชาวเล "อูรักลาโว้ย" มักตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านใหญ่กระจายกันตามฝั่งทะเลและเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย เช่น ชุมชนอูรักลาโว้ยที่สิเหร่ ราไว สะปำ บ้านเหนือ แหลมหลา จ.ภูเก็ต ; สังกะอู้ บนเกาะลันตาใหญ่ เกาะจา ในจ.กระบี่ ; หมู่บ้านบนเกาะอาดังและเกาะลิเป๊ะ จ.สตูล มอแกนมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับฤดูกาลจากลมมรสุม เมื่อทะเลเรียบและอากาศดี มอแกนจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเรือเพื่อจับปลาและงมหอย เมื่อถึงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ คลื่นลมจัด มอแกนจะขึ้นฝั่งสร้างกระท่อมอยู่กันชั่วคราว ดังที่ผู้อาวุโสมอแกนคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "มันมีอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่พวกเราจะหายไปในทะเลโดยเราไม่รู้ทิศทาง รู้แต่ว่าพอได้กลิ่นอายของลม เราจึงจะหวนกลับเข้าฝั่ง" (หน้า 30-34) |
|
Demography |
มอแกนประมาณ 2,000-3,000 คน กระจายกันอยู่ในเรือประมาณ 500 ลำ แทรกอยู่แทบทุกเกาะบริเวณเขตแดนไทย-พม่า (หน้า 59) มอแกนที่ผู้เขียนเข้าไปศึกษามีจำนวนประชากรที่เรียกว่า "ลูกบ้าน" จำนวน 183 คน มอแกนมักจะมีอายุไม่เกิน 30 ปี ส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 28 ปี เพราะเสียชีวิตจากโรคที่ได้รับจากการบีบกดของน้ำขณะดำน้ำ (หน้า 21-22, 74) |
|
Economy |
ชาวเลยึดอาชีพที่เกี่ยวข้องกับทะเล รวมไปถึงการกินข้าว ทำแร่ ร่อนแร่ด้วย (หน้า 30) โดยมอแกนกลุ่มที่ผู้เขียนเข้าไปศึกษามีเรืออยู่ทั้งหมด 10 ลำ มีรายได้ลำละประมาณ 60-70 บาทต่อวัน/ครอบครัว (หน้า 26-27) มอแกนงมหอย ตกปลา จับปูและสัตว์ทะเลต่างๆ เป็นอาหาร ส่วนฤดูฝนช่วงที่อาศัยบนเกาะ มอแกนจะขุดหัวมัน หน่อไม้ และพืชอื่นๆ เพื่อบริโภค มอแกนไม่นิยมการสะสมวัตถุ ไม่ว่าอาหารหรืออะไรทั้งสิ้น พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งปลาเค็ม กะปิ น้ำปลา มอแกนไม่รู้จักการถนอมอาหาร มอแกนยังคงดำปลิง (ปลิงทะเล) รังนก หอยมุก และเปลือกหอยสวยงามเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้าวสาร อาหาร และสิ่งจำเป็นกับพ่อค้าคนกลาง บางครั้งมอแกนอาจจะเข้าป่าเพื่อล่าหมูป่าหรือสัตว์ป่าเท่าที่พอจะหาได้ แต่ก็ไม่คุ้นเคยเท่ากับหากินทางทะเล มอแกนมักหากินเพียงหัวมันหรือผลไม้เท่านั้น (หน้า 37-38, 83) มอแกนใช้เวลาส่วนใหญ่ในเรือที่เป็นทั้งบ้านและยานพาหนะเพื่ออาศัยทะเลเป็นแหล่งทำมาหากิน "เรือ" หรือ "ก่าบาง" ของมอแกนคือ "บ้านลอยน้ำ" เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ โดยเรือทำด้วยไม้เนื้อแข็งคว้านเอาส่วนในออกจนมีลักษณะเปิด ส่วนท้องจะแบนราบ ลำเรือยาวป้อม หัวท้ายแหลม รูปแบบของเรือจำลองแบบมาจากประมงชายฝั่งของไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยเป็นเรือแบบนั่ง มีหลังคาและสีสันคล้าย ๆ กัน และออกแบบให้ซ่อนตัวได้ง่ายตามป่าโกงกางชายฝั่ง แต่ทางการไทยก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก (หน้า 30, 60-71) |
|
Social Organization |
สังคมของมอแกนมีพื้นฐานอยู่แบบระบบเครือญาติแบบครอบครัวเดี่ยว หญิงและชายมีความสำคัญพอๆกัน มอแกนมักแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่นิยมเปลี่ยนคู่ครอง นอกจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตลง (หน้า 42 และดูรูปของหญิงมอแกนที่มีครอบครัวตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ที่หน้า 60) มอแกนถือว่าถ้าไม่อยู่ครอบครัวเดียวกันต้องถือว่าเป็นคนต่างพวกทันที แต่บางครั้งเรือต่างครอบครัวก็ต้องมาสัมพันธ์กันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อบริโภค (เหล้า ยาเส้น ข้าว) ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างตระกูลมีพื้นฐานอยู่ที่การหาคู่ครองโดยมีญาติพี่น้องทั้ง 2 ฝ่ายเป็นพ่อสื่อแม่สื่อ มอแกนห้ามแต่งงานในหมู่พี่น้อง หนุ่มมอแกนหากต้องการหาเมียต้องสร้างเรือขึ้นมาลำหนึ่งแล้วออกหาในช่วงฤดูร้อนยามออกทะเล ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีเรือก็ไม่มีเมียตามมา" และหนุ่มมอแกนยังต้องสร้างเรือเองเป็นและทำมาหากินเองเป็นด้วย พ่อตาแม่ยายจะช่วยเขยทำเรือไม่ได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่เขยแต่เพียงลำพัง เพราะในอนาคตต้องอาศัยลูกสาวและลูกเขย (หน้า 142-147) ครอบครัวของมอแกนที่แตกออกมาจากครอบครัวใหญ่ได้กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวเล็กๆ รวมตัวกันเป็นกองเรือขนาด 7-10 ลำ แต่ละกองเรือเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตเร่ร่อนทางทะเลของมอแกน (หน้า 156) |
|
Political Organization |
แต่ละกองเรือของมอแกนมีบุคคลที่เรียกว่า "ปาเตา" ซึ่งเป็นตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดประจำกองเรือ ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบชะตากรรมของสมาชิก เป็นทั้งหมอผี หมอยา คนทรงและผู้พิทักษ์ (หน้า 156) |
|
Belief System |
ชาวเกาะนับถือยำเกรงทะเลในฐานะที่เป็นแหล่งของความศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนานัปการ ไม่มีชาวเกาะคนใดกล้าล่วงเกินทะเลโดยเด็ดขาด (หน้า 37) พิธีประจำปีที่สำคัญของมอแกนคือ การฉลองเสาวิญญาณบรรพบุรุษ (เหนียะเอนหล่อโขง) หรือ "เสาหลักประจำตระกูล" โดยพิธีนี้จัดขึ้นตอนเดือนห้าทางจันทรคติซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู โดยมอแกนถิ่นต่าง ๆ จะมารวมตัวเพื่อบูชาวิญญาณบรรพบุรุษให้ปกป้องคุ้มครองพวกตน โดยมอแกนจะดื่มเหล้าขาวอย่างหนักในพิธีนี้เพื่อประชดชีวิตที่หนักหนาสาหัสของตน มอแกนมีความเชื่อแบบ "วิญญาณนิยม" คือเชื่อว่าผีบรรพบุรุษและผีต่างๆ ในธรรมชาติมีอำนาจให้ร้าย - ดีแก่พวกตนได้ (หน้า 38-41) มอแกนเชื่อว่ามีวิญญาณประจำเรือโดยติดมาจากต้นไม้ที่นำมาขุดเป็นเรือ มอแกนเชื่อว่าคนสร้างเรือต้องเป็นชายโสดเพื่อที่นางฟ้าหรือนางไม้จะมาช่วยเหลือ เพราะมอแกนเชื่อว่าวิญญาณประจำเรือเป็นผู้หญิง มอแกนเชื่อว่าเรือเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างความสัมพันธ์ของมอแกนกับระบบความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ มอแกนมีคติว่า "ขาดเรือ ขาดลม ก็ถือว่าชีวิตนี้คือการสิ้นสุด" โลกของมอแกนประกอบขึ้นด้วยผีบรรพบุรุษ เทพยดา แต่เมื่อมอแกนขึ้นไปพักพิงบนฝั่งช่วงฤดูฝน บรรดาผีทั้งหลายจะลาจากไป เพราะมอแกนเชื่อว่าที่พักชั่วคราวไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ๆ ที่เหนือธรรมชาติ โดยผีไม้ของเรือมอแกนเรียกว่า "อีบับ" มอแกนจะมีพิธีเลี้ยงผีก่อนนำเรือลงน้ำเรียกว่า "โมน คเนนัน ก่าบาง" แปลว่า "ให้ขนมเรือ" โดยใช้ใข่ใส่ลงในหม้อข้าวต้ม กวนให้เข้ากัน จากนั้นใช้ช้อนตักไปป้อนที่หัวเรือที่ทำเป็นรูปคล้ายปาก และจุดบุหรี่ให้ด้วย จากนั้นก็เอาข้าวสวยไปป้อนให้รูปแกะสลักจากไม้ ชื่อว่า "สิติ ติมา" ซึ่งถูกสมมติให้เป็นเทพธิดาของผีประจำเรือและผีประจำไม้เรือ (นางไม้) เป็นอันเสร็จพิธี มอแกนเชื่อว่าผีเหล่านี้จะนำพวกตนออกสู่ทะเลหลวงได้ มอแกนยังกลัวผีประจำต้นไม้ (นางไม้) ผีประจำกอไผ่ ผีปลาและผีอื่น ๆ อีกมากมาย มอแกนเชื่อว่าผีเหล่านี้จะปกป้องพวกตนให้พ้นจากภัยพิบัติได้ มอแกนมี "เสาแกะสลัก" 3 เสา ปักไว้กลางลำเรือบ้าง หัวเรือบ้าง โดยหลักที่ 1 เป็นเจ้าแม่ย่านางที่พิทักษ์ตะกูด (หางเสือ) ส่วนหลักที่ 2-3 เป็นเจ้าแม่ย่านางรักษาหลังคาเรือ ทั้งหมดเป็นเพศหญิงชื่อว่าอาวา (AWAH) เชื่อกันว่า อาวาคืออีฟหรืออีวาในคัมภีร์ไบเบิล และยังวิเคราะห์ต่อว่าเสาแกะสลักที่ปักอยู่ท้ายเรืออีกต้นหนึ่งคือ "อาดัม" และเสาต้นเล็กๆ คือลูกของอาดัมกับอีฟ แต่ผู้เขียนก็ตั้งข้อสังเกตว่า "เสาแกะสลัก" ดังกล่าวก็คือ "เสาหลักประจำตระกูล" ซึ่งไปพ้องกับชาวเกาะทะเลใต้หลายเผ่าพันธุ์ที่มีเสาแกะสลักเหมือนกัน โดยส่วนหัวแกะสลักเป็นรูปสัตว์ที่ดูแล้วเข้มแข็ง เช่น นกอินทรี ควายป่า ปลาฉลาม ส่วนลำต้นแกะเป็นรูปคนแสดงความเป็นมาของเผ่าพันธุ์แต่ละตระกูล (หน้า 83, 85-88, 104-111, 114-119) ผู้เขียนหนังสือ "The Moken Boat" วิเคราะห์ความเชื่อเรื่องเรือของมอแกนได้ 3 ระดับ ดังนี้ (1) ลำเรือ (Monoxylon) หมายถึงร่างกายของคน (2) ท้องเรือ เป็นครัวถือว่าเป็นท้องของคน (3) ส่วนเสาแกะสลัก ทำหน้าที่คล้ายหัวใจ ประสาท และส่วนที่เป็น "ชีวิต" อื่น ๆ รวมกันเป็นจิตวิญญาณ (หน้า 120 และดูขั้นตอนการทำเรือของมอแกนได้ที่หน้า 121-140) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
มอแกนมักเสียชีวิตก่อนอายุ 30 ปี จากโรคที่ได้รับจากการบีบกดของน้ำขณะดำน้ำ (หน้า 21-22, 74) เมื่อมอแกนเจ็บป่วยจะเยียวยาโดยให้โต๊ะหมอหรือ "ออลางปูตี" มาเข้าทรงและเซ่นไหว้ด้วยวิธีต่าง ๆ มอแกนยังใช้ความรู้ทางสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วย แต่ความรู้เหล่านี้ค่อยสาบสูญไปแล้วในปัจจุบัน (หน้า 41) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มอแกนมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองเรียกว่า "ก่าติ๊ง" (ดูภาพได้ที่หน้า 144) บทเพลงของมอแกนสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันกับเรือ ท้องทะเลที่พวกเขาใช้ทำมาหากิน เนื้อหาของเพลงยังบ่งบอกให้เห็นถึงความเคารพยำเกรงเทพเจ้าและวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มอแกนนับถืออีกด้วย (ดูเนื้อเพลงได้ที่หน้า 158) |
|
Folklore |
นิทานของมอแกนที่เป็นเรื่องเล่าสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของมอแกนที่ว่ามีวิญญาณอาศัยอยู่ในต้นไม้ (อ่านนิทาน 2 เรื่องได้ที่หน้า 84-94) และยังมีนิทานอีก 2 เรื่อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตด้านการเลือกคู่ครองของมอแกน (ดูได้ที่หน้า 147-154) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนไทยมักเรียก "ชาวเล" ว่า "ชาวน้ำ" แต่ปัจจุบันนี้ไม่เรียกแล้วเพราะฟังดูเป็นการดูหมิ่น ในขณะที่ชาวตะวันตกจึงขนานนามชาวเลว่า Sea Gypsies (Sea Nomads) เพราะชาวเลมีวิถีชีวิตเร่ร่อนอยู่ในทะเล (หน้า 29-30, 60) เมื่อวิถีชีวิตของมอแกนต้องขึ้นมาอาศัยตามชายฝั่งของเกาะทำให้ต้องกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์สภาพป่าชายฝั่งและน่านน้ำทะเลที่รับผิดชอบให้มีสภาพสมบูรณ์ ทำให้ความเป็นอยู่ของมอแกนต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของเจ้าหน้าที่ (หน้า 61) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
หนังสือเล่มนี้มีภาพประกอบมากมายที่สร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ ของมอแกนมากขึ้น เช่น ภาพหญิงสาวมอแกนที่มีครอบครัวตั้งแต่อายุ 12-13 ปี (หน้า 60) ภาพแสดงขั้นตอนการต่อเรือของมอแกน (หน้า 121-140) และภาพของชายมอแกนที่กำลังเตรียมฉมวกเพื่อจับปลา (หน้า 151) |
|
|