สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ลาหู่, อ่าข่า, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ชาวเขา,โครงการหลวง,การวางแผนครอบครัว, ภาคเหนือ
Author สารณีย์ ไทยานันท์, อุไรวรรณ แสงศร, นิภา ลาชโรจน์, สมเกียรติ จำลอง, อิฐศักดิ์ ศรีสุโข, สุเมธ ทาริยะ
Title บริบททางวัฒนธรรมและการยอมรับการวางแผนครอบครัวของชาวเขาในเขตโครงการหลวง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 88 Year 2543
Source มูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
Abstract

การยอมรับการวางแผนครอบครัวของชาวเขา 8 หมู่บ้านในเขตโครงการหลวง มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับบริบททางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมประเพณีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กล่าวคือ จารีตการสืบสายตระกูล ค่านิยมของชนเผ่าที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ ส่งผลต่อลักษณะโครงสร้างของครัวเรือน วัฒนธรรมแบบเน้นครอบครัวขยายของม้งและอาข่า ซึ่งสืบสายตระกูลฝ่ายบิดาซึ่งให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว การสร้างตระกูลใหญ่หมายถึงสถานภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ดีเป็นการเพิ่มอำนาจให้หัวหน้าครอบครัว ทั้งการให้สิทธิหัวหน้าครอบครัวมีภรรยาน้อยได้จนกว่าจะมีบุตรชาย ส่งผลให้บทบาทและสถานภาพของผู้หญิงในสังคมม้งและอาข่า ขึ้นอยู่กับการให้กำเนิดบุตรชายเพียงเท่านั้น แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป กระแสการพัฒนาให้โอกาสด้านอาชีพกับผู้หญิงในสังคมม้งและอาข่าเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการยอมรับการวางแผนครอบครัวในหมู่ผู้หญิงเพิ่มขึ้น ในขณะที่กระแสการพัฒนาส่งผลให้ หมู่บ้านกะเหรี่ยงและลาหู่ประสบปัญหาเดียวกัน คือสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่จำกัดไม่สามารถรอบรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ ประกอบกับผู้หญิงมีสถานภาพสูงขึ้น จึงเลือกที่จะมีบุตรน้อยลงทำให้การยอมรับการวางแผนครอบครัวค่อนข้างแพร่หลาย

Focus

เน้นศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และจารีตประเพณี ซึ่งส่งผลต่อการยอมรับการวางแผนครอบครัว และการปรับตัวเข้าสู่ระบบทุนนิยมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขา 4 เผ่า ได้แก่ ม้ง (แม้ว) มูเซอ (ลาหู่) อาข่า (อีก้อ) และกะเหรี่ยง ตามชุมชนบนพื้นที่สูงในเขตพื้นที่พัฒนาโครงการหลวง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ศึกษากลุ่มชาวเขาเผ่าอาข่า เผ่ากะเหรี่ยง เผ่ามูเซอ (ลาหู่) มีอยู่ 7 กลุ่มย่อย คือ มูเซอแดง (ลาหู่ญี) มูเซอดำ (ลาหู่นะ) มูเซอแฌเล (ลาหู่นะหมื่อ) มูเซอเหลือง (ลาหู่ญีบาหลา) มูเซอกุ้ย (ลาหู่ญีบาเกียว) มูเซอขาว (ลาหู่ฟู) และมูเซอล่าบ้า เผ่าม้ง (แม้ว) แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ ม้งดำหรือม้งน้ำเงิน ม้งขาว และม้งกัวมะปา (หน้า 13, 14, 16, 17)

Language and Linguistic Affiliations

ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงใช้ภาษากะเหรี่ยง ซึ่งแยกออกเป็นกลุ่มภาษาย่อย ๆ ชาวเขาเผ่าม้ง อยู่ในกลุ่มที่ใช้ภาษาแม้ว-เย้า ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) สำหรับภาษาของอาข่าจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาจีน-ทิเบต-พม่า และภาษามูเซอ (ลาหู่) จัดอยู่ในตระกูลพม่า-ธิเบต ในกลุ่มภาษาจีน-ธิเบต แต่ละภาษายังแยกย่อยตามกลุ่มย่อยเชิงชาติพันธุ์ (หน้า13, 14, 16, 17)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2542 - กันยายน 2543 (หน้า 12)

History of the Group and Community

- เผ่าม้ง ถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณที่ราบสูงไซบีเรีย ทิเบตและมองโกเลีย อพยพเข้าสู่จีนในแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห (แม่น้ำเหลือง) และลุ่มน้ำแยงซีเกียง เมื่อประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาถูกกองทัพจีนรุกราน จนต้องอพยพถอยร่นมาอยู่ในประเทศเวียดนาม ลาวและไทย (หน้า 14-15) - เผ่ามูเซอ (ลาหู่) ถิ่นกำเนิดอยู่ใกล้ทิเบต เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ได้อพยพไปทางตอนใต้แคว้นยูนนานของจีน (หน้า 16) - เผ่าอาข่า (อีก้อ) ถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณต้นน้ำไท้ฮั่วสุยแคว้นทิเบต เมื่อถูกรุกรานก็อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในจีน จนเมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ก็อพยพเข้ามายังพม่า ลาว และไทย (หน้า 17) - เผ่ากะเหรี่ยง (Karen) ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

- ม้งนิยมตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านขนาด 20-35 หลังคาเรือน ในบริเวณที่มีพื้นที่ทำกินอุดมสมบูรณ์ - มูเซอ (ลาหู่) นิยมตั้งบ้านเรือนรวมกันเป็นหมู่บ้าน 20 หลังคาเรือน และไม่นิยมสร้างบ้านแบบถาวรเพราะอพยพอยู่เสมอ การตั้งบ้านเรือนของลาหู่แดง บ้านแม่ปูนล่าง มีบ้านจำนวน 110 หลังคาเรือน นิยมตั้งเรียงรายบนที่ราบเชิงเขาใช้วัสดุถาวรสร้างบ้าน บางหลังยังคงสร้างแบบดั้งเดิมคือ เสาเป็นไม้เนื้อแข็ง ใช้หญ้าคามุงหลังคา พื้นและฝาบ้านเป็นไผ่ บางหลังสร้างแบบบ้านไทยพื้นราบ ลาหู่ดำบ้านหนองวัวแดง ตั้งบ้านเรือนบนที่ราบ ทั้งหมู่บ้านมีจำนวน 51 หลังคาเรือน มีถนนลาดยางถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน มีพื้นที่ไร่และสวนผลไม้โดยรอบ - การตั้งบ้านเรือนของกะเหรี่ยงหมู่บ้านผาหมอน อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นิยมตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่ลาดเชิงเขาหน้าหมู่บ้านเป็นพื้นที่นาแบบขั้นบันได ด้านตะวันออกเป็นหุบเขารูปเกือกม้า มีลำห้วยผาหมอน ลำห้วยเล็ก ลำห้วยอีวอก และลำห้วยแม่กลางป๊าดไหลผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านใช้น้ำจากลำห้วยในการทำนา มีการปลูกสร้างบ้านเรือนซ้อนกันไปมาบนที่ลาดและเนินเขา ส่วนกะเหรี่ยงบ้านแม่สะป๊อกใต้ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ตั้งหมู่บ้านอยู่บนที่ลาดชันริมร่องเขา มีลำห้วยแม่สะป๊อกใต้ไหลมาจากทิศเหนือไปบรรจบกับลำน้ำแม่วางบ้านเรือนปลูกกระจายเป็นหย่อม ๆ มีทางเดินเท้าเชื่อมต่อกัน ติดกับหมู่บ้านมีชุมชนกะเหรี่ยงขนาดเล็ก 6-7 หลังคาเรือน อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือตามร่องเขา 1 กิโลเมตร ส่วนบ้านแม่สะป๊อกใต้เหนือมีขนาด 17-18 หลังคาเรือน ด้านตะวันออกของหมู่บ้านติดกับหมู่บ้านคนพื้นราบ คือ บ้านห้วยจักไคร้ซึ่งชาวบ้านแม่สะป๊อกใต้นิยมมาซื้อของเนื่องจากตั้งอยู่ริมถนนและมีร้านของชำ ชุมชนบ้านแม่สะป๊อกใต้อยู่ในร่องเขาเดียวกัน อาข่าบ้านใหม่สามัคคี อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ตั้งหมู่บ้านบนที่ราบเชิงเขา เป็นชุมชนจีนฮ่อมีอาณาเขตติดต่อชายแดนไทยพม่า ส่วนใหญ่นิยมปลูกบ้านเรือนตามจารีตเดิม คือใช้ ไม้ไผ่และหญ้าคาถึงร้อยละ 70 พื้นที่ทำกินของชาวบ้านเป็นพื้นที่โครงการหลวงจัดสรรให้ครอบครอง 5-10 ไร่ อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านบุกเบิกเอง ซึ่งเคยเป็นเขตป่าเสื่อมโทรม - อาข่าบ้านสะโง้ อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย นิยมตั้งบ้านเรือนบนพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ประกอบด้วยกลุ่มบ้านสะโง้ใหม่ กลุ่มบ้านสะโง้บน กลุ่มบ้านคริสต์เหนือ กลุ่มบ้านคริสต์ใต้ กลุ่มบ้านสะโง้กลาง รวมทั้งหมด 80 หลังคาเรือน บ้านเรือนตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ มีพื้นที่ทำกินอยู่รอบหมู่บ้าน บ้านเรือนส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 75) สร้างตามจารีต ใช้ไม้ไผ่และหญ้าคา (หน้า 15, 16, 19, 25, 40, 48, 53)

Demography

กลุ่มประชากรที่ศึกษาประกอบด้วยชาวเขา 4 เผ่า เผ่าละ 2 หมู่บ้าน ประกอบด้วย ม้ง (แม้ว) กะเหรี่ยง อีก้อ (อาข่า) และมูเซอ (ลาหู่) จากข้อมูลของสถาบันวิจัยชาวเขา (2542) พบว่า - ในประเทศไทย กะเหรี่ยงมีจำนวนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 46.18 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมด กระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ ราชบุรี สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ อุทัยธานี เลย ลำปาง ลำพูน ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี (หน้า 14) - ม้งมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสองรองลงมาคิดเป็นร้อยละ 16.32 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมด กระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ กำแพงเพชร น่าน ตาก พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย เลย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เชียงราย เชียงใหม่ (หน้า 16) - ลาหู่ (มูเซอ) มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสามรองจากกะเหรี่ยงและม้ง กระจายตัวอยู่ใน 7 จังหวัด อาทิ กำแพงเพชร ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง จำนวนประชากรคิดเป็นร้อยละ 11.21 - อาข่ากระจายตัวอยู่ใน 6 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ลำปาง แพร่ เพชรบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 7.46 (หน้า 17) ประชากร ม้ง - ม้งบ้านน้ำซุ้มมี 7 แซ่ตระกูล คือ แซ่ว่าง แซ่โซ้ง แซ่หาง แซ่เฒ่า แซ่ย่าง และแซ่ลี 43 หลังคาเรือน 66 ครอบครัว (หน้า 32) - ม้งน้ำเงินบ้านผาร่มเย็น (บ้านหนองหอยใหม่) ประกอบด้วย ม้ง 5 แซ่ คือ แซ่หาง แซ่โซ้ง แซ่ย่าง แซ่ลี แซ่เฒ่า และบ้านจีนฮ่อ 2 หลังคาเรือน ประชากรรวม 80 หลังคาเรือน 135 ครอบครัว (หน้า 37) ประชากรกะเหรี่ยง - กะเหรี่ยงสะกอ บ้านผาหมอน ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ มีจำนวนประชากร 78 หลังคาเรือน 104 ครอบครัว (หน้า 22) - กะเหรี่ยงบ้านแม่สะป๊อกใต้ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จ.เชียงใหม่ มีจำนวนประชากร 47 หลังคาเรือน 58 ครอบครัว ประกอบด้วยคน 3 ตระกูล แต่งงานข้ามตระกูลจนเป็นเครือญาติกัน (หน้า 27) ประชากรลาหู่ - ประชากรชาวเขาเผ่าลาหู่ (ลาหู่แดงหรือลาหู่ญี) หมู่บ้านแม่ปูนล่าง อำเภอเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย มีจำนวนทั้งสิ้น 110 หลังคาเรือน (ไม่นับรวมชาวบ้านลาหู่ดำที่นับถือคริสต์) มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 554 คน (หน้า 41) - ประชากรชาวเขาเผ่าลาหู่ (ลาหู่ดำหรือลาหู่นะ) หมู่บ้านหนองวัวแดง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย ประชากรจำนวน 22 คน คิดเป็น 51 หลังคาเรือน (หน้า44) ประชากรอาข่า - ประชากรชาวเขาเผ่าอาข่าหมู่บ้านใหม่สามัคคี ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มสกุล 12-17 สกุล กลุ่มใหญ่ ๆ อาทิ มาเยอะ ตาเมียะ หมื่อแล อาซอ เวยหยื่อ อาจอ และจูเปาะ มีจำนวนประชากรทั้งหมด 92 หลังคาเรือน รวมทั้งสิ้น 424 คน (หน้า 50) - ประชากรชาวเขาเผ่าอาข่าหมู่บ้านสะโง้กลางและสะโง้ใหม่ ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย ประกอบด้วยแซ่สกุล 12-15 แซ่สกุล ประกอบด้วยสกุลใหญ่ 6 สกุล คือ สะโง้ มอนะ อาตุ อาโต่ และบ่อแฉ่ ประกอบด้วยประชากร 2 กลุ่มบ้าน 80 หลังคาเรือน (หน้า 55)

Economy

- กะเหรี่ยงมีการจัดแรงงานระดับครัวเรือน และระดับชุมชน กล่าวคือ ในระดับครัวเรือนเป็นการใช้ที่ดินทำกินของครัวเรือนเพื่อเลี้ยงสัตว์ หุงหาอาหาร และปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ในระดับชุมชนมีการแลกเปลี่ยนแรงงาน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยการ สร้างบ้านเรือน ทำไร่ข้าวและปลูกพืชเพื่อยังชีพ กรณีศึกษาตัวอย่างกะเหรี่ยงสะกอ หรือปกากะญอ บ้านผาหมอน อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่มีที่นาดำเกือบทุกหลังคาเรือน พื้นที่ไร่ถูกทางการขอให้ยกเลิก เพื่อรักษาแหล่งต้นน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้านผาหมอนส่วนใหญ่ทำนาขั้นบันได และแบ่งพื้นที่บางส่วนสำหรับปลูกไม้ดอก ผักผลไม้และไม้ยืนต้น ซึ่งสามารถปลูกได้ตลอดปี ขายส่งให้โครงการหลวงเป็นการสร้างรายได้ อาทิ เยอบีรา โบยูคา ผักกาดลุ้ย ผักกาดขาว กะหล่ำปลี พลับ กาแฟ ท้อ พริกยักษ์ นอกจากนี้ ชาวบ้านบางครอบครัวยังเลี้ยงวัวควายไว้ขายอีกด้วย ส่วนกะเหรี่ยงบ้านแม่สะป๊อกใต้ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ มีระบบการผลิตแบบกึ่งยังชีพปลูกข้าว เลี้ยงหมูและไก่ไว้บริโภคภายในครัวเรือน ถือครองพื้นที่ไร่และพื้นที่นา มีการทำนาแบบขั้นบันได อาศัยน้ำฝนและน้ำจากลำห้วยเป็นหลัก ทั้งยังปลูกพืชผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ ส่งให้โครงการหลวงและไว้บริโภคเอง อาทิ มะม่วง มะขาม ลำไย ขนุน นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านที่เป็นแรงงานรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมผลไม้กระป๋องอำเภอสันป่าตอง (หน้า 14, 24-26, 29) - ม้งมีการจัดการที่ดินในระดับครัวเรือน ซึ่งต้องใช้แรงงานเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตด้วยการทำไร่ ซึ่งมีทั้ง ปลูกข้าว ข้าวโพดและฝิ่น ต่อมามีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ คือ ปลูกไม้ผลยืนต้น และปลูกพืชล้มลุกหรือพืชไร่ไม้ยืนต้นเช่น พลับ กาแฟ บ๊วย ท้อ และไม้ผลเมืองหนาว รวมถึงไม้ล้มลุก เช่น กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดหอม กระเทียมและพืชเมืองหนาว จากกรณีศึกษาชาวเขาเผ่าม้งบ้านหนองหอยใหม่ ชาวบ้านปลูกข้าวไว้บริโภค ปลูกข้าวโพดไว้เลี้ยงสัตว์ และปลูกพืชผักผลไม้และไม้ยืนต้น อาทิ ลิ้นจี่ แครอท หอมญี่ปุ่น ผักสลัดแก้ว กะหล่ำปลี ผักกาด หางหงส์ พลาสลี ผักปวยเล้ง ผักกาดลุ้ย ไว้สร้างรายได้หมุนเวียนตลอดปี ทำให้มีฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับม้งบ้านน้ำซุ้ม อำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านน้ำซุ้มจะปลูกข้าวและเลี้ยงหมูและไก่ไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน ทั้งยังปลูกผักและไม้ผลยืนต้นขายสร้างรายได้ บางหลังคาเรือนยังประกอบอาชีพรับจ้างนอกหมู่บ้าน ทั้งในตัวเมืองและชานเมืองเป็นการหารายได้เสริม พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี มะเขือเทศ ไม้ผลยืนต้นจำพวกลิ้นจี่มีปลูกบ้างแต่ไม่ให้ผลผลิต และทำรายได้ดีเท่ากล้วย (หน้า 16, 34, 39) - มูเซอหรือลาหู่มีการจัดการที่ดินและแรงงานระดับครัวเรือน มีระบบการเกษตรแบบทำไร่ ปลูกฝิ่น ปลูกข้าวไร่และข้าวโพดเสริมด้วยการหาของป่า เลี้ยงสัตว์และค้าขาย ในกรณีศึกษาหมู่บ้านลาหู่ (ลาหู่ญี) บ้านแม่ปูนล่าง อำเภอเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง มีการปลูกข้าวพอบริโภคได้ตลอดปีถึงร้อยละ 70 โดยปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด ข้าวนาดำ ถั่วแดงและขิงซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ ส่วนชาวเขาเผ่าลาหู่ดำ (ลาหู่นะ) บ้านหนองวัวแดง อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ มีการปลูกข้าวไร่ ถั่วลิสง ข้าวโพด ขิง ฟักทอง อะโวคาโด มะม่วง แตงกวา ชาวบ้านปลูกข้าวได้ไม่พอบริโภคทุกหลังคาเรือน ทำให้ต้องซื้อข้าวมาบริโภค ปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นขาย หรือทำงานรับจ้างเพื่อซื้อข้าวบริโภค (หน้า 16-17, 43, 47) - กรณีศึกษาหมู่บ้านอาข่าบ้านใหม่สามัคคี อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกอบอาชีพทำไร่เพื่อยังชีพ ปลูกข้าวไร่ไว้บริโภคในครอบครัว รวมถึงปลูกข้าวโพดและเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านร้อยละ 80 มีข้าวบริโภคตลอดทั้งปี พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ฟักเขียว ข้าวโพด แตงกวา ฟักทอง ถั่วลิสง ขิง ส่วนคาดิโอรัสและเสาวรส ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกจากโครงการหลวง ซึ่งทำรายได้ให้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีมะม่วงแก้ว ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจกันทุกครอบครัวสำหรับสัตว์เลี้ยงมีทั้งหมูและไก่พันธุ์พื้นเมือง มีทั้งที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารและเลี้ยงไว้ขาย หลังฤดูทำไร่ ชาวบ้านจะออกไปเป็นแรงงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน อาทิ เป็นแม่บ้าน ทำงานตามร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน รับจ้างทำสวน ส่วนอาข่าบ้านสะโง้ อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาดำ ไร่ข้าว ผลผลิตร้อยละ 75 พอบริโภคตลอดทั้งปี พืชเศรษฐกิจที่เสริมรายได้ อาทิ ถั่วแดง มันสำปะหลัง ข้าวโพด ถั่วลิสง ไม้ดอก อาทิ กุหลาบ คาโมมาย เบญจมาศ คาดิโอลัส หน้าวัว พืชผัก อาทิ กะหล่ำปลี ทั้งยังเข้าเป็นสมาชิกโครงการหลวง นอกจากนี้ยังเลี้ยงหมูและไก่ไว้เป็นอาหารและใช้ประกอบพิธีกรรม อีกทั้งปลูกไม้ยืนต้นจำพวก ส้มโอ มะม่วง ลิ้นจี่ (หน้า 51-52, 57-58) การปรับตัวทางเศรษฐกิจของชุมชนบนพื้นที่สูง จากกรณีศึกษาหมู่บ้านชาวเขา เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มลาหู่เป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาการถือครองที่ดินมากที่สุด ทำให้มีการอพยพแรงงานมากกว่ากะเหรี่ยงและม้ง ในขณะที่อาข่าและลาหู่เป็นแรงงานรับจ้างกันมาก กะเหรี่ยงมีการปรับตัวช้ากว่าชาวเขาเผ่าอื่น เพราะเป็นกลุ่มที่ครอบครองพื้นที่ทำกินค่อนข้างมั่นคง และมีพื้นที่เพียงพอ กลุ่มม้งเลิกปลูกฝิ่นแล้วหันมาปลูกพืชเชิงพาณิชย์ส่งผลผลิตสู่กลไกตลาด ทั้งยังขายสินค้าหัตถกรรมชาวเขา อาชีพหลักส่วนใหญ่ของชาวเขาทั้ง 8 หมู่บ้านคือ การเกษตรเชิงพาณิชย์ที่พึ่งพาปัจจัยการผลิต เทคนิคการเพาะปลูกและกลไกการตลาดแทบทั้งสิ้น รายได้นอกจากใช้จ่ายเพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันแล้ว ยังใช้เป็นค่าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรสำหรับฤดูเพาะปลูก เมื่อชุมชนบนพื้นที่สูงเริ่มหันไปปลูกพืชเขิงพาณิชย์หรือใช้ระบบปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพิ่มขึ้น ความหลากหลายของผลผลิตลดลง ก็จำเป็นต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจภายนอกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย (หน้า 76-78)

Social Organization

- ครอบครัวม้งเป็นครอบครัวขยาย มีความสัมพันธ์กันแบบเครือญาติ สืบสายโลหิตฝ่ายบิดา แซ่ตระกูลที่มีจำนวนสมาชิกมากจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน การเพิ่มจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและแซ่ตระกูลถือเป็นการเพิ่มสถานภาพและอำนาจให้ผู้นำแซ่ตระกูล ห้ามการแต่งงานระหว่างเครือญาติสายตระกูล มีการจัดระเบียบสังคมภายใต้ระบบเครือญาติ กรณีตัวอย่างกลุ่มสังคมในหมู่บ้านม้งประกอบด้วย กลุ่มสตรีที่แต่งงานแล้ว และเยาวชนหนุ่มสาวรวมกันหลายหมู่บ้านโดยใช้ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านห้วยกว้างเป็นศูนย์กลาง เป็นการรวมกลุ่มตามรูปแบบแต่ยังขาดกิจกรรมเป็นรูปธรรม (หน้า 15, 32) ม้งสืบสายสกุลฝ่ายบิดา กล่าวคือ การแต่งงานเป็นการแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ครอบครัวม้งอยู่กันเป็นครอบครัวขยายมากกว่าครอบครัวเดี่ยว ความสัมพันธ์ระดับครัวเรือนกลมกลืนกับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ม้งมีลักษณะการพึ่งพาตัวเองสูงให้ความสำคัญกับบุตรชายในฐานะผู้สืบทอดสายตระกูล และเป็นหัวหน้าครัวเรือน เลี้ยงดูพ่อแม่ทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว การมีบุตรหลานถือเป็นความมั่นคงสำหรับม้ง บุตรชายจึงมีสถานภาพสูงกว่าบุตรสาว เพราะบุตรสาวต้องแต่งงานออกไปเป็นคนตระกูลอื่น ไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ตลอดชีวิต สถานภาพฝ่ายหญิงจะดีขึ้นเมื่อได้ให้กำเนิดบุตรชายเท่านั้น หากครอบครัวใดไม่มีบุตรชายสืบสกุล ถือว่าไม่มีบุญ ไม่มีเกียรติยศ-ศักดิ์ศรี แม้จะมีฐานะก็ตาม หากภรรยาไม่มีบุตรชาย สามีหรือหัวหน้าครอบครัวม้งอาจใช้เป็นข้ออ้างให้สามารถมีเมียน้อยได้ (หน้า 62-63) - ครอบครัวมูเซอหรือลาหู่สืบสายโลหิตฝ่ายมารดา มีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย นิยมแต่งงานเมื่ออายุน้อย เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องไปเป็นแรงงานครัวเรือนฝ่ายหญิง 3-4 ปีก่อนแยกครัวเรือน (หน้า 16) ลาหู่จะแต่งงานเมื่ออายุ 14 ปีขึ้นไป (หน้า 60) ลาหู่มีค่านิยมในการเลือกหญิงสาวที่ขยัน เป็นแม่บ้านแม่เรือนมากกว่าให้ความสำคัญกับสาวพรหมจารี การแต่งงานตามจารีตแต่งลูกเขยเข้าบ้าน แต่หากบ้านใดมีลูกชายคนเดียวก็อาจขอฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านฝ่ายชาย พ่อแม่มักให้อำนาจลูกชายสูงกว่าลูกเขย เพราะถือว่าลูกชายต้องดูแลพ่อแม่ตลอดชีวิต ในขณะที่ลูกเขยอยู่เพียงชั่วคราว มีการแบ่งเบาหน้าที่และแลกเปลี่ยนแรงงานกันภายในหมู่เครือญาติ สำหรับลาหู่แล้ว การหย่าร้างไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายทำให้ชนเผ่าลาหู่มีอัตราการหย่าร้างสูงกว่าชนเผ่าอื่น เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งงานว่า ชายจะมีภรรยาพร้อมกันหลายคนไม่ได้ ชายลาหู่ต้องหย่าขาดจากภรรยาเดิมก่อนแต่งงานใหม่ ส่วนหญิงหากเห็นว่าสามีประพฤติตัวไม่ดีก็สามารถหย่าได้ โดยมีการเสียค่าปรับไหมตามจำนวนที่กำหนด (หน้า 61-62) - ครอบครัวอาข่า (อีก้อ) สืบสายสกุลฝ่ายบิดา ชายอาข่ามีหน้าที่สืบทอดจารีตประเพณี ทั้งยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับสกุลของตนเองและของภรรยาเป็นอย่างดี ห้ามญาติพี่น้องแต่งงานกัน ก่อนแต่งงานจึงมีการตรวจสอบสายสกุลให้แน่ชัดก่อนว่าไม่ได้เป็นพี่น้องกันจึงแต่งงานกันได้ สำหรับกลุ่มสังคมในชุมชนหมู่บ้านอาข่าประกอบด้วย กลุ่มหนุ่มสาวและกลุ่มแม่บ้านเป็นตัวแทนชุมชนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ (หน้า 16, 18, 21) ครอบครัวอาข่าจะมีอิสรเสรีในการเลือกคู่ครอง ไม่มีการคลุมถุงชนการได้เสียก่อนแต่งหรือถูกเนื้อต้องตัวกันไม่ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่งงานกันตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เมื่อมีการแต่งภรรยาเข้าบ้านก็จะมานับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่จะมีการแบ่งหน้าที่และกิจกรรมในครอบครัวอย่างชัดเจน บุตรชายคนโตมักทำหน้าที่ผู้สืบทอดตระกูล เนื่องจากอาข่าเป็นชนเผ่าที่ให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว การแต่งงานมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือต้องการมีลูกสืบสกุล หากแต่งงานแล้วมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย ต้องอนุญาตให้สามีมีภรรยาได้อีกโดยไม่ต้องหย่าจนกว่าจะได้ลูกชายสืบสกุล ครอบครัวอาข่าให้ความสำคัญกับปริมาณแรงงานในครอบครัว ซึ่งส่งผลต่อการเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจในหมู่บ้านตามไปด้วย (หน้า 63-65) - กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มที่สืบสายสกุลฝ่ายมารดา กล่าวคือ ฝ่ายชายแต่งงานออกเรือนไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง และถือผีตามมารดา การแต่งงานเป็นการแต่งลูกเขยเข้าบ้าน แต่กะเหรี่ยงจะแต่งงานช้ากว่าลาหู่ กะเหรี่ยงไม่นิยมแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย จะแต่งงานเมื่ออายุประมาณ 17 ปีขึ้นไป ลูกเขยเผ่ากะเหรี่ยงจะเป็นแรงงานให้ครอบครัวฝ่ายหญิง 1 ฤดูทำไร่ก่อนแยกเรือนออกไป และนิยมใช้ชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไปตลอดชีวิตจนกว่าจะตายจากกัน เมื่อแต่งงานแล้วจะปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ เนื่องจากอัตราการตายในวัยเด็กสูง มีข้อห้ามเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน และห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงระหว่างที่มีพิธีกรรมในชุมชน ตามความเชื่อของกะเหรี่ยง ผู้ที่แต่งงานแล้วไม่มีบุตรถือเป็นเรื่องผิดปกติ ทั้งยังมีความเกรงกลัวต่อบาปหากปิดกั้นคนไม่ให้มาเกิด คนที่ขาดลูกจึงเป็นเหมือนเป็นผู้ต้องคำสาป แต่ในแง่แรงงานการผลิตแล้ว การมีลูกมากหรือน้อยไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เนื่องจากกะเหรี่ยงมีการจัดการแลกเปลี่ยนแรงงานในระดับชุมชน (หน้า 60-61) และกลุ่มสังคมในหมู่บ้านกะเหรี่ยงประกอบด้วย กลุ่มแม่บ้านและกลุ่มหนุ่มสาวร่วมกันทำกิจกรรมเฉพาะกิจชั่วคราวของหมู่บ้าน ทั้งยังมีบทบาทเป็นตัวแทนหมู่บ้าน (หน้า 13-14, 27)

Political Organization

- ชุมชนม้งบ้านน้ำซุ้ม อำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ เป็นชุมชนที่ค่อนข้างเล็ก ประกอบด้วยสมาชิก 7 กลุ่มแซ่ตระกูล มีการจัดการปกครองชุมชนของตนเอง กล่าวคือ หัวหน้าทุกครัวเรือนร่วมกันบริหารชุมชน ไม่มีผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ เน้นความสัมพันธ์ คนร่วมชุมชนมากกว่าเน้นกลุ่มเครือญาติ ชุมชนม้งบ้านหนองหอยใหม่ มีการจัดรูปแบบการปกครองตามราชการกำหนด มีผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน 9 คนแต่ยังคงรูปแบบการปกครองตามจารีต ซึ่งมีหัวหน้ากลุ่มแซ่ปกครองไว้ด้วย (หน้า 31-32, 37) - ชุมชนอาข่าบ้านใหม่สามัคคี อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นชุมชนจีนฮ่อ การปกครองใช้ระบบผู้นำชุมชนเลือกตั้งโดยชาวบ้าน เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการ การปกครองจึงขึ้นอยู่กับหมู่บ้านอรุโณทัย ผู้นำหมู่บ้านจะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นที่ปรึกษา ผู้นำหมู่บ้านจะอยู่ในตำแหน่งตลอดไป แต่หากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ชาวบ้านสามารถถอดถอนจากตำแหน่งได้ ชุมชนอาข่าบ้านสะโง้ อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย มีผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ทางการแต่งตั้ง แต่บางบ้านที่นับถือจารีตเดิมก็มีการปกครองตามประเพณีแบบดั้งเดิมด้วย คือ มีคณะผู้ปกครองที่ชาวบ้านให้ความนับถือในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ อาทิ หมอผีใหญ่ (พีมะ) หมอผีเล็ก (ผียะ) หัวหน้าพิธีกรรม (เหยื่อมะ) และคณะผู้อาวุโสปกครองชุมชนเหมือนเดิม (หน้า 49, 55) - ชุมชนลาหู่แดงบ้านแม่ปูนล่าง อ.เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย มีผู้ใหญ่บ้านคือ นายจะแฮ ภัทรเสถียรชัย ได้รับการแต่งตั้งจากทางการ นอกจากนี้ ยังมีผู้นำทางความเชื่อดั้งเดิม คือ ปู่จองเล่าเอ๋อ เป็นผู้ประกอบพิธีที่ชาวบ้านศรัทธา สำหรับชุมชนลาหู่ดำบ้านหนองวัวแดง มีผู้นำหมู่บ้านคือ นายเล๋าต้า จะซา และผู้ประกอบศาสนพิธีของศาสนาคริสต์คือ นายบันเทิง จะฟู่ ซึ่งเป็นน้องชายผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 41, 44)

Belief System

- ความเชื่อของอาข่า อาข่านับถือเทพและภูตผีปีศาจ เทพ "อะพือหมิแย" ของอาข่าเป็นเทวดาแห่งสวรรค์ มีหน้าที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และ "เทพอะพิ๊เอ่อลอง" ซึ่งได้รับบัญชาจากพี่ชายให้ดูแลสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงเทพแห่งลม (อื่มซา) เทพแห่งฝน (อึ่มแยะ) และเทพแห่งแสงสว่าง (อะกือ) เป็นผู้ช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้อยู่ดีมีสุข มีการเซ่นบรวงสรวงเทพเจ้าทุกปี นอกจากนี้ยังมีการนับถือภูตผีต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย แต่ผีที่สำคัญที่สุดคือ ผีบรรพบุรุษ (อะพีเปาะเลาะ) ซึ่งมีการตั้งหิ้งไว้บูชาที่เสาเอกทุกครัวเรือน มีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษปีละ 9 ครั้ง อาข่าในประเทศไทยจะรับลัทธิปฏิบัติของศาสนาพุทธไว้ด้วย (หน้า 18) สำหรับชาวเขาเผ่าอาข่า (กลุ่มย่อยอุโลอ่าข่า) บ้านสะโง้กลางและบ้านสะโง้ใหม่ อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย นับถือศาสนาคริสต์ 3 กลุ่มบ้านคือ บ้านสะโง้คริสต์ บ้านสะโง้คริสต์ใต้ และบ้านสะโง้กลาง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบ้านที่นับถือผีตามจารีตเดิม 2 กลุ่มบ้าน คือ บ้านสะโง้ใหม่ และบ้านสะโง้บนในหมู่บ้านมีวัดพุทธหนึ่งแห่งที่บ้านสะโง้ใหม่ และโบสถ์คริสต์ 3 แห่ง ส่วนอาข่าบ้านใหม่สามัคคี อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ นับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมด มีเพียง 1 หลังคาเรือนที่เป็นคนไทยพื้นราบที่นับถือศาสนาพุทธ (หน้า 51, 55-57) - ความเชื่อของม้ง ม้งเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีบรรพบุรุษผีอื่น ๆ และขวัญ จากกรณีศึกษาม้งน้ำเงินบ้านหนองหอยใหม่ อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ พบว่าม้งส่วนใหญ่นับถือศาสนาดั้งเดิม และศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ ในขณะที่บางส่วนนับถือศาสนาพุทธ มีการส่งบุตรหลานไปบวชเป็นสามเณร ส่วนม้งบ้านน้ำซุ้มแทบทุกหลังคาเรือน นับถือศาสนาตามคติดั้งเดิมตามอย่างบรรพบุรุษ (หน้า 15, 33, 38) - ความเชื่อของลาหู่ ลาหู่หรือมูเซอมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าผู้สร้างโลกและมนุษย์ อีกทั้งยังมีผู้นำทางความเชื่อที่สำคัญคือ "ตูโบ" หรือ "ปู่จอง" และยังมีหมอผีประจำหมู่บ้าน ลาหู่ดำบ้านหนองวัวแดง อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์ ชาวบ้านจะเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์และคืนวันพุธ มีประเพณีพิธีกรรมสำคัญต่างๆ อาทิพิธีกินวอ (กินเลี้ยงปีใหม่) จัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมหรือเดือนมกราคมของทุกๆ ปี เพื่อขอบคุณพระเจ้า มีการเข้าโบสถ์ทำบุญตำข้าวปุก ฆ่าหมู เต้นรำ กินเลี้ยง เล่นลูกสะบ้า ดำหัวญาติผู้ใหญ่ เป็นต้น พิธีกินข้าวใหม่ที่จัดขึ้นเพื่อขออนุญาตเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนของทุกปี นอกจากนี้ยังมีพิธีทางศาสนาคริสต์ในวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์ (หน้า 16, 45-46) - ความเชื่อของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเชื่อในเรื่องขวัญและเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ มีการผสมกลมกลืนระหว่างความเชื่อแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ เมื่อรับเอาศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์เข้าไว้ กรณีศึกษาชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (ปกากะญอ) บ้านผาหมอน มีอาศรมพระธรรมจาริกและโบสถ์ของศาสนาคริสต์ทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ ชาวบ้านบ้านผาหมอนร้อยละ 60 นับถือพุทธ ร้อยละ 40 นับถือคริสต์ กลุ่มที่นับถือพุทธยังคงทำพิธีตามจารีตเดิมอยู่ เช่น พิธีเพาะปลูก พิธีกรรมระดับชุมชน ส่วนกะเหรี่ยงบ้านแม่สะป๊อกใต้ มีการนับถือผีตามคติดั้งเดิม แต่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีหลักฐานว่าชาวบ้านได้พร้อมใจกันให้พระภิกษุเปลี่ยนจากศาสนาหรือความเชื่อเดิมที่นับถือผีมานับถือพระพุทธศาสนา (หน้า 13, 21, 23,28)

Education and Socialization

- การศึกษาของกะเหรี่ยงบ้านผาหมอน ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรศาสนาคริสต์ให้ส่งบุตรหลาน ลงมาเรียนหนังสือที่อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ ประชากรที่ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 163 คน ในขณะที่ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือใกล้เคียงกันมีจำนวน 162 คน ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (สะกอ) บ้านแม่สะป๊อกใต้ ต.แม่วิน อ. แม่วาง จ.เชียงใหม่ เด็กในหมู่บ้านต้องเดินทางไปเรียนที่หมู่บ้านอื่นเพราะไม่มีโรงเรียนระดับประถมศึกษา จำนวนประชากรที่ไม่ได้เรียนหนังสือ 123 คน เด็กเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษานิยมไปเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอแม่วางซึ่งห่างจากหมู่บ้าน 15 กิโลเมตร (หน้า 24, 29) - หมู่บ้านอาข่าบ้านใหม่สามัคคี ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ไม่มีโรงเรียนในหมู่บ้าน เด็กต้องเดินทางไปโรงเรียนห่างจากหมู่บ้าน 2 กิโลเมตร การศึกษาขั้นต่ำ เด็กอาข่าจะจบชั้นประถมปีที่ 6 แต่ก็มีเป็นส่วนน้อย จำนวนอาข่าที่ไม่ได้เรียนหนังสือสูงที่สุดคือ 224 คน พ่อแม่มักมีข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถส่งลูกเรียนต่อระดับสูงได้ (หน้า 52-53) อาข่าบ้านสะโง้มีโรงเรียนประถมศึกษามานาน 30 ปีแล้ว เด็กทุกคนในหมู่บ้านจบการศึกษาสูงสุดระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมที่โรงเรียนบ้านสบรวก มีไม่มากนักที่ผู้ปกครองส่งไปเรียนที่อำเภอแม่จัน ประชากรส่วนใหญ่ยังคงไม่ได้เรียนหนังสือถึง 127 คน (หน้า 58-59) - หมู่บ้านม้งบ้านน้ำซุ้ม ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่มีโรงเรียนประถมศึกษา เด็กม้งต้องเดินทางไปเรียนที่หมู่บ้านใกล้เคียง ในอดีต ชาวบ้านต้องส่งลูกหลานไปเรียนยังจังหวัดอื่นเพื่อให้จบชั้นมัธยมศึกษา เด็กจำนวนน้อยในหมู่บ้านที่มีโอกาสเรียน ต่อในระดับสูงหลังจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว แต่ก็ยังมีเด็กถึงร้อยละ 52.74 ที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ (หน้า 34-35) หมู่บ้านม้งบ้านหนองหอยใหม่ (ผาร่มเย็น) ไม่มีโรงเรียนในหมู่บ้าน แต่เด็กในหมู่บ้านก็มีโอกาสศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา และมีจำนวนหนึ่งที่จบระดับมหาวิทยาลัย ประชากรส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาจนจบชั้นประถมปีที่ 6 คิดเป็นร้อยละ 34.63 อย่างไรดี มีผู้ที่ไม่ได้เรียนหนังสือถึงร้อยละ 43.25 (หน้า 39-40)

Health and Medicine

การวางแผนครอบครัวในหมู่บ้านชาวเขา ได้รับการสนับสนุนจากกรมประชาสงเคราะห์ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2519 จากกรณีศึกษาใน 8 หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล เป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการแนะนำให้ความรู้เรื่องการวางแผนครอบครัวในหมู่บ้าน รวมถึงการให้บริการทำหมัน ฉีดยาคุมกำเนิด แจกยาและให้คำปรึกษาหารือ รวมถึงการทำหมันถาวรหลังคลอดบุตรแล้ว อาทิ บ้านสะโง้ เมื่อมีชาวบ้านไปใช้บริการที่สถานีอนามัย หรือไปคลอดบุตร เจ้าหน้าที่อนามัยก็ให้ความรู้เรื่องการวางแผนครอบครัว แต่ชาวบ้านรู้จักการคุมกำเนิดเมื่อพนักงานสาธารณสุขชุมชนเข้ามาให้ความรู้และนำยาเม็ดคุมกำเนิดมาให้แม่บ้าน พร้อมติดตามผลทุกเดือน หมู่บ้านน้ำซุ้ม เจ้าหน้าที่อนามัยจากตำบลอื่นมาให้ความรู้พร้อมชักชวนให้ผู้สนใจรับการคุมกำเนิด ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลได้ขึ้นมาให้บริการฉีดยาคุมกำเนิดให้ห่างกันครั้งละ 2 ปี สาเหตุที่ชาวบ้านนิยมคุมกำเนิดกันมาก เนื่องจากเห็นว่ามีลูกมากทำให้ยากจน เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูมาก บางหมู่บ้านก็มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เดินทางมาให้บริการนอกสถานที่ พร้อมประชาสัมพันธ์และบริการทำหมันฟรี ฉีดยาคุมกำเนิดและให้คำแนะนำในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด อาทิ หมู่บ้านหนองวัวแดงมีคณะแพทย์เดินทางมาให้บริการทุก 3 เดือน บ้านใหม่สามัคคีมีหน่วยเคลื่อนที่จากโรงพยาบาลแม่และเด็กออกมาให้ความรู้ จนชาวบ้านเกิดการบอกต่อ ๆ กัน แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ยอมทำหมันถาวร เพียงแต่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด (หน้า 67-71) อัตราการยอมรับวิธีการทำหมัน การฉีดยาคุมกำเนิดในหญิงได้รับการยอมรับสูงสุด การกินยาเม็ดได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง หมู่บ้านที่มีการคุมกำเนิดถาวรสูงสุด คือ บ้านใหม่สามัคคี เนื่องจากประชากรวัยแรงงานออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันมาก การวางแผนครอบครัวตามจารีต เป็นความต้องการไม่ให้มีลูกติดกันเกินไปนัก เพื่อให้แม่มีระยะพักท้องและลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการตระหนักในการวางแผนครอบครัว คือ ความจำกัดของทรัพยากรและที่ดินทำกิน การติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกทำให้เกิดการพึ่งพาในด้านต่าง ๆ จากภายนอกมากขึ้น เช่น ปัจจัยการผลิต กลไกการตลาด เทคนิคการเพาะปลูก นอกจากนี้ การที่ชุมชนบนพื้นที่สูงปรับตัวตามการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ระบบการปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือเชิงพาณิชย์เพื่อขายหารายได้ ตามกลไกการตลาดภายใต้การสนับสนุนของรัฐ ทำให้เกิดการขยายพื้นที่เพาะปลูกซึ่งส่งผลต่อพื้นที่ป่า ทั้งยังเข้ามาแทนที่การเกษตรผสมผสานแบบเดิมที่เน้นความหลากหลายและความมั่นคงภายในครอบครัวเป็นหลัก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้หันมาพิจารณาจำนวนสมาชิกในครอบครัว ครัวเรือนและชุมชนว่ามีความเหมาะสมต่อรูปแบบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด (หน้า 72-73, 78) - ม้งมักไม่ยอมรับการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะความคิดที่ว่า การทำหมันถาวรเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรี ในขณะที่หญิงยอมรับการทำหมันถาวรโดยให้เหตุผลว่าเพราะมีบุตรพอแล้ว เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ม้งบ้านน้ำซุ้มยอมรับลูกสาวมาก กว่าม้งบ้านหนองหอยใหม่ และเห็นว่าลูกชายหรือลูกสาวก็สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ไม่ต่างกัน ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทในการหารายได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งการผลิตสินค้าหัตถกรรมส่งขายในตัวเมืองและสถานที่ท่องเที่ยว ในขณะที่ผู้ชายไม่ค่อยมีงานทำเท่าผู้หญิง ทำให้ค่านิยมเกี่ยวกับการมีบุตรชายของม้งเปลี่ยนแปลงไป การมีลูกสาวได้รับการยอมรับและเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น - ในขณะที่กะเหรี่ยงบ้านผาหมอน ชายจะยอมรับการทำหมันถาวรสูงกว่าหมู่บ้านอื่น เนื่องจากสภาพแวดล้อมและระบบที่ดินทำกินและทรัพยากรมีจำกัด เช่นเดียวกับกะเหรี่ยงบ้านแม่สะป๊อกใต้ และหมู่บ้านลาหู่ซึ่งประสบปัญหาเดียวกัน สภาพแวดล้อมที่จำกัดไม่สามารถรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ ประกอบกับผู้หญิงมีสถานภาพสูงขึ้น จึงเลือกที่จะมีบุตรน้อยลง ทำให้การยอมรับการวางแผนครอบครัวค่อนข้างแพร่หลาย (หน้า 79-80) อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ส่งผลให้ชาวเขาไม่ยอมรับการวางแผนครอบครัว อาทิ ชาวเขายังต้องการมีบุตรอยู่ เมื่อบุตรมีจำนวนครบตามต้องการจึงค่อยคุมกำเนิด หรืออาจเกิดจากปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ผลข้างเคียงจากการคุมกำเนิดในหญิง เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้ท้อง เป็นสิว เป็นต้น นอกจากนี้ ม้งยังเชื่อกันว่า หากหญิงทำหมันถาวรแบบเปียกจะมีความต้องการทางเพศสูง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการคบชู้ และการทำหมันถาวรหญิงทำให้ไม่สามารถทำงานหนักได้เหมือนก่อน เหตุผลเหล่านี้เกิดจากความกลัวและการได้รับความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวไม่ชัดเจน เป็นการบอกเล่าปากต่อปากจนทำให้ชาวเขาไม่เข้าใจข้อเท็จจริง (หน้า 83)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางประการของชาวเขา อาทิ การยอมรับการวางแผนครอบครัว การเคลื่อนย้ายแรงงานและรูปแบบการผลิต เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่เริ่มจำกัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการแย่งชิงซึ่งอาจนำความล่มสลายทางสังคมและวัฒนธรรม โดยการปรับค่านิยมให้สอดคล้องกับกระแสการพัฒนาในแนวทางของทุนนิยมเข้าสู่ชุมชน อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าชาวเขาในหมู่บ้านตัวอย่างกรณีศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ด้านชาติพันธุ์ เพียงแต่มีการปรับค่านิยมตามจารีตเดิมให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น การที่ชาวเขายอมรับต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากภายนอก จะผ่านการกลั่นกรองอย่างละเอียดรอบคอบก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบภายหลัง เพราะทิศทางการพัฒนาที่ไม่สมดุลส่งผลต่อชุมชนในภาคเกษตร รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและจารีตประเพณี สำหรับหมู่บ้านทั้ง 8 หมู่บ้านเองก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว ครอบครัวที่สามารถปรับตัวได้คือ ครอบครัวที่ครอบครองที่ดินทำกิน มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดีและมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ครอบครัวที่ต้องปรับตัวเนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูมาก ส่งผลให้ฐานะยากจน ซึ่งต่างไปจากสังคมการผลิตแบบดั้งเดิม ที่เน้นการเพิ่มจำนวนสมาชิกมาก เพื่อเป็นแรงงานการผลิต เห็นได้จากสังคมและวัฒนธรรมแบบเน้นครอบครัวขยายของม้งและอาข่า นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทำให้ค่านิยมการมีสมาชิกในครอบครัวน้อยแล้วสามารถส่งเสียให้ได้รับการศึกษาสูงมีการงานที่ดี เป็นค่านิยมที่ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น ชุมชนม้งซึ่งสืบสายสกุลฝ่ายบิดาและเคยให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ก็เริ่มหันมายอมรับบุตรสาวมากขึ้นแล้วส่งให้เรียนสูง ๆ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพที่ไม่ได้ผูกติดกับการเกษตร ทำให้หญิงมีบทบาทด้านอาชีพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการยอมรับการวางแผนครอบครัวมากขึ้น (หน้า 82-85)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภูมิแสดงระยะเวลาการทำวิจัย (หน้า 12) ตารางแสดงการถือครองที่ดินของชาวบ้านผาหมอน (หน้า 20) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านผาหมอนจำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 22) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรบ้านผาหมอน (หน้า 24) ตารางแสดงการถือครองที่ดินของชาวบ้านแม่สะป๊อกใต้ (หน้า 26) ตารางแสดงจำนวนประชากรจำแนกตามเพศและอายุ (หน้า 27) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรบ้านแม่สะป๊อกใต้ (หน้า 29) ตารางแสดงการถือครองที่ดินของชาวบ้านน้ำซุ้ม (หน้า 31) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านน้ำซุ้มจำแนกตามเพศและช่วงอายุ (หน้า 33) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรในหมู่บ้านน้ำซุ้ม (หน้า 35) ตารางแสดงการถือครองที่ดินของชาวบ้านหนองหอยใหม่ (หน้า 36) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านหนองหอยใหม่จำแนกตามเพศและช่วงอายุ (หน้า 38) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรบ้านหนองหอยใหม่ (หน้า 40) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านแม่ปูนล่างจำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 41) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรหมู่บ้านแม่ปูนล่าง (หน้า 43) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านหนองวัวแดงจำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 45) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประกรหมู่บ้านหนองวัวแดง (หน้า 47) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านใหม่สามัคคีจำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 50) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรบ้านใหม่สามัคคี (หน้า 53) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านสะโง้จำแนกตามอายุและเพศ (หน้า 55) ตารางแสดงระดับการศึกษาของประชากรบ้านสะโง้ (หน้า 59) ตารางแสดงวิธีการวางแผนครอบครัวของชาวเขา (หน้า 72) ตารางแสดงสิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านกรณีศึกษา (หน้า 75) ตารางแสดงอาชีพหลักของประชากร (หน้า 76) อาชีพของประชากรในหมู่บ้าน (หน้า 77) ตารางแสดงวิธีการวางแผนครอบครัว (หน้า 78) ตารางแสดงเหตุผลการยอมรับการวางแผนครอบครัวของหมู่บ้านกรณีศึกษา (หน้า 79) ตารางแสดงระดับการศึกษาของหมู่บ้านกรณีศึกษา (หน้า 81) ตารางแสดงเหตุผลในการไม่ยอมรับการวางแผนครอบครัว (หน้า 82)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ลาหู่, อ่าข่า, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ชาวเขา, โครงการหลวง, การวางแผนครอบครัว, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง