สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,ชุมชน,ดนตรี,เชียงราย
Author ศรัณย์ นักรบ
Title ดนตรีชาวเขาเผ่าเย้า กรณีศึกษาหมู่บ้านผาเดื่อ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
 
Total Pages 192 Year 2541
Source หลักสูตรปริญญาศิลปกรรมมหาบัณฑิต วิชาเอกมานุษยดุริยางควิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

สภาพทั่วไปของชุมชน ปัจจุบันเป็นชุมชนใหญ่มีความเจริญด้านต่างๆ มาก เนื่องจากหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้การช่วยเหลือ พัฒนาหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ส่วนด้านวัฒนธรรมดนตรี มีการสืบทอดมาช้านานไม่สามารถทราบได้ว่ามีขึ้นในสมัยใด นอกจากตำนานที่เล่าต่อกันมา ดนตรีเป็นลักษณะการถ่ายทอดด้วยวิธีปากเปล่า เครื่องดนตรีและส่วนประกอบต่างๆ เป็นวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติมี 4 ชนิด ได้แก่ "หยัด" เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่ใช้บรรเลงทำนอง ส่วน "โย" "ต้งล้อ" และ "เฉ่าเจ้ย" เป็นเครื่องประกอบจังหวะ การผสมวงดนตรีมี 2 ลักษณะคือวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีครบ 4 ชิ้นและวงดนตรีที่มีเฉพาะเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ 3 ชิ้น นักดนตรีส่วนมากมีอายุ 40-55 ปีประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นอาชีพหลักการแต่งกายของนักดนตรีในพิธีกรรมจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ดนตรีจะใช้บรรเลงเฉพาะเพื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญ 3 พิธีเท่านั้น ได้แก่ พิธีกรรมการแต่งงานแบบใหญ่ พิธีกรรมงานศพ และพิธีกรรมงานขึ้นปีใหม่ โดยมีบทเพลงที่ใช้บรรเลงทั้งหมด 11 เพลงจากการวิเคราะห์พบว่าบทเพลงเป็นลักษณะที่มีแนวทำนองเดียว ไม่ปรากฎการใช้เสียงในลักษณะดังเบา โครงสร้างของทำนองประกอบด้วยโน้ตเสียงยาวสลับกับกลุ่มโน้ตตกแต่งทำนองที่เป็นวลีสั้นๆ ระบบเสียงมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งใกล้เคียงกับระบบเสียงไมเนอร์ มิได้ใกล้เคียงกับเสียงดนตรีไทยแต่ประการใด การบรรเลงบทเพลงจะไม่เป็นไปตามเสียงไมเนอร์ ทั้งนี้เนื่องจากนักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียง เครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบจังหวะไม่มีบทบาทมากนัก เป็นลักษณะการบรรเลงตามทำนองของหยัดเท่านั้น

 

Focus

ศึกษาศึกษาสภาพทั่วไปของชุมชนและศึกษาดนตรีในวัฒนธรรมเย้าที่ยังคงอยู่ กรณีศึกษาหมู่บ้านผาเดื่อ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

 

Theoretical Issues

ไม่มี

 

Ethnic Group in the Focus

เย้า ในประเทศจีน เย้าแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อยๆ ตามลักษณะของอาชีพ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและความเชื่อต่างๆ เช่น แพนเย้า คือพวกที่มีอาชีพทางการแกะสลัก ฮุงเย้า พวกที่พันศีรษะด้วยผ้าแดง นานติงเย้า คือพวกที่สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินล้วน สำหรับเย้าในประเทศไทยมีฮุงเย้าเพียงพวกเดียว (หน้า 6)

 

Language and Linguistic Affiliations

เย้ามีภาษาพูดเป็นของตนเอง บางคำมีลักษณะคล้ายภาษาแม้วหรือม้ง เย้าไม่มีภาษาเขียนเป็นของตน แต่จะใช้ภาษาจีนแทน เย้าที่อยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่พูดภาษาไทยพื้นเมืองภาคเหนือและไทยภาคกลางได้ชัดเจน ผู้อาวุโสบางคนพูดภาษาจีนกลางและจีนฮ่อได้ (หน้า 40, 176)

 

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2541

 

History of the Group and Community

ชาวเขาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 พวก คือพวกที่อาศัยในพื้นที่นี้มาก่อนชนชาติไทยและพวกที่เพิ่งอพยพเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา (หน้า 3) เย้าเป็นพวกที่อยู่ในกลุ่มหลัง เย้าถูกขับไล่จากตอนใต้ของมณฑลยูนนานให้อพยพลงสู่ทางใต้ราวคริสตวรรษที่ 12 ถึงต้นคริสตวรรษที่ 13 มาอยู่ในพื้นที่ภูเขารอบลุ่มแม่น้ำซีเกียง ต่อมาได้กระจายอาศัยอยู่ในพื้นที่ไฮนาน อินโดจีนและตอนเหนือของประเทศไทย นอกจากนี้ การกระจายของเย้าอย่างกว้างขวางยังมีผลมาจากสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศในการทำมาหากินอีกด้วย (หน้า 20) ในประเทศไทยมีกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวคือ "ฮุงเย้า" ซึ่งเป็นพวกที่พันศีรษะด้วยผ้าแดง ไม่มีกลุ่มย่อยเช่นม้งหรือมูเซอ เย้าส่วนใหญ่อพยพมาจากจังหวัดน้ำทาของประเทศลาว โดยอพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเมื่อไม่นานมานี้ โดยอพยพเข้าสู่จังหวัดน่านและเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ น่าน แพร่ ลำปาง อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร และนครสวรรค์ แต่ปัจจุบันเย้าอาศัยหนาแน่นที่สุดที่จังหวัดเชียงราย (หน้า 6) เย้าหมู่บ้านผาเดื่อ เดิมเรียกว่า "เย้าบ้านเล่าจีกวน" ตามชื่อหัวหน้าหมู่บ้านคนแรกอพยพมาอาศัยบริเวณนี้เมื่อ 50 ปีมานี้ โดยอพยพเข้ามาครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2491 จากการนำของนายเล่าหลูลิ่น (จันก๋วย) แซ่ลี และนายเล่าจีกวน (จันฟิน) แซ่ลี มาจากบ้านหนองเต่า เขตเมืองมึงมึง ในประเทศลาว เหตุที่อพยพมาอยู่ที่บ้านผาเดื่อเนื่องจากได้มีการสู้รบระหว่างลาวฝ่ายซ้ายกับฝรั่งเศส ทำให้ไม่สะดวกในการประกอบอาชีพและไม่มีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน จึงได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยด้วยการเดินตามสันดอย (หน้า 21) หมู่บ้านผาเดื่อ เดิมขึ้นกับตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่จึงได้มาขึ้นกับตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (หน้า 21)

 

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

 

Demography

ประชากรของหมู่บ้านผาเดื่อเมื่ออพยพมาครั้งแรกมี 18 หลังคาเรือน จำนวน 150 คน ต่อมาจำนวนประชากรเพิ่มเป็น 206 คนของจำนวน 26 หลังคาเรือน แต่ปัจจุบันมีประชากรถึง 133 หลังคาเรือน จำนวน 1,168 คน จำแนกเป็นชาย 547 คนและหญิง 621 คน (หน้า 23,174) หมู่บ้านอีก้อสามแยกมีจำนวน 56 หลังคาเรือน หมู่บ้านแม่แสลบบนมีทั้งหมด 38 หลังคาเรือน ส่วนหมู่บ้านแม่แสลบล่างมีทั้งหมด 44 หลังคาเรือนซึ่งทั้งหมดเป็นอีก้อ (หน้า 30)

 

Economy

เย้าบ้านผาเดื่อประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นหลัก พืชที่นิยมปลูก เช่น ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด ฝ้าย มันสำปะหลัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ หมู ไก่ เป็ด วัว ควาย สำหรับบริโภค ประกอบพิธีกรรมและใช้งานด้านการเกษตร ต่อมารัฐบาลรณรงค์ให้เลิกปลูกฝิ่นหันมาปลูกพืชทดแทนจึงมีการปลูกพืชชนิดอื่นและเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ผลผลิตทางการเกษตรนอกจากเก็บไว้บริโภคแล้วหากมีมากพอก็จะนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง เช่น ปลอกหมอนปักลาย หมวก เสื้อ และบางอย่างเป็นของที่ซื้อมาจากประเทศพม่า เย้าบางส่วนประกอบอาชีพขับรถรับจ้างประจำทางขึ้นลงดอยแม่สลอง บางส่วนได้เข้าไปทำงานในเมือง สำหรับคนหนุ่มสาวส่วนมากนิยมไปทำงานโรงงานในประเทศใต้หวัน เพราะมีรายได้ดี ส่วนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาบางคนได้ทำงานในหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนทั้งในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร (หน้า 31-32)

 

Social Organization

ครอบครัวของเย้ามี 2 ลักษณะคือ ครอบครัวเดี่ยวซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกและครอบครัวขยายซึ่งนอกจากพ่อ แม่และลูกแล้ว ยังประกอบด้วยภรรยาและสามีของลูกด้วย ถ้าครอบครัวที่มีลูกชายหลายคน ลูกชายบางคนเมื่อแต่งงานแล้วอาจแยกครอบครัวมาปลูกบ้านอยู่ใกล้บ้านของพ่อแม่ก็ได้ (หน้า 41)

 

Political Organization

หมู่บ้านผาเดื่อ ขึ้นอยู่กับหมู่ที่ 6 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง มีผู้ใหญ่บ้าน 1 คนและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3 คน มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและดูแลทุกข์สุขในเขตพื้นที่หมู่ที่ 6 ซึ่งครอบคลุมถึง หมู่บ้านอีก้อสามแยก หมู่บ้านแม่แสลบบนและหมู่บ้านแม่แสลบล่าง ผู้ใหญ่บ้านได้มาจากการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่ง 4 ปี ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้เลือกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 3 คน นอกจากนี้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะเลือกกรรมการหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเพื่อคอยสนับสนุนช่วยเหลือและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย เย้าบ้านผาเดื่อทุกคนได้ขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชนถูกต้องตามกฎหมาย (หน้า 30, 175)

 

Belief System

เย้ามีพิธีกรรมซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภทคือ พิธีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษและเทพยดา พิธีกรรมเลี้ยงผีเกี่ยวกับความเจ็บป่วย พิธีกรรมเลี้ยงผีทั่วไปเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ในการประกอบอาชีพและความสงบสุขของสมาชิกในชุมชน พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด การแต่งงานและการตาย พิธีกรรมเกี่ยวกับการทำบุญกุศลให้ตนเอง ญาติและบรรพบุรุษ พิธีกรรมเลี้ยงผีทั่วๆไปตามเหตุการณ์ประจำวัน สำหรับการบรรเลงเพลงประกอบพิธีกรรมปัจจุบันจึงมีบทบาทน้อยลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ของสังคมเมือง (หน้า 7) เย้านับถือวิญญาณบรรพบุรุษ เทพเจ้าและผีทั้งหลาย ทุกบ้านของเย้าจะมีหิ้งผีเพื่อเคารพบูชา โดยเรียกชื่อของเทพเจ้าและผี รวมๆว่า "เมี้ยน" เย้าเชื่อว่า "เมี้ยน" สามารถป้องกันเหตุร้ายไม่ให้เกิดแก่ตนเองและครอบครัว วิญญาณบรรพบุรุษจะปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย ปัจจุบันเย้าบ้านผาเดื่อนอกจากนับถือภูตผี วิญญาณแบบดั้งเดิมแล้ว บางส่วนยังนับถือศาสนาพุทธควบคู่กัน นอกจากนี้มีเย้าในหมู่บ้านจำนวน 3 ครอบครัว นับถือศาสนาคริสต์และได้เลิกนับถือลัทธิดั้งเดิมของเย้าอย่างสิ้นเชิง (หน้า 37) พิธีกรรมการแต่งงาน (โจ๋วฉิ่งจา) จะใช้เวลาประกอบพิธี 3 วัน ช่วงสายของวันแรกมีการฆ่าหมู 1 ตัวเพื่อให้หมอผีประกอบพิธีเชิญผีบรรพบุรุษและเทพยดาต่างๆ เพื่อขอให้คุ้มครองผู้มาร่วมงานและปกปักรักษาให้งานสำเร็จอย่างราบรื่น เช้าวันที่สอง ขบวนเจ้าสาวเดินทางจากบ้านมาประกอบพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว ระหว่างเดินทางมาบ้านเจ้าบ่าว หน้าขบวนเจ้าสาวจะมีขบวนนักดนตรีบรรเลงเพลงจนถึงบ้านเจ้าบ่าว ในบ้านของเจ้าบ่าว หมอผีจะทำพิธีไล่สิ่งชั่วร้าย (ชุ้นแป่ง) เพื่อไม่ให้สิ่งไม่ดีตามเจ้าสาวเข้ามาและมีพิธีขอเข้าผี(ทิมเมี้ยนคู้) เพื่อขอให้ผีบรรพบุรุษฝ่ายเจ้าบ่าวคุ้มครองเจ้าสาวซึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านเจ้าบ่าว และในตอนเย็นจะมีการรับประทานอาหารร่วมกัน ส่วนวันที่ 3 จะรับประทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันร่วมกันโดยไม่มีพิธีใดๆ ตลอดการจัดงานทั้ง 3 วันนักดนตรีจะบรรเลงเพลงตามโอกาสและพิธีกรรมโดยใช้เพลงต่างๆ บรรเลงประกอบ (หน้า 69-72) พิธีกรรมงานศพ ตามประเพณีเย้า เมื่อมีการตายเกิดขึ้น ลูกหลานผู้ตายจะยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัด เพื่อให้เพื่อนบ้านทราบและถือเป็นการส่งวิญญาณผู้ตาย โลงศพจะตั้งในบ้านใกล้หิ้งผีทางขวา ทางซ้ายตั้งโต๊ะสำหรับวางเครื่องเซ่นไหว้ พิธีงานศพเย้าที่สมบูรณ์ประกอบด้วย 2 ขั้นต้อนคือ การทำพิธีส่งศพ (โจ๋วโต้วตั้ง) และการทำบุญให้กับผู้ตาย (โจ๋วซินหรือโจ๋วแฉะไจ๊ย) โดยมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธี ในพิธีจะมีการสวดตามคัมภีร์โบราณ มีการบรรเลงดนตรีประกอบจังหวะในพิธีและขบวนแห่เท่านั้น แต่การที่จะบรรเลงดนตรีครบวงได้นั้น ผู้ตายต้องเป็นผู้ที่เคยผ่านพิธีการบวชใหญ่ (โต๋วไซ) มาแล้วเท่านั้น โดยเพลงที่ใช้บรรเลงในพิธีศพจะใช้บรรเลงในพิธีแต่งงานด้วยเพราะเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณผู้ตายมีความสุข เช่น เพลงเจียหยัดซิง เพลงกันล่อซุง เป็นต้น (หน้า 73-75) พิธีกรรมขึ้นปีใหม่ (เจียงเหียง) เย้าถือเอาเทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงงานขึ้นปีใหม่ มีระยะเวลาจัดงาน 3 วัน ในวันแรกทุกบ้านจะทำอาหารเพื่อเซ่นไหว้ผีเรือนและนำอาหารอย่างละเล็กน้อยไปเซ่นไหว้ที่หลุงฝังศพของบรรพบุรุษตน วันที่สอง เช้ามืดชาวบ้านจะยิงปืน 4 นัดหรือมากกว่านี้และมีการนำดอกไม้มาปักไว้ที่หิ้งบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษ และเก็บก้อนกรวดตามลำธารโดยสมมุติว่าเป็นก้อนเงินก้อนทองมากองไว้ใต้หิ้ง เพื่อขอร้องให้ผีเรือนและดวงวิญญาณบรรพบุรุษช่วยให้เกิดความมั่งคั่งร่ำรวย ส่วนวันที่สามจะเป็นการเยี่ยมเยียนกันแทบทุกหลังคาเรือนและมีการแห่นำขบวนไปกราบไหว้ผู้อาวุโสและวิญญาณบรรพบุรุษของผู้อาวุโส ซึ่งในขบวนแห่จะมีวงดนตรีบรรเลงเพลงนำขบวน เพลงที่บรรเลงได้แก่ เพลงหยัดซิง กันล่อซุงและมันถ่างโฮ้งซุง (หน้า 80)

 

Education and Socialization

เย้าสูงอายุ ส่วนใหญ่เขียนภาษาไทยไม่ได้ แต่พูดได้บ้าง บางคนอ่านและเขียนภาษาจีนได้ดี ส่วนเด็กและผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือมีอายุต่ำกว่า 40 ปี สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ เพราะได้รับการศึกษาภาคบังคับตามนโยบายรัฐบาล โดยปัจจุบันมีโรงเรียนบ้านผาเดื่อซึ่งเปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งเปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแม่จันวิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษาตั้งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 20 กิโลเมตร เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันมีโรงเรียนบ้านผาเดื่อมีนักเรียนทั้งหมด 219 คน จำแนกเป็นชาย 110 คนและหญิงจำนวน 109 คน (หน้า 28-29) การถ่ายทอดดนตรีของเย้า เป็นการถ่ายทอดด้วยวิธีปากเปล่า ไม่มีการบันทึกโน้ตเป็นลายลักษณ์อักษร (หน้า 68)

 

Health and Medicine

การรักษาอาการป่วยในอดีตจะมีหมอผีเป็นผู้รักษา ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าอาการป่วยเกิดจากผีร้ายเข้าสิง ดั้งนั้นจึงต้องทำพิธีไล่ผี ต่อมาเมื่อได้รับความรู้ด้านสาธารณสุขจากทางราชการ ทำให้เย้าส่วนใหญ่เข้าพบแพทย์และใช้ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน โดยมีสถานีบริการสาธารณสุขชชุมชนจำนวน 18 แห่งและมีโรงพยาบาล 2 แห่งคือ โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวงและโรงพยาบาลแม่จัน (หน้า 26)

 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชุดประจำเผ่าของเย้า ผู้หญิง มีผ้าโพกศีรษะสีแดงพันทับด้วยผ้าสีน้ำเงินปนดำปักลวดลาย สวมเสื้อสีดำหรือน้ำเงินเข้มยาวถึงข้อเท้า คอเสื้อผ่าหน้า ติดพู่สีแดงทำด้วยไหมพรมเป็นพวงรอบคอลงมาถึงเท้า ผ่าด้านข้างทั้งสองตั้งแต่เอวลงมา เวลาสวม ชายเสื้อด้านหน้าทั้งสองจะไขว้กันและพันรอบเอวไปผูกเงื่อนไว้ด้านหลัง ส่วนชายเสื้อด้านหลังไว้รองนั่งกันกางเกงเปื้อน อกเสื้อกลัดติดเข้าหากันด้วยแผ่นเงินสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าหัวเข็มขัดตั้งแต่อกถึงเอว ประมาณ 7-8 อัน กางเกงเย็บด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้มหรือปนดำ ปักด้านหน้าขากางเกงทั้งสองข้างด้วยลวดลายที่ละเอียดสะดุดตา ส่วนผ้าพันรอบเอวปักลวดลายเช่นเดียวกับผ้าโพกศีรษะและกางเกง ส่วนชุดประจำเผ่าของผู้ชาย สวมเสื้อดำหรือสีน้ำเงินเข้มผ่าอกไขว้ไปข้างๆ เล็กน้อยแบบเสื้อคนจีน มีลวดลายติดอยู่เป็นแถบแคบๆ ตามแนวที่ผ่าลงมา ติดกระดุมเงินรูปวงกลมที่คอและที่รักแร้เป็นแนวลงไป ตัวเสื้อยาวแค่คลุมเอว กางเกงทำด้วยผ้าสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มคล้ายกางเกงจีนขลิบขอบกางเกงด้วยไหมสีแดง แต่ปัจจุบันผู้หญิงเย้าบางส่วนหันมานุ่งผ้าถุงหรือโสร่งแบบคนไทยแต่ยังสวมเสื้อเย้า ส่วนผู้ชายส่วนใหญ่นิยมแต่งกายแบบคนไทยพื้นเมือง ผู้ที่แต่งด้วยชุดประจำเผ่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ส่วนเด็กและวัยรุ่นจะแต่งชุดประจำเผ่าก็ต่อเมื่อมีโอกาสพิเศษหรือในพิธีกรรมบางพิธี (หน้า 38-39) ในอดีตเย้าจะนำหนังเลียงผามาทำหนังกลอง แต่ปัจจุบันทางราชการได้จัดให้เลียงผาเป็นสัตว์สงวน เย้าจึงใช้หนังเก้งหรือหนังวัวแทน ส่วนไม้ที่ทำตัวกลองและทำปี่จะใช้ไม้เนื้อแข็งที่มีน้ำหนักเบา (หน้า 43) เครื่องดนตรี "หยัด" เป็นเครื่องเป่าชนิดเดียวของเย้า สมัยโบราณเรียกว่า "ฟันติ" มีส่วนประกอบสำคัญ 5 ส่วน คือ ส่าว (ลิ้น) หยัดจัง (กำพวด) หยัดเฟี้ยน (กำบังลม) หยัดแขว้ง (เลาปี่) และหยัดฮอย (ลำโพง) ปัจจุบันเย้าบ้านผาเดื่อสามารถทำเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ไว้ใช้เองได้ โดยวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ไม้ แผ่นโลหะเงิน หรือทองเหลือง - "หยัด" สามารถทำเสียงได้ 2 ช่วงทบ โดยเป็นบันไดเสียงที่มีเอกลักษณ์ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีของเย้ามี 3 ชนิดคือ โย(กลอง) ต้งล่อ (ฆ้อง) และเฉ่าเจ้ย (ฉาบ) - "โย" (กลอง) มีลักษณะเป็นกลอง 2 หน้าได้รับอิทธิพลแบบอย่างจากจีน แต่ได้ดัดแปลงให้มีสัดส่วนพอเหมาะ โย ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ นอม (ตัวกลอง) โยด๊บ (หนังกลอง) และโยจุ้ย (ไม้ตี) - "ต้งล่อ" (ฆ้อง) "ต้งล่อ" ในภาษาเย้าหมายถึงฆ้องทองเหลือง เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ มีลักษณะคล้ายฆ้องแต่มีหน้าแบนเรียบไม่มีปุ่มนูนตรงกลางเหมือนฆ้องทั่วไป "ต้งล่อ"ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ต้งล่อ (ตัวฆ้อง) และล่อจุ้ย (ไม้ตี) - "เฉ่าเจ้ย" (ฉาบ) มีลักษณะเป็นฉาบคู่เล็กๆ ทำจากทองเหลือง การผสมวงดนตรี เนื่องจากเครื่องดนตรีเย้ามีไม่กี่ชนิด ดังนั้นการผสมวงจึงเป็นลักษณะของการรวมเอาเครื่องดนตรีทุกชนิดรวมเข้ากัน การบรรเลงแต่ละครั้งจะประกอบด้วยนักดนตรีหลัก 4 คน การแต่งกายของนักดนตรีในพิธีกรรมจะแต่งชุดประจำเผ่า ปัจจุบันการใช้ดนตรีบรรเลงในพิธีกรรมของหมู่บ้านผาเดื่อประกอบด้วย 3 พิธีสำคัญคือ พิธีแต่งงาน พิธีงานศพและพิธีขึ้นบ้านใหม่(หน้า 43-69) เพลงแต่ละเพลงได้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ รวมทั้งสิ้น 11 เพลง เช่น เพลงหยัดซิง เพลงซิบเซี่ยง ซึ่งไม่ปรากฏนามผู้แต่ง โดยลักษณะของเสียงบทเพลงสามารถแบ่งแยกได้ 2 ลักษณะคือ ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดัง-เบาและลักษณะของเสียงเกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้สึก นอกจากนี้ทำนองเพลงของเย้ายังมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะของทำนอง การโยงเสียงตัวโน๊ต โน้ตจังหวะยก ทิศทางของทำนอง การเคลื่อนที่ของทำนองแบบครึ่งเสียง โน้ตตกแต่งในทำนองเพลง การขึ้นต้นและการจบเพลงหรือกระสวนจังหวะ (หน้า 81-83) ตัวอย่างเช่น เพลงหยัดซิง ซึ่งมีลักษณะเสียงถ่ายทอดความรู้สึก ความกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา เป็นลักษณะบทเพลงที่มีแนวทำนองเดียว การประพันธ์มิได้คำนึงถึงรูปแบบในการประพันธ์ ดังนั้น จึงเป็นการบรรเลงทำนองไปเรื่อยๆ โดยเป็นลักษณะบทเพลงที่มีท่อนเดียว การเคลื่อนที่ของทำนองแบบครึ่งเสียง เป็นเอกลักษณ์ของบทเพลง ช่องกว้างของเสียง ความแตกต่างระหว่างเสียงสูงและเสียงต่ำสุดมีความห่างกันเป็นระยะขั้นคู่ 8 ส่วนลักษณะกระสวนจังหวะมี 2 ลักษณะคือ การบรรเลงจังหวะหนักและการรัวจากช้าๆแล้ว เริ่มเร็วขึ้น (หน้า 84-86)

 

Folklore

ตำนานเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของดนตรี เกี่ยวข้องกับสุนัขประหลาดมี 8 สี ซึ่งฮ่องเต้ที่ปกครองมณฑลหนึ่งของจีนมาพบและเลี้ยงไว้ ต่อมาเกิดสงครามกับอีกมณฑลหนึ่ง ฮ่องเต้จึงประกาศว่าหากใครฆ่าฮ่องเต้ฝ่ายศัตรูได้จะให้ลูกสาว 1 คน สุนัขตัวนี้จึงได้อาสาไปเพียงลำพัง สุนัขตัวนี้ได้ข้ามทะเลไป 7 วัน 7 คืน เพื่อไปบ้านเมืองของฝ่ายศัตรู ต่อมาฮ่องเต้ฝ่ายศัตรูเห็นสุนัขตัวนี้จึงนำไปเลี้ยง อยู่มาวันหนึ่งฮ่องเต้ฝ่ายศัตรูดื่มเหล้ากับข้าราชบริพารจนเมา เป็นโอกาสเหมาะของสุนัข สุนัขจึงกระโดดกัดศีรษะฮ่องเต้ฝ่ายศัตรูขาดและคาบศีรษะกลับมายังบ้านเมืองของตน ฮ่องเต้จึงทำตามที่เคยสัญญาไว้ว่าจะยกลูกสาวให้ 1 คน เจ้าชายสุนัขเมื่ออยู่กับเจ้าหญิงตอนกลางคืน สุนัขจะกลายเป็นหนุ่มรูปงาม แต่ตอนกลางวันจะเป็นสุนัขตามเดิม เนื่องจากข้าราชบริพารนินทาว่าเจ้าชายเป็นครึ่งคนครึ่งสุนัข ฮ่องเต้จึงส่งเจ้าชายและเจ้าหญิงไปอยู่ในดินแดนไกลโพ้นที่เรียกว่า "หนานกิน" และมีบุตรด้วยกัน 12 คนซึ่งถือเป็นต้นตระกูลของเย้าทั้ง 12 แซ่ อยู่มาวันหนึ่งเจ้าชายสุนัขไปล่าสัตว์และได้ยิงธนูถูกเลียงผาสลบ เจ้าชายเข้าใจว่าเลียงผาตายแล้วจึงเข้าไปดูใกล้ๆ ทันใดนั้นเลียงผาได้เข้ามาขวิดเจ้าชายตกหน้าผาตาย แต่ศพแขวนอยู่บนต้นไม้ บรรดาลูกหลานได้ออกตามหาจนพบ แต่ไม่สามารถเอาศพลงจากต้นไม้ได้ จึงเดินทางไปปรึกษาฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงลองใช้ให้คนไปร้องเพลง บริเวณต้นไม้นั้น ปรากฏว่าศพลอยลงจากต้นไม้ได้ ต่อมาชาวบ้านจึงตามล่าเลียงผาตัวที่ขวิดเจ้าชายตาย เอาหนังมาทำกลองและตัดต้นไม้นั้นมาทำตัวกลองและปี่ จากตำนานดังกล่าวทำให้เย้านำหนังเลียงผามาทำหนังกลอง ส่วนปี่ของเย้าจะใช้ต้นไม้ชนิดเดียวกับต้นไม้ที่ศพเจ้าชายแขวนอยู่ (หน้า 41-43)

 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

 

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันพิธีแต่งงานแบบใหญ่ของเย้าไม่พบเห็นบ่อยนัก เนื่องจากเป็นการฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองมากและต้องใช้เวลาหลายวันในการประกอบพิธีกรรม (หน้า 72)

 

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

 

Other Issues

ไม่มี

 

Map/Illustration

ตาราง - แสดงผลการวัดค่าความถี่(Hertz) ของเสียงจากหยัดในหนึ่งช่วงทบ (Octave) - เปรียบเทียบกับความถี่มาตรฐาน(Fundamental Hertz) (หน้า 56) - แสดงผลการเปรียบเทียบหาค่าเซนต์(Cent) (หน้า 57) - แสดงบันไดเสียงของหยัดที่วัดได้ เปรียบเทียบกับระบบเสียงแบ่งเท่า(Equal Temperament) (หน้า 58) ภาพ - แผนภูมิแสดงการสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 4) - แผนภาพแสดงการอพยพของชาวเขาเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 5) - หมู่บ้านผาเดื่อ ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (หน้า 22) - บริเวณดอยแม่สลอง (หน้า 22) - ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหมู่บ้านผาเดื่อ (หน้า 25) - หิ้งผีบรรพบุรุษภายในบ้านชาวเย้า (หน้า 38) - หยัด (หน้า 44) - รังหนอนที่นำมาทำส่าว (หน้า 48) - ส่าวที่ฝนจนได้เสียงตามต้องการ (หน้า 51) - แสดงลักษณะการวางนิ้วและมือของหยัด (หน้า 53) - โย (หน้า 58) - ลิ่มไม้เล็กๆที่ขัดกันด้านข้างตัวกลอง (หน้า 60) - แสดงท่าทางการบรรเลงโย (หน้า 61) - ต้งล่อ (หน้า 62) - แสดงท่าทางการบรรเลงต้งล่อ (หน้า 63) - เฉ่าเจ้ย (หน้า 64) - แสดงท่าทางการบรรเลงเฉ่าเจ้ย (หน้า 65) - นักดนตรีชาวเขาเผ่าเย้าหมู่บ้านผาเดื่อในปัจจุบัน (หน้า 67) - หมอผีขณะกำลังประกอบพิธี (หน้า 73) - โต๊ะสำหรับวางเครื่องเซ่นไหว้ (หน้า 75) - ซุยงุ่งจอง(เขาควาย) (หน้า 75) - ต้งลิ่ง(กระดิ่ง) (หน้า 76) - จ๋าว(ไม้เสี่ยงทาย) (หน้า 76) - ซิงก๋วน(ไม้เสี่ยงทาย) (หน้า 76) - กิ๋ม(มีดหมอผี) (หน้า 77) - สุเจ้ย(เหล็กตอกกระดาษเงินกระดาษทอง) - ลู่กวนเหยี๋ยน(ตราประทับ) - ฮูโหล่(กระถางธูป)

 

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 09 ส.ค. 2557
TAG เย้า, ชุมชน, ดนตรี, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง