|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มันนิ มานิ กอย คะนัง(ซาไก),วิถีชีวิต,ภาคใต้ |
Author |
เกศริน มณีนูน, พวงเพ็ญ ศิริรักษ์ |
Title |
ซาไก ชนกลุ่มน้อยภาคใต้ของไทย |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มานิ มานิค โอรังอัสลี อัสลี จาไฮ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
67 |
Year |
2546 |
Source |
โครงการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เล่มที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
Abstract |
ซาไกเป็นชนกลุ่มน้อยทางภาคใต้ของไทย อาศัยอยู่กระจัดกระจายเป็นกลุ่มตามป่าดิบเขาและบริเวณเทือกเขาในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล ยะลา และนราธิวาส มีสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การหาอาหาร การสร้างที่พัก ความเชื่อและพิธีกรรม ภาษาพูด รวมถึงการธำรงรักษาเอกลักษณ์และภูมิปัญญาในการดำรงชีพในป่าแบบมนุษย์โบราณ ซาไกบางกลุ่มยังคงนิยมอพยพเร่ร่อนย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ซาไกบางส่วนหันมาตั้งถิ่นฐานถาวร มีการแต่งงานกับคนท้องถิ่นจนมีซาไกลูกผสมเพิ่มขึ้น แม้จะมีการปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ให้กลมกลืนกับสังคมวัฒนธรรมแบบคนเมืองมากขึ้น เช่น การแต่งกาย การใช้ภาษาท้องถิ่นภาคใต้มากขึ้น การหันมาประกอบอาชีพรับจ้าง เพาะปลูกแทนการหาอาหารจากป่าแบบเดิม การหันมาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักแทนมันป่า อย่างไรก็ดี ซาไกบางกลุ่มก็ยังคงประสบปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมบางอย่างของคนเมือง เช่น การใช้รองเท้า นอกจากนี้ยังพบปัญหาการที่ซาไกถูกเอารัดเอาเปรียบและตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ที่ต้องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากขาดการศึกษาในระบบโรงเรียน และค่านิยมของคนนอกที่ขาดความเคารพสิทธิพื้นฐานของชนเผ่าซาไก |
|
Focus |
เน้นศึกษาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ พิธีกรรมรวมถึงภูมิปัญญาของซาไก |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษาชนเผ่าซาไกทางภาคใต้ของไทย ซาไกเรียกตนเองว่า "มันนิ" แปลว่า คน เรียกคนอื่นว่า "หะมิ" คนภาคใต้เรียกว่า "เงาะ" คนพื้นเมืองเรียก "ไอ้เกลอ" หรือ "ไอ้เฒ่า" นักวิชาการเรียกซาไกว่า "โอรัง อัสลี" หรือ "นิกริโต" บ้างก็เรียก "เซมัง" ตามรากศัพท์เดิม "ซาไก" "ซาแก" แปลว่า ป่าเถื่อน หรือหมายถึงชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในป่าทางภาคใต้ของไทย (หน้า 41) ผู้ศึกษาแบ่งกลุ่มของซาไกในประเทศไทยออกเป็น 4 กลุ่มตามภาษาที่แตกต่างกันของกลุ่ม ได้ดังนี้คือ 1) ซาไกกลุ่มแต็นแอ็น อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาบรรทัด บริเวณจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล 2) ซาไกกลุ่มกันซิว อาศัยอยู่บริเวณอำเภอธารโต จังหวัดยะลา 3) ซาไกกลุ่มแตะเด๊ะ อาศัยอยู่บริเวณอำเภอรือเสาะ และอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส 4) ซาไกกลุ่มยะฮาย อาศัยอยู่บริเวณอำเภอแว้ง และอำเภอสุคีรินทร์ นราธิวาส (หน้า 22-23) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาซาไกมีเพียงภาษาพูด ไม่มีตัวอักษรและภาษาเขียน มักใช้ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ติดต่อกับบุคคลภายนอก ภาษาซาไกเป็นภาษาในตระกูลออสโตร-เอเชียติค สาขามอญ-เขมรจัดอยู่ในกลุ่มอัสเลียน มีการยืมคำศัพท์ภาษาไทยเข้าไปผสม คำศัพท์ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ ศัพท์ใหม่มักพูดทับศัพท์ สำเนียงพูดค่อนข้างเร็วมาก น้ำเสียงมักห้วนใหญ่ ซาไกบางกลุ่มที่ได้เข้ามาใกล้ชิดกับสังคมเมืองสามารถพูดภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษายาวี ภาษามาเลย์ได้ เช่น ซาไกกลุ่มกันซิว อำเภอธารโต จังหวัดยะลา (หน้า 40) ภาษาที่ใช้เกี่ยวกับจำนวนและการนับมีเพียง 1-4 ออกเสียง นาย-กะมัม-ติกะ และอะวา จำนวนตั้งแต่สี่ขึ้นไปใช้ว่า "แบม" หมายถึง มาก (หน้า 40-41) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทำให้นักวิชาการมีข้อสันนิษฐานถึงแหล่งที่มาของชนเผ่าซาไกแตกออกเป็น 2 สาย คือ สายหนึ่งเชื่อว่า ซาไกเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในภาคใต้มาแต่ดั้งเดิม จากคำเรียกซาไกว่า "โอรัง อัสลี" หมายถึงคนพื้นเมืองดั้งเดิม โดยให้ความเห็นว่า ซาไกเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของแหลมมลายู อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย มาเลเซียและบางส่วนของอินโดนีเซียมาก่อนชนชาติอื่น ในขณะที่อีกสายหนึ่งเชื่อว่า ซาไกเป็นชนเผ่าที่อพยพมาจากถิ่นอื่น จากเอกสารข้อมูลพบว่า เส้นทางการอพยพของซาไกสู่แหลมมลายูมี 2 เส้นทาง เส้นทางแรกอพยพมาจากอินเดีย ศรีลังกา จีนก่อนเข้าสู่ภาคใต้ของไทย อีกเส้นทางหนึ่งอพยพมาจากอินโดนีเซีย ผ่านมาเลเซียสู่ภาคใต้ของไทย หลักฐานจากการขุดค้นโครงกระดูกบริเวณถ้ำในอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังเมื่อปี พ.ศ. 2534 พบร่องรอยของชนกลุ่มเชื้อสายมองโกลอยด์ก่อนการเข้ามาของซาไก จึงเกิดข้อสันนิษฐานว่า ซาไกไม่น่าจะเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของไทยมาแต่ก่อน สอดคล้องกับคำบอกเล่าของซาไกที่อาศัยบริเวณเทือกเขาบรรทัด เล่าว่ากลุ่มตนหนีไฟไหม้มาจากเมืองลังกาลงเรือมาขึ้นฝั่งที่ประเทศมาเลเซีย แล้วใช้ชีวิตเร่ร่อนตามป่ามาเรื่อย ๆ จนถึงถิ่นที่อยู่ปัจจุบัน (หน้า 15) |
|
Settlement Pattern |
ซาไกอยู่กระจัดกระจายเป็นกลุ่มในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล ยะลา นราธิวาส รวมถึงแถบภาคเหนือของมาเลเซีย และบางส่วนของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และหมู่เกาะอันดามันในอินเดีย ในประเทศไทยบริเวณเทือกเขาที่มีป่าดิบชื้น เช่น เทือกเขานครศรีธรรมราช และเทือกเขาบรรทัด ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-1,350 เมตร พื้นที่เป็นป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าป่าละเมาะกระจายเป็นหย่อม ก็เป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานของซาไกกลุ่มแต็นแอ็น (หน้า 11-12, 14) ส่วนซาไกที่อาศัยในพื้นที่ป่าฮาลา จังหวัดยะลามักเลือกที่พักอาศัยบริเวณสันเขา หลีกเลี่ยงสัตว์ป่าลงมากินน้ำบริเวณพื้นราบ มักหลีกเลี่ยงบริเวณจอมปลวก ดินสีดำ มีแหล่งน้ำนิ่งขัง มักสร้างที่พักชั่วคราวภาษาซาไกเรียก "ฮะยะ" ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกว่า "ทับ" มีลักษณะเป็นเพิง เสาไม้มีง่าม 2 เสา ใช้ไม้วางพาดเป็นคาน มักนำใบไม้ขนาดใหญ่ เช่น กาบใบปุดคางคก ใบกล้วยป่า ใบชิงหรือใบจากจำมาสานกันซ้อนกันหรือปูเป็นที่นั่งหรือที่นอน พื้นนิยมปูด้วยไม้ไผ่หรือใบไม้ มีแคร่นอนกว้างกว่าลำตัวเล็กน้อย มีกองไฟระหว่างแคร่ไว้คอยไล่แมลงรบกวนและให้ความอบอุ่น ขนาดของทับขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกแต่ละครอบครัว เด็กเล็กจะนอนกับแม่ ส่วนเด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ขวบจะแยกออกมามีทับเล็ก ๆ ของตัวเอง จากการสำรวจพบว่ามี 2-15 ทับ การสร้างทับนิยมหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม เพื่อความสะดวกในการพูดคุยกัน (หน้า 26-27, 29) ที่พักของกลุ่มซาโอ๊ะมีถิ่นที่อยู่ถาวรลักษณะคล้ายขนำ (กระท่อม) มีฝากั้นทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก นำมาทุบให้แผ่ออก หรือนำมาวางต่อหรือสานต่อกันคล้ายขัดแตะ บางบ้านใช้เศษไม้กระดาน หลังคามุงด้วยใบจากจำหรือสังกะสี ยกพื้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย ใช้ไม้ไผ่ปูเป็นพื้น ช่องประตูมีไม้วางพาดเป็นบันได ภายในซาโอ๊ะมีที่เก็บข้าวเปลือกและพืชผัก ทั้งยังแบ่งสัดส่วนเป็นที่ทำครัวและที่สำหรับนอน มีการก่อกองไฟไว้ระหว่างที่นอน โดยใช้ดินเป็นฐานรองไว้ บางบ้านอาจก่อไฟไว้ใต้ถุน (หน้า 26-27) นอกจากนี้ ซาไกมักจะเลือกบริเวณที่มี "เพิงถ้ำ" หรือ "ลา" ซึ่งมีแสงแดดส่องถึง ไม่อับชื้นและอยู่ไม่ห่างจากแหล่งน้ำมากนักเป็นที่พักอาศัย แทนการสร้างทับในป่า (หน้า 29) |
|
Demography |
จำนวนประชากรชนเผ่าซาไกที่อาศัยบริเวณป่าภาคใต้ของไทยมีประมาณ 250 คน แต่จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่ามีจำนวน 136 คน เป็นชาย 79 คน หญิง 57 คน แต่ยังมีซาไกอีกจำนวนหนึ่งที่อาศัยบริเวณเทือกเขาบรรทัดและใกล้เคียง จึงประมาณว่าน่าจะมีจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 150-200 คน แบ่งตามช่วงอายุต่าง ๆ ได้เป็นประชากรในวัยเด็ก 61 คน วัยผู้ใหญ่ 51 คน วัยรุ่น 14 คน วัยชรา 10 คน แบ่งตามกลุ่มย่อยออกเป็น 9 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีประชากร 5-36 คน (หน้า 23) เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชากรในวัยเด็กมีจำนวนสูงสุด และมีแนวโน้มว่าซาไกดั้งเดิมจะค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ เนื่องจากประชากรเด็กซาไกรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะแต่งงานกับชาวบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้สายเลือดซาไกดั้งเดิมลดน้อยลง (หน้า 24) การย้ายถิ่น ซาไกที่อาศัยบริเวณเทือกเขาบรรทัด มักตั้งทับอยู่อาศัยชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่เมื่อบริเวณที่พักเริ่มขาดแคลนแหล่งอาหาร หรืออาจเกิดการย้ายถิ่นเมื่อมีคนในกลุ่มตาย ก็ปล่อยศพให้เน่าเปื่อยในทับของผู้ตาย หรือหาก มีคนป่วยหนักก็จะทิ้งอาหารไว้ให้ แล้วสมาชิกในกลุ่มก็ย้ายหนีไป เป็นการป้องกันโรคระบาดตามธรรมชาติ หากเป็นซาไกกลุ่มกันซิวจะใช้วิธีฝังศพ ซาไกกลุ่มที่มีที่อยู่ถาวร เมื่อมีคนตายจะนำไปวางไว้ในถ้ำ ห่างจากที่พัก นอกจากนี้ จะมีการย้ายถิ่นกรณีที่มี หญิงซาไกในกลุ่มคลอดบุตร และกรณีย้ายถิ่นฐานไปตามฤดูผลผลิตจากป่า เช่น ช่วงที่สามารถเก็บสะตอ เหรียง น้ำผึ้งหรือลูกประ ในอดีตการย้ายกลุ่มสมาชิกแต่ละคนต้องถือไม้ฟืนสำหรับก่อไฟไปด้วย การย้ายทับ มักย้ายไปยังพื้นที่ใหม่แต่เช้า นำสิ่งของติดตัวไปน้อยเท่าที่จำเป็นและหาที่พักใหม่ให้ได้ก่อนพลบค่ำ ผู้อาวุโสในเผ่ามักเป็นคนนำทาง ซาไกแต่ละกลุ่มส่วนใหญ่มีพื้นที่หากินไม่ทับซ้อนกัน แต่มักถูกเอารัดเอาเปรียบจากชาวบ้าน เพราะไปตั้งทับบริเวณที่ชาวบ้านมาหาของป่า (หน้า 29-31) |
|
Economy |
ซาไกไม่มีการทำเกษตรกรรม แต่ใช้วิธีเร่ร่อนหาอาหารตามธรรมชาติ โดยหากินเฉพาะมื้อและไม่นิยมเก็บสะสม การล่าสัตว์มักล่าครั้งละตัว เพราะเครื่องมือไม่เอื้ออำนวย และยังไม่รู้จักวิธีถนอมอาหาร ซาไกบางกลุ่มซึ่งมีถิ่นที่อยู่ถาวร และได้เรียนรู้วิธีเพาะปลูกจากชาวบ้าน เริ่มหันมารับประทานข้าวแทนมันป่า ซาไกส่วนใหญ่นิยมบริโภคมันป่าเป็นอาหารหลัก โดยขุดเอาเฉพาะส่วนหัวทิ้งรากบางส่วนไว้ให้ต้นมันสร้างหัวใหม่ได้ นิยมบริโภคมันตามรากและมันโสม มันปูนไม่ค่อยนิยมเพราะมีพิษ หากมันป่าซึ่งเป็นอาหารหลักเกิดขาดแคลน ก็จะบริโภคพืชอื่นทดแทน อาทิ มันสำปะหลัง กล้วยน้ำว้าดิบ หยวกกล้วยป่า และมะละกอดิบนำมาต้มสุกเสียก่อน สำหรับอาหารจำพวกโปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น กบ นก ลิง หมูป่า เต่า ปลา การจับสัตว์น้ำมีทั้งใช้มือจับ ใช้เบ็ด ตาข่ายดัก การล่าสัตว์บกจะใช้กระบอกตุด หรือบอเลา ยิงหนังสติ๊ก ดักแร้ว หรือใช้การเป่าลูกดอกอาบยาพิษ ปัจจุบัน ซาไกบางกลุ่มนำสุนัขมาเลี้ยงไว้เพื่อช่วยในการล่าสัตว์ ซาไกรับประทานผักในแต่ละมื้อน้อยมาก ผักที่นำมารับประทาน เช่น ผักกูดขาว อ้ายเบี้ยว หมากหมก มะเขือพวง เนียง สะตอ เป็นต้น ผลไม้ที่รับประทาน เช่น มะเม่าควาย งำเงาะ ลำแข เดื่อปล้องหิน จันหาน เป็นต้น การปรุงอาหารนิยมใช้การต้ม ย่าง หรือเผาไฟ เมื่อหาอาหารมาได้ ซาไกจะนำมาแบ่งปันให้สมาชิกครอบครัว ๆ อื่นอย่างเท่าเทียมกัน เพราะเชื่อว่า หากไม่แบ่งปันให้คนอื่นถือว่าบาป (หน้า 31-35) เมื่ออาหารเริ่มขาดแคลน ซาไกก็เริ่มหาของป่าแลกเปลี่ยนกับอาหารและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ อาทิ ข้าวสาร มีด ไม้ขีดไฟ และเมื่อต้องใช้เงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ซาไกจึงหันมาประกอบอาชีพรับจ้างถางป่า แบกไม้ กรีดยาง หาสมุนไพรขาย ซาไกที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา มีอาชีพหลัก คือ หาสมุนไพรขายให้นักท่องเที่ยวที่แวะมาชมหมู่บ้านมัดละ 20 บาท บางกลุ่มก็รับจ้างกรีดยาง ซาไกกลุ่มคลองตงและกลุ่มเจ้าพะ ซึ่งตั้งถิ่นฐานถาวรเรียนรู้ การเพาะปลูกข้าว ยาพารา พืชและผลไม้จากชาวบ้าน จึงไม่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารเหมือนกลุ่มอื่น ชาไกกลุ่มที่ยังนิยมย้ายถิ่นฐานจะประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารน้อยกว่า เพราะยังสามารถหาของป่ามาเป็นอาหารได้ กิจกรรมหลักในแต่ละช่วง คือ การหาน้ำผึ้งป่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม น้ำผึ้งที่หาได้จะนำมาจำหน่ายให้ชาวบ้านในราคาแกลลอนละ 500 -1,000 บาท นอกจากนี้ ยังหา "เหรียง" ขายได้ราคากิโลกรัมละ 50-90 บาท ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เมื่อสะตอให้ผลผลิตก็จะหาสะตอขายฝักละ 0.5 -1 บาท ช่วงเดือนกันยายนถึงมกราคมที่ผลผลิตจากป่ามีน้อย ซาไกจะล่าสัตว์เพื่อบริโภคและรับจ้างทั่วไป ซาไกกลุ่มที่ห่างไกลจากสังคมเมืองยังไม่รู้จักการใช้เงิน เนื่องจากนับเลขได้ไม่เกินหลักสิบ (หน้า 36-37, 39) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน หญิงสาวซาไกเมื่อเริ่มสาว พ่อแม่จะมองหาคู่ให้โดยเลือกคนที่ขยันทำมาหากินและล่าสัตว์เก่ง มีการพามาแนะนำให้รู้จักก่อนตกลงแต่งงาน โดยฝ่ายชายจะมารวมกลุ่มกับญาติฝ่ายหญิงเพื่อศึกษานิสัยใจคอ เมื่อพอใจกันทั้งสองฝ่ายจึงมีการแต่งงาน หากไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ก็เลิกกันไป หนุ่มสาวที่รู้จักชอบพอกันเองก็จะปรึกษาพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย การแต่งงานไม่มีการเรียกสินสอด ฝ่ายชายต้องสร้างทับเป็นเรือนหอ และล่าสัตว์มาเลี้ยงเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง เมื่อแต่งงานแล้ว ไม่มีข้อกำหนดสำหรับคู่แต่งงานว่าจะต้องไปอยู่กับกลุ่มของฝ่ายใด หรือจะแยกไปอยู่กลุ่มอื่น ผู้ชายสามีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน เช่นเดียวกับหญิงซาไกสามารถมีสามีได้หลายคนโดยต้องเลิกกับคนเก่าก่อน ซาไกไม่แต่งงานกันเองภายในกลุ่มเครือญาติใกล้ชิด ทำให้ประชากรซาไกบริเวณเทือกเขาบรรทัดค่อนข้างคงที่ เนื่องจากซาไกส่วนใหญ่มักเป็นเครือญาติกัน ช่วงอายุก็ต่างกันมาก (หน้า 45-46) การเลี้ยงดูบุตร ทารกซาไกแรกเกิดนิยมให้กินนมแม่เท่านั้น เมื่อเด็กเริ่มมีฟันจึงให้กินเนื้อปลาและอาหารอื่น ๆ ตามวัย เด็กซาไกค่อนข้างเลี้ยงง่าย ไม่งอแงเนื่องจากได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ หน้าที่เลี้ยงดูลูกเป็นของแม่ซึ่งมักพาลูกไปทุกที่ หากเดินได้แล้วจะปล่อยให้เล่นกับพี่และเด็กวัยไล่เลี่ยกัน เด็กโตหรือเด็กวัยรุ่นมักจับกลุ่มกันพูดคุยเรื่องการเข้าป่าล่าสัตว์ (หน้า 46-47) |
|
Belief System |
ความเชื่อและพิธีกรรม ซาไกมีความเชื่อเกี่ยวกับผีและวิญญาณ โดยเชื่อว่าสรรพสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ มีวิญญาณซึ่งมีอำนาจดลบันดาลสิงสถิตอยู่ ซึ่งมีทั้งวิญญาณที่ดีและวิญญาณที่ไม่ดี นอกจากนี้ยังนับถือผีบรรพบุรุษโดยเชื่อว่า เมื่อคนเราตายไปจะ เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ เช่น เสือ ช้าง ความเชื่อเรื่องผีที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเช่น ผีต้นไม้ทำให้ซาไกเลือกตัดไม้ขนาดเล็กเฉพาะที่ต้องการใช้ประโยชน์ เช่นกันกับความเชื่อเรื่องผีน้ำ ทำให้ซาไกไม่ขับถ่ายลงในน้ำหรือทำให้น้ำสกปรก ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ถูกปลูกฝังในจิตสำนึกและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ซาไกใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน (หน้า 44-45) - พิธีขึ้นเก (ซีมะ) เป็นพิธีที่ทำเมื่อเด็กนอนคว่ำได้ ก่อนทำพิธีพ่อเด็กจะออกไปล่าสัตว์มีขนเช่น นก ลิง ค่าง นำขนสัตว์มาเผาไฟแล้วใช้มือกำควันไฟไว้ เป่าใส่ปากเด็ก พร้อมกล่าวบทสวดแล้วลูบทั่วร่างกาย เพื่อให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 47, 49) - พิธีศพ ซาไกไม่มีพิธีเกี่ยวกับคนตาย เมื่อมีคนป่วยหนักจะย้ายที่อยู่ไปแหล่งใหม่ แต่ก่อนไป จะทำรั้วล้อมที่พักผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ามาทำอันตราย มีการวางอาหาร น้ำ บอเลาและเครื่องใช้ส่วนตัวไว้ให้เพราะเชื่อว่า หากผู้ป่วยหายก็จะตามไปสมทบกับกลุ่มตามเดิม ซาไกซึ่งมีที่อยู่ถาวรจะนำคนป่วยหรือคนตายไปไว้ในถ้ำห่างจากที่พัก พร้อมวางอาหารและน้ำไว้ให้ ซาไกกลุ่มกันซิวมีพิธีกรรมการฝังศพโดยให้ญาติที่สนิทกับผู้ตายเป็นผู้ทำพิธี การฝังศพทำทันทีที่ตาย ไม่ทิ้งไว้ข้ามคืน โดยขุดหลุมกว้าง 2 ศอก ยาว 3 ศอก ลึก 3 ศอก รองไม้ไผ่ไว้ที่พื้นหลุม วางศพในท่าคู้เข่าหันไปทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศใต้ ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกและใบไม้คลุมร่างก่อนกลบดินแน่น แล้วสร้างทับไว้ปากหลุม ช่วงกลางคืน ญาติจะมาก่อไฟไว้ให้ เชื่อกันว่าช่วยให้ความอบอุ่น (หน้า 49) - พิธีจังเดี้ยง เป็นพิธีสำหรับเด็กผู้หญิงเมื่อเริ่มจะมีประจำเดือน ทำพิธีเช่นเดียวกับพิธี "ขึ้นเก" แต่จะมีการให้คำแนะนำการปฏิบัติตนขณะมีประจำเดือน หญิงซาไกต้องอยู่แต่ในทับออกไปไหนไม่ได้ หากผ้าถุงเปื้อนเลือดมากจะนำไปซัก ห้ามรับประทานสัตว์มีขน หากปวดท้องให้ดื่มน้ำต้มราก Atalantia sp. หรือรับประทานรากเปล่าๆ ช่วยลดอาการปวดท้อง (หน้า 49) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของชนเผ่าซาไกส่วนใหญ่ เป็นการศึกษาเพื่อการดำรงชีพถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นและศึกษาจากธรรมชาติ ซาไกต้องเรียนรู้วิธีล่าสัตว์ ขุดมัน ทำอาวุธ เด็กซาไก 5-6 ขวบสามารถหาอาหารได้เอง และยังสามารถจดจำชื่อพืชที่ใช้เป็นอาหารและสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ ซาไกบางกลุ่มมีโอกาสเรียนในระบบโรงเรียน เช่น กลุ่มที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรบริเวณเทือกเขาบรรทัด และซาไกกลุ่มที่อำเภอธารโต จ.ยะลา กำลังประสบปัญหาการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากถูกกำหนดให้มีที่อยู่ถาวร ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแทนการหาของป่า จึงยังไม่สามารถปรับตัวได้ (หน้า 39-40) |
|
Health and Medicine |
ความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดบุตร ซาไกมีข้อห้ามสำหรับหญิงมีครรภ์ให้ยึดถือปฏิบัติ เช่น ห้ามทานสัตว์มีขนเช่น ลิง ค่าง หมูป่า ชะนี เชื่อว่าจะทำให้ป่วย สัตว์ที่ทานได้ เช่น เต่า ตะพาบน้ำ ตะกวด ปลา การคลอดมักให้คนแก่ที่มีประสบการณ์หรือสามีทำคลอด อาจไปคลอดในป่าหรือที่พัก มีการแช่รากหินหรือตำตุ้ม ซึ่งเป็นเส้นใยเชื้อราสีดำชนิดหนึ่งนำไปลูบท้องแม่ เชื่อว่าช่วยให้คลอดง่าย เมื่อเด็กคลอดออกมาจะใช้ไม้ไผ่เหลาบาง ๆ ตัดสายสะดือ ใช้ปูนที่กินกับหมากป้ายรอยตัด เชื่อว่าให้เลือดหยุดไหล ใช้ผ้ากวาดสิ่งอุดตันในปากเด็ก มีการให้ดื่มน้ำต้มรากของชิงดอกเดียว ฝนแสนห่าและ Atalantia sp.ซึ่งช่วยขับเลือดหลังคลอด การอยู่ไฟจะใช้ก้อนหินเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 นิ้วนำมาหมกไฟให้ร้อน ห่อผ้าแล้ววางบนท้องแม่ 3-4 วัน วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าแม่เด็กจะเดินได้หรือ "เลือดขึ้น" (หน้า 46-47) การบริโภค เมื่อซาไกหันมาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก และทานเนื้อสัตว์ที่ซื้อจากตลาดมากขึ้น ก็เริ่มมีการใช้วัสดุปรุงแต่งรสอาหารเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันพอ การรับสารแปลกปลอมเข้าไปทำให้ร่างกายอ่อนแอ ซาไกหลายคนป่วยเรื้อรังหรือเสียชีวิตโดย เมื่อพืชสมุนไพรไม่สามารถรักษาได้ ซาไกจึงเริ่มมีค่านิยมรักษาโรคด้วยยาแผนปัจจุบันเพิ่มขึ้น (หน้า 63-64) พืชสมุนไพรรักษาโรค ซาไกมีการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรหลายชนิด เช่น - หมากหมก สามสิบ ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อย - ข้าวเย็นเหนือ เฒ่าหลังลาย เหล็กฟักไข่ ว่านนางครวญและชิงดอกเดียวใช้รากต้มน้ำให้หญิงหลังคลอดดื่ม ชายนิยมนำมาทานสด ต้มหรือดองเหล้าบำรุงกำลัง - ปากกา เอาะลบนำลำต้นหรือใบมาตำ ใช้พอกแก้พิษสัตว์กัดต่อย เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ - รากของว่านนางตัดนำมาต้มน้ำให้สตรีหลังคลอดดื่ม ช่วยให้มดลูกแห้งเร็ว หากดื่มขณะตั้งครรภ์อาจแท้งบุตรได้ - รากของยาลูกขาดทานสดๆ ป้องกันการตั้งครรภ์ - รากของยาร้อยนำมาต้มดื่ม ช่วยลดอาการปวดท้อง ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ ป้องกันการตกเลือด - ยาคลอดง่ายเป็นเห็ดราที่ซาไกแช่น้ำแล้วนำมาลูบท้อง เชื่อว่าช่วยให้คลอดง่าย - ยาเสน่ห์เป็นพืชขนาดเล็กสีม่วงเข้ม ซาไกกลุ่มกันซิวนำไปแช่น้ำมันเสกคาถากำกับ ใช้ป้ายคนที่หลงรักเชื่อว่าจะช่วยให้รักสมหวัง (หน้า 51-52) - นอกจากนี้ ซาไกยังมีภูมิปัญญาในการใช้พืชสมุนไพรรักษาแผลสดโดยใช้น้ำผึ้ง รักษาแผลงูกัดโดยใช้เห็ดงู การรักษาตามความเชื่อ เช่นการแขวนกระดูกค่าง กระดูกลิง เกล็ดลิ่น หัวไพลช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเจ็บป่วย ถ่านไฟหรือขี้เถ้าใช้ป้ายหน้าผากบรรเทาอาการปวดศีรษะ บาดแผลจากไฟไหม้รักษาโดยการทาน้ำมันจากหมูหริ่ง โรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของซาไกในปัจจุบันคือ ไข้มาลาเรีย ซึ่งยังไม่มีพืชสมุนไพรรักษา (หน้า 52-53) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การจักสาน หญิงและเด็กซาไกมักสานภาชนะไว้ใส่ของ และสานเสื่อใบเตยเมื่อมีเวลาว่าง ขั้นตอนการทำเริ่มจากการคัดเลือกใบเตย กรีดส่วนขอบใบที่มีหนามออก ใช้ไม้ไผ่ซี่บางๆ ฉีกเป็นเส้น นวดให้อ่อนตัวลง แล้วนำมาสานแบบขัดแตะทรงกระบอก ใช้เป็นภาชนะใส่ของ สานให้แผ่กว้างใช้เป็นเสื่อ (หน้า 59) การแต่งกาย ซาไกในอดีตใช้เปลือกไม้ ใบไม้และตะไคร่น้ำมาถักเป็นเครื่องนุ่งห่ม ใช้ปกปิดร่างกาย ชายหญิงนิยมเปลือยท่อนบน เด็กไม่สวมอะไร ต่อมามีการนำผ้าชิ้นเล็ก ๆ มาทำผ้าเตี่ยว ปัจจุบันได้รับวัฒนธรรมจากคนเมือง ชายซาไกสวมเสื้อ นุ่งผ้าขาวม้า โสร่งหรือกางเกง หญิงสวมเสื้อ นุ่งโสร่ง กระโปรง กางเกง เด็กเปลือยท่อนบน ไม่นิยมสวมเสื้อผ้า หญิงมักนำเครื่องสำอางมาตกแต่งใบหน้า และใช้เครื่องประดับจากของป่า อาทิ เมล็ดต้นไทหรือลูกหับ นำมาขัดจนดำวาว ร้อยเชือกสวมเป็นสร้อยคอ ซาไกมักมีเสื้อผ้าคนละชุด และมักไม่ค่อยได้ซักเนื่องจากกลัวว่าจะทำให้สัตว์ป่าผิดกลิ่น จึงสวมใส่จนกว่าจะขาดค่อยเปลี่ยนใหม่ ซาไกไม่เคยชินกับการสวมรองเท้า (หน้า 17-18) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะทางกายภาพที่บ่งถึงเอกลักษณ์ด้านชาติพันธุ์ของซาไก คือผิวเหลือง เส้นผมหยิกขอดติดหนังศีรษะ จมูกแบน ริมฝีปากหนา รูปร่างสันทัดแข็งแรง ชายมักสูงกว่าหญิงเล็กน้อย และมักสูงไม่เกิน 175 ซม. ซาไกมักไม่นิยมการทะเลาะเบาะแว้ง โต้เถียงกัน หากถูกรบกวนมากเกินไปจะอพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น มักหลบคนแปลกหน้าหรือวิ่งหนีเข้าป่าเพราะไม่ไว้ใจ โดยทั่วไปซาไกมีอุปนิสัยร่าเริง ตรงไปตรงมา เอกลักษณ์พิเศษอีกประการหนึ่งคือซาไกเป็นชนเผ่าที่เดินเก่งมาก และเดินได้เร็ว (หน้า 16-17,19) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของสังคมภายในของชนเผ่าซาไก เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมภายนอกและมีแนวโน้มจะถูกกลืนมากขึ้น การบุกรุกพื้นที่ป่าทำให้ ซาไกบางกลุ่มหนีเข้าป่าลึก ในขณะที่บางส่วนค่อย ๆ ซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมภายนอก เช่น การทำเกษตร เพาะปลูก ใช้ปืนล่าสัตว์แทนบอเลา การหันมาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ภาษาถิ่นภาคใต้มีบทบาทในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น เด็กซาไกรุ่นใหม่ซึ่งเป็นลูกผสม พูดภาษาซาไกได้น้อยลง เนื่องจากซาไกแต่งงานกับคนท้องถิ่น การแต่งกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมเมือง ชายซาไกหันมาสวมกางเกงยีนส์ในขณะที่หญิงซาไกนุ่งผ้าถุง แม้จะมีการพัฒนาด้านวัตถุและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แต่ซาไกก็ยังไม่สามารถแยกแยะผลดีผลเสียจากการรับวิถีชีวิตแบบคนเมืองเข้ามา และไม่สามารถแยกแยะบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องได้ ทำให้มักถูกแสวงหาผลประโยชน์ หรือเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่ยุติธรรม บางครั้งก็ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนที่ต้องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบก้าวกระโดดโดยความช่วยเหลือจากทางการ เช่น ซาไกกลุ่มที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านแหร อำเภอธารโต จ. ยะลา ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ให้ซาไกทำเกษตร เลี้ยงสัตว์และปลูกยางพารา ทำให้ซาไกประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซาไกบางส่วนจึงหันกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม บางส่วนก็อพยพไปอยู่มาเลเซีย แตกต่างจากซาไกกลุ่มที่อาศัยบริเวณเทือกเขาบรรทัดซึ่งออกมาตั้งถิ่นฐานถาวรโดยความสมัครใจ จนปัจจุบันสามารถปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องและอยู่ร่วมกับสังคมเมืองได้(หน้า 62-66) ลักษณะพิเศษของชนเผ่าซาไกคือ การเดินทนโดยไม่ต้องสวมรองเท้า เนื่องจากซาไกมีผิวหนังใต้ฝ่าเท้าที่ค่อนข้างหนา หญิงซาไกอายุ 70 ปี สามารถเดินป่าขึ้นเขาลงห้วยได้นานร่วม 10 ชั่วโมง โดยไม่เหนื่อย เคยมีคนพยายามนำรองเท้าไปให้ซาไกที่อาศัยอยู่ในป่าสวม ปรากฏว่าซาไกใช้ได้ไม่นานก็ต้องถอดออกเพราะเดินไม่ถนัดเท่าเท้าเปล่า แสดงให้เห็นว่า การสวมรองเท้าแบบคนเมืองไม่เหมาะกับซาไกกลุ่มที่อาศัยอยู่ในป่านัก (หน้า 18-19) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงแหล่งอาศัยของชนเผ่าซาไกบริเวณเทือกเขาบรรทัด (หน้า 9) ตารางแสดงจำนวนประชากรชนเผ่าซาไกจากการสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2546 (หน้า 23) ความสมบูรณ์ของเทือกเขาบรรทัด (หน้า 11) สภาพการบุกรุกพื้นทีป่า (หน้า 12) การศึกษาข้อมูลการใช้ประโยชน์พรรณพืชจากซาไก (หน้า 13) ร่องรอยการขุดโครงกระดูกบริเวณถ้ำซาไกบ้านควนไม้ดำ จังหวัดตรัง (หน้า 15) การแต่งกายของซาไกในอดีต (หน้า 18) แม่เฒ่าซาไกในทับของตนเอง (หน้า 19) แผนภูมิแสดงจำนวนประชากรซาไกในช่วงอายุต่าง ๆ (หน้า 24) ซาไกใช้กระบอกไม้ไผ่เก็บน้ำ (หน้า 25) ลักษณะทับของซาไก (หน้า 26) "ซาโอ๊ะ" ของซาไกกลุ่มเจ้าพะ(หน้า 27) สภาพความเป็นอยู่ของซาไก (หน้า 28) ที่พักอาศัยบริเวณเพิงถ้ำ (หน้า 29) สะตอ-พืชเศรษฐกิจของซาไก/ซาไกมักก่อกองไฟช่วงกลางคืน (หน้า 30) มันป่า - พืชอาหารหลักของซาไก (หน้า 31) แป้งจากมันปูนผสมเถ้าจากใบลาโล๊ะหรือใบจะกะลดพิษก่อนรับประทาน (หน้า 32) ซาไกมันนำเนื้อสัตว์มาย่างรับประทาน/หลามข้าว (หน้า 33) ลิ่น - ซาไกกินเนื้อและนำเกล็ดมาร้อยห้อยคอ/ใบของอ้ายเบี้ยวกินเป็นผัก/เนื้อตะกวด - อาหารที่ซาไกโปรดปราน (หน้า 34) อาหารของซาไก (หน้า 35) เมล็ดกระวาน - อาหารว่างของเด็กซาไก/เอื้องดิน - นำมาคั้นดื่มแก้นิ่ว (หน้า 36) ปุดคางคก - นำกาบใบมาใช้สร้างที่พัก/เดื่อปล้องหิน (หน้า 37) สภาพความเป็นอยู่ของซาไก (หน้า 38) เด็กซาไก (หน้า 39) ปัจจุบันซาไกนำสุนัขมาเลี้ยงเพื่อช่วยล่าสัตว์ (หน้า 40) พี่ช่วยพ่อเลี้ยงน้อง (หน้า 41) สภาพความเป็นอยู่ของซาไก (หน้า 42-43) เรือนหอของคู่แต่งงานใหม่ (หน้า 45) หนุ่มซาไกพร้อมภรรยาทั้งสองและลูก ๆ (หน้า 46) ความเชื่อและพิธีกรรม (48) ชิงดอกเดียวใช้รากต้มน้ำให้หญิงหลังคลอดดื่ม หรือใช้ดองเหล้าบำรุงร่างกาย / ว่านนางครวญใช้รากดองเหล้าดื่มบำรุงร่างกาย (หน้า 51) เลาะลบใช้ต้นตำพอกแผลแก้พิษงู/Atalantia sp.- ใช้รากต้มน้ำให้ผู้หญิงหลังคลอดดื่ม ช่วยขับเลือดหรือดื่มขณะมีประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง (หน้า 52) ตานโมย-ใช้รากดองเหล้าดื่มบำรุงร่างกาย/อุปกรณ์ล่าสัตว์ของซาไก (หน้า 53) การเชื่อมต่อไม้ไผ่ด้วยยางต้นจันหาน/การเผาลูกดอกให้แห้งเพื่อเพิ่มความแข็งแรง (หน้า 54) การเคี่ยวยาพิษ/การเคลือบยาพิษบริเวณปลายลูกดอก และย่างไฟให้แห้ง (หน้า 55) แค - เครื่องช่วยปีนเพื่อเก็บรังผึ้ง สะตอ และเหรียง (หน้า 56) หนุ่มซาไกกำลังทำตะกร้าใบชิงเคี่ยวยางอีโป๊ะ (หน้า 57) ซาไกนำหวายและไม้เสียดสีกันให้เกิดไฟ (หน้า 58) หญิงซาไกใช้เวลาว่างสานเสื่อและภาชนะใส่ของจากใบเตย (หน้า 59) ภูมิปัญญาของซาไก (หน้า 60-61) ซาไกรุ่นใหม่รับอิทธิพลการแต่งกายจากสังคมเมือง/เด็กซาไกกับความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม (หน้า 63) การลักลอบตัดไม้และใช้แรงงานซาไกในป่าเทือกเขาบรรทัด (หน้า 64) ซาไกกับรูปแบบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป (หน้า 65) หนุ่มซาไกกำลังเป่าลูกดอก (หน้า 66) เด็กน้อยซาไก (หน้า 67) |
|
|