สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,ชาติพันธุ์,วิถีชีวิต,ภาคเหนือ
Author Joann L. Schrock
Title The Lisu
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Total Pages 35 Year 2513
Source Minority group in Thailand, ARPA Research and Development Center Thailand (p. 309-348)
Abstract

ศึกษาลีซูที่อาศัยอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือของไทย ลีซูใช้ตระกูลภาษาทิเบต-พม่า ลีซูในประเทศไทยพูดภาษามูเซอ, จีน และยูนนานได้ บางส่วนพูดภาษาไทใหญ่, ลาว-ไทย และอาข่า สันนิษฐานว่าถิ่นฐานเดิมของลีซูอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนานหรือในธิเบต ก่อนจะอพยพขึ้นไปทางใต้คือหุบเขาสาลวิน และเข้าสู่ประเทศพม่าและไทย ลีซูทำการเกษตรกรรม โดยใช้พื้นที่ป่าหักร้างถางพงและเผาก่อนการเพาะปลูก รายได้หลักของลีซูคือการปลูกฝิ่นและค้าฝิ่น ครัวเรือนของลีซูประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยว มีสามี ภรรยา และลูกๆ ที่ยังไม่แต่งงาน คู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี ลีซูบูชาภูตผีและบรรพบุรุษ แต่ก็มีผู้นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ และเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยวิญญาณมีทั้งดีและร้ายสิงสถิตอยู่ในที่ต่างๆ

Focus

ศึกษาลีซู ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในเรื่องสภาพชีวิต ภูมิหลังของเผ่าพันธุ์ การแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม และการเมือง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ศึกษากลุ่มลีซู ที่อาศัยอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือของไทย และที่อยู่บริเณแม่น้ำ Salween ในประเทศพม่าและจีน คนไทยเรียกว่าลีซู หรือ Hkeh-Lisaw ขณะที่ลีซู เรียกตนเองว่า ลีซู บางครั้งก็ถูกเรียกว่า "Chenung", "Che-Li " หรือ "Yaw-yen" ชาวพม่ามักเรียกว่า "Yaw-yen" ชาวจีนเรียกว่า "Lisaw" แต่ใช้คำว่า Lu-Tze เมื่อกล่าวถึงลีซู ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาตอนบนของลุ่มน้ำสาลวินคำว่า Lu เป็นคำภาษาจีน แปลว่าแม่น้ำสาละวิน นอกจากนี้ ลีซูยังถูกเรียกว่า "Yeh-jen" อีกด้วย ภาษาจีนแปลว่า คนป่า ลีซู แบ่งเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่ม คือ "White Lisu" หรือ "Pai" , " Flowery Lisu " หรือ "Hua", "Black Lisu" หรือ "He" (หน้า 309) ลีซูเป็นคนกลุ่มมองโกลอยด์ มาจากกลุ่มทิเบต-พม่า สันนิษฐานว่าถิ่นฐานเดิมของลีซูอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนาน หรือในธิเบต ก่อนจะอพยพลงมาทางใต้คือหุบเขาสาลวิน และเข้าสู่ประเทศพม่าและไทย ชาติพันธุ์ลีซูเกี่ยวดองกับชาติพันธุ์อื่นๆ คือ โลโล, ละหู่, อาข่า, เย้า, ม้ง ทั้งทางภาษาและวัฒนธรรม (หน้า 312) ลีซูเป็นคนกลุ่มมองโกลอยด์ ชายสูงประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว หญิงตัวเตี้ยกว่า รูปหน้าแคบ จมูกเป็นสัน มีผิวสีอ่อน ตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ลีซูกลุ่มจะเคี้ยวหมากเพื่อให้ริมฝีปากเป็นสีแดงเข้ม ลีซูรักสันติแทบจะไม่มีการปะทะกัน มีความเป็นมิตรกับคนแปลกน้า และศรัทธาในโชคชะตา (หน้า 318,319)

Language and Linguistic Affiliations

ลีซูใช้ตระกูลภาษาทิเบต-พม่ามีการยืมภาษาจีน ภาษาถิ่นยูนนาน ภาษาที่ลีซูใช้มีสำเนียงถิ่นต่างๆ กันไป ในกลุ่ม He, Hue และ Pai ต่างก็มีภาษาถิ่นของตน แม้ว่าโครงสร้างทางภาษาและไวยากรณ์คล้ายกัน แต่คำศัพท์ของแต่ละถิ่นใช้แตกต่างกันทำให้สื่อสารกันยาก ลีซูไม่มีภาษาเขียน แต่ได้ประดิษฐ์ขึ้นในกลุ่มมิชชันนารีในจีน พม่าและไทย โดยใช้อักษรโรมันในการเทียบเสียงภาษาลีซู ลีซู ในประเทศไทยพูดภาษาลาหู่ จีน และยูนนานได้ บางส่วนพูดภาษาไทใหญ่ ลาว-ไทย และอาข่า ได้ ลีซูที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนตำรวจชายแดนไทยสามารถใช้ภาษาไทยได้คล่อง (หน้า 312,313) การเผยแพร่ข่าวสารของลีซูกระทำโดยการบอกเล่าปากต่อปากลีซู มีนักเล่าเรื่องในหมู่บ้าน ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์หรือเหตุการณ์ปัจจุบัน บางครั้งก็มีเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบขณะที่นักเล่าเรื่องกำลังทำหน้าที่ เครื่องดนตรีนี้เป็นเครื่องสายหรือเครื่องเป่า (หน้า 338)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ยังไม่พบว่าลีซู มีถิ่นกำเนิดจากที่ใดแน่ชัด แต่เผ่าพันธุ์เดิมอาศัยอยู่บริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เพราะการเสื่อมโทรมของหน้าดินและการขยายตัวของประชากร พบว่าลีซูอพยพย้ายถิ่นฐานเดิมหลายครั้งมาตั้งแต่ 2,000 ปีมาแล้ว สายหนึ่งไปทางหุบเขาลุ่มน้ำแยงซี และตั้งถิ่นฐานตามสาขาของแม่น้ำ และอีกสายอพยพไปตาามชายแดนจีน-ธิเบต และตั้งถิ่นฐานอยู่ตามภูเขาหรือหุบเขาสูง สาเหตุของการอพยพเพราะประชากรที่เพิ่มขึ้นและสภาพดินเสื่อม ลีซูที่อพยพลงมาในพื้นที่ยูนนานและสู่รัฐฉาน ในพม่าและท้ายที่สุดก็เข้ามาในประเทศไทยเมื่อราวๆ 150 ปีมาแล้ว (หน้า 314)

Settlement Pattern

ลีซู ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้อาศัยอยู่บนพื้นที่สันเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 5,000 ฟุตขึ้นไป เพราะพื้นที่ราบต่ำถูกจับจองไปหมดก่อนการมาถึงของ ลีซู ลีซู จะหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ที่จะใช้สร้างบ้าน มีแหล่งน้ำ มีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับหมู่บ้าน เมื่อได้พื้นที่ขนาดใหญ่พวกเขาจะไม่ต้องอพยพบ่อยๆ แม้วว่าบางหมู่บ้านอาจจะย้ายถิ่นฐานทุกๆ 3-4 ปี แต่หากเป็นที่ตั้งขนาดใหญ่มากขึ้นพวกเขาอาจอยู่ถึง 40-50 ปี โดยปกติการเคลื่อนย้ายถิ่นมักมีสาเหตุจากการตายของผู้นำหมู่บ้าน ขนาดของหมู่บ้านมีประมาณ 18-62 หลังคาเรือนหรืออาจมีมากถึง 100 หลังคาเรือนก็ได้ โดยบ้านจะมีที่สำหรับครอบครัวเดี่ยวที่มีสมาชิก 6-12 คนโดยเฉลี่ย บ้านมีโครงสร้าง 2 แบบ คือบ้านสร้างบนเสาไม้และบ้านที่สร้างติดพื้นดิน บ้านที่สร้างอยู่บนเสาพบแพร่หลายในแถบทางเหนือ โดยเฉพาะในกลุ่มลีซูดำ บ้านบนเสาไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณ 3-9 ฟุต ผนังบ้านทำจากไม้ไผ่สาน หลังคามุงด้วยหญ้า มักสร้างรั้วรอบบ้านเพื่อกันสัตว์เข้ามากินหญ้า และมีระเบียง บ้านเล็กๆ ที่ด้านหน้า บ้านบนเสาไม้มีห้อง 2-3 ห้อง ถ้าเป็นครอบครัวยากจนก็อาจมีเพียงห้องใหญ่ห้องเดียว บ้านที่สร้างติดพื้นดิน พื้นทำจากโคลนดินแข็ง ทำให้บ้านเย็นและชื้น ครอบครัวส่วนใหญ่มักทำกิจกรรมที่กลางบ้าน ผนังทั้งภายนอกภายในเป็นไม้ไผ่สาน บ้านแบ่งออกเป็น 3 ห้อง คือ ห้องกลาง เรียกว่า htang waw ch (หน้า 315-317)

Demography

ในปี ค.ศ. 1964 พบว่าลีซูอพยพย้ายถิ่นฐานเดิมหลายครั้งมาตั้งแต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีประชากรรวมประมาณ 400,000 คน 317,000 คนอาศัยอยู่ในประเทศจีน ในประเทศไทยมี 17,300 คน ปีใน ค.ศ. 1963 (หน้า 309,310)

Economy

ในปี ค.ศ. 1963 ทำการเกษตรกรรม โดยใช้พื้นที่ป่าหักร้างถางพงและเผาก่อนการเพาะปลูก เมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ก็จะหาที่ใหม่ เป็นเหตุให้เกิดการย้ายถิ่นเพราะหมดแหล่งทำกิน การปลูกพืชมีช่วงเวลาระหว่างปลายเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวคือเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน พืชที่เป็นอาหารหลักคือ ข้าว ลูกเดือย ข้าวโพด การปลูกข้าวทำได้อย่างจำกัดตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ พืชผลรองได้แก่ ถั่ว น้ำเต้า ฟักทอง แตง พริก หรือพริกไทย เป็นต้น สัตว์เลี้ยงมีหลายชนิดเช่น หมู แพะ ไก่ วัวควาย ม้า และสุนัข เพื่อใช้เป็นอาหารและขาย กิจกรรมที่สำคัญรองลงมาของลีซู คือ การล่าสัตว์โดยใช้หน้าไม้ เช่น สิงโตภูเขา หมูป่า กระรอก และนก รายได้หลักของลีซูคือการปลูกฝิ่นและค้าฝิ่น ครอบครัวหนึ่งมีรายได้ประมาณ 3,200-3,600 บาทต่อปี ฝิ่นจะปลูกในเดือนกันยายนและเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ไร่ฝิ่นจะปลูกไกลหมู่บ้าน ฝิ่นถูกนำไปขายถึง 95-98% โดยจะมีผู้มารับซื้อถึงหมู่บ้าน ที่เหลือจะเก็บไว้ใช้กันเอง แต่ลีซูที่ติดฝิ่นมีน้อยหรืออาจมีเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน รายได้ของลีซู มาจากการค้ากับหมู่บ้านคนไทยใกล้ๆ หรือกับพ่อค้าที่เข้ามาในหมู่บ้าน ผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้รองมาจากฝิ่นคือพริกไทย น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง สมุนไพร (หน้า 333-335) ลีซู รับประทานเนื้อหมูหรือไก่ ซึ่งถูกใช้เซ่นในพิธีต่างๆ และลีซู ทางเหนือถึงหุบเขาสาลวินบริโภค น้ำผึ้งป่า ธัญญาพืช ซุปผักกับไก่หรือไข่ ขณะที่ลีซูที่อยู่ในประเทศไทยบริโภคข้าวและผ้า เครื่องดื่มได้แก่น้ำ น้ำชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำจากข้าวโพดหรือข้าวฟ่าง (หน้า 328, 329)

Social Organization

ครัวเรือนของลีซูประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยว มี สามี ภรรยา และลูกๆ ที่ยังไม่แต่งงาน แต่ไม่ชัดเจนว่าลีซูเป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือแบบหลายเมีย การที่ผู้ชายมีเมียหลายคนก็เพื่อให้มาช่วยงานในบ้านและมีบุตร แต่เหตุผลหลักที่การมีเมียหลายคนทำได้จำกัดเพราะสินสอดที่จะต้องให้เจ้าสาวมีมูลค่ามาก มีการห้ามแต่งงานกันเองในหมู่ญาติ ยกเว้นแต่คู่ฝาแฝดที่ลีซูเชื่อว่าพวกเขาเป็นคู่กัน แต่แฝดคนใดคนหนึ่งต้องถูกเลี้ยงดูอยู่ที่อื่น เพื่อให้แต่งงานกันได้ นอกจากนี้ยังนิยมกับลูกพี่ลูกน้องที่เกิดจากพี่น้องผู้หญิงของพ่อ เช่น แต่งงานกับลูกสาวของน้องสาวของพ่อ เป็นต้น เพราะมีการลดค่าสินสอดให้ หญิงลีซูพร้อมที่จะถูกเกี้ยวพาราสีและแต่งงาน ก็เมื่อผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า "soom chieng" เสียก่อน เป็นพิธีที่จัดเพื่อแสดงถึงการเติบโตเป็นสาว หมอผีของหมู่บ้านจะให้ก้อนหินชนิดหนึ่งหรืออาจเป็นแผ่นเงินเป็นสัญลักษณ์ เมื่อหนุ่มสาวพึงพอใจกันและพร้อมจะแต่งงานก็จะให้พ่อแม่เป็นผู้จัดการเรื่องให้ โดยการเกี้ยวพาราสีกันเริ่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ หรืออาจมีพ่อสื่อที่เป็นเพื่อนหรือคนในครอบครัวของฝ่ายชายมาติดต่อกับครอบครัวของฝ่ายหญิง พิธีแต่งงานมักจัดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คู่แต่งงานใหม่จะอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี โดยเฉพาะกับลูกชายคนโตซึ่งต้องอยู่บ้านของพ่อแม่ ลูกชายคนรองจะแยกบ้านออกไปสร้างครอบครัวใหม่ใกล้ๆ กัน ลูกผู้ชายเป็นที่นิยมกว่าลูกสาวเพราะสามารถช่วยงานในไร่ได้ หากไม่มีลูกชายก็จะรับบุตรบุญธรรมผู้ที่จะกลายเป็นลูกเขยต่อไป (หน้า 321-323)

Political Organization

ลีซูไม่มีโครงสร้างทางการเมืองที่ชัดเจน แต่ในหมู่บ้านจะมีผู้นำสืบทอดกันมา โดยผู้นำจะได้รับเลือกโดยผู้อาวุโสของหมู่บ้าน โดยมากผู้นำทำหน้าที่ยุติข้อถกเถียงการละเมิดกฏและสั่งลงโทษหรือเรียกค่าปรับ (หน้า 336, 337)

Belief System

ลีซูโดยวัฒนธรรมดั้งเดิมบูชาภูตผีและบรรพบุรุษ เชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยวิญญาณมีทั้งดีและร้าย มีผีหลักๆ อยู่ 7 ประเภท คือ 1) ผี "wusu" เป็นผีผู้สร้างโลกและเป็นผู้ยิ่งใหญ่ 2) ผี "Misi" เป็นผีป่าเขา 3) ผี "Mina" เป็นผีแห่งผืนดิน 4) ผี "Mihi" เป็นผีลม 5) ผี "Muhu" เป็นผีสายฟ้า 6) ผี "Chyli" เป็นผีช่วยรักษาเยียวยา และ 7) ผี "hini" เป็นผีบรรพบุรุษ (หน้า 330) แต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผีที่เรียกว่า tonga หรือ maw-pi เป็นผู้ทำพิธีทางศาสนา เช่น พิธีไล่ผี พิธีเกิด พิธีศพ รักษาโรค และพิธีบูชายัญ หมอผีได้รับค่าตอบแทนเป็นมื้ออาหาร วันปีใหม่เป็นวันสำคัญทางศาสนา ประมาณวันที่ 20 มกราคม และ 20 กุมภาพันธ์ของทุกปี งานเฉลิมฉลองมีประมาณ 6-7 วัน มีการดื่มและเต้นรำ งานฉลองจะมี 2 ช่วง คือช่วง 3 วันแรกนั้นจะปักกิ่งไม้ไว้หน้าบ้านแขวนเนื้อหมู ขนม ธูป เทียน ไว้บนกิ่งไม้ พอตกเย็นก็จะเต้นรำรอบๆ ส่วนช่วงหลังนั้นคือการกินเลี้ยงสังสรรค์ พิธีกรรมหนึ่งในวันปีใหม่คือ การอุทิศให้ผีน้ำ ผู้นำครอบครัวกับภรรยาจะพรมน้ำบนพื้นบ้าน เพื่อเป็นการติดต่อระหว่างผู้อยู่อาศัยและผีน้ำ ส่วนเทศกาลใบไม้ผลิกินเวลา 4-6 วัน เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวจะออกไปเลือกคู่ หนึ่งวันของเทศกาล ลีซู ทำบุญอุทิศให้กับบรรพบุรษ โดยการเซ่นหมูและออกไปเยี่ยมสุสาน มีลีซูที่เป็นพุทธอยู่ 107 คน ในปี ค.ศ. 1950 มี (หน้า 311,332) ลีซูเชื่อว่าการตายเป็นการเข้าสู่อาณาจักรแห่งวิญญาณ เป็นการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายเพราะต้องข้ามภูเขา 9 ลูกและลำธาร เมื่อมีคนเสียชีวิต ผู้ตายที่เป็นชายจะได้เมล็ดข้าวสาร 9 เมล็ดและชิ้นเงินเล็กๆ 9 ชิ้น ส่วนผู้หญิงจะได้ 7 ชิ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ตายให้ไปถึงอาณาจักรวิญญาณ ทันทีที่มีคนตาย จะมีคนเฝ้าศพ 2 คนและเป็นผู้เรียกให้วิญญาณต่างๆ ยอมรับผู้ตายและนำเขาไปหาบรรพบุรุษ พิธีเผาศพเกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันในต่างพื้นที่ บางท้องถิ่นจะเก็บศพไว้จนกระทั่งหลังฤดูเก็บเกี่ยวจึงจัดงานเลี้ยงให้ ในพิธีมีงานเลี้ยง ศพจะถูกใส่ไว้ในโลงไม้ ระหว่างพิธีกรรมชาวบ้านจะช่วยกันแบกโลงศพไปยังสุสาน สุสานของลีซูมีหลายแบบ ที่เห็นกันทั่วไปก็จะขุดตื้นๆ การไว้อาลัยกินเวลาถึง 3 ปี โดยจะนำข้าว ไวน์ และน้ำ ไปให้กับวิญญาณในสุสาน เพราะเชื่อว่าในปีที่ 3 ผู้ตายได้เดินทางไปถึงดินแดนวิญญาณแล้ว (หน้า 324)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ลีซูมีสุขภาพดี แต่ก็พบโรคมาลาเรียแพร่หลาย ซึ่งติดกลับมาเมื่อพวกเขาลงไปในพื้นที่ราบต่ำ ทำให้มีอัตราการตายเพิ่มขึ้น และยังมีกามโรคที่ติดจากในเมืองหรือตลาด การแพทย์ที่ทันสมัยกำลังเป็นที่รู้จักในหมู่ลีซู แต่การบริการไม่เพียงพอ ดังนั้นการรักษาโรคจึงอาศัยการเซ่นไหว้ พิธีกรรม หรือการบูชายัญโดยหมอผี (หน้า 318)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ทั้งชายและหญิงสวมเสื้อคลุม ด้านหลังยาวถึงเข่า ด้านหน้ายาวระดับเอว มีสีสันต่างๆ มีผ้าซับในข้างในเสื้อคลุม ผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวความยาวระดับเข่า มีผ้าพันรอบเอว เสื้อสตรีมีสีฟ้า เหลือ ดำ เขียว ม่วง ขาว ทั้งชายและหญิงจะสวมใส่กางเกงหลวมๆ ไว้ข้างใน มีความยาวระดับเข่า กางเกงมีสีฟ้า ผู้หญิงลีซูอาจสวมกระโปรงมีจีบหรือที่ตกแต่งด้วยเปลือกหอย กระโปรงแบบนี้ได้รับมาจากจีน ที่ขาจะมีเครื่องหุ้ม ใส่เพื่อป้องกันหนามหรืองู มักมีสีฟ้าทอจากผ้าป่าน ส่วนมากลีซูจะเดินเท้าเปล่า แต่บางครั้งก็สวมรองเท้าแตะที่ทำจากเปลือกไม้ไผ่หรือหญ้าแห้ง ทั้งชายหญิงสวมผ้าโพกศีรษะ ทำจากผืนผ้ายาวหลายฟุตและใช้พันรอบศีรษะ อาจตกแต่งด้วยเปลือกหอยหรือพู่ ในโอกาศพิเศษผู้หญิงจะสวมผ้าพันคอ ส่วนผู้ชายอาจสวมหมวก ลีซูทั้ง 2 เพศจะโกนศีรษะ และทิ้งผมไว้ให้ยาวประมาณ 3-4 นิ้วเป็นหย่อมด้านหลังศีรษะและถักเป็นเปีย ในพื้นที่อื่นๆ จะไม่โกนศีรษะแต่ปล่อยให้ยาวแล้วถักเป็นเปีย ทั้งชายหญิงมีเครื่องประดับ เช่นกำไลเงินหรือทองแดง ผู้หญิงมักสวมต่างหูเงิน และจะประดับประดามากขึ้นเวลาออกงานพิธี เสื้อผ้าของลีซูทำขึ้นจากการทอด้วยป่าน ในพื้นที่ห่างไกล ลีซูดำใช้ใบกัญชาทอ และกลุ่มทางใต้จะซื้อผ้าจากชาวจีน (หน้า 325-328) ช่างโลหะและช่างเงินเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ ลีซู หมู่บ้านจะมีช่างโลหะที่ทำหน้าที่ซ่อมมีด ขวาน หรืออุปกรณ์ทำอาหาร และผลิตเครื่องใช้ไม้สอยประเภทโลหะ ส่วนช่างเงินจะผลิตเครื่องประดับเงิน งานหัตถกรรมอื่นๆ ก็ได้แก่งานไม้ไผ่ งานสานตะกร้า และการทอผ้า (หน้า 334)

Folklore

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของลีซูถึง 2 พี่น้องชาย-หญิงที่รอดตายจากความแห้งแล้งบนโลก พวกเขาอาศัยอยู่ในน้ำเต้าและต้องสู้กับความหิวโหย วันหนึ่งเด็กชายได้อ้อนวอนกับ "Wusu" เทพแห้งท้องฟ้าเพื่อขอฝน เมื่อคำขอสำเร็จโลกก็กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ พี่น้องคู่นั้นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาขาดแคลนเผ่าพันธ์มนุษย์ พวกเขาจึงแต่งงานกัน เด็กผู้หญิงตั้งท้องและได้ให้กำเนิดน้ำเต้าผลหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงไปถามเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าแะได้คำตอบว่าภายในน้ำเต้ามี 101 ภาษาและมีมนุษย์ 201 คน ทั้งคู่ช่วยกันเปิดน้ำเต้าและปรากฏมีผู้หญิง 100 คนและผู้ชาย 101 คนออกมา หนึ่งคู่นั้นได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของลีซู หนึ่งที่ไม่มีคู่ เป็นชายอาข่า ซึ่งเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าบอกให้เข้าป่าและแต่งงานกับลิง ในสายตาของลีซู มองว่า Akha เป็นทายาทของลิงผสมมนุษย์ นิทานอีกเรื่องคือ มีน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ มีพี่น้องคู่หนึ่งที่รอดมาได้ปลอดภัยโดยหลบเข้าไปอยู่ในฟักทองยักษ์ หลังจากลอยอยู่หลายวันจนกระทั่งน้ำลดทั้งคู่จึงแต่งงานกัน ต่อมาหญิงสาวได้ให้กำเนิดบุตรชาย 9 คน เมื่อลูกชายเติบโตก็ออกไปสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ (หน้า 313,314)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลีซู ติดต่อกับ Lolo, Akha,Meo และ Yao และอาจมีเรื่องขัดแย้งกับ Lahu ในเรื่องของที่ตั้งหมู่บ้านและการเพาะปลูก (หน้า 315)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปที่ 3 บ้านลีซู (หน้า 317) รูปที่ 4 การแต่งกายของลีซู (หน้า 326) รูปที่ 5 เครื่องประดับหญิงลีซู (หน้า 327)

Text Analyst กฤษฎาภรณ์ อินทรวิเชียร Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG ลีซู, ชาติพันธุ์, วิถีชีวิต, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง