|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,ส่วย,คุณภาพชีวิต,การศึกษา,ศรีสะเกษ |
Author |
น้ำทิพย์ พุ่มไม้ทอง |
Title |
คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล และความต้องการทางการศึกษา สำหรับกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพประชากร กรณีศึกษาชาวส่วยเขมร หมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
205 |
Year |
2534 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
จากการสำรวจคุณภาพชีวิตของส่วยเขมรในหมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ พบว่าสภาพคุณภาพชีวิตยังเป็นปัญหาอยู่เกือบทุกด้าน สาเหตุคือ 1.ความยากจน เกิดจากผลผลิตทางการเกษตร และรายได้ต่ำ ขาดเงินทุนจัดหาปัจจัยการผลิต ขาดความรู้และประสบการณ์การเกษตรแผนใหม่ ที่จะทำให้ผลผลิตสูง การมีลูกมาก การถูกเอาเปรียบจากนายทุนที่กู้ยืมเงินมาลงทุนในอาชีพ หรือใช้จ่ายในครัวเรือนโอกาสในการเลือกอาชีพมีน้อย 2.ความเจ็บไข้ ไม่สามารถประกอบการงานได้ หรือได้ไม่เต็มที่มีอัตราสูง เนื่องจากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ที่พักอาศัย การรักษาพยาบาลยังไม่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ 3.ความไม่รู้ หรือการศึกษาต่ำ ทำให้คิดว่าไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพแวดล้อม และสิ่งที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในสังคมส่วยเขมรมีน้อย 4.เนื่องจาก ความไม่กระตือรือร้นในการประกอบอาชีพ หรือการแสดงออกทางสังคมที่ขาดระเบียบ ไม่สนใจเหตุการณ์แวดล้อม คอยแต่ความช่วยเหลือจากทางราชการ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของส่วยเขมร เป็นไปใม่ได้เท่าที่ควร ประกอบกับส่วยเขมรยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์และข้อดี ในการร่วมมือกันทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน ส่วนในด้านความต้องการทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่วยเขมรมีความต้องการความรู้มากน้อยต่างกันตามองค์ประกอบพื้นฐานด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ดี นโยบายหรือการจัดการศึกษาที่เน้นอาชีพที่ผ่านมา ส่วยเขมรยังไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการดำรงชีวิต เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องสภาพภูมิประเทศ และความยากจน (หน้า 194,197-198) |
|
Focus |
สภาพทั่วไปทางกายภาพ ทัศนคติ เศรษฐกิจ สังคม ประเพณีวัฒนธรรม ตามองค์ประกอบความจำเป็นพื้นฐาน และสภาพปัญหาต่างๆ ตามกาลเวลา (หน้า 73-127, 168-194) ตลอดจนความต้องการด้านการศึกษา (หน้า 146-152) ในการสำรวจภาวะความมีคุณภาพชีวิต ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในชนกลุ่มน้อยส่วยเขมร หมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ส่วยเขมร "ส่วย" เป็นคำที่คนไทยใช้เป็นชื่อเรียกกลุ่มชนที่มีพันธะทางสังคม ไม่ได้กำหนดจากเชื้อชาติ สืบเนื่องในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ดินแดน และผู้คนที่อาศัยในบริเวณตั้งแต่แม่น้ำมูล จังหวัดบุรีรัมย์เรื่อยไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์ - สาละวิน และอัตปือ เข้ามาไว้ในอำนาจนั้น มีพันธะว่าจะต้องส่งส่วยของป่าให้กับราชสำนักตามอัตรากำหนด ต่อปี ซึ่งจำนวนผู้คนที่มีพันธะต้องส่งส่วย หรือถูกจับเป็นข้าทาสเป็นชนชาติในตระกูลภาษามอญ-เขมร มากที่สุด ซึ่งในภาษาลาวหรือไทยอีสานเรียกคนเหล่านี้ว่า "ข่า" หรือ "ข้า" ส่วนพวกส่วยเองนั้นเรียกตัวเองว่า "กุย" แปลว่า คน แต่คนไทยใช้คำว่า "ส่วย" หมายรวมถึงพวกที่เป็นเขมร หรือลาวด้วย (หน้า 33-39, หน้า 65) และสำหรับหมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำที่ได้ทำการศึกษานี้ เป็นส่วยเขมรทั้งหมด มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นแบบเขมรโดยไม่ปะปนกับคนไทยอีสาน (หน้า 66) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ส่วยจะใช้ภาษาที่ดัดแปลงมาจากภาษาส่วยเดิมปะปนกับภาษาเขมร ภาษาลาว โดยอยู่ใกล้เขตแดนใดก็จะพูดภาษานั้นด้วยสำเนียงส่วย และยังมีส่วยบางพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมภาษาของตนเองโดยพูดภาษาส่วย ภาษาเยออยู่ ซึ่งเป็นภาษาที่ดัดแปลงมาจากภาษาส่วยเดิม เป็นภาษาเขมรปนลาว ไม่มีภาษาเขียน (หน้า 4,43, 63,156) ส่วนในพื้นที่ที่ทำการศึกษานั้น ทั้งสองหมู่บ้านเป็นส่วยที่พูดภาษาเขมรในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นโดยทั่วไปจะพูดภาษาไทยอีสาน (หน้า 63,65, 90) |
|
Study Period (Data Collection) |
ทำการสำรวจเบื้องต้นวันที่ 22-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เก็บข้อมูลภาคสนามระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน พ.ศ. 2531 (หน้า 48, 52) |
|
History of the Group and Community |
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่วยเขมรในบริเวณหมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำ อพยพมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เชื่อกันว่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นส่วย (หน้า 61-63, 68 ) ซึ่งแต่เดิมพวกส่วยตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ตามป่าดง แขวงเมืองอัตปือ เมืองแสนแป ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศลาว เมื่อถูกลาวเข้ารุกรานแย่งที่ทำกิน และจับเป็นข้าทาสใช้งาน จึงมีส่วยบางพวกอพยพไปหาที่ทำกินแหล่งใหม่หลายสาย และบางพวกอาศัยตามเดิมซึ่งเป็นเมืองขึ้นของลาวทั้งหมด กลุ่มที่อพยพเข้ามาประเทศไทยสู่ดินแดนอีสานตอนใต้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วง พ.ศ. 2199 ขึ้นไป มักจะตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำมูล ต่อมาในสมัยระหว่างกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ.ศ. 2320 - พ.ศ. 2350 กองทัพไทยได้กวาดต้อนเกลี้ยกล่อมพวกส่วย หรือที่คนไทยในสมัยนั้นเรียกว่า เขมรป่าดง ให้เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษเป็นจำนวนมาก (หน้า 33 -39) ส่วยแบ่งออกเป็น 3 พวก คือ ส่วยเขมร ส่วยลาว และส่วยที่พูดภาษาของตนเอง คือภาษาส่วย แต่รับวัฒนธรรมประเพณีเป็นแบบเขมร (หน้า 39-40, 155) |
|
Settlement Pattern |
ส่วยเขมรทั้งในหมู่บ้านแจงแมง และหมู่บ้านชำมักปลูกสร้างบ้านเรือนบนบริเวณที่เป็นเนิน ใกล้แนวป่าตามแนวชายแดนเทือกเขาพนมดงรัก ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะรวมกันเป็นกลุ่ม บริเวณรอบบ้านมักเป็นบ้านเรือนของญาติพี่น้องและค่อย ๆ กระจายกันออกไป (หน้า 57-61,170) มักจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ และตั้งบ้านเรือนแยกต่างหากกับหมู่บ้านคนไทยอีสาน สภาพบ้านเรือนมักยกสูงเพื่อใช้บริเวณใต้ถุนเป็นที่เก็บวัสดุ ผลผลิต และใช้ส่วนหนึ่งทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ นั่งทอผ้า เลี้ยงบุตรหลาน ส่วนหลังคามุงหญ้าคาหรือสังกะสี ขนาดบ้านเรือนมีเล็ก ใหญ่บ้างตามขนาดครอบครัว บริเวณที่พักอาศัยสกปรกง่ายต่อการเป็นแหล่งของเชื้อโรค (หน้า 63, หน้า 66-68, หน้า 74) |
|
Demography |
บริเวณส่วนใหญ่ที่ส่วยมักอพยพมาตั้งถิ่นฐานคือพื้นที่ป่าดงทางฝั่งใต้ของแม่น้ำมูล ลงมา ประมาณปี พ.ศ. 2320 มีส่วยอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ ราว 30,000 คน (ขณะนั้นไทยมีพลเมืองประมาณ 6 ล้านคน) (หน้า 35,39) ซึ่งส่วยเองก็ได้สืบทอดเชื้อสายขยายตระกูลต่อมา โดยแยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในหลายพื้นที่ ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และประมาณปี พ.ศ. 2450 ศรีสะเกษ เป็นจังหวัดที่มีส่วยมากที่สุด (หน้า 39-40) ตั้งบ้านเรือนอยู่ต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ไม่อพยพไปที่อื่น นิยมมีบุตรครอบครัวละหลายคนเพราะต้องการให้ช่วยประกอบอาชีพ และใช้แรงงาน (หน้า 178, 169) ทำให้สภาพการทำมาหากิน และที่ดินทำกินมีไม่เพียงพอและจำกัดกว่าเดิม สำหรับส่วยเขมรเฉพาะในพื้นที่ศึกษาทั้งสองหมู่บ้านนั้น มีประชากร รวม 1967 คน (เป็นชาย 827 คน หญิง 1,140 คน) จำนวน 321 ครัวเรือน (หน้า 72-73) |
|
Economy |
ส่วยเขมรประกอบอาชีพหลักคือการเกษตรมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในหมู่บ้านแจงแมงและหมู่บ้านชำ มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองส่วนใหญ่แต่ก็ไม่สมดุลกับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นและรัฐบาลไม่สามารถจัดสรรที่ดินทำกินได้อย่างทั่วถึง รายได้หลักของส่วยมาจากการทำไร่ข้าวโพด ส่วนข้าวมักปลูกไว้บริโภคเองเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินจะรับจ้างเป็นแรงงานการเกษตร การเพาะปลูกเป็นแบบง่ายๆ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ผลผลิตที่ได้จึงน้อย (หน้า 7, 94-97) การจำหน่ายผลผลิตมักจะขายให้กับ ผู้มารับซื้อในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นพ่อค้า หรือเจ้าหนี้ที่เข้ามาซื้อผลผลิตเป็นการทยอยหักหนี้ เพราะชาวบ้านไม่มีพาหนะที่จะนำผลผลิตไปขายนอกหมู่บ้านได้สะดวก (หน้า 101-102) ทำให้อยู่ในสภาพถูกเอาเปรียบจากนายทุน และพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งขาดทักษะความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต นอกจากนั้น การใช้ชีวิตของส่วยเขมรมีลักษณะไม่กระตือรือร้นในการเพาะปลูกพืชผักชนิดอื่นไว้บริโภคนอกจากข้าว ทำให้ต้องซื้อหาอาหาร ทำให้ต้องพึ่งเงิน (หน้า 174-175,184-186) ทำให้ส่วยเขมรส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย และอยู่ในสภาพเป็นหนี้สิน |
|
Social Organization |
ส่วยเขมรในหมู่บ้านทั้ง 2 มีความรักผูกพันกับที่อยู่เดิมมากไม่ต้องการย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ มีความใกล้ชิดญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน รักใคร่ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ผู้น้อยให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันหมด (หน้า 63,187,190) จากการคมนาคมที่สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อนจึงทำให้ส่วยเขมรในหมู่บ้านมีความคุ้นเคย ติดต่อกันมากขึ้นกับคนไทยอีสาน ซึ่งมีผลในเรื่องการแต่งงานของคนในครอบครัวโดยจะเป็นใครก็ได้ ไม่บังคับหรือห้ามเหมือนในอดีต (หน้า 108) ส่วยเขมรนิยมเข้าร่วมงานพิธีต่างๆ ที่จัดขึ้นในหมู่บ้าน หรือชุมชนใกล้เคียงเสมอโดยเฉพาะงานมหรสพรื่นเริง มีการช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ตรงกันข้าม หากมีกิจกรรมที่เป็นการร้องขอความร่วมมือที่จะสร้างสิ่งต่าง ๆ หรือพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญขึ้นด้วยโครงการต่างๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล กลับไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร (หน้า 108-112, 188-189) สำหรับการรวมตัวเป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ ของส่วยเขมรทั้ง 2 หมู่บ้านนั้น ส่วนใหญ่หวังที่จะได้กู้เงิน หากกลุ่มหรือองค์กรใดมีเงินทุนหมุนเวียนน้อย ก็จะเลิกสนใจ (หน้า 115-116) ในอดีตบริเวณหมู่บ้านทั้ง 2 จัดอยู่ในเขตพื้นที่ล่อแหลม ทางราชการได้กำหนดให้เป็นหมู่บ้าน อพป. (กลุ่มไทยอาสาป้องกันตนเอง) จึงมีลักษณะดูแลปกครองตนเอง แต่ด้วยเหตุที่ชาวบ้านมีสภาพความเป็นอยู่ยากจน อีกทั้งไม่นิยมเพาะปลูกพืชเก็บไว้เพื่อบริโภค และมีความเป็นอยู่ในวงแคบ จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องความเปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความเป็นอยู่ของเขมรอัตคัตมากกว่าเดิม การลักขโมยจึงเริ่มมีขึ้นประปราย (หน้า 189-191) |
|
Political Organization |
ด้วยเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ทางรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพและโครงสร้างเศรษฐกิจ ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วยเขมรทั้ง 2 หมู่บ้านจึงได้รับความช่วยเหลือในรูปโครงการต่างๆ มากมาย เป็นผลให้เกิดการกระจายอำนาจหน้าที่ไปยังหลายหน่วยงานในท้องถิ่นเพื่อบริหารงานพัฒนา แต่ด้วยข้อจำกัดและขั้นตอนการปฏิบัติราชการที่ล่าช้า และความไม่พร้อมของส่วยเขมรในหมู่บ้านทำให้โครงการพัฒนาต่าง ๆ ไม่ประสบความสำเร็จ เกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้าน ที่สำคัญส่วยเขมรคิดว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในการพัฒนาหมู่บ้านฝ่ายเดียว (หน้า 173-189. 192-193) |
|
Belief System |
เขมรส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นอยู่กับเรื่องผี ไสยศาสตร์ คำสอนของบรรพบุรุษ และคตินิยมผสมในแนวทางพุทธศาสนาที่ยอมรับนับถือเป็นศาสนาประจำกลุ่ม ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของส่วยเขมร คือมีการทำบุญให้ทาน เชื่อเรื่องบุญบาป ยึดมั่นในคุณธรรม และมีพิธีกรรมต่างๆ ตามแบบลัทธิพราหมณ์ที่เป็นการบวงสรวง บูชา บนบาน เช่น พิธีการรำแม่มด การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ซึ่งยึดมั่นในแนวปฏิบัติเก่าแก่มาจวบจนปัจจุบัน ส่วนความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ยังเชื่อถือกันอยู่มากคือเรื่องการทำเสน่ห์ การเสกของเข้าร่างกาย ยาสั่ง และยังมีความเชื่อในเรื่องโชคลางบางอย่าง และคิดว่าขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของตนแตกต่างจากชาวอีสานอย่างเห็นได้ชัด บางอย่างแตกต่างบ้างในเรื่องฤกษ์ยามและวิธีปฏิบัติ เช่น พิธีศพ พิธีแต่งงาน (หน้า 122-125,192-193) ส่วยเขมรจะเรียนรู้คาถาเวทย์มนต์ต่าง ๆ ทางไสยศาสตร์ด้วยภาษาเขมร จึงจำเป็นต้องเรียนรู้วัฒนธรรมภาษาเขียนด้วย แต่จาก สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ความจำเป็นในการใช้ภาษาเขียนหมดไป (หน้า 171) ข้อคำสอน และความเชื่อต่างๆ ในเรื่องผีและไสยศาสตร์ที่มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษนั้น เป็นข้อยึดถือและเป็นแนวทางให้ส่วยเขมรปฏิบัติในรูปแบบจารีตประเพณี หรือกฎของสังคม ที่ถูกถ่ายทอดต่อกันมาจากพระ พ่อแม่ หรือผู้อาวุโส โดยการบอกเล่า สอนให้ปฏิบัติจริง หรือจากการสังเกต เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตของส่วยเขมร เกิดเป็นความสามัคคี และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเชื่อว่าหากทำความดีก็จะได้รับผลดีตอบแทน หากทำความชั่ว วิญญาณต่าง ๆ จะดลบันดาลให้เกิดความวิบัติ ใครฝ่าฝืนข้อคำสอน หรือความเชื่อ ก็จะถูกรังเกียจหรือไม่ยอมรับ (หน้า 183-184, 195) |
|
Education and Socialization |
นอกจากการศึกษาในระบบโรงเรียนแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนเข้ามาอบรมความรู้ด้านการประกอบอาชีพ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจน ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนเขมรส่วนใหญ่ไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา มักให้บุตรหลานออกมาประกอบอาชีพ หรือใช้แรงงาน หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้ได้เงินค่าจ้างมาดำรงชีวิต ประกอบกับเด็กนักเรียนส่วยเขมรเองมีผลสัมฤทธิผลทางการเรียนต่ำมาก เนื่องจากปัญหาในการใช้ภาษาไทย (หน้า 4-8, 170-171) นอกจากนั้น ส่วยเขมรยังได้รับการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ ความเชื่อ ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต จากพระ พ่อแม่ และผู้อาวุโสต่างๆ ด้วยการสอนให้ปฏิบัติจริง หรือจากการสังเกต และเลียนแบบ ซึ่งเป็นการศึกษาแบบธรรมดาวิสัย (Informal Education) ตลอดจนการเข้าร่วมกิจรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น ทำให้ส่วยเขมรได้รับความรู้จากข่าวสาร และมหรสพต่างๆ นั้นด้วย (หน้า 90, 158-159) |
|
Health and Medicine |
บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของส่วยเขมรมักมีสภาพสกปรก เพราะความไม่รู้ถึงอันตรายจากเชื้อโรคต่าง ๆ จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องสุขอนามัยของครอบครัว ไม่ช่วยกันรักษาความสะอาดของหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันส่วยเขมรมีความต้องการที่จะมีส้วมใช้มากขึ้น ส่วนในเรื่องโภชนาการนั้น พบว่าการกินอาหารเป็นไปในลักษณะตามมีตามเกิด เนื่องจากสภาพขาดแคลนเงินทองซื้อหาอาหารบริโภค และส่วยเขมรเองไม่ปลูกผักไว้บริโภค แหล่งน้ำดื่มมีน้อย เป็นผลให้เด็กส่วยเขมรขาดธาตุอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่แข็งแรง ขาดภูมิต้านทาน กลายเป็นประชากรที่ขาดคุณภาพชีวิต (หน้า 172-176) เมื่อเจ็บป่วยชาวบ้านนิยมไปรักษาที่สถานีอนามัยที่อยู่ใกล้บ้าน นอกจากมีการเจ็บป่วยที่รุนแรง หรือบางครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะมักจะไปรักษาที่คลินิก หรือโรงพยาบาลในอำเภอ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเชื่อถือในการรักษาทางไสยศาสตร์ด้วย แต่มีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลง เนื่องจากส่วยเขมรพบว่าการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันนั้นทำให้หายจากการเจ็บป่วย รวมถึงการวางแผนครอบครัวก็มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาที่ทำให้ส่วยเขมรมีประสบการณ์ เกิดความคิดอย่างมีเหตุผล มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าบริการของรัฐที่เข้าไปยังหมู่บ้านนั้นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการสร้างความพร้อม เพื่อเปลี่ยนทัศคติของส่วยเขมร (หน้า 176-178) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในอดีตผู้หญิงส่วยเขมรจะนุ่งผ้าซิ่นที่มีเชิงสวยงาม ส่วนผู้ชายจะแต่งกายธรรมดา นุ่งกางเกงจีน หรือโสร่งมีผ้าขะม้าพาดบ่า ซึ่งวัฒนธรรมการแต่งกายนี้จะถูกถ่ายทอดโดยกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องทอผ้า แต่ปัจจุบันนี้ มักแต่งตัวตามสมัยนิยมหาซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้สะดวกจากตลาด แต่ยังมีบ้างที่ทอเสื้อผ้าใช้เองโดยซื้อด้ายทอสีสำเร็จรูปมาใช้ทอมากกว่าที่จะปั่นฝ้ายย้อมสีเอง (หน้า 77, 156-157,173) ในงานมงคลหรืองานเทศกาลต่าง ๆ จะมีมหรสพ "กันตรึม" ซึ่งเป็นวงดนตรีพื้นเมือง ประกอบการร้องโต้ตอบระหว่างชายหญิงได้รับความนิยมมากที่สุด แค่ปัจจุบันใช้ดนตรีสากล และมีหางเครื่องประกอบ ส่วนการละเล่นที่นิยมกันคือ "เจรียง" มีลักษณะเหมือนหมอลำและเพลงโคราช ใช้แคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบการร้องโต้ตอบระหว่างชายหญิง บทเจรียงจะออกไปทางตลก คะนอง (หน้า 110-111) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ส่วยมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิดกับคนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีผลทำให้ความคิด ความเชื่อ และชีวิตความเป็นอยู่ของส่วยและคนลาวคล้ายคลึงกัน นับตั้งแต่สังคมเกษตรกรรม การมีชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน จารีต ประเพณี กฎของสังคมขึ้นอยู่กับธรรมชาติ เชื่อเรื่องผีสางเทวดา มีพิธีกรรมบวงสรวงบูชา เมื่อส่วยอพยพมาสู่ภาคอีสานของไทยก็ได้คละเคล้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนกับพวกเขมรและคนไทยอีสาน โดยเฉพาะวัฒนธรรมเขมร ที่เห็นชัดคือพีธีกรรมต่างๆ ตามลัทธิพราหมณ์ยังคงอยู่ (หน้า 45-48) สำหรับส่วยเขมรทั้ง 2 หมู่บ้านในพื้นที่ศึกษาเดิมมีถิ่นฐานติดกับเขตแดนของเขมร จึงทำให้ส่วยเขมรยอมรับวัฒนธรรมทางภาษาพูดไว้มาก และเกิดปัญหาทางการเรียนในเด็กที่ใช้ภาษาไทยไม่ค่อยได้ นอกจากนี้ ส่วยเขมรบางส่วนในหมู่บ้านมีความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย มีความรู้น้อย และไม่ค่อยได้รับสิทธิต่าง ๆ เท่าเทียมกับไทยอีสาน (หน้า 201-203) อย่างไรก็ดี สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง มีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้นทำให้ส่วยเขมรทั้ง 2 หมู่บ้านมีสภาพความเป็นอยู่คล้ายคนไทยอีสานมากขึ้น และลดความรู้สึกที่ว่ามีคุณค่าไม่เท่าเทียมกัน หรือไม่ได้เป็นสมาชิกของสังคมเช่นเดียวกับคนอื่นลงไปมาก |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตส่วยมีการดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งตนเอง สภาพสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงช้า เนื่องจากอยู่ห่างไกลชุมชน แต่ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปทำให้ความเจริญทางวัตถุต่างๆ ภายนอกได้เข้ามายังหมู่บ้าน ส่วยเขมรมีโอกาสได้พบปะผู้คนต่างหมู่บ้านวัยรุ่นได้รับรู้และเห็นการดำเนินชีวิตแบบสังคมคนเมือง ส่งผลให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ในลักษณะธรรมดาวิสัยลดลง ระบบการสื่อสาร ทำให้เกิดการเอาอย่าง และเกิดความรู้สึกในทางแข่งขันเพื่อได้อวดสภาพฐานะซึ่งกันและกัน จนบางครั้งเป็นความขัดแย้งกันอย่างมากระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจกับสภาพการใช้ชีวิต ส่งผลให้ส่วยเขมรต้องเป็นหนี้สินเพื่อจะนำเงินมาใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินเกินความจำเป็นโดยใช่เหตุ (หน้า 156, 187-189) ส่วนในเรื่องศาสนาและความเชื่อต่างๆ ส่วยเขมรจะรับเอาวัฒนธรรมความเชื่อต่างๆ ของคนไทยไปใช้กับกลุ่มของตนมากยิ่งขึ้น เพราะมีความสัมพันธ์กับคนไทยหรือคนพื้นเมืองหลายๆ ด้าน ทำให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนหรือยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อต่างๆ ได้รวดเร็วจนเกิดการสลายตัวของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย การประกอบอาชีพ ยังอาจได้รับการถ่ายทอดจากการศึกษาที่ได้รับในโรงเรียน หรือจากสื่อมวลชนต่าง ๆ และการบรรจุวิชาพระพุทธศาสนาไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ มีส่วนทำให้ส่วยเขมรมีนิสัยรักสงบ และพยายามที่จะทำตนให้เข้ากับคนไทยอีสาน (หน้า 192-196) |
|
Other Issues |
เพื่อให้คุณภาพชีวิต การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างทั่วถึงยังพื้นที่ชนบทห่างไกล การยกระดับคุณภาพชีวิต (Quality of life) จึงเป็นแนวคิดการเร่งรัดพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่นำมาใช้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หน้า 1-3) แต่ในการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มน้อยส่วยเขมรบ้านแจงแมง และบ้านชำนั้น ยังไม่ประสบผลเท่าที่ควร เนื่องจากการพัฒนาของรัฐที่ผ่านมา มักเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เน้นการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเป็นวัตถุ สิ่งของต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่จัดสรรเป็นความช่วยเหลือนั้นไม่ได้เกิดจากกความต้องการของคนในชุมชน และมักเป็นชุมชนที่ล้าหลังมาก สภาพสังคมนั้นไม่มีความพร้อมหลายด้าน ทำให้เสียเวลา เสียงบประมาณ และเปล่าประโยชน์ ส่วนในด้านการจัดการศึกษา มักเป็นนโยบาย ที่กำหนดจากส่วนกลางไปยังท้องถิ่น ยังไม่เน้นถึงชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีความต้องการที่แตกต่าง โดยเฉพาะทักษะ ความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นฐานความจำเป็นในการดำรงชีวิต และเป็นความรู้ที่ยืดหยุ่นนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง อย่างไรก็ตาม กลไกการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น และเอกชน ตลอดจนชาวบ้านในหมู่บ้าน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการมีส่วนร่วมในแผนปฏิบัติการ เพื่อประสานการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด (หน้า 200-203) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ได้ใช้แผนที่ แสดงที่ตั้ง อาณาเขต ประกอบคำอธิบายประวัติการตั้งถิ่นฐาน ภาษา และสภาพทางภูมิศาสตร์ (หน้า 41, 58, 64) ใช้ภาพถ่าย ชุมชน สิ่งแวดล้อม สภาพ การใช้ชีวิตปัจจุบันของส่วยเขมรในพื้นที่ศึกษา เพื่อประกอบคำอธิบายภาวะความมีคุณภาพชีวิต (หน้า 69-71,74-81,91-93,111-112) และแสดงประเภทของกลุ่มชนต่างๆ ในประเทศไทยด้วยแผนผัง (หน้า 250-251) |
|
|