สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,โครงสร้างสังคม,ระบบเศรษฐกิจ,ประเพณี,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author Joann L. Schrock
Title The Karen
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
สำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Total Pages 61 Year 2513
Source Minority Group in Thailand, ARPA Research and Development Center Thailand. (p.793-853)
Abstract

กะเหรี่ยง ใช้กล่าวเรียกชาวเขา 4 เผ่า ได้แต่ กระเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสกอว์ กะเหรี่ยง Pa-O และกะเหรี่ยง Kayah เชื่อว่าอาจมาจากธิเบต-จีน ก่อนที่จะย้ายลงมาทางพม่า ภาษากะเหรี่ยง เป็นกลุ่มภาษา Sino-Tibetan, Tibeto-Burman, Mon-Khmer และกลุ่มภาษาอิสระอื่นๆ ในประเทศไทยพบกะเหรี่ยงอยู่ทางภาคเหนือที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย จังหวัดชุมพร จังหวัดลำปาง กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนภูเขาและที่ราบต่ำ เชื่อว่ากะเหรี่ยงย้ายมาจากจีนเมื่อศตวรรษที่ 13 และตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน (salween) ข้าวเป็นอาหารหลักของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงภูเขามีวัฒนธรรมปลูกข้าวนาปรัง ส่วนที่อยู่ที่ราบปลูกข้าวนาดำ ข้าวเป็นพืชหลัก กะเหรี่ยงปลูกผักอื่นๆ ปลูกฝ้าย ข้าวสาลี ล่าสัตว์ และตกปลา กะเหรี่ยงที่ราบมีที่นาขนาดใหญ่ และปลูกพืชผลอื่น เช่น ยาสูบ กล้วย ผลไม้ อ้อย และรับจ้างทำงานในไร่นาให้กับชาวนาในพื้นที่ต่ำ ครอบครัวกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยวแยกออกมาตั้งครัวเรือนเอง บางทีก็เป็นครอบครัวขยายรวมปู่ย่าตายายหรือลูกที่แต่งงานแล้ว จะให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ เมื่อแต่งงานคู่บ่าวสาวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาหรือหมู่บ้านฝ่ายภรรยา แม้ว่ากะเหรี่ยงจะให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายแม่ แต่สถานะทางสังคมของผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย กะเหรี่ยงเป็นคริสต์แต่ก็เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุจากภูตผี วิธีรักษาโรคจะบูชายัญ

Focus

ศึกษาชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในเรื่องภูมิหลังของเผ่าพันธุ์ ลักษณะเฉพาะ โครงสร้างทางสังคม ประเพณีวัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ก่อนการเข้ามาของอังกฤษ ชาวพม่าเรียกคนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาว่า "kayin" หมายถึงพวกป่าเถื่อน จนเมื่อชาวอังกฤษเข้ามาแบ่งกลุ่มตามภาษา เผ่ากะเหรี่ยงจึงปรากฏขึ้นมาเพื่อแสดงถึงกลุ่มคนที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศพม่าและไทย (หน้า 793) ปัจจุบันคำว่า กะเหรี่ยง ใช้กล่าวเรียกชาวเขา 4 เผ่า ได้แต่ กระเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสกอว์ กะเหรี่ยง Pa-O และกะเหรี่ยง Kayah ที่พบแพร่หลายมี 2 เผ่าคือ กะเหรี่ยงโปว์ (หรือกะเหรี่ยงมอญ) และกะเหรี่ยงสกอว์ (หรือกะเหรี่ยงพม่า) ส่วนกะเหรี่ยง Pa-o และกะเหรี่ยง Kayah เป็นกะเหรี่ยงแดง กะเหรี่ยงเรียกตัวเองว่า K'yo" (หน้า 794-975) กะเหรี่ยงเป็นมองโกลอยด์ ไม่มีข้อสรุปว่ากะเหรี่ยงเป็นคนกลุ่มใดหรือมาจากกลุ่มภาษาไทย แต่เชื่อว่าอาจมาจากธิเบต-จีน ก่อนที่จะย้ายลงมาทางพม่า (หน้า 797)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นคำพยางค์เดียว เป็นกลุ่มภาษา Sino-Tibetan, Tibeto-Burman, Mon-Khmer และกลุ่มภาษาอิสระอื่นๆ (หน้า 798) ภาษากะเหรี่ยงมี 6 เสียง ในปี ค.ศ. 1832 มีคนอเมริกันประดิษฐ์ตัวอักษรให้กะเหรี่ยงโดยมีรากมาจากภาษาพม่า มีสระ 11 ตัว มีเสียงพยัญชนะ 25 เสียง ปัจจุบันกะเหรี่ยงใช้ตัวอักษรเหล่านี้ (หน้า 799)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

เชื่อกันว่ากะเหรี่ยงย้ายมาจากจีนเมื่อศตวรรษที่ 13 และตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน (salween) บางแหล่งข้อมูลระบุว่ากะเหรี่ยงอพยพจากพม่าสู่ประเทศไทยราว 800 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว ทั้งกะเหรี่ยงและลัวะเป็นกลุ่มที่คาดว่าเก่าที่สุดในประเทศไทย ตามตำนานของกะเหรี่ยง พวกเขาข้ามทะเลทรายโกบี และตั้งถิ่นฐานอยู่ชายแดนตะวันตกของจีน และอาจเป็นจุดที่ทำให้กะเหรี่ยงได้รับวัฒนธรรมการบูชาพระเจ้าจากชาว Nestorian Jews ก่อนที่จะค่อยๆ อพยพลงมาเรื่อยๆ และตั้งอาณาจักรกะเหรี่ยงที่ริมแม่น้ำโขงบริเวณรัฐ Shan ในพม่าและในภาคเหนือของไทย (หน้า 800, 801) ไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยง แต่บันทึกแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นของเจ้าอาณานิคมและมิชชันนารีอเมริกัน ในบันทึกของอังกฤษนั้นได้เข้าทำสงครามกับพม่าในครั้งที่ 2 (ปี ค.ศ.1852-53) ได้เข้าควบคุมกะเหรี่ยงซึ่งเป็นกลุ่มหลักทางใต้ หลังจากที่กะเหรี่ยงถูกพม่ากดขี่มานาน กะเหรี่ยงกับมอญจึงสนับสนุนอังกฤษและต่อต้านพม่า แต่เมื่ออังกฤษได้ลงสัญญาปี ค.ศ. 1926 พม่าจึงหยุดพวกกบฏมอญกะเหรี่ยง ปี ค.ศ. 1947 รัฐ Kantarawadi, Kyebogi, Bawlake กลายเป็นรัฐกะเหรี่ยง และปีต่อมาได้ตั้ง Karen National Defense Organization (KNDO) เพื่อครอบครองพื้นที่บริเวณตะวันออกของแม่น้ำ Sittang และหลายเมืองในบริเวณปากแม่น้ำ Irrawaddy กะเหรี่ยงไม่ชอบคนพม่า และอังกฤษเข้ามาใช้ให้กะเหรี่ยงต่อสู้กับกบฎพม่าในปี ค.ศ. 1886 หลังจากที่พม่าได้รับเอกราช การปกครองอยู่ในมือของผู้นำพม่าที่ไม่สนใจความต้องการของกะเหรี่ยง ในปี ค.ศ. 1948 กะเหรี่ยงได้เรียกร้องเอกราชจากพม่าแต่ได้รับการปฏิเสธ กะเหรี่ยงจึงต่อต้านโดยมีกำลังที่ได้รับการฝึกทหารและตำรวจมีอาวุธ การต่อต้านจึงค่อยๆ ใหญ่ขึ้นกลายเป็นสงคราม ในปี ค.ศ. 1950 ผู้นำกะเหรี่ยงถูกฆ่า กะเหรี่ยงจึงเริ่มพ่ายแพ้ ปี ค.ศ. 1954 พม่าให้พื้นที่ Salween แก่กะเหรี่ยง แต่กะเหรี่ยงไม่พอใจเพราะเห็นว่าเล็กและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ไม่ค่อยได้ จึงสู้ต่อไป ในปี ค.ศ. 1965 ผู้นำกะเหรี่ยงได้ก่อตั้ง Council for National Liberation (CNL) เพื่อสู้กับพม่า มีคนมอญและคนที่ต่อต้านพม่าเข้าร่วมด้วย เพื่อข่มขู่รัฐบาลพม่า CNL ไม่ใช่กลุ่มคอมมิวนิสต์ (หน้า 801-805)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนภูเขาและที่ราบต่ำ พวกที่อยู่บนภูเขาจะอยู่เป็นกลุ่มเล็กกว่า อยู่บนเขาสูงระดับ 3,000-6,000 ฟุต ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามไหล่เขาหรือบนสันเขา หมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ลำธาร ห่างไกลจากการถูกโจมตี ใกล้ๆ หมู่บ้านบางครั้งก็วางกับดักป้องกันผู้บุกรุก กะเหรี่ยงตั้งบ้านเรือนแยกตัวออกมาเพราะกลัวการค้าทาสและลักพาตัว ตามธรรมเนียมกะเหรี่ยงในพม่าปลูกบ้านหลังยาวเพื่อจุครอบครัวได้ 20-30 ครอบครัว โดยจะแบ่งกั้นเป็นห้อง แต่ละห้องมีเฉลียง บ้านหลังยาวจะมีห้องสำหรับคนโสดและห้องรับรองแขก ประเพณีการสร้างบ้านแบบนี้กำลังจะหายไปและไม่พบในประเทศไทย กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่อยู่ทางใต้ลงมา มักสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวตามแบบพม่าหรือไทย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านประมาณ 2-20 บ้าน ล้อมรอบด้วยรั้วไผ่ที่ปักเป็นแนวไม่สม่ำเสมอ บ้านเป็นโครงสร้างต่ำสร้างด้วยไม้ไผ่ ฐานเป็นเสาไม้เตี้ย ในบ้านมี 3-4 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่นอยู่กลางบ้านและที่ก่อไฟใช้ทำอาหาร ชุมชนกะเหรี่ยงมักย้ายจากที่หนึ่งไปที่อื่นเพื่อหาพื้นที่ปลูกข้าว หรือไม่ก็เพราะผีบอกผ่านร่างทรงมาบอกว่าจำเป็นต้องย้ายถิ่น ตามประเพณีการย้ายหมู่บ้านจะเกิดขึ้นเมื่อผู้นำตายหรือเกิดโรคระบาด ผู้นำเป็นผู้เลือกที่ตั้งใหม่ช่วงที่เก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว กะเหรี่ยงบนพื้นที่ราบมีขนาดของชุมชนใหญ่กว่า บ้านปลูกอยู่ใกล้ๆ กัน เป็นบ้านแบบพม่า ในประเทศไทย บ้านของกะเหรี่ยงบนที่ราบจะสร้างอยู่บนเสา พื้นและผนังเป็นไม้กระดาน หลังคาบ้านของกะเหรี่ยงทั้งที่อยู่บนที่ราบและที่สูงเป็นหญ้าสาน (หน้า 805-807)

Demography

ปี ค.ศ. 1960 มีกะเหรี่ยง 71,000 ในประเทศไทย ในพม่า ปี ค.ศ. 1931 มีกะเหรี่ยง 1,340,000 คน (มีกะเหรี่ยงสกอว์ 500,000 คน, กะเหรี่ยงโปว์ 473,000 คน, กะเหรี่ยง Pa-O 223,000 คน และกะเหรี่ยง Kayah 32,000 คน) ในปี ค.ศ. 1943 มีจำนวนประชากรกะเหรี่ยงประมาณ 3 ล้านในพม่า และใน ค.ศ. 1966 มีกะเหรี่ยงในพม่า 2 ล้านคน (หน้า 796)

Economy

ข้าวเป็นอาหารหลักของกะเหรี่ยงเสริมด้วยธัญญาพืชอื่นๆ ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี และกลอย อาหารอื่นๆ จำพวกผัก เช่น บวบ แตง น้ำเต้า มะเขือยาว กระเจี๊ยบ มันฝรั่ง ผลไม้ต่างๆ เนื้อสัตว์เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อกวาง เนื้อปลา งู ตั๊กแตน ปู หอยทาก สัตว์ปีก และอื่นๆ เครื่องเทศที่ใช้ได้แก่ พริก ขมิ้น และเกลือ กะเหรี่ยงเคี้ยวหมาก สูบยาเส้น และทำเหล้าข้าวดื่มเอง (หน้า 828) กะเหรี่ยงภูเขามีวัฒนธรรมปลูกข้าวนาปรัง ส่วนที่อยู่ที่ราบปลูกข้าวนาดำ ข้าวเป็นพืชหลัก กะเหรี่ยงปลูกผักอื่นๆ ปลูกฝ้าย ข้าวสาลี ล่าสัตว์ และตกปลา กะเหรี่ยงที่ราบมีที่นาขนาดใหญ่ และปลูกพืชผลอื่น เช่น ยาสูบ กล้วย ผลไม้ อ้อย กะเหรี่ยงยังทำงานในไร่นาให้กับชาวนาในพื้นที่ต่ำ และใช้สัตว์ช่วยงานในไร่และใช้เป็นอาหาร สมาชิกในครอบครัวทำงานในไร่เดียวกันและแบ่งปันผลผลิตสินค้าที่ผลิตไม่ได้ได้แก่ มีดและเกลือ วิธีการทำนาปรังจะใช้การถางไร่และเผาป่า เมื่อเวลาผ่านไปอย่างน้อย 7 ปีความอุดมสมบูรณ์ของดินค่อยๆ หมดไป หลังจากนี้แล้วเถ้าถ่านที่ได้จากการเผาพืชพันธุ์ก็ค่อยๆ เพิ่มความสมบูรณ์ให้ผืนดิน การเผาต้นไม้ใหญ่บนพื้นที่สูงชันทำให้ผืนดินเสื่อมและหน้าดินพังทลาย ปี ค.ศ. 1959 รัฐบาลไทยออกกฏหมายห้ามทำไร่เลื่อนลอย ผืนดินที่หายากขึ้นมีผลต่อเศรษฐกิจของกะเหรี่ยง ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นแต่ผืนดินลดและเสื่อมลง มีการกระตุ้นให้กะเหรี่ยงหันมาปลูกข้าวนาดำเพราะมีผลผลิตดีกว่า (หน้า 840) สัตว์ที่กะเหรี่ยงมี นอกจากสุนัขก็คือ สุกรและสัตว์ปีกพวกเป็ดไก่ สัตว์เหล่านี้ใช้ในการบูชายัญและเป็นอาหาร วัวควายเพิ่งถูกนำเข้ามาใช้ไถนาและขนส่ง กะเหรี่ยงบางคนเป็นเจ้าของช้างเพื่อใช้ในงานขนส่ง (หน้า 841) การปลูกข้าวนาดำของกะเหรี่ยงในประเทศไทยได้ผลดีกว่าการปลูกข้าวนาปรัง เพราะเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจภายนอกกับคนที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงในเรื่องเทคโนโลยีและซื้อกระบือมาช่วยไถนา มีการติดต่อซื้อขายทำให้จำเป็นต้องใช้เงิน ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากพืชผลอื่นๆ ในปี ค.ศ. 1964 สินค้าส่งออกหลักของกะเหรี่ยงในแม่สะเรียงคือข้าว รองมาคือผักอื่นๆ แต่ก็ยังมีรายได้ต่ำ กะเหรี่ยงรับจ้างคนไทยทอเชือกและทำงานจักสาน ทำงานขี่ช้างลากซุง และทำนาให้คนไทย การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจการค้าของกะเหรี่ยงคือการมีพ่อค้าคนกลางที่เข้ามาเป็นคนเชื่อมชุมชนกะเหรี่ยงกับสังคมภายนอก นายจ้างก็เป็นการพัฒนาการติดต่อตลาดภายนอกของกะเหรี่ยงแบบใหม่ ก่อนปี ค.ศ.1963 ยังไม่มีระบบนายจ้าง มีแต่หัวหน้าคนงานที่จะจ้างคนงานกะเหรี่ยงด้วยพืชผลหรือข้าว (หน้า 842) กะเหรี่ยงที่อยู่ห่างไกลไม่ต้องจ่ายภาษี กะเหรี่ยงต้องจ่ายค่าภาษีแผ่นดินและวัวควาย (หน้า 843) ผู้เข้าครอบครองที่ดินคือคนที่เข้าไปบุกเบิกทำไร่นา ชาวบ้านทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่ดินเอง ซึ่งลูกหลานไม่จำเป็นจะได้รับมรดกเสมอไป กะเหรี่ยงบนภูเขาไม่มีโฉนดที่ดิน ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิ์ใช้ผืนดินตามกฎหมาย (หน้า 843) ประเพณีการกิน สมาชิกในครอบครัวทานอาหารร่วมกัน ถ้ามีแขกผู้หญิงจะรอจนกว่าผู้ชายรับประทานเสร็จ ข้าวตักใส่ถาด ส่วนเนื้อหรือผักจัดใส่ถ้วยเล็ก สมาชิกในบ้านจะนั่งยองๆ ล้อมวงอาหารและรับประทานด้วยมือ หนึ่งวันมี 3 มื้อ คือมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื่อค่ำ มีข้อห้ามสำหรับผู้นำกะเหรี่ยงแดงที่มีภรรยาตั้งครรภ์จะถูกห้ามไม่ทานข้าวและดื่มเหล้า กะเหรี่ยงแดงทานพืชมีหัว เช่น มันเทศ มากกว่ากระเหรี่ยงที่ราบ (หน้า 828)

Social Organization

ครอบครัวกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยวแยกออกมาตั้งครัวเรือนเอง บางทีก็เป็นครอบครัวขยายรวมปู่ย่าตายายหรือลูกที่แต่งงานแล้ว โครงสร้างครอบครัวจะให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ เมื่อแต่งงานคู่บ่าวสาวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาหรือหมู่บ้านฝ่ายภรรยา ความแตกต่างทางสังคมมีความมั่งคั่งและอายุเป็นฐาน ชาวบ้านจะเคารพผู้อาวุโสเพราะเป็นผู้มีปัญญาและเป็นผู้เก็บรักษาประเพณีของเผ่า กะเหรี่ยงแต่งงานกับคนในกลุ่มไม่นิยมแต่งงานกับคนนอก แต่อาจแต่งงานระหว่างเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันได้ ในบางกรณีพบกะเหรี่ยงแต่งงานกับคนนอกกลุ่ม คนนอกมักจะย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง การแต่งงานกับสมาชิกในครอบครัวเป็นเรื่องที่ทำได้แต่ต้องไม่ใกล้ชิดกันมากกว่าระดับลูกพี่ลูกน้อง โดยพื้นฐานแล้วกะเหรี่ยงมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว บางครั้งผู้ชายอาจมีภรรยาอีกคนหรือเมียน้อย เรียกว่า ma po tha เพราะภรรยาคนแรกยังเด็กอยู่ ผู้ชายกะเหรี่ยงแต่งงานตอนอายุประมาณ 25-30 ปี ขณะที่ผู้หญิงยังอ่อนวัยอยู่ การเกี้ยวพาราสีต้องเป็นไปตามขนบธรรมเนียม กะเหรี่ยงให้ความสำคัญกับการรักษาพรมจรรย์ คู่ที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานจะต้อบูชายัญด้วยสัตว์ใหญ่และจะถูกเฆี่ยน ก่อนจะถูกพาออกจากหมู่บ้าน ผู้หญิงที่ท้องแต่ยังไม่แต่งงานจะถูกบังคับให้บอกชื่อผู้ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดบ่อน้ำโดยมีเชือกรัดที่คอ การเกี้ยวพาราสีจะเริ่มโดยฝ่ายชายร้องเพลงหรือเล่นดนตรี หากพอใจกันผู้ชายจะส่งพ่อสื่อเรียกว่า t'lo pa เป็นผู้หาเลิกยาม โดยทั่วไปครอบครัวฝ่ายชายจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกคู่ให้และพ่อสื่อจะมาคุยกับครอบครัวของฝ่ายหญิง ซึ่งมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยอมรับ พิธีแต่งงานจะจัดโดยครอบครัวเจ้าสาว เดือนธันวาคมถือเป็นเดือนไม่ดีและไม่เหมาะที่จะสร้างบ้านเรือน งานแต่งงานมักมีในช่วงข้างขึ้น การเตรียมพิธี ฝ่ายหญิงจะทอผ้าห่มขาวและเสื้อผ้าให้ผู้ชาย ส่วนครอบครัวจะจัดงานเลี้ยง ฝ่ายชายจะเตรียมเครื่องเป่าที่ทำจากเขาสัตว์เพื่อใช้ในงานพิธี พิธีจัดขึ้นแบบง่ายๆ มีการกินเลี้ยงและคู่บ่าวสาวปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่ภรรยาและสามีที่ดีต่อกัน ตามธรรมเนียมแล้วคู่บ่าวสาวใหม่จะต้องอยู่ที่บ้านของฝ่ายภรรยาและสามีในช่วงระยะเวลา 3 ปี เสมือนเป็นค่าชดเชยให้กับครอบครัว หลังจากนั้นพวกเขาก็จะสร้างบ้านเองหรืออาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็ได้ แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เวลาที่คู่บ่าวสาวอยู่กับพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายจึงลดลงเหลือเพียงครอบครัวละหนึ่งวัน อย่างไรก็ดี รูปแบบการแต่งงานก็ยังคงให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ (หน้า 814-818) การหย่าโดยฝ่ายภรรยาจะต้องจ่ายเงิน 100 รูปี หรือเป็นวัวหนึ่งตัว ผู้ชายจะต้องจ่ายมากกว่าง 300 รูปี ชุดเสื้อผ้า กำไล ต่างหูและเครื่องประดับอื่นๆ หากเป็นฝ่ายหย่า (หน้า 818) แม้ว่ากะเหรี่ยงจะให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายแม่ แต่สถานะทางสังคมของผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย ผู้หญิงมีส่วนร่วมในงานแต่งงาน งานชุมนุม หรืองานศพ(หน้า 819)

Political Organization

หมู่บ้านเป็นหน่วยโครงสร้างทางการเมืองที่สำคัญ มีผู้นำหมู่บ้าน และคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ช่วยแก้ข้อขัดแย้งต่างๆ ทำพิธี และตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ผู้นำและผู้อาวุโสของหมู่บ้านไม่มีจำนวนที่แน่นอนและในบางหมู่บ้านผู้อาวุโสก็มีอำนาจกว่าผู้นำ กะเหรี่ยงเลือกผู้นำเองแต่รัฐบาลไทยก็เลือกเองด้วย บางครั้งจึงมีกรณีที่มีผู้นำสองคนทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่มีกฏในการเลือกผู้นำ ซึ่งอาจถูกเลือกจากคณะผู้อาวุโส หรือเป็นลูกชายของผู้นำคนก่อน ผู้นำกะเหรี่ยงไม่มีอำนาจมากเหมือนชาวเขากลุ่มอื่น ผู้นำมีฐานะเทียบเท่ากับคนทั่วไป ไม่มีตำรากฎหมาย แต่มีจารีตประเพณีเชิงมุขปาฐะที่มีบทลงโทษซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงกฏได้ ถ้ามีใครมีปัญหาก็อาจไปพบกับคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสิน โดยพิจารณาจากปัญหาเก่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต บทลงโทษส่วนใหญ่คือการจ่ายค่าปรับ กรณีที่ทำผิดรุนแรงมาก จะถูกส่งเป็นทาสหรือถูกฆ่า หรือเมื่อไม่พอใจคำตัดสินก็จะแก้แค้นกันเอง กรณีฆาตกรครอบครัวจะแก้แค้นแทนหรืออาจมีการฆาตกรรมครอบครัวของฆาตกรรมด้วย เช่น กรณีอาชญากรรม กะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยจะให้ศาลตัดสิน (หน้า 844-846)

Belief System

กะเหรี่ยงเชื่อเรื่องผีวิญญาณ ก่อนได้รับอิทธิพลคริสตศาสนา พวกเขาเชื่อในพลังที่มองไม่เห็น คือ "pgho" เป็นพลังที่เข้าไปในวัตถุแล้วทำให้ดีและร้ายได้ ถ้าเข้าไปในคนก็จะทำให้คนนั้นทำสิ่งพิเศษได้ และเชื่อว่ามีผีอยู่รอบตัวและคอยรบกวนมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ต่อมาพวกเขาเชื่อเรื่องเทพเจ้าเรียกว่า "Y'wa" ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์และพุทธ ในประเทศไทย ปี ค.ศ.1950 มีกะเหรี่ยงประมาณ 1 ล้านคน นับถือคริสต์ 220,000 คน (หน้า 830) ในพม่า ปีค.ศ. 1931 มีกะเหรี่ยงนับถือคริสตศาสนา 212,990 คน กะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือนิกายแบ็ปทิสต์ ในค.ศ.1956 มีโบสถ์แบ็ปทิสต์ประมาณ 800 แห่งในพม่า ในประเทศไทย ค.ศ. 1957 มีโบสถ์ 23 แห่ง (หน้า 831) "na" เป็นหัวหน้าผีร้าย ตอนกลางคืนจะออกมาล่ามนุษย์ และสามารถเข้าสิงคนได้ ถ้าคนถูกเข้าสิงก็จะทำสิ่งชั่วร้าย และคนนี้จะถูกฆ่าเพราะกะเหรี่ยงเชื่อว่าไม่ใช่คนอีกแล้ว "bgha" เป็นผีที่อาศัยอยู่กับครอบครัว ซึ่งครอบครัวจะต้องเซ่นไหว้เพื่อไม่ให้ผีตัวนี้กิน k'la (หน้า 832) กะเหรี่ยงเชื่อว่า k'la เป็นขวัญของชีวิตที่เป็นอมตะ เมื่อตาย k'la จะออกจากร่าง หรืออาจออกจากร่างตอนนอนหลับ k'la อยู่ที่หัวหรือคอ (หน้า 831) ผี Pheebee-yau หรือ Bie-yau เป็นผีดีที่ช่วยรักษาผลผลิต กะเหรี่ยงจึงสร้างศาลและให้เครื่องเซ่น ผีตนนี้ช่วยดูแลคนขณะทำงานในไร่นา กะเหรี่ยงบูชาบรรพบุรุษและทำพิธีบูชายัญเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ความเชื่อของกะเหรี่ยงคล้ายๆ กับที่มีในไบเบิ้ล คือ Y'wa มีสวนให้หญิงชายคู่แรก แต่มีกฏว่าห้ามกินผลไม้ต้นหนึ่ง มีปิศาจในรูปของงูแล้วชักชวนให้กินผลไม้ Y'wa โกรธที่ชายหญิงกินผลไม้ จึงต้องกลายเป็นมนุษย์ กะเหรี่ยงได้รับอิทธิพลของ Nestorian Jews ในเรื่องของประเพณีการนับถือพระเจ้า กะเหรี่ยงยอมรับในคริสตศาสนาเพราะมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อ (หน้า 832,833) กะเหรี่ยงทำพิธีบูชายัญ ซึ่งแบ่งได้ 4 ชนิด คือ 1) การทำพิธีให้ผีพอใจเพื่อไม่ให้เกิดเคราะห์ร้าย มีการทำพิธีที่เรียกว่า hti k'sa kaw k'sa จัดขึ้นโดยกะเหรี่ยงสกอว์ทุกๆ 3 ปีเพื่อบูชาผีน้ำและผีแผ่นดิน 2) การบูชาเพื่อไล่ปิศาจที่เข้าสิงคนป่วย กะเหรี่ยงเชื่อว่าสาเหตุที่ป่วยเพราะมีผีร้ายกิน k'la วิธีไล่จะเอาตะกร้าใส่อาหารวางไว้ใกล้คนป่วยเพื่อให้ผีได้กลิ่น และค่อยๆ เอาตะกร้านี้ข้ามเขาไปไกลเพื่อให้ผีตามไปเรื่อยๆ แล้วกลับมาไม่ถูก 3) คือ บูชา k'la ที่ออกไปจากร่างเพื่อให้กลับเข้ามา โดยทำพิธีที่เรียกว่า ta kweh k'hpa do โดยใช้เป็ดหรือไก่ดำตัวผู้และตัวเมีย กะเหรี่ยงจะฆ่าสัตว์แล้วล้างเครื่องในแล้วใส่กลับคืนและนำไปทำอาหาร แล้วจึงจัดใส่ถาดพร้อมข้าว ก่อนนำไปวางบนทางขึ้นบ้าน มีด้ายผูกติดกับถาดปลายด้านหนึ่งอยู่ข้างล่าง ข้าวจะถูกปาลงไปข้างล่างเพื่อให้ k'la ขึ้นมาตามเชือกแล้วผู้ทำพิธีจะตัดเชือกอย่างรวดเร็ว แล้วนำเชือกนั้นมาผูกที่ข้อมือของคนที่เสีย k'la และคนอื่นๆ ในครอบครัว อ 4) คือ บูชาผี bgha ที่อยู่กับครอบครัว มีพิธีกินลี้ยง 3 แบบ แบบแรกคือ เมื่อมีคนป่วยก็จะจัดเลี้ยงให้ bgha แบบที่สองคือ จัดเลี้ยงเพื่อให้ "bgha" ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย แบบที่สามคือ จัดเลี้ยงยิ่งใหญ่เพื่อให้กับ "bgha" เป็นพิธีที่รวมญาติพี่น้องทั้งหมด (หน้า 834-836) กะเหรี่ยงมีมนตร์ขาวมนตร์ดำ เพื่อป้องกันตัวเองจากการบาดเจ็บและเพื่อทำให้ชีวิตยืนยาว และเพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อให้มีรายได้และเพื่อให้มีลูกมาก เช่น สวมสร้อยที่มีฟันของบรรพบุรษเพื่อป้องกันอันตราย เวทมนตร์ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะถูกเก็บเป็นความลับ ใช้เพื่อทำร้ายคนอื่น (หน้า 836-847) ในกลุ่มกะเหรี่ยง มี "wi" เป็นผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนา "wi" ทำนายอนาคตและติดต่อกับภูตผีได้ ปัจจุบันแทบจะไม่มี "wi" แล้ว "bookhah" เป็นหัวหน้าทำพิธีกรรมเช่นกันแต่ทำนายอนาคตไม่ได้ (หน้า 837) ในการทำนายลางสังหรณ์จะใช้กระดูกของไก่ หากไม่ได้ผลก็จะฆ่าไก่เพิ่ม กะเหรี่ยงดูกระดูกของไก่เพื่อตอบคำถาม เช่น การตั้งชื่อลูก (หน้า 838) กะเหรี่ยงมีข้อห้ามหลายอย่าง เช่น ในวันที่ครอบครัวกินเลี้ยงกันในงาน "bgha" ห้ามคนนอกเข้าบ้านและสมาชิกทุกคนต้องอยู่ในบ้าน เชื่อว่าเสื้อผ้าของผู้หญิงกับผู้ชายจะสัมผัสกันไม่ได้ มิฉะนั้นความอ่อนแอของผู้หญิงจะเข้าสู่ผู้ชาย ห้ามอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งเจ้าของบ้านตาย หรือห้ามอยู่บ้านที่มีนกพิราบเขียวบินผ่านขณะที่กำลังสร้าง ห้ามออกจากบ้านหากได้ยินเสียงแปลกๆ ในป่า แม่หม้าย เด็กกำพร้า และคนที่ได้เสียกันก่อนแต่งงาน จะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะกะเหรี่ยงเชื่อว่าถูกผีปิศาจเกลียด (หน้า 826,827) กะเหรี่ยงในพม่าติดต่อกับมิชชันนารีในปี ค.ศ. 1828 ฝ่ายมิชชันนารีประสพความสำเร็จในการชักจูงให้กะเหรี่ยงเข้ามาเป็นคริสต์นิกายแบ็ปทิสต์ มีการพิมพ์ไบเบิลเผยแพร่เป็นภาษากะเหรี่ยง และตั้งโรงเรียนคริสต์ในพม่า และมีนิกายอื่นๆ ที่เข้ามา (หน้า838) แม้ว่ากะเหรี่ยงเป็นคริสต์ แต่ก็ยังได้รับอิทธิพลเรื่องการนับถือผี บ้างก็บอกว่ากะเหรี่ยงไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังมความตาย บ้างก็ว่ากะเหรี่ยงเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายถ้าทำดีก็จะได้รางวัล มีการแบ่งผีออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) plupho เป็นผีที่มาจาคนที่ตายโดยธรรมชาติและได้รับการฝังที่ดี พวกนี้อาศัยอยู่ในสวรรค์ Hades 2) ผี sekhab เป็นผีเด็กหรือคนที่ไม่ได้รับการฝังที่ดีก็จะเดินอยู่ทั่วไปบนโลกแต่ไม่เป็นอันตราย 3) ผี theret เป็นผีของคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุจะกลายมาเป็นผีร้ายพยายามขโมย k'la ในมนุษย์ คนจึงต้องบูชาผีเหล่านี้เพื่อป้องกัน k'la และ 4) ผี tah-mus และ tah-kas เป็นผีของคนเลวผู้ที่ไม่มีความยุติธรรมคอยรบกวนมนุษย์และเอา k'la ผีที่ไม่ดีจะอยู่บนโลก กะเหรี่ยงเชื่อว่าเวลาหรือการตายถูกกำหนดมาแล้วแต่ก็ยังทำพิธิบูชายัญ หลังจากที่มีคนตาย ศพจะถูกนำไปอาบน้ำ การทำศพมีทั้งฝังและเผา ศพจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มหรือเสื่อและผูกด้วยเชือก ชาวบ้านจะเอาลำไผ่ หมากพลูวางไว้บนตัวศพ ข้างๆ ศพวางปาก ปีก เล็ก และปอดที่ทำให้แห้งแล้วของเป็ด สิ่งของเหล่านี้จะช่วยพาผู้ตายไปยังอีกโลกหนึ่ง และใส่อาหารไว้กับศพ งานศพเป็นไปด้วยความรื่นเริง คู่หนุ่มสาวจะเต้นไปรอบๆ ศพเพื่อช่วยให้วิญญาณหาทางไปยังจุดหมายได้ หลังจากนั้น ศพจะถูกย้ายออกจากบ้านผ่านช่องพิเศษไม่ใช่ประตูหลักนิยมฝังมากกว่าเผา ถ้ามีคนตายช่วงหน้าฝนหรือช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะนำกระดูกมาเผาหรือฝังทันทีและทำพิธีให้ทีหลัง เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งความตาย มีพิธีศพมากมายที่จัดช่วงนี้ กะเหรี่ยงเชื่อว่าโลกของผีกลับด้าน ทางทิศตะวันออกของพม่า พบว่ามีการฝังศพในที่เดียวกับบรรพบุรุษของตระกูลแต่ประเพณีนี้หมดไปแล้ว กะเหรี่ยงเชื่อว่าถ้าผู้หญิงตายท้องกลมจะต้องผ่าลูกออกมาก่อน ถ้าผู้นำตายจะตั้งศาลและใส่ของใช้ไว้ในศาลเพื่อให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเอาไป ตามธรรมเนียมแล้วถ้าผู้นำตายก็จะย้ายหมู่บ้าน (หน้า 820-822) ประเพณีเกี่ยวกับการให้กำเนิด ผู้หญิงกะเหรี่ยงที่ตั้งครรภ์จะละเว้นผักใบขมและผลไม้ แม้จะตั้งครรภ์แต่ก็ยังทำงานจนกว่าจะคลอดบุตร พ่อจะไม่ตัดผมตัวเองเพราะเชื่อว่าจะนำโชคร้ายมาสู่ตัวเองและบุตร เมื่อถึงวันคลอดหมอตำแยจะมาช่วยบีบนวดให้เด็กออกมา กะเหรี่ยงที่อยู่ในพม่าได้รับประเพณีแบบพม่า คือให้ผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรอยู่ไฟเป็นเวลาหลายวัน เพราะเชื่อว่าจะทำให้หายเร็ว เมื่อเด็กเกิดก็จะมีการเรียกขวัญผูกข้อมือกันผี พ่อของเด็กจะไปล่าสัตว์ 3 วันหลังเด็กเกิดเพื่อดูลางสังหรณ์จากผลของการล่าสัตว์ ถ้าการล่าออกมาได้ผลดีก็หมายถึงอนาคตของเด็ก หลังจากนั้น จะตั้งชื่อให้เด็ก สำหรับกะเหรี่ยงแดงพ่อจะต้องอยู่กับแม่และเด็กเป็นเวลา 7 วัน และกะเหรี่ยงแบร(Brec), ปาดอง(Padaungs) พ่อแม่และลูกจะอยู่ด้วยกัน 1 เดือนครึ่ง ผู้หญิงจะอุ้มลูกตลอดเวลา พ่อแม่จะดูแลลูกอย่างดีจนกว่าจะอายุ 21 ปี ฝาแฝดมี k' la ร่วมกัน ถ้าเด็กแฝดคนใดคนหนึ่งตาย อีกคนอาจตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น จึงต้องผูกข้อมือเด็กเพื่อให้ขวัญ k'la อยู่กับตัวเด็ก การรับเด็กบุญธรรมไม่นิยมในกะเหรี่ยง (หน้า 818,819)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

โรคมาลาเรียและม้ามโตพบบ่อยในกะเหรี่ยงที่ภูเขา เด็กป่วยเป็นโรคพยาธิ ส่วนผู้ใหญ่ขาดสารอาหาร โรคปอด โรคฝีดาษ และโรคหัด กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุจากภูตผี วิธีรักษาโรคคือการทำพิธีบูชายัญ หมายความว่าทำพิธีเซ่นไหว้โดยฆ่าสัตว์หรือคนเป็นๆ หากมีคนตายก็คิดว่ามีสาเหตุจากไม่ได้ทำพิธีบูชายัญ วิธีการรักษาอื่นๆ ก็ได้แก่ การรักษาด้วยสมุนไพรหรือพืช ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผล มี "k thi thra" เป็นผู้ปัดเป่ารักษาโรค กะเหรี่ยงรู้จักโรคติดต่อ เมื่อเกิดโรคติดต่อก็จะหนีออกจากหมู่บ้าน กะเหรี่ยงไม่ชอบกลิ่นมันหมู เพราะกลัวว่ากลิ่นจะเข้ามาในร่างกายทางผิวหนังและทำให้เสียชีวิต (หน้า 809,810)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้า กะเหรี่ยงแดง (red karen) ในไทยมักสวมกางเกงขาสั้นกว้าง และเสื้อคลุมตัวหลวม ทำจากวัสดุทอเองสีเข้ม ผู้หญิงจะนุ่งผ้ายาวถึงเข่ามีริ้วสีฟ้ากับแดง ด้านในมีผ้าสีดำพันรอบหน้าอก ใต้เข่าสวมกำไลหวายขัดเงาทำให้เดินเหมือนเป็ดทำให้นั่งบนสะโพกลำบาก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะมัดผมด้วยผ้าพันคอมองคล้ายผ้าโพกศีรษะ ผู้หญิงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดสีดำเสมอส่วนผู้ชายบางทีก็สวมเสื้อผ้าสีอ่อน กะเหรี่ยงขาว (white karen) ในประเทศไทยสวมเสื้อผ้าที่เป็นชิ้นเดียวกัน โดยมีช่องสวมศีรษะและแขน ชุดมีความยาวเลยเข่าและทำจากผ้าฝ้ายทอมือหรือใยพืช ตกแต่งด้วยริ้วแดงด้านล่างหรือริ้วกว้างขนานทั้งด้านหน้าด้านหลัง หญิงที่ยังไม่แต่งงานสวมชุดยาวถึงตาตุ่มและไม่ตกแต่ง อาจมีริ้วตรงเอว ขอบขาหรือขอบแขน ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสวมกระโปรงแดงยาวถึงเข่า ประดับด้วยริ้วผ้าขาดสีฟ้า ขาว และเหลือง เหนือขึ้นไปสวมเสื้อหลวมพอดีตัวสีน้ำเงินเข้มยาวเกือบถึงเข่า อาจประดับด้วยลูกปัดสีขาว ชายผ้าประดับด้วยลูกปัดสีต่างๆ เครื่องประดับของกะเหรี่ยงผู้ชายคือหวี จะเหน็บไว้ด้านหลังใบหู หวีทำจากเปลือกหอยหรือไม้ไผ่เชื่อมด้วยขี้ผึ้งจากยางไม้ ใส่ต่างหู และมีเครื่อประดับอื่นที่แขน คอ และขา ส่วนผู้หญิงสวมเข็มขัดที่ทำจากลูกปัด เมล็ดพืช หรือหวาย ผู้หญิงกะเหรี่ยงขาวในไทยสวมเครื่องประดับเงิน เช่น สร้อยคอ เหรียญเงิน กำไลข้อมือ และต่างหูเงินรูปกรวยขนาดใหญ่ และมีเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ลูกปัดแก้ว ส่วนผู้ชายอาจห้อยสร้อยลูกปัดแก้วจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างผ่านใต้คาง เด็กๆ สวมพู่สีที่ติ่งหู (หน้า 824,825) กะเหรี่ยงถนัดงงานถักทอและเชี่ยวชาญการย้อมผ้าฝ้าย ผู้หญิงกรอและทอฝ้าย ผู้ชายเก็บครั่งเพื่อใช้ในการย้อมผ้าที่เหลือใช้เป็นขี้ผึ้งปิดผนึก งานอื่นๆ ได้แก่ งานสานไม้ไผ่หรือหวาย มักผลิตของใช้เองรวมถึงภาชนะดินเผาด้วย กะเหรี่ยงบางคนถนัดเรื่องการถลุงโลหะ กะเหรี่ยงชอบดนตรี เครื่องดนตรีได้แก่ เครื่อเป่าไม้ ฆ้อง พิณ ฉาบ และกลอง ซึ่งใช้ประกอบงานเทศกาล งานศพ หรืองานแต่งงาน (หน้า 829) นอกจากนี้กะเหรี่ยงมีความสามารถในการล่าสัตว์และเดินป่า การล่าสัตว์มักใช้หอกหรือหน้าไม้ ปืนไรเฟิลหรือลูกดอก และมีความสามารถในการใช้กับดักและรู้จักใช้อุปกรณ์ในการตกปลา (หน้า 841)

Folklore

ตำนานเรื่อง "Taw-ma-pa" เป็นเรื่องที่นิยมเล่าในหมู่กะเหรี่ยง เรื่องมีอยู่ว่า มีหมูป่าตัวหนึ่งเข้าไปทำลายพืชผลของชายแก่และของลูกชายเสียหาย ชายแก่จึงสู้จนชนะหมูป่า แต่หมูป่าตัวนี้เป็นหมูป่าวิเศษ เนื้อจึงหายไปหมดเหลือแต่เขี้ยว Taw-me-pa จึงนำเขี้ยวไปทำหวี และเมื่อชายแก่ใช้มันก็กลับกลายร่างเป็นหนุ่มทันที ความตายและความชราจึงไม่เคยปรากฎอีกในครอบครัว Taw-me-pa จึงเรียกลูกให้ช่วยกันหาที่ทางใหม่ เมื่อเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ลูกๆ ก็บ่นว่าหิวแล้วไม่ยอมเดินต่อไป Taw-me-pa จึงเดินต่อและให้ลูกรออยู่ข้างหลัง และเมื่อพวกเขาตามไปถึงป่ากล้วยก็ถูกหลอกโดยเหล่าพืชพันธุ์ที่ขึ้นสูง เพราะคิดว่าขนาดของต้นไม้แสดงเวลาหลายปีในการเติบโต จึงหมดหวังที่จะตามหาพ่อ กะเหรี่ยงเชื่อว่าลูกๆ ของ Taw-me-pa เป็นบรรพบุรุษของตน และเรื่องเล่านี้ถูกกล่าวถึงในหัวข้อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและความตาย และหวังว่า Taw-me-pa จะกลับมาหาพวกเขาและทำให้พวกเขามีชีวิตนิรันดร์ (หน้า 825) ตำนานอีกเรื่องบ่อเกิดการทำนายที่ใช้กระดูกของไก่และหมู ตามประเพณีกะเหรี่ยง พ่อผู้เป็นอมตะ Y'wa มีลูกชายเจ็ดคน โดยกะเหรี่ยงเป็นคนโต รองมาคือพม่า และคนขาว Y'wa ชวนให้กะเหรี่ยงและพม่าไปเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปยังชายฝั่งทะเล แต่ทั้งสองก็ปฏิเสธเว้นแต่คนขาว เมื่อมาถึงจุดหมาย Y'wa ได้ให้หนังสือสามเล่มแก่คนขาวและขอให้เขามอบหนังสือที่ดีที่สุดให้กะเหรี่ยง และสำเนาใบปาล์มให้พม่า แต่คนขาวได้เก็บสำเนาของกะเหรี่ยงไว้เองและให้พม่าส่งเล่มที่เป็นใบไม้ให้กะเหรี่ยงแทน เมื่อกะเหรี่ยงได้รับมากไม่สนใจอ่านและทิ้งมันไว้ในไร่ ครั้นแล้วหนังสือก็ถูกไฟเผาและที่เหลือก็ถูกหมูและไก่กิน สัตว์เหล่านี้จึงเชื่อว่าเป็นผู้เก็บปัญญาของ Y'wa กระดูกไก่และหมูจึงถูกใช้ในพิธีต่างๆ (หน้า 826) กะเหรี่ยงเชื่อว่ามีแมลงปีกแข็งยักษ์ค้ำจุนโลกไว้ ชื่อว่า "Hsi Ghu" แมลงนี้ถูกมนุษย์หลอกว่าไม่มีเผ่าพันธุ์เหลือ ด้วยความโมโหจึงยกโลกย้ายข้ามบ่าไปมา ทำให้เกิดแผ่นดินไหว กะเหรี่ยงจึงตะโกนว่าพวกเขายังอยู่ และหยุดทำงานเพื่อซ่อมแซมโลกและปลอบ His Ghu ให้สงบ กะเหรี่ยงเชื่อว่าการเกิดสุริยุปราคามีสาเหตุมาจากสุนัขยักษ์ที่ร้อนกว่าดวงอาทิตย์กลืนกินดวงอาทิตย์เข้าไป และสัตว์คล้ายกันนี้แต่เย็นกว่าน้ำแข็งเป็นผู้กินดวงจันทร์ (หน้า 827) เด็กๆ กะเหรี่ยงมีการละเล่นหลายอย่าง เช่น ห่วงไม้ไผ่ เด็กชายจะเลียนแบบงานของพ่อ เช่น ล่าสัตว์ ตกปลา มวยเป็นกีฬาที่นิยม ส่วนผู้หญิงจะเล่นทำครัว (หน้า828)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

รัฐบาลไทยได้ตั้งศูนย์กระจายเสียงให้กับกะเหรี่ยง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเป็นภาษากะเหรี่ยง (หน้า 847) กะเหรี่ยงมีความสูงปานกลาง ชายสูงประมาณ 5 ฟุต 5 นิ้ว ผู้หญิงสูงประมาณ 4 ฟุต 9 นิ้ว ผู้หญิงกะเหรี่ยงแดงมักมีส่วนสูงเท่าผู้ชาย กะเหรี่ยงภูเขามักเตี้ยกว่ากะเหรี่ยงที่ราบ กะเหรี่ยงขาวที่มีมากในประเทศไทยมีร่างกายแข็งแรงและรูปร่างดีกว่ากะเหรี่ยงแดง กะเหรี่ยงมีสีผิวต่างๆ ตั้งแต่สีผิวอ่อนไปจนถึงสีเข้มคล้ายกาแฟ กะเหรี่ยงแดงมีผิวเข้มกว่ากะเหรี่ยงขาว ผมกะเหรี่ยงมีสีดำและตรง ใบหน้ากว้างและแบบเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ โหนกแก้มสูง ตาห่างและเฉียง จมูกกว้างแบน ปากได้รูป ฟันขาว กะเหรี่ยงสวมต่างหูทรงกระบอก ไม่นิยมมีรอยสัก (หน้า 808) กะเหรี่ยงเป็นคนขี้อาย ขี้ระแวง และกลัวภูตผี ปีศาจ ไม่กล้าเปิดเผยฐานะเพราะกลัวคนอื่นจะขโมย (หน้า 810,811)

Social Cultural and Identity Change

กะเหรี่ยงปฏิเสธที่จะรับเอาวัฒนธรรมพม่าหรือไทย พวกเขาภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง มีการสอนภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาที่ 2 ในโรงเรียน ในพม่า กะเหรี่ยงยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ แม้เสื้อผ้าของพม่าดึงดูดกะเหรี่ยงเพราะราคาถูกและสวมใส่สบาย ในประเทศไทยกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์ดี รัฐบาลไทยเป็นผู้เลือกหัวหน้ากะเหรี่ยงและกะเหรี่ยงยอมรับ ศานาพุทธได้เผยแผ่เข้ามาในกลุ่มกะเหรี่ยง แต่อย่างไรก็ดี กะเหรี่ยงก็มีความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขาไม่พูดไทยและไม่นับถือศาสนาพุทธ (หน้า 812,813) ปกติกะเหรี่ยงที่เพิ่งแต่งงานจะต้องอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายหลายปี แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เวลาที่คู่บ่าวสาวอยู่กับพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายจึงลดลงเหลือเพียงครอบครัวละหนึ่งวัน (หน้า 818)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปการตํ้งถิ่นฐาน หน้า 792 รูปที่ 33 บ้านกะเหรี่ยง หน้า 806 รูปที่ 34 หญิงกะเหรี่ยงในชุดประจำเผ่า หน้า 823 รูปที่ 35 ชายกะเหรี่ยงกับหน้าไม้ หน้า 851

Text Analyst กฤษฎาภรณ์ อินทรวิเชียร Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, โครงสร้างสังคม, ระบบเศรษฐกิจ, ประเพณี, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง