|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การผลิตทางวัฒนธรรม,การนิยามความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์,ภาพลักษณ์,ตัวตน,เชียงใหม่ |
Author |
Yos Santasombat |
Title |
Karen Cultural Capital and the Political Economy of Symbolic Power |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
16 |
Year |
2547 |
Source |
Asian Ethnicity, Volume 5, No. 1, February 2004 |
Abstract |
กะเหรี่ยงต่อสู้กับวาทกรรมของรัฐที่สร้างภาพลักษณ์พวกเขาให้กลายเป็นผู้ทำลายป่า โดยการที่กะเหรี่ยงใช้วัฒนธรรมของตนรวมถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมในการ สร้างอำนาจเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ โดยการไม่ยอมรับวาทกรรมของรัฐและสร้างวาทกรรมขึ้นมาสร้างอัตลักษณ์ตนเองว่าเป็นผู้อนุรักษ์ป่า |
|
Focus |
ศึกษาการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในการนิยามอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองของกะเหรี่ยง โดยไม่ยอมรับวาทกรรมของภาครัฐที่สร้างภาพให้กะเหรี่ยงเป็นผู้ทำลายป่า โดยการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมของตนมาใช้สร้างภาพลักษณ์ใหม่คือผู้พิทักษ์ป่าไม้ |
|
Theoretical Issues |
ใช้แนวคิดของนักสังคมวิทยาชื่อ Pierre Bourdieu ที่กล่าวถึงวัฒนธรรมหลักที่สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ที่มีพลัง มาใช้ในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระว่างผลผลิตทางวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงและอำนาจสัญลักษณ์ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ผู้นำของชุมชนในฐานะผู้ผลิตวัฒนธรรม ได้สร้างขึ้นท่ามกลางบริบทที่มีความขัดแย้งในเรื่องทรัพยากร (หน้า 105-107,113-120) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสกอร์ (หน้า 107) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนกะเหรี่ยงในอำเภอแม่วัง อพยพเข้ามาเมื่อ 274 ปีมาแล้ว พื้นที่ดังกล่าวเคยมีพวกลัวะครอบครองมาก่อน ดำรงชีพด้วยการปลูกฝิ่น อีกทั้งเป็นพื้นที่ที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาตัดไม้ ความนิยมในการปลูกฝิ่นขยายวงกว้างออกไป ก่อให้เกิดการถางโค่นและเผาป่ามากขึ้นเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกฝิ่น (หน้า107) ในปี ค.ศ.1944 ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ได้แพร่เข้ามา แม้กะเหรี่ยงจะนับถือทั้งสองศาสนา แต่ความเชื่อเรื่องผีที่มีมาแต่ก่อน รวมถึงพิธีกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่ก่อนก็ยังคงอยู่ (หน้า 108) ต่อมาราวปี ค.ศ.1970 ภาครัฐได้เข้ามาดำเนินการให้ชาวบ้านปลูกสับปะรดเพื่อรักษาหน้าดินไว้ แต่เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างภาครัฐและชาวบ้านเนื่องจากกะเหรี่ยงมองว่าสับปะรดเป็นพืชที่ไม่มีประโยชน์ (หน้า 109) ช่วงหลังปี ค.ศ.1973 พื้นที่อำเภอแม่วังถูกขบวนการคอมมิวนิสต์ยึดครองเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ ต่อมาโครงการพัฒนาต่างๆ ก็เริ่มเข้าถึง เช่นโครงการหลวงส่งเสริมให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น และให้หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทน ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากแต่ละครัวเรือนจะครอบครองทรัพยากรไม่เท่ากัน และคนจำนวนมาก ร้อยละ 23 ที่เป็นหนี้สิน คือคนจน ซึ่งเป็นครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 12,000 บาทต่อปี มีขนาดไร่นาราว 5.81 ไร่ ต้องมีการทำอาชีพเสริม เช่นการออกไปรับจ้าง เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านและการขนส่ง (หน้า 109-111) |
|
Demography |
ประชากรกะเหรี่ยงที่บ้านหนองเต่ามี 114 ครัวเรือน จำนวนประชากร 564 คน |
|
Economy |
กะเหรี่ยงดำรงชีพด้วยการทำการเกษตร ได้แก่ การปลูกข้าว ทำไร่ฝิ่น รับจ้างตัดไม้สัก และปลูกพืชเศรษฐกิจ ทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอยหรือเรียกอีกอย่างว่าการปลูกพืชหมุนเวียน คือการเพาะปลูกในพื้นที่เดิมระยะหนึ่งเมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์จึงย้ายหาที่ดินที่อื่นทำการเพาะปลูกต่อไป แล้วจึงย้ายกลับมาที่เดิมอีกครั้งเมื่อที่ดินฟื้นตัว แต่กะเหรี่ยงบ้านหนองเต่าก็ประสบกับแรงกดดันจากรัฐในเรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า และการผลิตพืชเงินสดสู่ระบบตลาดที่ทำให้ขาดทุน และเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ด้วยแรงกดดันดังกล่าวทำให้กะเหรี่ยงบ้านหนองเต่าต้องเว้นว่างช่วงการใช้ที่ดินลดลงจาก 7 ปีเหลือเพียง 3 ปี (หน้า 109) |
|
Political Organization |
ภาพลักษณ์ของกะเหรี่ยงที่รัฐสร้างขึ้นคือผู้ทำลายระบบนิเวศวิทยา ด้วยการเพาะปลูกด้วยเทคนิคถางแล้วเผาหรือการทำไร่เลื่อนลอย แต่กะเหรี่ยงก็ต่อสู้ด้วยการนิยามตนเองใหม่ว่าเป็นลูกป่า เป็นผู้พิทักษ์ป่าไม้ โดยการใช้ผลผลิตทางวัฒนธรรมความเชื่อของตน ว่าเป็นวิธีที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การโต้ตอบของกะเหรี่ยงและนักวิชาการรวมถึงสื่อมวลชนต่อวาทกรรมของรัฐ ได้แก่การสร้างคำใหม่ขึ้นมาคือคำว่าการทำไร่หมุนเวียนแทนคำว่าการทำไร่เลื่อนลอย การจัดการทรัพยากรโดยใช้วัฒนธรรมความเชื่อ ในเรื่องวิญญาณธรรมชาติ พิธีกรรมเซ่นไหว้วิญญาณทางธรรมชาติตามฤดูกาล ผสมผสานควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ นอกจากนั้น ยังมีการรวมตัวกันของชาวเขาและนักวิชาการ จัดการสัมมนาเพื่อขยายความหมายของคำว่าการทำไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยง ในกรณีการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติก็มีการเชื่อมโยงจิตวิญญาณของป่า โดยการบวชป่า หรือการสืบชะตาป่า อาศัยความเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องบุญบาปในการอนุรักษ์ป่า (หน้า 114-119) |
|
Belief System |
มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณหรือผี มีพิธีกรรมเซ่นไหว้ผี ภายหลังศาสนาพุทธและคริสต์แพร่เข้ามา แม้จะเป็นที่ยอมรับของชาวเขาแต่ความเชื่อในเรื่องผีและประเพณีดั้งเดิมก็ยังคงได้รับการสืบทอด ทุกปีกะเหรี่ยงบ้านหนองเต่าจะทำพิธีบูชาเทพธิดาข้าวและอุดมการณ์ " Tho Bu Kha" คือหลักการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับการดูแลด้วยโอกาสให้เผชิญชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ถือว่าเป็นความยุติธรรมทางสังคมที่ต้องดำรงไว้ พร้อม ๆ กับต้องอนุรักษ์ระบบนิเวศ (หน้า 108,115-119) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานเกี่ยวกับเทพธิดาแห่งต้นข้าว เป็นเรื่องของเด็กกำพร้าคนหนึ่งชื่อ Jor Pho Khae ซึ่งเป็นเด็กที่มีน้ำใจ ครั้งหนึ่งไม่สามารถหาที่เพาะปลูกได้เนื่องจากถูกจับจองไปหมดแล้ว เทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์มองเห็นจากเบื้องบนจึงจำแลงกายลงมาเป็นหญิงหม้ายที่หลงทาง กำลังใช้หนามล้อมรั้วเพื่อจับจองพื้นที่ด้วยความยกลำบาก เด็กหญิงเห็นเข้าจึงเข้าช่วยเหลือ เมื่อถึงเวลาเทพธิดาก็จากไปพร้อมทั้งกล่าวว่าจะกลับมาทุกครั้งที่ไร่นาถูกเผา (หน้า 116-117) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นสร้างความกดดันให้กับชุมชนกะเหรี่ยง ผู้อาวุโสกังวลว่าลูกหลานจะสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมและอัตลักษณ์ที่ผูกพันกับผืนดิน ผืนน้ำ และผืนป่า พวกเขาโหยหาอดีต และต้องการวิถีชีวิตดั้งเดิมกลับคืนมา ในบริบทการพัฒนาที่มีความแตกต่างกันทางชนชั้น ความไม่มั่นคงในที่ดินทำกิน กะเหรี่ยงได้เลือกที่จะตีกรอบความขัดแย้งทางการเกษตร ในแง่ของการเมืองนิเวศ และสร้างอัตลักษณ์กะเหรี่ยงว่าเป็น "ลูกของป่า" ('Pga K' Yaw) เพื่อต่อสู้กับวาทกรรมของรัฐ ที่ว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอยเป็นการทำลายป่า (หน้า 113-120) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมกำลังจะสูญหายไป เนื่องจากภาครัฐและเด็กรุ่นใหม่ มองว่าเป็นสิ่งงมงาย เยาวชนกะเหรี่ยงรุ่นใหม่จึงขาดความรู้เรื่องธรรมชาติวิทยา ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มมากขึ้น เกิดการแย่งชิงทรัพยากร โอกาสการครอบครองทรัพยากรไม่เท่ากัน (หน้า 111-113) |
|
Map/Illustration |
Figure 1. Percentage of households occupations (p.111) Table 1. Distribution of households and farmland (p.110) 2. Occupation and major sources of income (p. 110) 3. Average annual household expenditures (in bath) (p.112) |
|
|