|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,จารีตประเพณี,คองสิบสี่,วิถีชีวิต,อุดรธานี |
Author |
มยุรี ปาละอินทร์ |
Title |
คองสิบสี่ในวิถีชีวิตของชาวไทพวน ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
244 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
การอยู่ร่วมกันในสังคมไทพวนนั้น มีคองสิบสี่ที่เป็นหลักปฏิบัติและแนวทางที่ผู้อาวุโสนำเอามาปฏิบัติร่วมกันกับศาสนาเพื่อให้เกิดมั่นคงและมีระเบียบวินัยในสังคม คองสิบสี่เป็นเหมือนกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนต้องปฏิบัติคือ ถ้าเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง ข้าราชการ ให้ยึดหลักของ คองเจ้าคองขุน คองท้าวคองเพีย คองไพร่คองนาย เป็นตัวกำหนดหน้าที่ได้ สำหรับประชาชนทั่วไปพบว่า คองที่ทุกคนยึดถือประพฤติปฏิบัติร่วมกัน ได้แก่ คองบ้านคองเมือง คองเฒ่าคองแก่ คองปีคองเดือน และคองไฮ่คองนาส่วนที่ปฏิบัติกันเฉพาะคนในครอบครัวและระบบเครือญาติ ได้แก่ คองผัวคองเมีย คองพ่อคองแม่ คองลูกคองหลาน คองใภ้คอง เขย คองป้าคองลุง และคองปู่คองย่า คองตาคองยาย นอกจากนั้น ยังพบว่า มีชาวบ้านบางกลุ่มไม่รู้จักคองสิบสี่เลย คือ กลุ่มของวัยรุ่นและเด็ก |
|
Focus |
ศึกษา "คองสิบสี่" ในวิถีชีวิตของไทพวนบ้านผือ ในด้านต่าง ๆ เช่น ครอบครัว ศาสนาและประเพณี การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และค่านิยมต่าง ๆ โดย "คองสิบสี่" หมายถึง แนวทางอันควรปฏิบัติ 14 ข้อ สำหรับบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ ควรปฏิบัติ เช่น สามีกับภรรยา พ่อกับแม่ ไพร่กับนาย (หน้า 5-6, 138) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้พยายามวิเคราะห์ให้เห็นความสำคัญของ "คองสิบสี่" ที่มีต่อวิถีชีวิตของชุมชนไทพวนในเชิงการหน้าที่ว่า คองสิบสี่นั้นเป็นเสมือนกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ของคนในสังคม โดยเมื่อยึดถือประพฤติปฏิบัติตามแล้ว จะทำให้เกิดความสามัคคีปรองดองกัน และหากสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ของคนในชุมชน สิ่งนั้นจะยังคงมีอยู่และทำหน้าที่ต่อไป (หน้า 6-7,19-22) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทพวน หรือลาวพวน สำหรับคำว่า "พวน" สันนิษฐานว่าคงจะเรียกตามถิ่นที่อยู่อาศัย โดยเริ่มแรกชนกลุ่มนี้ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้กับเขาภูพวน จึงตั้งชื่อเมืองว่า "เมืองภูพวน" และเรียกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นว่า "ชาวภูพวน" ต่อมาได้เรียกกันสั้น ๆ ว่า "เมืองพวน" ส่วนผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองพวนก็เรียกกันว่า "คนพวน" นอกจากนี้ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าชื่อ "ไทพวน" น่าจะมีที่มาจากแม่น้ำพวน เพราะจากการตรวจสอบดูตามแผนที่ไม่ปราฏกว่ามีภูเขาลูกที่ชื่อ "ภูพวน" (หน้า 37) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทพวนมีภาษาพูดจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลไต (Tai) มีสำเนียงคล้ายกับภาษาของคนไทยทางภาคอีสาน โดยยังคงภาษาของตนไว้อย่างมั่นคง จะเห็นได้จากการไม่ยอมพูดภาษาอื่นกับพวกเดียวกัน แต่จะพูดภาษาพวนเท่านั้น แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับลาวเวียงและไทอีสานก็ตาม (หน้า 38, 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
เริ่มทำการศึกษาวิจัยตั้งแต่ เดือนมีนาคม พ.ศ.2540 จนถึง พ.ศ. 2543 |
|
History of the Group and Community |
ไทพวนมีภูมิลำเนาอยู่บริเวณภาคเหนือของลาวเรียกว่า เมืองพวนหรือแขวงเชียงขวาง สงครามระหว่างไทยกับลาวในอดีตได้ส่งผลให้ไทพวนถูกกวาดต้อนและอพยพเข้าสู่ประเทศไทยหลายต่อหลายครั้ง และตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยเกือบทุกภูมิภาค ไทพวนบ้านฝือ เป็นไทพวนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในภาคอีสานที่มีประวัติศาสตร์ของชนชาติภาษาและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2428-2436) มีทั้งที่อพยพหนีศึกฮ่อ และยังมีพวนที่อยู่ในภาคกลางอพยพไปพึ่งพาญาติพี่น้องของตนที่บ้านผือ (หน้า 23, 40) |
|
Settlement Pattern |
พวนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานจะกระจัดกระจายกันอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นบริเวณที่ใกล้ถิ่นฐานเดิมที่เคยอพยพมา อีกทั้งยังมีความสอดคล้องกันในเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น ที่จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำภู (หน้า 39) |
|
Demography |
ประชากรในอำเภอบ้านผือ ส่วนใหญ่เป็นไทพวน แต่เอกสารไม่ระบุถึงตัวเลขที่ชัดเจนของไทพวนในบ้านผือว่ามีจำนวนเท่าใด โดยในหมู่บ้านที่มีไทพวนอาศัยอยู่จะมีจำนวนประชากรรวมทั้งสิ้น 6,419 คน แยกเป็นชาย 3,112 คน เป็นหญิง 3,307 คน และมีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 1,668 ครัวเรือน (หน้า 46-51) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านผือเป็นสังคมเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ หากมีผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคในครัวเรือนก็จะนำไปขาย อาชีพในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ทำเป็นอาชีพหลักคือ การทำนา โดยการทำนาของไทพวนดั้งเดิมนั้นจะอาศัยแรงงานคนในครัวเรือนเป็นสำคัญ หากปีใดผลผลิตไม่เพียงพอ ก็ต้องหาอาชีพเสริมต่าง ๆ ทำ เช่น การเลี้ยงสัตว์ รับจ้าง ค้าขาย และอื่น ๆ ปัจจุบันการใช้แรงงานของไทพวนในแต่ละครัวเรือนยังเหลือผู้ที่ทำนาบ้านละ 2-3 คนเท่านั้น จึงต้องมีการจ้างแรงงานเข้ามาช่วย โดยจะมีผู้ที่ไม่มีนาทำเข้ามารับจ้าง หรือบางครั้งมีผู้ที่มาจากหมู่บ้านอื่นเข้ามารับจ้าง แต่ก็ยังมีบางหมู่บ้านที่ยังถือแรงกันโดยมีการตอบแทนแรงที่ได้รับการช่วยเหลือในทันทีเช่นกัน (หน้า 5, 161-162) |
|
Social Organization |
ไทพวนมีการดำรงชีวิตเป็นแบบสังคมญาติพี่น้องพึ่งพาอาศัยกัน และมีความเคารพต่อผู้อาวุโสประจำตระกูลและผู้อาวุโสประจำหมู่บ้าน ครอบครัวของไทพวนมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ มีพ่อและแม่เป็นผู้นำครอบครัวที่สำคัญ เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกคนแรก (ผู้ชาย) จะต้องรับหน้าที่ผู้นำครอบครัวแทน การให้ความเคารพนับถือของครอบครัวไทพวน บุคคลที่สำคัญของครอบครัวที่ได้รับความเคารพคือ พ่อหรือญาติฝ่ายพ่อมากกว่าแม่หรือญาติฝ่ายแม่ ไทพวนตำบลบ้านฝือมีการปฏิบัติตนตามจารีตประเพณีโดยในอดีตเมื่อแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายหญิงจะไปอยู่บ้านฝ่ายชาย เพื่อดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ฝ่ายชาย และเมื่อมีฐานะค่อนข้างมั่นคงแล้วจะแยกครัวเรือนออกจากครอบครัว (หน้า 45, 144-145) |
|
Political Organization |
ไทพวนตำบลบ้านผือ มีระบบการเมืองการปกครองในหมู่บ้าน ตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับชาวบ้าน โดยยึดถือปฎิบัติตาม คองสิบสี่สำหรับผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำสูงสุดของหมู่บ้าน ทำหน้าที่ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อยและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ความเป็นธรรมให้แก่ลูกบ้าน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้นำที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ ผู้นำทางเศรษฐกิจ และข้าราชการ (หน้า 152, 156-158) |
|
Belief System |
ไทพวนมีความเชื่อดั้งเดิม คือ การนับถือผี การไหว้ผี ลงผี เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวัน สังคมไทพวนบ้านฝือจะนับถือผีปู่ตา และถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการรับนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่ไทพวนก็ยังคงนับถือผีควบคู่ไปกับศาสนาพุทธ ถือเป็นการผสมกลมกลืนทางความเชื่ออย่างหนึ่ง ปัจจุบัน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธา และมีพระสงฆ์เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ อีกทั้งคนในชุมชนยังมีการยึดมั่นในแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติตามครรลองคองธรรมของคองสิบสี่ต่อครอบครัวเริ่มจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ลูก หลาน เหลน บ้านเรือน ต่อพระศาสนา ซึ่งแบบแผนและค่านิยมเหล่านี้ ยังมีการสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 4, 42, 45, 151) |
|
Education and Socialization |
ปัจจุบันชาวบ้านผือได้เห็นความสำคัญของการศึกษา โดยการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนสังกัดการประถมศึกษาและโรงเรียนสอนเด็กก่อนเกณฑ์ ทำให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานครบทุกคน และยังมีโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งในโรงเรียนแต่ละแห่งจะมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากการอบรมสั่งสอนคนในชุมชนให้มีความรู้ผ่านแบบเรียนของทางภาครัฐบาลแล้ว คนในชุมชนก็ยังคงอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ยึดถือและปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่เรียกว่า "คองสิบสี่" ตามจารีตคอง 14 ลูกหลานจะถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ปู่ย่า และญาติพี่น้อง และยังถือปฏิบัติตนทางด้านการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ (หน้า 4, 44, 145) |
|
Health and Medicine |
แม้ในปัจจุบัน จะมีการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขภายในชุมชนมากขึ้น แต่จากพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีที่มั่นคงของคนในชุมชน เป็นผลทำให้คนในชุมชนยังคงมีการรักษาโรคด้วยการลงผีอยู่ (หน้า 42) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไทพวนมักนิยมแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายที่ทอด้วยมือ ซึ่งมีลวดลายแบบไทพวน อาทิเช่น ลายเบี้ยง (เบี่ยง) ลายตะขอ ลายซุ้มปราสาท เป็นต้น ผ้าดังกล่าวเรียกว่า "ผ้ามัดหมี่" หรือที่พวนเรียกว่า "ซิ่นหมี่" (หน้า 38) |
|
Folklore |
จากตำนานพงศาวดารล้านช้างได้กล่าวถึงการสร้างเมืองพวนไว้ว่า ขุนบูลม (ขุนบรม) กษัตริย์แห่งเมืองแถน มีพระโอรสอยู่ด้วยกัน 7 พระองค์ เมื่อพระโอรสทั้ง 7 พระองค์เจริญวัย ขุนบูลมได้แบ่งสมบัติให้แก่พระโอรสทั้ง 7 และให้แยกย้ายกันไปสร้างบ้านแปงเมืองเพื่อขยายเขตปกครองให้กว้างขวางออกไป ก่อนพระโอรสจะเสด็จออกจากเมืองแถนเพื่อไปสร้างบ้านแบ่งเมืองนั้น ขุนบูลมได้ให้พระโอรสทั้ง 7 พระองค์ สาบานต่อกันว่าจะไม่รบราฆ่าฟันแย่งชิงดินแดนกัน หากผู้ใดผิดคำสาบานขอให้พบกับความวินาศฉิบหาย หลังจากที่ขุนเจ็ดเจิงสร้างเมืองพวนสำเร็จแล้ว ขุนลอซึ่งได้ไปสร้างเมืองหลวงพระบางและตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบาง ก็ได้แบ่งปันดินแดนเพิ่มให้แก่ขุนเจ็ดเจิงเจ้าเมืองพวนอีก ต่อมาขุนลกกลมเจ้าเมืองคำเกิด ได้ยกดินแดนเมืองคำเกิดทั้งหมดให้แก่เจ้าเมืองพวนเพื่อเป็นค่าปรับไหมความผิดที่ได้กระทำไว้ ดั้งนั้นอาณาเขตทางตอนใต้ของเมืองพวนจึงกว้างใหญ่ขยายลงมจนจรดเขตเวียงจันทน์ (หน้า 33-36) นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน "บ้านผือ" ว่าเดิมบริเวณนี้มีหนองน้ำแห่งหนึ่ง "หนองปรือ" เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ประชาชนในบริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียงได้อาศัยน้ำจากหนองน้ำนี้ เพื่อบริโภคและอุปโภคเป็นประจำ คงจะเป็นด้วยน้ำนี้มีประโยชน์ต่อชาวบ้านเป็นเอนกประการ การตั้งหมู่บ้านจึงตั้งตามหนองน้ำว่า "บ้านปรือ" นานวันเข้าสำเนียงพูดจึงเพี้ยนเป็น "บ้านผือ" (หน้า 42) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
"ไทพวน" เป็นชื่อของชนกลุ่มหนึ่งทางภาคอีสาน สันนิษฐานว่าคงจะเรียกชื่อตามถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองพวนนี้เรียกกันว่า "ชาวพวน" หรือ "คนพวน" ไทพวนมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับลาวพวกอื่น ๆ ผิวขาวเหลือง มีนิสัยรักสงบ ขยันขันแข็ง โอบอ้อมอารีและรักพวกพ้อง ดังจะเห็นได้จากการจัดประเพณีต่าง ๆ ที่มักจะมีการรวมตัวกันช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ ไทพวนบ้านฝือมีความสำนึกในประวัติศาสตร์ชนชาติสูง และมีความสำนึกในเอกลักษณ์ ภาษา ประเพณี และวัฒนธรรม โดยจะมีการรวมตัวกันตั้งชมรมไทพวนบ้านผือ และมีการประชาสัมพันธ์กับไทพวนกลุ่มอื่น ๆ ร่วมทำกิจกรรม และมีการสังสรรค์กันอย่างใกล้ชิด โดยเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ไทพวนทุกปี (หน้า 37-38, 41) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นผลทำให้การยึดถือจารีตประเพณีในการผลิตบางอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป ดังเช่น การคองไฮ่คองนาของไทพวนได้ลดน้อยลง เนื่องจากไทพวนทำนาด้วยเครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ จึงลดพิธีกรรมบางอย่างไป คงเหลือเพียงการประกอบพิธีกรรมสู่ขวัญข้าว และพิธีแฮกนาเท่านั้นที่ยังคงยึดถือปฏิบัติกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครองจะเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ระบบครอบครัว การปกครองและอาชีพในชนบทได้เปลี่ยนแนวประพฤติปฏิบัติ โดยยึดกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจการค้าขาย แต่แนวปฏิบัติในครอบครัวเป็นคองที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาก็ยังคงดำรงอยู่ สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนในชุมชน สิ่งนั้นจะยังคงมีอยู่และทำหน้าที่ต่อไป (หน้า 150, 168, 172) |
|
Other Issues |
คองสิบสี่ ของไทพวนตำบลบ้านผือ หมายถึง แนวทางในการประพฤติปฏิบัติของประชาชนทั่วไป ผู้ปกครองบ้านเมืองนับแต่พระมหากษัตริย์ ข้าราชการ ผู้อยู่ใต้ปกครองพุทธศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สังคมนับถือร่วมกันมี 14 ข้อ คือ คองเจ้าคองขุน คองท้าวคองเพีย คองไพร่คองนาย คองบ้านคองเมือง คองผัวคองเมีย คองพ่อคองแม่ คองลูกคองหลาน คองใภ้คองเขย คองป้าคองลุง คองปู่คองย่าคองตาคองยาย คองเฒ่าคองแก่ คองปีคองเดือน คองไฮ่คองนา และคองวัดคองสงฆ์ |
|
Map/Illustration |
แผนที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (หน้า 36) แผนที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 226) แผนที่จังหวัดอุดรธานี (หน้า 227) แผนที่อำเภอบ้านฝือ จังหวัดอุดรธานี (หน้า 228) แผนที่ตำบลบ้านฝือ อำเภอบ้านฝือ จังหวัดอุดรธานี (หน้า 229) |
|
|