|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การบำเพ็ญฮัจญ์,ประเทศไทย |
Author |
วิริยา ขันธสิทธิ์ |
Title |
ศึกษาการบำเพ็ญฮัจญ์ของชาวมุสลิมในประเทศไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
215 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ผู้เขียนกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญฮัจญ์ตั้งแต่สมัยศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ซึ่งเป็นสถานที่และจุดเริ่มต้นของรูปแบบพิธีกรรมบำเพ็ญฮัจญ์มาถึงปัจจุบันนี้ (หน้า 13-17) การบำเพ็ญฮัจญ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) (หน้า 48-53) และได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 19) และหัวข้อสำคัญอื่นๆ ได้แก่ รูปแบบของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 24-25) ข้อห้ามขณะอยู่ในชุดอิห์รอม (หน้า 25) และค่าปรับในการละเมิดข้อห้าม (หน้า 26), พิธีการบำเพ็ญฮัจญ์* องค์ประกอบของการบำเพ็ญฮัจญ์ มี 6 ข้อ (หน้า 27-31 และโปรดดูตารางหน้า 44 ประกอบ) * สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติในการบำเพ็ญฮัจญ์ มี 5 ข้อ(หน้า 31-73) * สิ่งที่ควรปฏิบัติในการบำเพ็ญฮัจญ์ 7 ข้อ (หน้า 37-41) ขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 41-45), สถานที่สำคัญในพิธีฮัจญ์ (หน้า 58 -62), ประวัติความเป็นมาของการบำเพ็ญฮัจญ์ในประเทศไทย (หน้า 64-71) การเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านทรัพย์ สิน ร่างกายและจิตใจ (หน้า 72-78), การเตรียมความพร้อมทางด้านความรู้ (หน้า 79), ปัญหาและแนวทางแก้ไข (หน้า 98-100), การบำเพ็ญฮัจญ์ ที่เป็นไปตามแบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) เท่านั้นที่จะเป็นฮัจญ์ที่อัลลอฮ์ทรงรับ (ฮัจญ์มับรูร์) การบำเพ็ญฮัจญ์หากขาดหลักปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักศาสนาจะเป็นฮัจญ์ที่สมบูรณ์ไม่ได้ (หน้า 4) ผู้เขียนจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์ตามหลักศาสนาอิสลามและการศึกษาว่ามุสลิมในประเทศไทยได้ปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นมากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของผู้บำเพ็ญฮัจญ์ต่อไป หัวข้อสำคัญที่ผู้เขียนกล่าวถึงคือ ข้อผิดพลาดในการบำเพ็ญฮัจญ์ได้แก่ การไม่ปฎิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาโดยเจตนา ความรู้ความเข้าใจที่ผิดจากหลักศาสนา หรือความไม่รู้หลักศาสนา ความไม่สำรวม เป็นต้น (หน้า 54-57, 102-106) แต่อย่างไรก็ตามนักวิชาการศาสนาอิสลามส่วนใหญ่เห็นว่า องค์ประกอบสำคัญของการบำเพ็ญฮัจญ์ของมุสลิมในประเทศไทยเป็นไปตามแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) มีแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ทั้งนี้ การบรรลุวัตถุประสงค์ของการบำเพ็ญฮัจญ์ ขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละบุคคล (หน้า 118) อย่างไรก็ตาม ผู้นำชุมชน (อิมาม) ควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชุมชนในเรื่องการบำเพ็ญฮัจญ์ด้วย (หน้า 119) เพื่อให้การบำเพ็ญฮัจญ์นั้นเป็นฮัจญ์ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงรับ |
|
Focus |
ศึกษาการบำเพ็ญฮัจญ์ โดยกล่าวถึงความหมาย ประวัติความเป็นมาตามหลักศาสนา รูปแบบพิธีการ ข้อห้าม ข้อพึงปฏิบัติ และความหมายของพิธีการต่างๆ ประวัติความเป็นมาของการบำเพ็ญฮัจญ์ในประเทศไทย ปัญหาอุปสรรคในการบำเพ็ญฮัจญ์และแนวทางแก้ไข ทัศนคติของนักวิชาการศาสนาอิสลามและคนไทยที่เคยไปบำเพ็ญฮัจญ์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
นักวิชาการศาสนาอิสลาม จำนวน 10 คน และคนไทยผู้บำเพ็ญฮัจญ์ จำนวน 20 คน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
กลางเดือนมิถุนายน 2543 - ต้นเดือนมกราคม 2544 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมการไปบำเพ็ญฮัจญ์ อยู่ในการดูแลของกรมตำรวจ โดยมอบหมายให้เอกชนดำเนินการแต่ประสบกับปัญหาหลายประการจนปี พ.ศ.2513 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ และให้บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นผู้จัดเรือและเครื่องบินรับส่ง หลังจากนั้น มีปัญหาอุปสรรคในเรื่องเรือรับส่ง ระยะเวลาการพำนักในประเทศซาอุดิอารเบีย ฯลฯ จนกระทั่งปี พ.ศ.2520 คณะกรรมการควบคุมผู้รับขนส่งไปบำเพ็ญฮัจญ์ได้ออกระเบียบว่าด้วยการฝากเงินสะสมของคนไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามที่จะเดินทางไปบำเพ็ญฮัจญ์ และพยายามแก้ไขปัญหา ปรับปรุงแนวทางและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์มากขึ้น ในปี พ.ศ.2524 ได้มีพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจญ์ ฉบับแรกเกิดขึ้น (หน้า 69) โดยโอนความรับผิดชอบมาที่กระทรวงศึกษาธิการ มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์ อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และมีปลัดกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามเป็นกรรมการ ให้อำนาจกรรมการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิได้ 4 คน มีวาระ 2 ปี ในช่วงแรกให้แต่งตั้งจากหน่วยงานต่างๆ ในปี พ.ศ. 2532 ได้ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการอัจญ์ ฉบับที่ 2 (หน้า 70) เพื่อขจัดความเดือดร้อนให้แก่ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ จึงสมควรให้จุฬาราชมนตรีเสนอชื่อต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาคัดเลือกอะมีรุ้ลอัจย์ (หัวหน้าคณะผู้แทนฮัจย์ทางการ) ทำหน้าที่นำคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามในกิจการที่เกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประสานงานในการปฏิบัติงานของคณะเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง (หน้า 64-71) |
|
Settlement Pattern |
อาณาเขตที่ศึกษา เรียกว่า แผ่นดินหะรอม (แผ่นดินต้องห้าม) เป็นสถานที่ที่มุสลิมทั่วโลกเดินทางมาบำเพ็ญฮัจญ์ทุกปี เป็นแผ่นดินต้องห้ามสำหรับผู้ที่มิใช่มุสลิม ในแผ่นดินดังกล่าวห้ามล่าสัตว์ ทำลายพืช และทะเลาะวิวาท ต้องสำรวมตน อาณาเขต คือ นครมักกะฮ์ และปริมณฑล พื้นที่ในปริมณฑล ดังกล่าวได้แก่ (หน้า 58-61) 1. มัสยิดอัลหะรอม เป็นที่ตั้งของบัยตุลลอฮ์ หรืออัลกะอ์บะฮ์ 2. เนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ เป็นสถานที่ทำพิธีสะแอ คือเดินไปมาระหว่างเนินเขาทั้งสอง ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เนินเขานี้อยู่ด้านหนึ่งของมัสยิดอัลหะรอม 3. ทุ่งอะเราะฟะฮ์ อยู่ห่างจากนครมักกะฮ์ ประมาณ 25 กิโลเมตร 4. มุซดะลิฟะฮ์ เป็นทุ่งกว้างอยู่ห่างจาก ทุ่งอะเราะฟะฮ์ ประมาณ 2 กิโลเมตร 5. มินา เป็นตำบลอยู่ชานเมืองมักกะฮ์ ห่างจากบัยตุลลอฮ์ ประมาณ 5 กิโลเมตร |
|
Social Organization |
การบริหารจัดการพิธีฮัจญ์ "กิจการฮัจญ์" หมายถึงกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะฮ์ ในอดีตผู้นำพามุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์เรียกว่า "แซะฮ์" จะเป็นผู้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการทำฮัจญ์ คอยให้คำแนะนำต่างๆ และแซะฮ์จะได้รับค่าบริการในประเทศไทยเริ่มจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการฮัจญ์เมื่อปี พ.ศ. 2541 ส่วนในด้านการให้บริการต่างๆ นั้น ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยว่าด้วยการควบคุมกิจการ การรับจัดบริการขนส่งในกิจการฮัจย์ การจัดบริการอื่นที่เกี่ยวกับกิจการฮัจย์ และการโฆษณาหรือกระทำการอื่นใดที่เกี่ยวกับกิจการฮัจย์ ได้กล่าวถึงหน้าที่ของผู้ประกอบการโดยสรุป ได้แก่ 1. จัดให้มีการปฐมนิเทศเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจญ์ การเดินทางการใช้เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการเดินทางและการรักษาสุขภาพตนเอง 2. จัดหาอาหาร ที่พัก ตั้งแต่เดินทางออกจากภูมิลำเนาจนกว่าจะเดินทางกลับภูมิลำเนา 3. ผู้ประกอบการจะต้องจัดให้ผู้ไปประกอบพิธีฮัจญ์เดินทางเป็นกลุ่มรวมแล้วกลุ่มละไม่เกิน 50 คน โดยมีผู้นำกลุ่ม 1 คน และผู้ให้คำแนะนำในการประกอบพิธี 1 คน 4. ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการให้ผู้ไปประกอบพิธีฮัจญ์เดินทางไปและกลับภายในวันและเวลาที่กำหนดไว้ ค่าบริการโดยเฉลี่ยจะตกคนละประมาณ 80,000 - 100,000 บาท (หน้า 81-86) |
|
Political Organization |
บทบาทของหน่วยงานของรัฐต่อกิจการฮัจญ์นั้น รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาอิสลามและให้การสนับสนุนกิจการฮัจญ์เสมอมา แต่ยังคงมีอุปสรรคทางกฎหมายบางประการ (หน้า 86) ที่สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2524 ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจญ์ พ.ศ.2524 เท่ากับเป็นการรับรองกิจการฮัจญ์ ที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกเรียบร้อย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ 1. คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีหน้าที่กำหนดระเบียบ ข้อบังคับเงื่อนไข มาตรการใดๆ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในอันที่จะให้ความคุ้มครองผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปบำเพ็ญฮัจญ์ให้ได้รับความสะดวกปลอดภัยและมีหลักประกัน 2. คณะอนุกรรมการอำนวยความสะดวกผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ แต่งตั้งโดยคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่จัดเตรียมการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่คนไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองมักกะฮ์ เมืองมะดีนะฮ์ และสนามบินเมืองเจดดาห์ ประสานกับหน่วยงานราชการไทยและหน่วยงานราชการประเทศซาอุดิอาระเบีย ผู้ประกอบการ ผู้นำกลุ่มและผู้บำเพ็ญฮัจญ์คนไทย รวมถึงประเมินผลปฏิบัติงาน 3. คณะอนุกรรมการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการส่งเสริมกิจการฮัจญ์ แต่งตั้งโดยคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย มีอธิบดีกรมการศาสนาเป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษาปัญหาและหาแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการไปบำเพ็ญฮัจญ์ 4. คณะทำงานของอะมีรุ้ลฮัจย์ (หัวหน้าคณะผู้แทนฮัจญ์ทางการ) ทำหน้าที่ประสานการทำงานกับคณะเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกผู้ประกอบพิธีฮัจญ์คนไทย เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารจากอะมีรุ้ลฮัจญ์ไปยังผู้บำเพ็ญฮัจญ์คนไทย 5. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) 6. หน่วยพยาบาลไทย กระทรวงสาธารณสุข (หน้า 86-93) |
|
Belief System |
ผู้เขียนได้บรรยายเกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นศาสนพิธีที่มีความสำคัญยิ่งในศาสนาอิสลาม เนื่องจากมุสลิมที่มีความพร้อมและความสามารถ กล่าวคือ มีทรัพย์สินเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ครอบครัวไม่ได้รับความเดือดร้อน มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีความปลอดภัยในการเดินทาง จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต (หน้า 1-2) สาระสำคัญเกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์ ได้แก่ 1. ความเป็นมาของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 13-16) เป็นข้อปฏิบัติประการสุดท้ายในห้าประการของหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลาม ฮัจญ์ ตามหลักภาษา หมายถึง การมุ่งไป หรือการตั้งใจไปยังจุดมุ่งหมาย ฮัจญ์ ตามหลักศาสนา หมายถึงการมุ่งไปสู่บัยตุลลอฮ์ (อาคารแห่งอัลลอฮ์ เป็นอาคารหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการทำภักดีอัลลอฮ์ อยู่ในนครมักกะฮ์ ) เพื่อทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ประวัติศาสตร์ของฮัจญ์เริ่มจากสมัยศาสดาอิบราฮีม (อ.) ผู้มีความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างมั่นคง อัลลอฮ์ได้บัญชาให้ศาสดาอิบราฮีม (อ.) นำอิสมาอีลผู้เป็นบุตรพร้อมภรรยาเดินทางไปนครมักกะฮ์ ซึ่งเป็นทะเลทราย เมื่อบุตรชายร้องด้วยความหิวโหย นางฮาญัรผู้เป็นมารดา จึงวิ่งหาน้ำไปมาระหว่างเนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ เมื่อนางกลับมาพบอิสมาอีลอีกครั้ง ก็พบว่าบนผืนทรายปลายเท้าของอิสมาอีลมีน้ำผุดขึ้นมา นางเอามือป้องน้ำพร้อมกับร้องว่า "ซัม ซัม" ตาน้ำนั้นจึงได้ชื่อว่า "ซัม ซัม" นับแต่นั้นมา การวิ่งระหว่างเนินเขาทั้งสองของนางฮาญัร จึงเป็นที่มาของขั้นตอนหนึ่งในการบำเพ็ญฮัจญ์ ที่เรียกว่า "สะแอ" ต่อมาอัลลอฮ์ได้ทรงทดสอบความศรัทธาของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) อีกครั้ง โดยในความฝันอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้นำอิสมาอีลไปทำการเชือดพลีถวายแด่พระองค์ ท่านและอิสมาอีล ได้ปฏิบัติตาม แต่ในระหว่างเดินทางได้ถูกชัยฎอน (มารร้าย) ขัดขวางท่านได้ขับไล่ด้วยการขว้างก้อนหิน และพาบุตรชายเดินทางต่อไป อัลลอฮ์ทรงเห็นถึงความศรัทธาอันแรงกล้าจึงทรงเมตตาให้ทำการเชือดสัตว์เป็นพลีแทน การเชือดสัตว์เป็นพลีนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญฮัจญ์ภายหลังจากที่ท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และศาสดาอิสมาอีล (อ.) เสียชีวิต การปฏิบัติรอบวิหารกะอ์บะฮ์ได้เปลี่ยนแปลงไป มีการนำเทวรูป ภูติ ผี ปีศาจมาบูชา จนเมื่อมาถึงสมัยท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ท่านได้ยึดมักกะฮ์และทำลายเทวรูปต่างๆ และได้แสดงแบบอย่างการบำเพ็ญฮัจญ์ที่ถูกต้องให้แก่มุสลิมทราบ 2. จุดมุ่งหมายของการบำเพ็ญฮัจญ์ คือการยืนยันถึงความจงรักภักดีที่มีต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และเพื่อสร้างจิตวิญญาณแห่งความเป็นมุสลิมให้สูงขึ้น เพิ่มพูนความศรัทธาของพวกเขาหลังจาก ที่ได้ผ่านการฝึกฝนในขั้นตอนต่างๆ ของการบำเพ็ญฮัจญ์และสิ่งที่เป็นสุดยอดปรารถนาคือ ฮัจญ์มับรูร์ เป็นฮัจญ์ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงรับ เป็นฮัจญ์ที่บริสุทธิ์ (หน้า 17-18) 3. คุณสมบัติของผู้บำเพ็ญฮัจญ์ ได้แก่ (หน้า 20- 24) 1) เป็นมุสลิม 2) มีสติสัมปัชัญญะสมบูรณ์ 3) บรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติ 4) เป็นเสรีชน มีอิสระแก่ตัว 5) มีความปลอดภัยในการเดินทาง 6) มีความสามารถ คือมีทรัพย์ในการใช้จ่ายและเป็นทรัพย์ที่นอกเหนือจากหนี้สิน ความสามารถนี้อาจจะกล่าวได้โดยตรงและโดยอ้อม ความสามารถโดยตรง คือ ผู้ที่มีความสามารถบำเพ็ญฮัจญ์ได้ด้วยตนเอง คือมีทรัพย์สิน ร่างกายแข็งแรง ความสามารถโดยอ้อม คือ มีทรัพย์สินพอที่จะแต่งตั้งให้ผู้อื่นไปบำเพ็ญฮัจญ์แทน ขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ หรือภายหลังจากที่ตายไปแล้ว ในกรณีที่ไม่สามารถไปทำฮัจญ์ได้ด้วยตนเอง เพราะชราภาพหรือเจ็บป่วย 4. รูปแบบการบำเพ็ญฮัจญ์ มี 3 รูปแบบ ซึ่งสามารถเลือกปฏิบัติได้แบบใดแบบหนึ่ง (หน้า 24-25) 1. อิฟรอด คือการบำเพ็ญฮัจญ์อย่างเดียว เหมาะสำหรับผู้เดินทางเข้ามักกะฮ์ใกล้วันเริ่มพิธีฮัจญ์ โดยไม่ต้องเสียดัม (ค่าปรับทดแทน) แต่มีความยากลำบากมากเพราะต้องระมัดระวังข้อห้ามในการครองอิห์รอมระหว่างรอวันเริ่มพิธีฮัจญ์ ในทรรศนะของมัซฮับชาฟิอีย์ ถือว่าการบำเพ็ญฮัจญ์แบบอิฟรอดนี้ดีกว่าการบำเพ็ญฮัจญ์แบบอื่น 2.ตะมัตตุอ์ คือ การทำอุมเราะฮ์ก่อนในช่วงเวลาของฮัจญ์ผู้บำเพ็ญฮัจญ์สวมชุดอิห์รอมเพื่อทำอุมเราะฮ์เท่านั้น แล้วรอจนถึงวันที่ 8 ของเดือนซุลฮิจญะฮ์ จึงแต่งชุดอิห์รอมใหม่เพื่อเริ่มทำพิธีฮัจญ์ต่อไป วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกสบาย เพราะไม่ต้องครองชุดอิห์รอมนาน แต่ต้องเสียฮัดย์เพราะทำอุมเราะฮ์ในช่วงเวลาฮัจญ์ 3. กิรอน คือการทำฮัจญ์และอุมเราะฮ์พร้อมกันในช่วงเวลาของฮัจญ์ วิธีนี้ประหยัดเวลาเพราะผู้ปฏิบัติจะได้ทั้งฮัจญ์และอุมเราะฮ์ในคราวเดียวกัน แต่ต้องเสียฮัจญ์ 5. ขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 41-45) ขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์เริ่มด้วย 1) การตั้งเจตนาครองชุดอิห์รอม 2) จากนั้นออกเดินทางจากที่พักไปมินาและทำละหมาด 3) นอนพักที่มินาโดยรำลึกถึงอัลอลฮ์ (ซ.บ.) 4) วันรุ่งขึ้นเดินทางไปทุ่งอะเราะฟะฮ์ ในระหว่างนี้หัวหน้ากลุ่มจะแสดงเทศนาธรรมตักเตือน สั่งสอน กำชับให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ปฏิบัติตามกุรอานและหะดีษ ทำละหมาดและทำวุกูฟคือการหยุดพัก ณ ทุ่งอะเราะฟะฮ์ กล่าวคำรำลึกถึงอัลลอฮ์ ขอพร และอ่านกุรอานให้มากๆ 5) ออกเดินทางไปยังมุซดะลิฟะห์ ทำละหมาดและพักค้างแรม 6) รุ่งเช้าไปหยุดพักที่อัลมัชอะริลหะรอม กล่าวรำลึกอัลลอฮ์ (ซ.ฐ.) ขอพร จนกระทั่งก่อนตะวันขึ้น 7) ออกเดินทางไปมินา เมื่อถึงมินาให้มุ่งไปที่เสา 3 ต้น ให้กล่าวตัลบีฮะฮ์ แล้วขว้างก้อนหินทีละเม็ด จนครบ 7 เม็ด 8) เสร็จจากการขว้างก้อนหินแล้วให้เชือดสัตว์ แล้วโกนศรีษะหรือตัดผม หลังจากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปกติ 9) เดินทางเข้ามักกะฮ์ เพื่อเดินรอบกะอ์บะฮ์ (เฏาะวาฟ) 7 รอบและเดินระหว่างเนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ (สะแอ) 10) เดินทางกลับไปค้างแรมที่มินา 3 คืน โดยในระหว่างนั้นมีพิธีที่ต้องปฏิบัติ คือ เมื่อตะวันคล้อยให้นำก้อนหิน 21 ก้อน ไปขว้างเสาหิน 3 ต้นๆ ละ 21 เม็ด เมื่อขว้างเสร็จให้ขอพร (สำหรับต้นที่ 3 ไม่ต้องขอพร) ในระหว่างที่พักที่นี่ให้ทำละหมาดย่อ 11) เดินทางกลับมะกะฮ์ เพื่อเดินรอบกะอ์บะฮ์ (เฏาะวาฟวะดาฮ์) 7 รอบ เป็นการอำลา แล้วเดินทางออกจากมักกะฮ์ทันที 6.สถานที่สำคัญในพิธีฮัจญ์ (หน้า 57 - 62) 1) แผ่นดินหะรอม คือสถานที่ที่มุสลิมทั่วโลกเดินทางมาทำพิธีฮัจญ์ 2) มัสยิด อัล - หะรอม เป็นที่ตั้งของบัยตุลลอฮ์หรืออัลกะอ์บะฮ์ 3) บัยตุลลอฮ์ เป็นอาคารหลังแรกที่อัลลอฮ์ทรงใช้ให้ศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และ ศาสดาอิสมาอีล (อ.) สร้างขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) มุสลิมทั่วโลกจะต้องหันหน้าไปทางบัยตุลลอฮ์ในขณะที่ทำนมาซ 4) เนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮ์ เป็นสถานที่ทำพิธีสะแอ คือเดินไปมาระหว่างเนินเขาทั้งสอง ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เนินเขานี้อยู่ด้านหนึ่งของมัสยิดอัลหะรอม 5) บ่อน้ำซัม ซัม เป็นบ่อน้ำจืด ตั้งอยู่บริเวณใต้ลานมัสยิดหะรอม มีบันไดจากลานมัสยิดลงไปยังบ่อน้ำ ปัจจุบันรัฐบาลซาอุดิอาระเบียต่อก๊อกน้ำจำนวนมากจากบ่อ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ได้ใช้บริโภค 6) ทุ่งอะเราะฟะฮ์ อยู่ห่างจากนครมักกะฮ์ ประมาณ 25 กิโลเมตร อยู่ระหว่างหุบเขาสูงประมาณ 200 ฟุต มีอาณาเขตกว้างขวาง ทุ่งแห่งนี้ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนวุกูฟ คือหยุดพัก พร้อมกับกล่าวขอพร ขออภัยต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ) ภายหลังตะวันคล้อยของวันที่ 9 เดือนซุลฮัจญะฮ์ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตก หากผู้ใดไม่ทำการวุกูฟ ณ ที่แห่งนี้ การบำเพ็ญฮัจญ์ของเขานั้นใช้ไม่ได้ 7) มุซดะลิฟะฮ์ เป็นทุ่งกว้างอยู่ห่างจาก ทุ่งอะเราะฟะฮ์ประมาณ 2 กิโลเมตร มีก้อนหินและก้อนกรวดจำนวนมากเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ผู้บำเพ็ญฮัจญ์จะเดินทางออกจากทุ่งอะเราะฟะฮ์ เพื่อมาพักค้างคืนที่มุวดะลิฟะฮ์ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น จึงออกเดินทางไปยังมีนา ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ส่วนใหญ่จะเก็บก้อนหินจากมุซดะลิฟะฮ์ ติดตัวไป เพื่อนำไปขว้างเสาหิน ณ ตำบลมินา 8) มินา เป็นตำบลอยู่ชานเมืองมักกะฮ์ ห่างจากบัยตุลลอฮ์ประมาณ 5 กิโลเมตร ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ทุกคนจะนำก้อนหินไปขว้างเสาหิน 3 ต้น ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธีฮัจญ์ |
|
Education and Socialization |
ผู้วิจัยเห็นว่าการเตรียมการในด้านความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัญจ์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องประวัติความเป็นมา คุณค่า แนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งลึกซึ้ง ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ไม่ควรหวังพึ่งแซะฮ์แต่เพียงอย่างเดียว ความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์สามารถศึกษาได้จาก หนังสือฟัรดูอีน เล่ม 4 ของสมาคมคุรุสัมพันธ์ หนังสือคู่มือมุสลิมเบื้องต้น หนังสือคู่มือการบำเพ็ญฮัจญ์ตามแนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) วีดีทัศน์ การบรรยายจากผู้ที่มีความรู้ทางศาสนา และการสอบถามจากบุคคลที่เคยผ่านพิธีฮัจญ์มาแล้ว (หน้า 79) |
|
Health and Medicine |
การสาธารณสุขสำหรับผู้ไปบำเพ็ญฮัจญ์ จากสภาพแวดล้อมของประเทศซาอุดิอาระเบียที่แตกต่างจากประเทศไทยและการที่มีคนไปรวมตัวกันนับล้านคน ทำให้มีโอกาสเกิดโรคติดต่อได้ง่าย ประเทศไทยได้ส่งหน่วยพยาบาลไทย กระทรวงสาธารณสุขไปให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดีอาระเบียมาทุกปี มีขนาดการให้บริการเท่ากับโรงพยาบาลชุมชน ขนาด 30 เตียงให้บริการ 24 ชั่วโมง โดยมีที่ทำการอยู่ในอาคารเดียวกับสำนักงานคณะผู้แทนฮัจญ์ทางการแห่งประเทศไทย ในนครมักกะฮ์จากสถิติพบว่าส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ถ้าหากมีโรคประจำตัวอยู่แล้วอาจจะกำเริบถึงชีวิตได้ โรคที่พบและรุนแรงมากคือโรคไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนรัฐบาลซาอุดิอาระเบียต้องออกระเบียบให้ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ต้องฉีดวัคซีนป้องกันอย่างน้อย 10 วันก่อนเดินทางเข้าประเทศ ในเดือนกันยายน พ.ศ.2543 ได้เกิดโรคไข้สมองอักเสบระบาดในประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำให้มีผู้ป่วยถึงขั้นเสียชีวิต วิธีการป้องกันคือ ต้องไม่ให้ยุงกัด สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด นอกจากนี้ สภากาชาดไทยยังได้จัดแพทย์ พยาบาล พร้อมยาและเวชภัณฑ์ ปฏิบัติงานช่วยเหลือด้วยการออกเยี่ยมเยียนและให้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพ อนามัยด้วย (หน้า 95-97) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนผัง 1. แผนผังสรุปขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 44) 2. แผนผังการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ (หน้า 91) 3. โครงสร้างกองประสานการพัฒนาสังคม (หน้า 93) แผนที่ 1. แผนที่แสดงจุดกำหนดการเริ่มอิห์รอม (มีกอต) (หน้า33) 2. แผนที่แสดงสถานที่สำคัญในพิธีฮัจญ์ ตาราง 1) ตารางแสดงทรรศนะของสำนักนิติศาสตร์เกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 46-48) 2) รายนามอะมีรุ้ลฮัจย์ จกอดีต-ปัจจุบัน (หน้า 72) 3) สถิติข้อมูลกี่ยวกับกิจการฮัจญ์ (หน้า 97) 4) รายชื่อผู้ประกอบกิจการฮัจญ์ปรจำปี 2544 (หน้า 172-177) รูปภาพ 1) ภาพอัลกะอ์บะฮ์ ศูนย์รวมแห่งประชาชาติมุสลิม (หน้า 15) 2) ภาพการครองชุดอิห์รอม (หน้า 27) 3) ภาพทุ่งอะเราะฟะฮ์ สถานที่ที่ผู้บำเพ็ญฮัจญ์มาชุมนุมเพื่อขอพรต่ออัลลอฮ์ (หน้า 28) 4) เต็นท์ที่พักฮุจญาจญ์ ที่ทุ่งอะเราะฟะอ์ (หน้า 29) 5) ภาพบรรดามุสลมมาทำการเฎาะวาฟรอบวิหารกะอ์บะฮ์ภายในบริเวณมัสยิดอัลหะรอม (หน้า 29) 6) ภาพการเดินสะแอระหว่างเนินเขาเศาะฟาและเนินเขามัรวะฮ์ (หน้า 30) 7)ภาพการโกนศรีษะหรือตัดผมของผู้บำเพ็ญฮัจญ์ชายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า31) 8) ภาพผูบำเพ็ญฮัจญ์กำลังขว้างเสาหินซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนการบำเพ็ญฮัจญ์ (หน้า 36) 9) เต็นท์ที่มินาติดเครื่องปรับอากาศ ทำจากวัสดุทนไฟ (หน้า 36) 10) ภาพผู้บำเพ็ญฮัจญ์ขอพรโดยหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ภายหลังเสร็จจากการขว้างบริเวณเสาหิน (หน้า 41) 11) ภาพมะกอมอิบรอฮีม (หน้า 60) 12) ภาพภายในมัสยิดนะบะวีย์ (หน้า 62) 13) ผู้บำเพ็ญเดินทางโดยทางเรือ (หน้า 65) 14) ภาพนายแพทย์สมทรง รักษ์เผ่า อธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคกาฬหลังแอ่นและ ไข้หวัดใหญ่ให้แก่ท่านจุฬาราชมตรี สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ (หน้า 76) 15) ผู้นำกลุ่มกำลังให้การอบรมการบำเพ็ญฮัจญ์แก่ฮุจญาจญ์ไทย (หน้า 83) 16) ฮุจญาจญ์ไทยรับฟังการอบรมเรื่องการบำเพ็ญฮัจญ์อย่างตั้งใจ (หน้า 83) 17) ป้ายชื่อผู้แสวงบุญ ด้านหน้า (หน้า 85) 18) ป้ายชื่อผู้แสวงบุญ ด้านหลัง (หน้า 86) 19) ฮุจญาจญ์ไทยกำลังรับการตรวจรักษาจากคณะหน่วยพยาบาลไทย (หน้า 95) 20) แพทย์จากสภากาชาดไทย ออกเยี่ยมเยียนตรวจรักษาฮุจญาจญ์ที่พักตามอาคารต่างๆ (หน้า 97) |
|
|