สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,การปรับตัว,เชียงใหม่
Author Roland Mischung
Title Environment
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 133 Year 2529
Source Forbenius Institute University of Frankfurt/ Main West Germany
Abstract

งานวิจัยมีพื้นที่การศึกษาอยู่บริเวณเทือกเขาอินทนนท์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าทั้งสอง(กะเหรี่ยง และม้ง) กับสภาพแวดล้อมของพวกเขา ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมการปรับตัว (หน้า 128) กะเหรี่ยงได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่การศึกษาระหว่าง ค.ศ. 1890-1895 โดยซื้อที่ดินจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อกะเหรี่ยงเหล่านี้พัฒนาการทำเกษตรไปสู่การปลูกข้าวแบบนาดำ ทำให้เกิดการเพิ่มศักยภาพในการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่การทำเกษตร แต่ในช่วง 20-30 ปีมานี้ พวกเขาเริ่มกีดกันการเข้ามาของคนภายนอก เพื่อที่จะรักษาทรัพยากรเอาไว้ให้คงอยู่กับชุมชน (หน้า 128) ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงยังเป็นไปในทิศทางของการพึ่งตนเอง ทำการเกษตรเพื่อบริโภคให้พอกินเป็นหลัก โดยที่พืชเศรษฐกิจก็มีการปลูกเช่นกันแต่ไม่มีบทบาทความสำคัญต่อชีวิตมากนัก ขณะที่ในประเด็นที่เกี่ยวกับความเชื่อนั้น ยังมีการเคารพบูชา และเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่เช่นในอดีต ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่ากะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่มีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรตามโลกภายนอกอย่างรวดเร็ว (หน้า 129) ส่วนม้งมีวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่ค่อนข้างแตกต่างกับกะเหรี่ยง พวกเขาค่อนข้างที่จะเป็นคนหัวทันสมัยกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวตามความทันสมัยมากกว่า แม้ม้งจะประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ขาดความอุดมสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถค้นพบวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาดังกล่าวให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์แบบข้ามชุมชน(Supra-local) มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนแห่งอื่นซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป และเปิดใจรับนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของพวกเขาพัฒนาขึ้น (หน้า 130-131) ผลการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของวิถีความเป็นอยู่ระหว่างกะเหรี่ยงและม้ง ซึ่งมิได้แตกต่างเพียงแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่แตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม และความเชื่อด้วย (หน้า 131) อย่างไรก็ตาม สามารถสรุปได้ว่าทั้งระบบวัฒนธรรมและระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมระหว่างกะเหรี่ยงกับม้ง เป็นผลมาจากแรงขับดันทางวัฒนธรรม และความรู้ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว (หน้า 133)

Focus

การวิจัยเล่มนี้พยายามที่จะศึกษาเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กับม้งในมิติต่าง ๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเกษตร สภาพแวดล้อม ฯลฯ รวมทั้งรูปแบบพฤติกรรมในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และทัศนะในการติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และม้ง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1982-1983

History of the Group and Community

กะเหรี่ยง เดิมผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่การศึกษาแห่งนี้ไม่ใช่กะเหรี่ยง โดยบรรพบุรุษของกลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่นี่ในปัจจุบันจำนวน 6 ครอบครัว ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 26) อพยพมาจากประเทศเมียนมาร์ ข้ามมาฝั่งประเทศไทย และพักชั่วคราวแถวบริเวณแม่ลาหลวง (Mea La Luang) ซึ่งพวกเขาได้เสียภาษีให้กับลั้วะ (Lua) ที่เป็นเจ้าของที่ดินในตอนนั้น หลังจากนั้นจึงเคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันออกจนเข้าสู่เขตจังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอแม่แจ่ม จนกระทั่งในท้ายที่สุด พวกเขาเดินทางรอนแรมอันแสนไกลมาถึงบริเวณแม่กลางตอนบน(Upper Mae Klang) ในปี ค.ศ. 1890-1895 และตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน (หน้า 18-19) ในช่วงแรกของการก่อตั้งหมู่บ้านนั้น การไหลเข้าของประชากรจากแห่งอื่นยังมีน้อยมาก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านอย่างโดดเดี่ยวกว่า 20 ปี แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีการย้ายบ้านเรือนกันหลายครั้ง (ในละแวกใกล้เคียง) และเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านถึง 5 ครั้ง ภายในเวลา 25 ปี (หน้า 22) ม้ง ในอดีตนั้นบรรดาผู้ที่มาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แม่หญ้าตอนบน(Upper Mea ya) มิได้ประสงค์จะอยู่อาศัยอย่างถาวรแต่อย่างใด เพราะเพียงต้องการเข้ามาเสาะหาโอกาสในการทำมาหากินเสียมากกว่า และอยากจะอยู่แสวงประโยชน์เรื่อยไปแค่จนกว่าพื้นที่นี้เริ่มหมดคุณค่าลงไปเท่านั้นเองเนื่องจากเคยได้ยินว่าพื้นที่บริเวณนี้ปลูกฝิ่นและข้าวได้ดีมาก (หน้า 92) โดยกลุ่มแรกซึ่งเข้ามาตั้งรกรากบริเวณแม่หญ้าในปี ค.ศ. 1933-1934 มีอยู่ 8 ครอบครัว ทั้งนี้ 6 ใน 8 ครอบครัวดังกล่าวมาจากขุนกลาง (Khun Klang) และอีก 2 ครอบครัวมาจากอำเภอแม่แจ่ม แต่อยู่ที่แม่หญ้าได้เพียง 3 ปี ผู้คนเหล่านี้ก็ถูกโจรกะเหรี่ยงจากแม่ฮ่องสอนมาปล้นสะดม และด้วยกำลังที่น้อยกว่าไม่สามารถต่อสู้กับพวกโจรได้ ดังนั้น จึงได้หนีย้ายไปอยู่ที่แม่หญ้าน้อย(Mea Ya Noi) ในเวลา 3 ปีต่อมา ชาวบ้านจากแม่หญ้าหลวงซึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน มีการอพยพมาอยู่บริเวณแม่หญ้าน้อยในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่หนีโจรกะเหรี่ยง กับผู้คนที่อพยพมาจากแม่หญ้าหลวงจึงมาอาศัยอยู่ร่วมกันที่หมู่บ้านแม่หญ้าน้อย ฉะนั้น กล่าวได้ว่าพื้นที่การศึกษาแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1940 (หน้า 93)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กะเหรี่ยง แต่ก่อนนั้นการเพิ่มของจำนวนประชากรของกะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษาอยู่ในอัตราที่สูง แต่หลังจากที่จำนวนทรัพยากรเริ่มขาดแคลน (น้อยลง) ส่งผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรลดลงจากในอดีต (หน้า 129) นอกจากนั้น บรรดาผู้นำชุมชน และพระ ยังประสบความสำเร็จในการควบคุมการอพยพเข้ามาของกะเหรี่ยงที่มาจากแห่งอื่น (หน้า 28) หมู่บ้านแม่กลางหลวง มีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 60 คน เป็น 127 คน หรือเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว ภายในระยะเวลา 12 ปี (ค.ศ. 1970-1982) ขณะที่ความหนาแน่นของประชากรเมื่อนำทั้ง 6 หมู่บ้านมาเฉลี่ยกัน คือ 14.5 คนต่อตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1970 เป็น 19.6 คนต่อตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1982 (หน้า 29) ทั้งนี้ หมู่บ้านแม่กลางหลวงถือเป็นชุมชนที่มีการขยายตัวของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว แต่ก็มิได้ขยายตัวจนถึงขนาดที่จะเกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรแต่อย่างใด (หน้า 31) อย่างไรก็ตาม เหตุผลของการขยายตัวของประชากรที่รวดเร็วในหมู่บ้านแห่งนี้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้าน รวมทั้งจำนวนการตายของทารก และเด็กเล็กที่ไม่มากนัก (หน้า 33) ส่วนจำนวนการมีบุตรของหญิงโดยเฉลี่ย อยู่ที่บุตร 9.4 คน /แม่ 1 คน อายุเฉลี่ยในการแต่งงานของชาย คือ 23 ปี และ 19 ปี สำหรับเพศหญิง (หน้า 33) ม้ง สภาวะการเปลี่ยนแปลงทางประชากรระหว่างม้ง กับกะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษานั้น ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก (หน้า 97) ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 7-8 คน ต่อตารางกิโลเมตร แต่ม้งกลับมีปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนทรัพยากรมากกว่ากะเหรี่ยงซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรที่สูงกว่า ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่าม้งในพื้นที่การศึกษาอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก (หน้า 98) ในปี ค.ศ. 1983 หมู่บ้านแม่หญ้าน้อย (Mea Ya Noi) มีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 31 ครัวเรือน แบ่งเป็นครอบครัวเดี่ยวประมาณร้อยละ 70 และครอบครัวขยายร้อยละ 25 ส่วนที่เหลืออีก 2 ครัวเรือนนั้น อยู่เพียงลำพังยังไม่มีครอบครัว (หน้า 101-102) อัตราการให้กำเนิดบุตรของหญิงวัยเจริญพันธุ์อยู่ที่ 0.36 คนต่อปี ในช่วง ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าอัตราดังกล่าวคงที่ไปจนถึงปี ค.ศ. 1985 โดยหญิงม้งก็มิได้ควบคุมจำนวนการมีบุตรทั้ง ๆ ที่ประสบปัญหาความขาดแคลนของทรัพยากรอยู่ แต่แม้ว่าผู้หญิงในชุมชนจะมีอัตราการให้กำเนิดบุตรที่สูง จำนวนของประชากรที่อายุต่ำกว่า 15 ปีลงมา ก็น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด โดยมีสาเหตุจากการที่สาวม้งวัย 15-40 ปี มีจำนวนไม่มากเท่าใดนัก ประกอบกับมีหญิงวัยกลางคนที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่หลายคนนั่นเอง ขณะที่ม้งอีกจำนวน 4 คน เป็นหญิงหม่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ (หน้า 99,101) อย่างไรก็ตาม จากโครงสร้างของประชากรเช่นนี้ สามารถทำนายได้ว่าหากพฤติกรรมในการให้กำเนิดบุตรของสาวม้งยังคงที่อยู่อย่างนี้ ในทศวรรษหน้านั้น ชุมชนจะมีจำนวนเด็ก หรือวัยพึ่งพิงเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก (หน้า 101)

Economy

กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษามีระบบเศรษฐกิจแบบเกษตรยังชีพ หรือเกษตรแบบพึ่งตนเอง (Subsistence-oriented agricultural economy) แต่ละครอบครัวมุ่งสร้างผลผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค โดยมีการใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ การปลูกฝิ่นและพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ เป็นรายได้เสริมของคนในชุมชน รูปแบบการเกษตรกรรมยังเป็นเกษตรที่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก มีพื้นที่ส่วนน้อยที่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ได้ (หน้า 57) ชาวบ้านเลือกที่จะทำนาในพื้นที่ไหล่เขา (ปลูกข้าวดอย) ด้วย เพื่อประกันความมั่นคงว่าจะมีข้าวไว้บริโภคอย่างเพียงพอ (หน้า 58) อย่างไรก็ดี การปลูกข้าวนาปีด้วยวิธีทั่วไป หรือแบบนาดำ เป็นรูปแบบหลักในการทำนาของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวกันในช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน (หน้า 68) หมู่บ้านแม่กลางหลวง หรือ Mu ka klo มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน (ซึ่งบางปีมีปัญหาผลผลิตข้าวตกต่ำ) หมู่บ้านนี้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้มากแม้จะปลูกในเนื้อที่ไม่มากก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เอื้ออำนวยนั่นเอง (หน้า 70) กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรที่นอกจากปลูกข้าวนั้น ประกอบด้วยการเลี้ยงสัตว์ (ไก่ หมู วัวควาย ช้าง) การทำสวน ตกปลา และการล่าสัตว์ โดยชาวบ้านนิยมทำสวนในบริเวณรอบแปลงนา พืชที่ปลูกได้แก่ มะขาม อ้อย ถั่ว กล้วย มะม่วง ลิ้นจี่ มะละกอ ไผ่ ฯลฯ (หน้า 70) ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นกิจกรรมที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับการทำนา และการสร้างรายได้เสริม สำหรับควายแล้วชาวบ้านนิยมเลี้ยงไว้ไถนามากกว่าจะขาย ตรงกันข้ามกับวัวที่เลี้ยงไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการขายโดยเฉพาะ (หน้า 71) ส่วนช้างเป็นสัตว์ที่เดิมเลี้ยงไว้ลากซุง แต่ในระยะหลัง ๆ ชาวบ้านนำไปให้บริษัททำไม้แปรรูปเช่า หรือแม้แต่ขายให้ฟาร์มช้างซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้กับเชียงดาว (หน้า 72) พืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งก็คือ ฝิ่น แม้จะใช้เนื้อที่ในการปลูกน้อยมากเมื่อเทียบกับข้าว อีกทั้งปริมาณผลผลิตก็ไม่มาก แต่ราคาของฝิ่นทำให้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำโดยช่วงของการเก็บเกี่ยวฝิ่นอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วพอดี (หน้า 73) นอกจากการทำปศุสัตว์ รวมทั้งการปลูกฝิ่นและพืชเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งรายได้ของกะเหรี่ยงบริเวณนี้แล้ว การเก็บของป่าก็ทำเงินได้ดีเช่นกัน เพราะการมีถนนหนทางที่สะดวกมากขึ้น สำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจนั้น ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือจากโครงการหลวงที่นำเมล็ดพันธุ์มาแจก และจำหน่ายปุ๋ยให้ในราคาถูก (หน้า 76) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีบางครัวเรือนที่สามารถสร้างฐานะของตัวเองขึ้นมาจนเรียกได้ว่าค่อนข้างมีกินมีใช้ แต่ครัวเรือนเหล่านั้นก็มิได้เป็นตัวแทนที่จะบอกได้ว่า ชุมชนที่ศึกษานี้มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจการค้าแล้ว เพราะว่าสินค้าที่ทำเงินกว่าครึ่งนั้น ได้มาจากส่วนเกินซึ่งเหลือจากการบริโภคแล้ว กล่าวคือ ชุมชนยังทำเกษตรกรรมที่มุ่งเน้นวัตถุประสงค์ในการยังชีพเป็นหลักอยู่ (หน้า 78) ม้ง ม้งไม่ได้มีรากฐานเศรษฐกิจบนแนวคิดที่ติดยึดอยู่กับการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้า เพราะมุมมองเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา ก็คือ การที่มีฐานะมั่นคงไปพร้อม ๆ กับสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระโดยไม่ขึ้นกับผู้อื่น หรือพึ่งตนเองได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีผลผลิตอาหารให้พอเพียงต่อการบริโภคในครอบครัว อย่างไรก็ดี การปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้าก็ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อม้งในหลายต่อหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของไทย (หน้า 107) พืชหลักสามชนิดที่ส่วนใหญ่ปลูกกัน ได้แก่ ข้าว ฝิ่น และข้าวโพด โดยฝิ่นเป็นพืชที่ม้งค่อย ๆ ลดปริมาณการปลูกลง เนื่องจากตลอดช่วง 20 ปีมานี้ ราคาขายของฝิ่นค่อนข้างผันผวน ขณะที่ราคาข้าวกลับดีขึ้นเรื่อยมา พวกเขาจึงเห็นว่าการปลูกฝิ่นจะทำให้เกิดความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ชาวบ้านนิยมปลูกฝิ่นในพื้นที่สูง (ระหว่าง 1,350-1,550 เมตร) ส่วนข้าวปลูกในที่ต่ำ จะมีก็แต่พื้นที่ทางตอนใต้ของชุมชนเท่านั้น ซึ่งชาวบ้านปลูกข้าว และฝิ่นควบคู่กันไปในบริเวณเดียวกัน อันเป็นวิธีการทำเกษตรแนวใหม่ของคนที่นี่ (หน้า 109) สำหรับการปลูกข้าวนั้น ในขณะที่ทำการศึกษามีเพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดที่ปลูกข้าวโดยทดน้ำเข้าแปลงนา (นาดำ) แต่มีแนวโน้มว่าการทำนาแบบนาดำดังกล่าวจะมากขึ้น เพราะเป็นวิธีที่ทำให้ได้ผลผลิตมาก (หน้า 112) ขณะที่ฝิ่นเป็นพืชซึ่งชาวบ้านปลูกสลับกับข้าวโพด (ข้าวโพดปลูกช่วงเมษายนหลังจากเก็บเกี่ยวฝิ่นแล้ว) ทั้งนี้ ข้าวโพดถือเป็นพืชสำคัญสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์ และเป็นอาหารของคนเมื่อยามขาดแคลนข้าว ส่วนพืชอื่น ๆ ที่นิยมปลูก ได้แก่ กะหล่ำปลี ผักชี ถั่ว ฯลฯ (หน้า 116) หากจะเปรียบเทียบระหว่างม้งกับกะเหรี่ยง ต้องถือว่าม้งมีชีวิตในหลาย ๆ ด้านที่ดีกว่า เนื่องจากม้งในพื้นที่การศึกษามีเครื่องมือทันสมัยอย่างปืน ทำให้การล่าสัตว์ในป่าของม้งประสบความสำเร็จมากกว่ากะเหรี่ยง นอกจากนั้น อาหารของม้งบริโภคยังมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าของกะเหรี่ยงอีกด้วย (หน้า 120) ในปี ค.ศ. 1983 มีการสร้างถนนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน Mea Ya Noi ทำให้คนในหมู่บ้านเข้าถึงการติดต่อคมนาคมกับคนบนพื้นราบได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ถนนหนทางได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชาวบ้าน เพราะผู้ที่มีรถยนต์บางคน(ในปี ค.ศ. 1983 หมู่บ้านมีรถยนต์อยู่ 4 คัน) สร้างรายได้โดยการขับรถไปซื้อสินค้าจากตัวอำเภอจอมทองมาขายให้กับเพื่อนบ้านอย่างสะดวก (หน้า 121)

Social Organization

กะเหรี่ยง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกะเหรี่ยงด้วยกัน มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยกลุ่มเครือญาติของทางฝ่ายหญิงที่ผูกพันใกล้ชิดกันอย่างมาก ถือเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของกะเหรี่ยง ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวของพ่อแม่ และครอบครัวของลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วหญิงที่แต่งงานแล้วจะยังอยู่ในหมู่บ้านเดิมต่อไปแม้ว่าพ่อแม่ของพวกเธอจะตายแล้ว และความช่วยเหลือกันระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เป็นผู้หญิงก็ดำรงอยู่ต่อไป ขณะที่ในกลุ่มพวกผู้ชายที่เป็นพี่น้องกันไม่ค่อยจะได้เห็นความร่วมมือช่วยเหลือกันเท่าใดนัก ซึ่งเหตุผลของปรากฏการณ์เช่นนี้ก็คือ พวกผู้ชายที่แต่งงานแล้วมักย้ายไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิง ทำให้พี่น้องที่เป็นชายไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน (หน้า 42) อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของกะเหรี่ยงจะแต่งกันภายในชุมชน หรือระหว่างชุมชนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้เครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมของกะเหรี่ยงค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด (หน้า 129) ม้ง สังคมของม้งเป็นสังคมที่ปราศจากกลุ่ม หรือองค์กรที่ตั้งขึ้นในเชิงพื้นที่ (หน้า 101) แต่ม้งมีพื้นที่ทางสังคมของเขาภายใต้มิติทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของม้งถูกสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ซึ่งเครือข่ายความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้เอง ได้ส่งผลให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกลได้อย่างไม่ยาก นอกจากนั้น ความผูกพันระหว่างกันภายในชุมชนยังสถาปนาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่มั่นคง และความสบายใจในการอยู่ร่วมกัน (หน้า 126-127) ความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันนี้เอง ได้สร้างพื้นที่ทางสังคมอันกว้างขวางให้กับม้งแต่ละคน (หน้า 104)

Political Organization

กะเหรี่ยง ตามประวัติศาสตร์ของชุมชนนั้น กะเหรี่ยงเคยส่งเครื่องบรรณาการให้แก่เจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นประจำทุก ๆ ปี ทุกวันนี้กฎระเบียบข้อบังคับที่ทางการกำหนดไว้ เป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติไปตามหน้าที่เท่านั้น อย่างเช่น การให้มีการเลือกตั้งกำนัน หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ (หน้า 41) ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีบทบาทสูงในการดูแลปกครองหมู่บ้านกลับเป็นพระผู้นำ ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งในเชิงรูปธรรม และนามธรรม กล่าวคือ เป็นบุคคลที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมา มีหน้าที่หลักทางพิธีกรรมที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ชาวบ้านโดยการสืบต่อความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าป่าเจ้าเขา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยคุ้มครองดูแลหมู่บ้านอยู่ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น (เช่น ผลผลิตเสียหาย โรคระบาด ฯลฯ) นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่ตัดสินใจว่าจะให้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในชุมชนได้หรือไม่ โดยที่พระผู้นำก็จะมีชาวบ้านผู้อื่นซึ่งลูกบ้านให้ความเคารพเชื่อถือคอยทำงานช่วยเหลืออยู่ด้วย (หน้า 41) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และสังคมของกะเหรี่ยงค่อนข้างที่จะเป็นอิสระจากสถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการ (ของรัฐ) หากแต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ กลับมีบทบาทสำคัญที่ทำให้พวกเขาเกิดการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกันเสียมากกว่า (หน้า 42) ม้ง ระยะเวลาที่ผ่านมาม้งไม่มีองค์กรทางการเมืองใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากชุมชนเลย ซึ่งต่างจากกะเหรี่ยงที่มีสถานธรรม หรือศูนย์ของนักบวชประจำหมู่บ้าน แม้ว่าหมู่บ้านม้งจะมีผู้นำที่เลือกตั้งขึ้นมาโดยชาวบ้านเอง แต่ก็ดำรงบทบาทหน้าที่เพียงแค่ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการเท่านั้น ยังมีอำนาจที่จำกัดในการพัฒนาชุมชนของตนเอง ทั้งนี้ รูปแบบในการรวมกลุ่มกันตามวิถีของม้งก็ไม่มีอะไรนอกเสียจากกลุ่มที่จับตัวกันเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ หรือเพื่อให้เข้าถึงทรัพยากรเท่านั้น (หน้า 101) อย่างไรก็ดี ความเป็นเอกภาพที่เหนียวแน่นของชาติพันธุ์ม้ง คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอันเป็นเครื่องมือสำคัญในเชิงการปกครองดำรงอยู่ร่วมกันของสังคมม้ง ทันทีที่พวกเขาทราบว่าเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน จะทราบได้ถึงพันธะผูกพันต่อกันที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การประคับประคองกันในยามคับขัน หรือการช่วยเหลือกันให้สามารถเข้าถึงการได้รับพื้นที่ทำกิน (หน้า 104)

Belief System

กะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษาปราศจากความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าป่าเจ้าเขา (Forest spirits) เหมือนดั่งชาติพันธุ์อื่น ๆ ส่วนลัทธิความเชื่อในสมัยบรรพบุรุษก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 70 เมื่อชาวบ้านเริ่มมีรสนิยมในการสัก (Tattooing)(หน้า 83) อย่างไรก็ตาม พวกเขาเชื่อเรื่องที่ว่าข้าวมีชีวิต รวมทั้งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องดูแลชุมชน และไร่นา กล่าวคือ หากขาดซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่จะปกป้องคุ้มครองชุมชนแล้ว ผลผลิตข้าวอาจจะไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ (หน้า 84) สำหรับความเชื่อทางเกษตรกรรมดังกล่าวที่ว่า ข้าวเป็นสิ่งที่มีชีวิตนั้น กะเหรี่ยงที่นี่มีพิธีเรียกวิญญาณข้าวให้มาสิงสถิตอยู่บริเวณกองข้าวขณะที่ทำการนวดข้าว โดยที่แต่ละคนจะรวมใจช่วยกันเชิญวิญญาณข้าว อีกทั้งขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ มิให้มาย่างกรายยุ่งย่ามกับข้าวของพวกตน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าพิธีกรรมทางการเกษตรมุ่งเน้นไปที่ข้าวเป็นหลัก ส่วนฝิ่นเป็นพืชที่ตรงกันข้ามกับข้าว กล่าวคือ ชาวบ้านไม่ค่อยมีความเชื่อ หรือทำพิธีอะไรกับฝิ่นเท่าไรนัก ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของข้าวต่อระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยง (หน้า 85) สำหรับในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับศาสนานั้น กะเหรี่ยงยังศรัทธานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้คุ้มครองดูแลอาณาเขต หรือเจ้าที่เจ้าทางอยู่อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ม้งจะเคารพในเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แค่เพียงเพื่อหวังให้ตนมีฐานะที่ร่ำรวยขึ้นเท่านั้น (หน้า 125) ม้ง ความเชื่อ หรือพิธีกรรมของม้ง (ในหมู่บ้าน Mea Ya Noi และ Khun Klang) ไม่สู้จะละเอียดประณีต และเหนียวแน่นเท่ากับกะเหรี่ยงทั่วไป ซึ่งสังเกตได้จากข้าวของเครื่องใช้ในพิธีต่าง ๆ แต่สำหรับพิธีการทำศพแล้วนั้น ม้งกลับให้ความสำคัญมากกว่า โดยที่ม้งจะกล่าวบทสวด และคาถายาวนานกว่ากะเหรี่ยงที่ใช้เวลาเพียง 3-4 นาทีเท่านั้น (หน้า 124)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

จุดเด่นของม้งอย่างหนึ่งก็คือ กระบวนทัศน์ที่มีต่อโลกภายนอก กล่าวคือ ม้งมิได้เป็นชาติพันธุ์ที่มองคนภายนอกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นศัตรู หรือเป็นอันตรายต่อตน แต่กลับมองว่าเป็นผู้ที่หยิบยื่นโอกาสมากมายอันเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชน ขณะที่กะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่โลกภายนอกเข้าถึงได้ยากกว่า อีกทั้งคนกะเหรี่ยงเองก็ไม่ค่อยเปิดรับเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งมองว่าคนภายนอกเป็นภัยต่อพวกตน (หน้า 129) ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าม้ง คือชาติพันธุ์ที่มีความมั่นใจในตนเองมากพอ ๆ กับการมองโลกในเชิงบวกที่มีต่อสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามา ทั้งนี้ จากแบบสอบถามก็สะท้อนถึงความแตกต่างกันระหว่างม้งกับกะเหรี่ยงเกี่ยวกับเรื่องความมั่นใจในตนเอง อย่างไรก็ตาม ม้งส่วนใหญ่คิดว่าตนเองฉลาดกว่า และมีความขยันมากกว่ากะเหรี่ยง รวมทั้งยังมองว่ากะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่เชื่องช้าในการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ (หน้า 127)

Social Cultural and Identity Change

การดำรงชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยงไม่ค่อยเกี่ยวข้องหรือได้รับอิทธิพลจากสถาบันการเมืองการปกครองเท่าใดนัก (หน้า 40) ทั้งนี้ รูปแบบการเมืองการปกครองตามแบบอย่างของรัฐไทยค่อนข้างมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ และการตัดสินใจของม้งน้อยมาก การที่ทางการสร้างระบบให้มีผู้นำในระดับท้องถิ่นเกิดขึ้น ยังไม่ได้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ชุมชนพัฒนามากขึ้น และตรงกันข้าม การตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรของชาวบ้านก็มิได้ทำให้เกิดผลแห่งความเปลี่ยนแปลงต่อโครงสร้างทางการเมืองของชุมชนแต่อย่างใด (หน้า 101)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

กะเหรี่ยงไม่ค่อยเปิดรับนวัตกรรม หรือสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยง่าย อย่างเช่น วิธีการทำเกษตรแบบใหม่ ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามองว่าวิธีการแบบเดิมเป็นสิ่งที่ปลอดภัยไร้ความเสี่ยงอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะไปทดลองกับของใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรืออาจจะส่งผลเสียต่อการเกษตรแบบยังชีพที่ทำอยู่ก็ได้ (หน้า 88)

Map/Illustration

ผู้วิจัยแสดงแผนที่ต่าง ๆ ดังนี้ - แผนที่การตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยง และม้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน - แผนที่ของพื้นที่การศึกษา - แผนผังหมู่บ้านกะเหรี่ยง - แผนผังหมู่บ้านม้ง - แผนที่สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านม้ง

Text Analyst เกรียงกมล ธีระศักดิ์โสภณ Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ม้ง, การปรับตัว, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง