|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ม้ง,การปรับตัว,เชียงใหม่ |
Author |
Roland Mischung |
Title |
Environment |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
133 |
Year |
2529 |
Source |
Forbenius Institute University of Frankfurt/ Main West Germany |
Abstract |
งานวิจัยมีพื้นที่การศึกษาอยู่บริเวณเทือกเขาอินทนนท์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าทั้งสอง(กะเหรี่ยง และม้ง) กับสภาพแวดล้อมของพวกเขา ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมการปรับตัว (หน้า 128) กะเหรี่ยงได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่การศึกษาระหว่าง ค.ศ. 1890-1895 โดยซื้อที่ดินจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อกะเหรี่ยงเหล่านี้พัฒนาการทำเกษตรไปสู่การปลูกข้าวแบบนาดำ ทำให้เกิดการเพิ่มศักยภาพในการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่การทำเกษตร แต่ในช่วง 20-30 ปีมานี้ พวกเขาเริ่มกีดกันการเข้ามาของคนภายนอก เพื่อที่จะรักษาทรัพยากรเอาไว้ให้คงอยู่กับชุมชน (หน้า 128) ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงยังเป็นไปในทิศทางของการพึ่งตนเอง ทำการเกษตรเพื่อบริโภคให้พอกินเป็นหลัก โดยที่พืชเศรษฐกิจก็มีการปลูกเช่นกันแต่ไม่มีบทบาทความสำคัญต่อชีวิตมากนัก ขณะที่ในประเด็นที่เกี่ยวกับความเชื่อนั้น ยังมีการเคารพบูชา และเกรงกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่เช่นในอดีต ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่ากะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่มีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรตามโลกภายนอกอย่างรวดเร็ว (หน้า 129) ส่วนม้งมีวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่ค่อนข้างแตกต่างกับกะเหรี่ยง พวกเขาค่อนข้างที่จะเป็นคนหัวทันสมัยกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวตามความทันสมัยมากกว่า แม้ม้งจะประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ขาดความอุดมสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถค้นพบวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาดังกล่าวให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์แบบข้ามชุมชน(Supra-local) มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนแห่งอื่นซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป และเปิดใจรับนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของพวกเขาพัฒนาขึ้น (หน้า 130-131) ผลการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของวิถีความเป็นอยู่ระหว่างกะเหรี่ยงและม้ง ซึ่งมิได้แตกต่างเพียงแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่แตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม และความเชื่อด้วย (หน้า 131) อย่างไรก็ตาม สามารถสรุปได้ว่าทั้งระบบวัฒนธรรมและระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมระหว่างกะเหรี่ยงกับม้ง เป็นผลมาจากแรงขับดันทางวัฒนธรรม และความรู้ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว (หน้า 133) |
|
Focus |
การวิจัยเล่มนี้พยายามที่จะศึกษาเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กับม้งในมิติต่าง ๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเกษตร สภาพแวดล้อม ฯลฯ รวมทั้งรูปแบบพฤติกรรมในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และทัศนะในการติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และม้ง |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยง เดิมผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่การศึกษาแห่งนี้ไม่ใช่กะเหรี่ยง โดยบรรพบุรุษของกลุ่มกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่นี่ในปัจจุบันจำนวน 6 ครอบครัว ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 26) อพยพมาจากประเทศเมียนมาร์ ข้ามมาฝั่งประเทศไทย และพักชั่วคราวแถวบริเวณแม่ลาหลวง (Mea La Luang) ซึ่งพวกเขาได้เสียภาษีให้กับลั้วะ (Lua) ที่เป็นเจ้าของที่ดินในตอนนั้น หลังจากนั้นจึงเคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันออกจนเข้าสู่เขตจังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอแม่แจ่ม จนกระทั่งในท้ายที่สุด พวกเขาเดินทางรอนแรมอันแสนไกลมาถึงบริเวณแม่กลางตอนบน(Upper Mae Klang) ในปี ค.ศ. 1890-1895 และตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน (หน้า 18-19) ในช่วงแรกของการก่อตั้งหมู่บ้านนั้น การไหลเข้าของประชากรจากแห่งอื่นยังมีน้อยมาก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านอย่างโดดเดี่ยวกว่า 20 ปี แต่ชาวบ้านที่นี่ก็มีการย้ายบ้านเรือนกันหลายครั้ง (ในละแวกใกล้เคียง) และเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านถึง 5 ครั้ง ภายในเวลา 25 ปี (หน้า 22) ม้ง ในอดีตนั้นบรรดาผู้ที่มาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แม่หญ้าตอนบน(Upper Mea ya) มิได้ประสงค์จะอยู่อาศัยอย่างถาวรแต่อย่างใด เพราะเพียงต้องการเข้ามาเสาะหาโอกาสในการทำมาหากินเสียมากกว่า และอยากจะอยู่แสวงประโยชน์เรื่อยไปแค่จนกว่าพื้นที่นี้เริ่มหมดคุณค่าลงไปเท่านั้นเองเนื่องจากเคยได้ยินว่าพื้นที่บริเวณนี้ปลูกฝิ่นและข้าวได้ดีมาก (หน้า 92) โดยกลุ่มแรกซึ่งเข้ามาตั้งรกรากบริเวณแม่หญ้าในปี ค.ศ. 1933-1934 มีอยู่ 8 ครอบครัว ทั้งนี้ 6 ใน 8 ครอบครัวดังกล่าวมาจากขุนกลาง (Khun Klang) และอีก 2 ครอบครัวมาจากอำเภอแม่แจ่ม แต่อยู่ที่แม่หญ้าได้เพียง 3 ปี ผู้คนเหล่านี้ก็ถูกโจรกะเหรี่ยงจากแม่ฮ่องสอนมาปล้นสะดม และด้วยกำลังที่น้อยกว่าไม่สามารถต่อสู้กับพวกโจรได้ ดังนั้น จึงได้หนีย้ายไปอยู่ที่แม่หญ้าน้อย(Mea Ya Noi) ในเวลา 3 ปีต่อมา ชาวบ้านจากแม่หญ้าหลวงซึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน มีการอพยพมาอยู่บริเวณแม่หญ้าน้อยในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่หนีโจรกะเหรี่ยง กับผู้คนที่อพยพมาจากแม่หญ้าหลวงจึงมาอาศัยอยู่ร่วมกันที่หมู่บ้านแม่หญ้าน้อย ฉะนั้น กล่าวได้ว่าพื้นที่การศึกษาแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1940 (หน้า 93) |
|
Demography |
กะเหรี่ยง แต่ก่อนนั้นการเพิ่มของจำนวนประชากรของกะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษาอยู่ในอัตราที่สูง แต่หลังจากที่จำนวนทรัพยากรเริ่มขาดแคลน (น้อยลง) ส่งผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรลดลงจากในอดีต (หน้า 129) นอกจากนั้น บรรดาผู้นำชุมชน และพระ ยังประสบความสำเร็จในการควบคุมการอพยพเข้ามาของกะเหรี่ยงที่มาจากแห่งอื่น (หน้า 28) หมู่บ้านแม่กลางหลวง มีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 60 คน เป็น 127 คน หรือเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว ภายในระยะเวลา 12 ปี (ค.ศ. 1970-1982) ขณะที่ความหนาแน่นของประชากรเมื่อนำทั้ง 6 หมู่บ้านมาเฉลี่ยกัน คือ 14.5 คนต่อตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1970 เป็น 19.6 คนต่อตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1982 (หน้า 29) ทั้งนี้ หมู่บ้านแม่กลางหลวงถือเป็นชุมชนที่มีการขยายตัวของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว แต่ก็มิได้ขยายตัวจนถึงขนาดที่จะเกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรแต่อย่างใด (หน้า 31) อย่างไรก็ตาม เหตุผลของการขยายตัวของประชากรที่รวดเร็วในหมู่บ้านแห่งนี้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้าน รวมทั้งจำนวนการตายของทารก และเด็กเล็กที่ไม่มากนัก (หน้า 33) ส่วนจำนวนการมีบุตรของหญิงโดยเฉลี่ย อยู่ที่บุตร 9.4 คน /แม่ 1 คน อายุเฉลี่ยในการแต่งงานของชาย คือ 23 ปี และ 19 ปี สำหรับเพศหญิง (หน้า 33) ม้ง สภาวะการเปลี่ยนแปลงทางประชากรระหว่างม้ง กับกะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษานั้น ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก (หน้า 97) ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 7-8 คน ต่อตารางกิโลเมตร แต่ม้งกลับมีปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนทรัพยากรมากกว่ากะเหรี่ยงซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรที่สูงกว่า ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่าม้งในพื้นที่การศึกษาอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไรนัก (หน้า 98) ในปี ค.ศ. 1983 หมู่บ้านแม่หญ้าน้อย (Mea Ya Noi) มีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 31 ครัวเรือน แบ่งเป็นครอบครัวเดี่ยวประมาณร้อยละ 70 และครอบครัวขยายร้อยละ 25 ส่วนที่เหลืออีก 2 ครัวเรือนนั้น อยู่เพียงลำพังยังไม่มีครอบครัว (หน้า 101-102) อัตราการให้กำเนิดบุตรของหญิงวัยเจริญพันธุ์อยู่ที่ 0.36 คนต่อปี ในช่วง ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าอัตราดังกล่าวคงที่ไปจนถึงปี ค.ศ. 1985 โดยหญิงม้งก็มิได้ควบคุมจำนวนการมีบุตรทั้ง ๆ ที่ประสบปัญหาความขาดแคลนของทรัพยากรอยู่ แต่แม้ว่าผู้หญิงในชุมชนจะมีอัตราการให้กำเนิดบุตรที่สูง จำนวนของประชากรที่อายุต่ำกว่า 15 ปีลงมา ก็น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด โดยมีสาเหตุจากการที่สาวม้งวัย 15-40 ปี มีจำนวนไม่มากเท่าใดนัก ประกอบกับมีหญิงวัยกลางคนที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่หลายคนนั่นเอง ขณะที่ม้งอีกจำนวน 4 คน เป็นหญิงหม่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ (หน้า 99,101) อย่างไรก็ตาม จากโครงสร้างของประชากรเช่นนี้ สามารถทำนายได้ว่าหากพฤติกรรมในการให้กำเนิดบุตรของสาวม้งยังคงที่อยู่อย่างนี้ ในทศวรรษหน้านั้น ชุมชนจะมีจำนวนเด็ก หรือวัยพึ่งพิงเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก (หน้า 101) |
|
Economy |
กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษามีระบบเศรษฐกิจแบบเกษตรยังชีพ หรือเกษตรแบบพึ่งตนเอง (Subsistence-oriented agricultural economy) แต่ละครอบครัวมุ่งสร้างผลผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค โดยมีการใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ การปลูกฝิ่นและพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ เป็นรายได้เสริมของคนในชุมชน รูปแบบการเกษตรกรรมยังเป็นเกษตรที่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก มีพื้นที่ส่วนน้อยที่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ได้ (หน้า 57) ชาวบ้านเลือกที่จะทำนาในพื้นที่ไหล่เขา (ปลูกข้าวดอย) ด้วย เพื่อประกันความมั่นคงว่าจะมีข้าวไว้บริโภคอย่างเพียงพอ (หน้า 58) อย่างไรก็ดี การปลูกข้าวนาปีด้วยวิธีทั่วไป หรือแบบนาดำ เป็นรูปแบบหลักในการทำนาของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวกันในช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน (หน้า 68) หมู่บ้านแม่กลางหลวง หรือ Mu ka klo มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน (ซึ่งบางปีมีปัญหาผลผลิตข้าวตกต่ำ) หมู่บ้านนี้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้มากแม้จะปลูกในเนื้อที่ไม่มากก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เอื้ออำนวยนั่นเอง (หน้า 70) กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรที่นอกจากปลูกข้าวนั้น ประกอบด้วยการเลี้ยงสัตว์ (ไก่ หมู วัวควาย ช้าง) การทำสวน ตกปลา และการล่าสัตว์ โดยชาวบ้านนิยมทำสวนในบริเวณรอบแปลงนา พืชที่ปลูกได้แก่ มะขาม อ้อย ถั่ว กล้วย มะม่วง ลิ้นจี่ มะละกอ ไผ่ ฯลฯ (หน้า 70) ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นกิจกรรมที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับการทำนา และการสร้างรายได้เสริม สำหรับควายแล้วชาวบ้านนิยมเลี้ยงไว้ไถนามากกว่าจะขาย ตรงกันข้ามกับวัวที่เลี้ยงไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการขายโดยเฉพาะ (หน้า 71) ส่วนช้างเป็นสัตว์ที่เดิมเลี้ยงไว้ลากซุง แต่ในระยะหลัง ๆ ชาวบ้านนำไปให้บริษัททำไม้แปรรูปเช่า หรือแม้แต่ขายให้ฟาร์มช้างซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้กับเชียงดาว (หน้า 72) พืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งก็คือ ฝิ่น แม้จะใช้เนื้อที่ในการปลูกน้อยมากเมื่อเทียบกับข้าว อีกทั้งปริมาณผลผลิตก็ไม่มาก แต่ราคาของฝิ่นทำให้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำโดยช่วงของการเก็บเกี่ยวฝิ่นอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วพอดี (หน้า 73) นอกจากการทำปศุสัตว์ รวมทั้งการปลูกฝิ่นและพืชเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งรายได้ของกะเหรี่ยงบริเวณนี้แล้ว การเก็บของป่าก็ทำเงินได้ดีเช่นกัน เพราะการมีถนนหนทางที่สะดวกมากขึ้น สำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจนั้น ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือจากโครงการหลวงที่นำเมล็ดพันธุ์มาแจก และจำหน่ายปุ๋ยให้ในราคาถูก (หน้า 76) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีบางครัวเรือนที่สามารถสร้างฐานะของตัวเองขึ้นมาจนเรียกได้ว่าค่อนข้างมีกินมีใช้ แต่ครัวเรือนเหล่านั้นก็มิได้เป็นตัวแทนที่จะบอกได้ว่า ชุมชนที่ศึกษานี้มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจการค้าแล้ว เพราะว่าสินค้าที่ทำเงินกว่าครึ่งนั้น ได้มาจากส่วนเกินซึ่งเหลือจากการบริโภคแล้ว กล่าวคือ ชุมชนยังทำเกษตรกรรมที่มุ่งเน้นวัตถุประสงค์ในการยังชีพเป็นหลักอยู่ (หน้า 78) ม้ง ม้งไม่ได้มีรากฐานเศรษฐกิจบนแนวคิดที่ติดยึดอยู่กับการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้า เพราะมุมมองเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา ก็คือ การที่มีฐานะมั่นคงไปพร้อม ๆ กับสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระโดยไม่ขึ้นกับผู้อื่น หรือพึ่งตนเองได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีผลผลิตอาหารให้พอเพียงต่อการบริโภคในครอบครัว อย่างไรก็ดี การปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้าก็ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อม้งในหลายต่อหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของไทย (หน้า 107) พืชหลักสามชนิดที่ส่วนใหญ่ปลูกกัน ได้แก่ ข้าว ฝิ่น และข้าวโพด โดยฝิ่นเป็นพืชที่ม้งค่อย ๆ ลดปริมาณการปลูกลง เนื่องจากตลอดช่วง 20 ปีมานี้ ราคาขายของฝิ่นค่อนข้างผันผวน ขณะที่ราคาข้าวกลับดีขึ้นเรื่อยมา พวกเขาจึงเห็นว่าการปลูกฝิ่นจะทำให้เกิดความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ชาวบ้านนิยมปลูกฝิ่นในพื้นที่สูง (ระหว่าง 1,350-1,550 เมตร) ส่วนข้าวปลูกในที่ต่ำ จะมีก็แต่พื้นที่ทางตอนใต้ของชุมชนเท่านั้น ซึ่งชาวบ้านปลูกข้าว และฝิ่นควบคู่กันไปในบริเวณเดียวกัน อันเป็นวิธีการทำเกษตรแนวใหม่ของคนที่นี่ (หน้า 109) สำหรับการปลูกข้าวนั้น ในขณะที่ทำการศึกษามีเพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดที่ปลูกข้าวโดยทดน้ำเข้าแปลงนา (นาดำ) แต่มีแนวโน้มว่าการทำนาแบบนาดำดังกล่าวจะมากขึ้น เพราะเป็นวิธีที่ทำให้ได้ผลผลิตมาก (หน้า 112) ขณะที่ฝิ่นเป็นพืชซึ่งชาวบ้านปลูกสลับกับข้าวโพด (ข้าวโพดปลูกช่วงเมษายนหลังจากเก็บเกี่ยวฝิ่นแล้ว) ทั้งนี้ ข้าวโพดถือเป็นพืชสำคัญสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์ และเป็นอาหารของคนเมื่อยามขาดแคลนข้าว ส่วนพืชอื่น ๆ ที่นิยมปลูก ได้แก่ กะหล่ำปลี ผักชี ถั่ว ฯลฯ (หน้า 116) หากจะเปรียบเทียบระหว่างม้งกับกะเหรี่ยง ต้องถือว่าม้งมีชีวิตในหลาย ๆ ด้านที่ดีกว่า เนื่องจากม้งในพื้นที่การศึกษามีเครื่องมือทันสมัยอย่างปืน ทำให้การล่าสัตว์ในป่าของม้งประสบความสำเร็จมากกว่ากะเหรี่ยง นอกจากนั้น อาหารของม้งบริโภคยังมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าของกะเหรี่ยงอีกด้วย (หน้า 120) ในปี ค.ศ. 1983 มีการสร้างถนนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน Mea Ya Noi ทำให้คนในหมู่บ้านเข้าถึงการติดต่อคมนาคมกับคนบนพื้นราบได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ถนนหนทางได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชาวบ้าน เพราะผู้ที่มีรถยนต์บางคน(ในปี ค.ศ. 1983 หมู่บ้านมีรถยนต์อยู่ 4 คัน) สร้างรายได้โดยการขับรถไปซื้อสินค้าจากตัวอำเภอจอมทองมาขายให้กับเพื่อนบ้านอย่างสะดวก (หน้า 121) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกะเหรี่ยงด้วยกัน มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยกลุ่มเครือญาติของทางฝ่ายหญิงที่ผูกพันใกล้ชิดกันอย่างมาก ถือเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของกะเหรี่ยง ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวของพ่อแม่ และครอบครัวของลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วหญิงที่แต่งงานแล้วจะยังอยู่ในหมู่บ้านเดิมต่อไปแม้ว่าพ่อแม่ของพวกเธอจะตายแล้ว และความช่วยเหลือกันระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เป็นผู้หญิงก็ดำรงอยู่ต่อไป ขณะที่ในกลุ่มพวกผู้ชายที่เป็นพี่น้องกันไม่ค่อยจะได้เห็นความร่วมมือช่วยเหลือกันเท่าใดนัก ซึ่งเหตุผลของปรากฏการณ์เช่นนี้ก็คือ พวกผู้ชายที่แต่งงานแล้วมักย้ายไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิง ทำให้พี่น้องที่เป็นชายไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน (หน้า 42) อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของกะเหรี่ยงจะแต่งกันภายในชุมชน หรือระหว่างชุมชนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งนั่นส่งผลให้เครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมของกะเหรี่ยงค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด (หน้า 129) ม้ง สังคมของม้งเป็นสังคมที่ปราศจากกลุ่ม หรือองค์กรที่ตั้งขึ้นในเชิงพื้นที่ (หน้า 101) แต่ม้งมีพื้นที่ทางสังคมของเขาภายใต้มิติทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของม้งถูกสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ซึ่งเครือข่ายความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้เอง ได้ส่งผลให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกลได้อย่างไม่ยาก นอกจากนั้น ความผูกพันระหว่างกันภายในชุมชนยังสถาปนาความสัมพันธ์ทางสังคมที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่มั่นคง และความสบายใจในการอยู่ร่วมกัน (หน้า 126-127) ความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันนี้เอง ได้สร้างพื้นที่ทางสังคมอันกว้างขวางให้กับม้งแต่ละคน (หน้า 104) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยง ตามประวัติศาสตร์ของชุมชนนั้น กะเหรี่ยงเคยส่งเครื่องบรรณาการให้แก่เจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นประจำทุก ๆ ปี ทุกวันนี้กฎระเบียบข้อบังคับที่ทางการกำหนดไว้ เป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติไปตามหน้าที่เท่านั้น อย่างเช่น การให้มีการเลือกตั้งกำนัน หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ (หน้า 41) ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีบทบาทสูงในการดูแลปกครองหมู่บ้านกลับเป็นพระผู้นำ ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งในเชิงรูปธรรม และนามธรรม กล่าวคือ เป็นบุคคลที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมา มีหน้าที่หลักทางพิธีกรรมที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ชาวบ้านโดยการสืบต่อความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าป่าเจ้าเขา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยคุ้มครองดูแลหมู่บ้านอยู่ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น (เช่น ผลผลิตเสียหาย โรคระบาด ฯลฯ) นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่ตัดสินใจว่าจะให้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในชุมชนได้หรือไม่ โดยที่พระผู้นำก็จะมีชาวบ้านผู้อื่นซึ่งลูกบ้านให้ความเคารพเชื่อถือคอยทำงานช่วยเหลืออยู่ด้วย (หน้า 41) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และสังคมของกะเหรี่ยงค่อนข้างที่จะเป็นอิสระจากสถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการ (ของรัฐ) หากแต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ กลับมีบทบาทสำคัญที่ทำให้พวกเขาเกิดการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกันเสียมากกว่า (หน้า 42) ม้ง ระยะเวลาที่ผ่านมาม้งไม่มีองค์กรทางการเมืองใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากชุมชนเลย ซึ่งต่างจากกะเหรี่ยงที่มีสถานธรรม หรือศูนย์ของนักบวชประจำหมู่บ้าน แม้ว่าหมู่บ้านม้งจะมีผู้นำที่เลือกตั้งขึ้นมาโดยชาวบ้านเอง แต่ก็ดำรงบทบาทหน้าที่เพียงแค่ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการเท่านั้น ยังมีอำนาจที่จำกัดในการพัฒนาชุมชนของตนเอง ทั้งนี้ รูปแบบในการรวมกลุ่มกันตามวิถีของม้งก็ไม่มีอะไรนอกเสียจากกลุ่มที่จับตัวกันเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ หรือเพื่อให้เข้าถึงทรัพยากรเท่านั้น (หน้า 101) อย่างไรก็ดี ความเป็นเอกภาพที่เหนียวแน่นของชาติพันธุ์ม้ง คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอันเป็นเครื่องมือสำคัญในเชิงการปกครองดำรงอยู่ร่วมกันของสังคมม้ง ทันทีที่พวกเขาทราบว่าเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน จะทราบได้ถึงพันธะผูกพันต่อกันที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การประคับประคองกันในยามคับขัน หรือการช่วยเหลือกันให้สามารถเข้าถึงการได้รับพื้นที่ทำกิน (หน้า 104) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงในพื้นที่การศึกษาปราศจากความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าป่าเจ้าเขา (Forest spirits) เหมือนดั่งชาติพันธุ์อื่น ๆ ส่วนลัทธิความเชื่อในสมัยบรรพบุรุษก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 70 เมื่อชาวบ้านเริ่มมีรสนิยมในการสัก (Tattooing)(หน้า 83) อย่างไรก็ตาม พวกเขาเชื่อเรื่องที่ว่าข้าวมีชีวิต รวมทั้งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องดูแลชุมชน และไร่นา กล่าวคือ หากขาดซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่จะปกป้องคุ้มครองชุมชนแล้ว ผลผลิตข้าวอาจจะไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ (หน้า 84) สำหรับความเชื่อทางเกษตรกรรมดังกล่าวที่ว่า ข้าวเป็นสิ่งที่มีชีวิตนั้น กะเหรี่ยงที่นี่มีพิธีเรียกวิญญาณข้าวให้มาสิงสถิตอยู่บริเวณกองข้าวขณะที่ทำการนวดข้าว โดยที่แต่ละคนจะรวมใจช่วยกันเชิญวิญญาณข้าว อีกทั้งขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ มิให้มาย่างกรายยุ่งย่ามกับข้าวของพวกตน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าพิธีกรรมทางการเกษตรมุ่งเน้นไปที่ข้าวเป็นหลัก ส่วนฝิ่นเป็นพืชที่ตรงกันข้ามกับข้าว กล่าวคือ ชาวบ้านไม่ค่อยมีความเชื่อ หรือทำพิธีอะไรกับฝิ่นเท่าไรนัก ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของข้าวต่อระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยง (หน้า 85) สำหรับในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับศาสนานั้น กะเหรี่ยงยังศรัทธานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้คุ้มครองดูแลอาณาเขต หรือเจ้าที่เจ้าทางอยู่อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ม้งจะเคารพในเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แค่เพียงเพื่อหวังให้ตนมีฐานะที่ร่ำรวยขึ้นเท่านั้น (หน้า 125) ม้ง ความเชื่อ หรือพิธีกรรมของม้ง (ในหมู่บ้าน Mea Ya Noi และ Khun Klang) ไม่สู้จะละเอียดประณีต และเหนียวแน่นเท่ากับกะเหรี่ยงทั่วไป ซึ่งสังเกตได้จากข้าวของเครื่องใช้ในพิธีต่าง ๆ แต่สำหรับพิธีการทำศพแล้วนั้น ม้งกลับให้ความสำคัญมากกว่า โดยที่ม้งจะกล่าวบทสวด และคาถายาวนานกว่ากะเหรี่ยงที่ใช้เวลาเพียง 3-4 นาทีเท่านั้น (หน้า 124) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จุดเด่นของม้งอย่างหนึ่งก็คือ กระบวนทัศน์ที่มีต่อโลกภายนอก กล่าวคือ ม้งมิได้เป็นชาติพันธุ์ที่มองคนภายนอกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นศัตรู หรือเป็นอันตรายต่อตน แต่กลับมองว่าเป็นผู้ที่หยิบยื่นโอกาสมากมายอันเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชน ขณะที่กะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่โลกภายนอกเข้าถึงได้ยากกว่า อีกทั้งคนกะเหรี่ยงเองก็ไม่ค่อยเปิดรับเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งมองว่าคนภายนอกเป็นภัยต่อพวกตน (หน้า 129) ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าม้ง คือชาติพันธุ์ที่มีความมั่นใจในตนเองมากพอ ๆ กับการมองโลกในเชิงบวกที่มีต่อสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามา ทั้งนี้ จากแบบสอบถามก็สะท้อนถึงความแตกต่างกันระหว่างม้งกับกะเหรี่ยงเกี่ยวกับเรื่องความมั่นใจในตนเอง อย่างไรก็ตาม ม้งส่วนใหญ่คิดว่าตนเองฉลาดกว่า และมีความขยันมากกว่ากะเหรี่ยง รวมทั้งยังมองว่ากะเหรี่ยงเป็นชาติพันธุ์ที่เชื่องช้าในการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ (หน้า 127) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การดำรงชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยงไม่ค่อยเกี่ยวข้องหรือได้รับอิทธิพลจากสถาบันการเมืองการปกครองเท่าใดนัก (หน้า 40) ทั้งนี้ รูปแบบการเมืองการปกครองตามแบบอย่างของรัฐไทยค่อนข้างมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ และการตัดสินใจของม้งน้อยมาก การที่ทางการสร้างระบบให้มีผู้นำในระดับท้องถิ่นเกิดขึ้น ยังไม่ได้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ชุมชนพัฒนามากขึ้น และตรงกันข้าม การตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรของชาวบ้านก็มิได้ทำให้เกิดผลแห่งความเปลี่ยนแปลงต่อโครงสร้างทางการเมืองของชุมชนแต่อย่างใด (หน้า 101) |
|
Other Issues |
กะเหรี่ยงไม่ค่อยเปิดรับนวัตกรรม หรือสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยง่าย อย่างเช่น วิธีการทำเกษตรแบบใหม่ ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามองว่าวิธีการแบบเดิมเป็นสิ่งที่ปลอดภัยไร้ความเสี่ยงอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะไปทดลองกับของใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรืออาจจะส่งผลเสียต่อการเกษตรแบบยังชีพที่ทำอยู่ก็ได้ (หน้า 88) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยแสดงแผนที่ต่าง ๆ ดังนี้ - แผนที่การตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยง และม้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน - แผนที่ของพื้นที่การศึกษา - แผนผังหมู่บ้านกะเหรี่ยง - แผนผังหมู่บ้านม้ง - แผนที่สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านม้ง |
|
|