|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การอนุรักษ์ป่า,การเกษตร,เชียงใหม่ |
Author |
สมนึก ชัยธรรม |
Title |
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านห้วยปูลิง ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
58 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต(เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและความต้องการในอนาคตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และการทำการเกษตร โดยประชากรที่ใช้ศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้เป็นหัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงทุกครัวเรือนในหมู่บ้านห้วยปูลิง ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จำนวน 88 ครัวเรือน ผลการวิจัยแสดงว่า หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นชายอายุเฉลี่ย 40.22 ปี เข้าใจภาษาไทย รายได้รวมของครัวเรือนเฉลี่ย 12,446.59 บาทต่อปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4.08 คน แรงงานทำการเกษตรเฉลี่ย 2.69 คน รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 4.75 ครั้งต่อปี มีพื้นที่ครอบครองเฉลี่ย 5.87 ไร่ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 5.47 ครั้งต่อปี ติดต่อกับชุมชนภายนอกเฉลี่ย 5.31 ครั้งต่อปี และได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เฉลี่ย 1.67 ครั้งต่อปี ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในระดับปานกลางมีค่าเฉลี่ย 2.04 ดังนี้ การป้องกันรักษาป่าอยู่ในระดับปานกลาง การปลูกป่าอยู่ในระดับปานกลาง การป้องกันไฟป่าอยู่ในระดับมาก การเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้อยู่ในระดับปานกลาง ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปลูกพืชที่สามารถช่วยป้องกันดินทลาย ช่วยปรับปรุงหน้าดิน และช่วยรักษาต้นน้ำ ส่วนผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน แรงงานในการทำการเกษตร จำนวนพื้นที่ครอบครอง การติดต่อกับบุคคลภายนอกและการได้รับการฝึกอบรมมีความสัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ปัญหาเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงได้แก่ การลักลอบตัดไม้ของบุคคลภายนอกหมู่บ้าน ต้นไม้ที่ปลูกส่วนใหญ่ตาย อุปกรณ์สำหรับดับไฟป่าไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเคร่งครัด ปรับเปลี่ยนจากมาตรการเชิงรับที่ใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย มาเป็นมาตรการเชิงรุกที่เน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ จัดฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้มากครั้งขึ้น และต้นไม้ที่นำมาส่งเสริมให้ราษฎรปลูกตามโครงการปลูกป่าควรตระหนักถึงความต้องการที่แท้จริงของราษฎรด้วย (ดูบทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและความต้องการในอนาคตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และการทำการเกษตร (ดูบทคัดย่อ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ประชากรที่ใช้ศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้เป็นหัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงทุกครัวเรือนในหมู่บ้านห้วยปูลิง ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จำนวน 88 คน (ดูหน้าบทคัดย่อ , 20) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ประมาณ 97.7% เข้าใจภาษาไทย (หน้า 24) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 83 เพศหญิงร้อยละ 17 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 31 - 40 ปี คิดเป็นร้อยละ 36.4 รองลงมามีอายุระหว่าง 21 - 30 ปี และอายุ 41 - 50 ปี คิดเป็นร้อยละ 21.6 อายุสูงกว่า 50 ปี คิดเป็นร้อยละ 20.4 โดยที่อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 40.22 ปี อายุสูงสุด 64 ปี ต่ำที่สุดอยู่ที่ 21 ปี (หน้า 23 - 24) |
|
Economy |
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ 27.3) มีรายได้รวมต่อปีระหว่าง 5,001-10,000 บาท และ 10,001-15,000 บาท ร้อยละ 22.7 มีรายได้รวมระหว่าง 0-5,000 บาท และมีรายได้มากกว่า 15,000 คิดเป็นร้อยละ 22.7 รายได้รวมเฉลี่ยอยู่ที่ 12,446.59 บาทต่อปี รายได้รวมสูงสุดอยู่ที่ 63,300 บาทต่อปี และรายได้รวมต่ำสุดอยู่ที่ 800 บาทต่อปี (หน้า 25) ครัวเรือนของกะเหรี่ยงกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีจำนวนสมาชิกที่เป็นแรงงานเกษตร 1-2 คน คิดเป็นร้อยละ 60.2 รองลงมา 3 - 4 คน คิดเป็นร้อยละ 34.1 และร้อยละ 5.7 มีจำนวนสมาชิกที่เป็นแรงงานเกษตรจำนวนมากกว่า 4 คน โดยแต่ละครัวเรือนมีสมาชิกที่เป็นแรงงานเกษตรจำนวน 2.69 คน สูงที่สุด 8 คน ต่ำที่สุด 1 คน (หน้า 26) ครัวเรือนของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีที่ดินอยู่ในครอบครองระหว่าง 4-6 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 48.9 รองลงมาร้อยละ 31.8 มีที่ดินในครอบครองมากกว่า 6 ไร่ ร้อยละ 19.3 มีที่ดินในครอบครองระหว่าง 1-3 ไร่ กลุ่มตัวอย่างมีที่ดินในครอบครองเฉลี่ย 5.87 ไร่ จำนวนที่ดินในครอบครองสูงสุด 15 ไร่ ต่ำที่สุด 1 ไร่ (หน้า 27-28) |
|
Social Organization |
จำนวนสมาชิกในครัวเรือนของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีสมาชิกในครัวเรือนระหว่าง 4-6 คน (ร้อยละ 68.2) รองลงมามีสมาชิก 1-3 คน (ร้อยละ 27.3) และร้อยละ 4.5 มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมากกว่า 6 คน โดยที่กลุ่มตัวอย่างมีสมาชิกครัวเรือนเฉลี่ย 4.08 คน สูงที่สุด 9 คน ต่ำที่สุด 2 คน (หน้า 25-26) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงยังจำแนกประเภทของป่าตามความเชื่อดังนี้ - ปก่าตะเคโดะ เป็นป่าที่อยู่ในช่องเขา เป็นทางเดินของผี ห้ามหักล้างทำกิน แต่สามารถหาอาหาร สมุนไพร และไม้ฟืนจากป่าได้ - ปก่าเดหมื่อเบอ ป่าที่ขึ้นบนเนินเขา ลักษณะหลังเต่า มีสายน้ำไหลอ้อมล้อมรอบ ชาวบ้านถือว่ามีผีแรง ห้ามทำประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น - ปก่าเซมอปู เป็นป่าซับน้ำ มีต้นไม้ใหญ่ และน้ำขังตลอดปี มีน้ำไหลลงสู่ลำห้วย เป็นที่อยู่ของผีน้ำ ห้ามกินน้ำบริเวณนี้ - ปก่าที่หน่าจวะคี หรือป่าขุนห้วย เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ ห้ามตัดฟันใช้ประโยชน์ - ปก่าที่เป่อถ่อ เป็นป่าที่มีน้ำผุด เชื่อกันว่าผีดุมาก ห้ามรบกวนเด็ดขาด กะเหรี่ยงมีข้อห้ามตัดต้นไม้ที่ถูกเลือกเป็นที่แขวนสายสะดือเด็กเกิดใหม่ ต้นไทรขนาดใหญ่เชื่อกันว่ามีเทพเรียกว่า "หมื่อกาเขล่อ" สิงสถิตอยู่ รวมไปถึงต้นไม้ที่ใช้แบกหามคนตาย ต้นไม้ที่ขึ้นเป็นคู่ใกล้ชิดกัน ต้นไม้ที่ส่วนปลายโน้มติดกับอีกต้นไม้หนึ่ง ไม้ที่มีรังผึ้งเกาะอยู่ ต้นไม้ที่มีเถาวัลย์พัน และต้นไม้ที่ขึ้นบนจอมปลวก (หน้า 13-15) |
|
Education and Socialization |
แนวคิดการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง กะเหรี่ยงจำแนกประเภทป่าตามชั้นระดับความสูง โดยพื้นที่บริเวณเชิงเขาที่มีต้นไม้ขึ้นไม่หนาแน่น เป็นไม้ผลัดใบจำพวกเต็งรัง อากาศแห้งแล้ง เรียกว่า "แพะโข่" หรือ "กอเบโข่" ส่วนป่าในช่วงกลางเทียบเคียงได้กับป่าเบญจพรรณ กะเหรี่ยงเรียกว่า "เก่อเนอค่อทิ" ป่าตอนบนที่เป็นเขตต้นน้ำเรียกรวมๆ ว่า "เก่อเนอ" นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังจำแนกประเภทของป่าตามลักษณะการใช้ประโยชน์ เช่น ป่าใช้สอยรอบหมู่บ้าน ที่ใช้เป็นแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ สถานที่ประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้าน บริเวณนี้ห้ามตัดไม้ทุดชนิดเพราะเกรงว่าจะรบกวนวิญญาณบรรพบุรุษ "ป่าเหล่า" เป็นแหล่งอาหารและยารักษาโรค ป่าหัวนาเป็นแหล่งต้นน้ำใช้หล่อเลี้ยงนา และป่าขุนห้วยเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ป่าทั้งหมดนี้อยู่ในความรับผิดชอบของชุมชน ห้ามบุกเบิกที่นา แต่เก็บของป่าและล่าสัตว์ได้ (หน้า 12-13) จากงานวิจัยได้สรุปรูปแบบการอนุรักษ์ป่าของชุมชน กะเหรี่ยง ไว้ 2 รูปแบบ คือ 1. ชุมชนที่ทำนามากกว่าทำข้าวไร่จะให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ป่าซับน้ำบนขุนน้ำเป็นหลักและป่าซับน้ำหัวนาบ้างแต่ไม่เน้นระบบป้องกันแนวกันไฟ 2. ชุมชนที่ทำข้าวไร่มากกว่าทำนาจะให้ความสำคัญต่อแนวกันไฟเป็นหลักพร้อมทั้งอนุรักษ์ป่าซับน้ำบนขุนน้ำและป่าซับน้ำหัวนาด้วย (หน้า 15-17) ความเข้าใจในภาษาไทย จากกลุ่มตัวอย่าง หัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงร้อยละ 97.7 เข้าใจภาษาไทย (พูดและฟังได้) นอกนั้นร้อยละ 2.3 ไม่เข้าใจภาษาไทย (หน้า 24) การได้รับข้อมูลข่าวสาร รอบปี พ.ศ. 2539 กลุ่มตัวอย่างรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ระหว่าง 4 - 6 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 43.2 รองลงมาร้อยละ 36.4 ได้รับข้อมูลระหว่าง 1-3 ครั้ง และร้อยละ 20.4 ได้รับข้อมูลมากกว่า 6 ครั้ง โดยเฉลี่ยแล้วได้รับข้อมูลข่าวสาร 4.75 ครั้ง สูงสุด 15 ครั้ง และต่ำสุด 1 ครั้ง (หน้า 27) การได้รับการฝึกอบรม รอบปี พ.ศ. 2539 กลุ่มตัวอย่างรับการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ระหว่าง 1-2 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 78.4 รับการฝึกอบรมระหว่าง 3-4 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 10.2 ร้อยละ 8 ไม่เคยรับการฝึกอบรม ร้อยละ 3.4 รับการฝึกอบรมมากกว่า 4 ครั้ง เฉลี่ยแล้วกลุ่มตัวอย่างรับการฝึกอบรม 1.67 ครั้ง สูงสุด 8 ครั้ง (หน้า 30) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ในปี พ.ศ. 2539 หัวหน้าครัวเรือนกะเหรี่ยงในหมู่บ้านที่ศึกษาได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ระหว่าง 1-3 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 44.3 รองลงมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ 4-6 ครั้ง ร้อยละ 29.6 ติดต่อกับเจ้าหน้าที่มากกว่า 6 ครั้ง ร้อยละ 26.1 โดยติดต่อกับเจ้าหน้าที่เฉลี่ย 5.47 ครั้ง สูงที่สุด 30 ครั้ง ต่ำที่สุด 1 ครั้ง (หน้า 28) การติดต่อกับชุมชนภายนอก ในปี พ.ศ. 2539 กลุ่มตัวอย่างติดต่อกับชุมชนภายนอกระหว่าง 1-4 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 63.6 รองลงมาร้อยละ 17 ติดต่อกับชุมชนภายนอก 5-8 ครั้ง ร้อยละ 14.8 ติดต่อกับบุคคลภายนอกมากกว่า 8 ครั้ง ร้อยละ 4.6 ไม่มีการติดต่อกับชุมชนภายนอก โดยเฉลี่ยติดต่อ 5.31 ครั้ง สูงที่สุด 45 ครั้ง (หน้า 29) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ข้อมูลเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ กะเหรี่ยงกลุ่มตัวอย่างอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในระดับปานกลางเฉลี่ย 2.04 (หน้า 33) แยกเป็นประเด็นคือ การรักษาป่าอยู่ในระดับปานกลางเฉลี่ย 1.93 (หน้า 30-31) การปลูกป่าอยู่ในระดับปานกลางเฉลี่ย 2.11 (หน้า 31-32) การป้องกันไฟป่าอยู่ในระดับที่มากเฉลี่ย 2.27 (หน้า 32) การเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อยู่ในระดับปานกลางเฉลี่ย 1.86 (หน้า 33) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรเชิงอนุรักษ์ แต่ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจ เพราะการเพาะปลูกแบบขั้นบันไดเสียเวลา ไม่คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับ ปริมาณน้ำและพื้นที่สำหรับทำนาดำไม่เพียงพอ การปลูกพืชตระกูลถั่วมีปัญหาด้านการตลาด และยังมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการทำการเกษตรที่ยังไม่รู้วิธีการ ใช้งบประมาณลงทุนสูง (หน้า 36-37) นอกจากนี้การทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศและการได้รับการฝึกอบรมของชาวบ้านกะเหรี่ยงกลุ่มตัวอย่างสัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ส่วนจำนวนสมาชิกในครัวเรือน แรงงานในการทำเกษตร จำนวนพื้นที่ครอบครองและการติดต่อกับชุมชนภายนอกสัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ (หน้า 38-48, 55) ผู้วิจัยพบปัญหาการอนุรักษ์ป่าไม้ของชาวบ้านคือ ปัญหาการลักลอบตัดไม้ของบุคคลภายนอกหมู่บ้าน ต้นไม้ที่กะเหรี่ยงปลูกแล้วตาย อุปกรณ์ดับไฟป่าที่ไม่เพียงพอ ขาดเจ้าหน้าที่มาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ น้ำสำหับการเกษตรไม่เพียงพอ ขาดปัจจัยการผลิตเช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ เป็นต้น (หน้า 49-53, 55) |
|
Map/Illustration |
งานวิจัยชิ้นนี้มีตารางประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย รวมไปถึงภาพประกอบที่แสดงภาพจำลองของข้อมูลในงานวิจัย |
|
|