|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โลกทัศน์, พิธีกรรม, ความเชื่อ, บทบาทหญิงชาย, เชียงใหม่ |
Author |
Kumiko Yamamoto |
Title |
Religion and Religion Change in a Hill Karen Community of Northwestern Chiang Mai Province |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
13 |
Year |
2534 |
Source |
Journal of the Siam Society pp. 124-137 |
Abstract |
การศึกษาชิ้นนี้กระทำในพื้นที่ชุมชนบ้านแม่ขะปู ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่าศาสนาของกะเหรี่ยงอยู่ในรูปแบบของการนับถือเทพ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญต่อการทำพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพบูชา และอธิษฐานบนบานต่อเทพ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ และเทพผู้ดูแลดินแดนทั้งนี้ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (The Guardian Deity) ถือเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของทุกชีวิต ทั้งในเรื่องสุขภาพความเจ็บป่วย ชะตาการเกิดการตาย ชีวิตหลังความตาย ฯลฯ โดยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเรือน สัตว์เลี้ยง หรือมีเด็กเกิดใหม่ จะต้องทำพิธีบอกกล่าวให้เทพฯ ได้รับรู้ ขณะที่เทพผู้ดูแลดินแดน (The Territorial Deity) ถือเป็นเจ้าของอาณาเขต และทรัพยากรของชุมชน ซึ่งแต่ละครอบครัวต้องทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เรียกว่า "l ta:" (หน้า 135) เพื่อวิงวอนให้เทพฯ ช่วยปกป้องคุ้มครองเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดี |
|
Focus |
พรรณนาโลกทัศน์ และลักษณะพิธีกรรมของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นพื้นฐานพฤติกรรมทางสังคม และการเมือง (หน้า 124) รวมทั้งความเชื่อเดิมเรื่องเทพผู้คุ้มครองชนเผ่า เทพผู้ปกป้องดินแดนอันมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในด้านต่าง ๆ ความเชื่อเกี่ยวกับสถานะ บทบาทหน้าที่ และการสืบทอดหัวหน้าเผ่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw Karen) (หน้า 124) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงในบ้านแม่ขะปู (Me kha pu) เชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาประมาณสองร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785-1795 จากบริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวินซึ่งในปัจจุบันเรียกว่าประเทศเมียนม่าร์ (หน้า 124) |
|
Settlement Pattern |
เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา กะเหรี่ยงเริ่มสร้างบ้านด้วยไม้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยอย่างถาวร แทนที่การใช้ไม้ไผ่สร้างกระท่อมตามประเพณีเดิม ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเป็นแรงหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมในอนาคต (หน้า 129) ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วกะเหรี่ยงจะไม่อพยพโยกย้ายที่อยู่หากยังควบคุมสถานการณ์ได้ เช่น ไม่ได้เกิดโรคระบาด ที่มีคนตายบ่อยๆ การตายของเด็กทารก การตายแบบผิดปกติของธรรมชาติ รวมทั้งการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่า (หน้า 133) |
|
Demography |
ในช่วงระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมานั้น มีการอพยพเคลื่อนย้ายประชากรในพื้นที่การศึกษา โดยหลายชาติพันธุ์อย่างเช่น ม้ง และคนไทย ได้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้จำนวนประชากรของหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น และนำไปสู่ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง (หน้า 124) ภายหลังจากการแต่งงานของคู่บ่าวสาว ฝ่ายชายจะต้องย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ตัวเอง ไปอยู่อาศัยที่บ้านเรือนของทางฝ่ายหญิง จากการสังเกตของผู้ศึกษานั้น พบว่าผู้ชายที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับญาติเดิมของตนมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงที่นี่มีอัตราการอพยพเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง (หน้า 132) อย่างไรก็ตาม การอพยพเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่อันเนื่องจากการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่า (บรรพบุรุษผู้บุกเบิกหมู่บ้าน) ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ในช่วงกลางทศวรรษ 50 (หน้า 133) ธรรมเนียมปฏิบัติประการหนึ่งของการย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงก็คือ ห้ามคู่สามีภรรยาที่มีอายุมากกว่าหัวหน้าเผ่า ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของหัวหน้าเผ่าคนนั้น (หน้า 134) |
|
Economy |
การทำนาดำนั้น เริ่มทำกันเมื่อ 120 ปีมานี้เอง อันเป็นสิ่งที่พลิกผันวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ทำให้พวกเขาปักหลักอาศัยอยู่เป็นที่ และเริ่มครอบครองที่ดินโดยถาวร ทั้งนี้ วัวควายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความจำเป็นเพราะสามารถใช้การทำนา และได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่ายิ่งในเวลาต่อมา (หน้า 124) เมื่อเริ่มมีประชากรหนาแน่นขึ้น ที่ดินทำกินเริ่มมีจำกัด อันทำให้ความสามารถในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนที่ดินในการทำไร่มีน้อยลง และพื้นที่ทำนาดำของลูกหลานแต่ละคนที่ได้รับจากบรรพบุรุษก็ลดลงไปด้วย นอกจากนั้น การที่กะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่น ๆ มากขึ้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปรับเอาวิถีการปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือปลูกพืชเพื่อขาย (หน้า 124) ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าชาวบ้านเก็บพืชพันธุ์หลายอย่างนั้นมาจากป่า แต่แหล่งอาหารส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้มาจากการทำเกษตรกรรม (หน้า 130) วิถีชีวิตมีการเปลี่ยนไปเป็นการอยู่อาศัยอย่างเป็นหลักแหล่งกับพื้นที่เพาะปลูกของตน นอกจากนั้น การได้รับมรดกในรูปของที่นาก็เป็นสาเหตุให้มีความแพร่หลายของการเกษตรในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเช่นกัน อย่างไรก็ดี การทำพิธีกรรมในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ เป็นการทำพิธีซึ่งกระทำเพิ่มเติมจากที่ได้ทำไปแล้วในพื้นที่ที่ปราศจากแหล่งน้ำ ทั้งนี้ บางครอบครัวที่ใช้แหล่งน้ำร่วมกันในการทำเกษตรกรรม ยังมีการทำพิธีกรรมร่วมกันที่บริเวณแหล่งน้ำนั้นอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากะเหรี่ยงมีความเคารพรู้คุณในพื้นที่ที่เขาครอบครองทำกินอยู่ (หน้า 132) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของกะเหรี่ยงจะจัดขึ้นที่ในหมู่บ้านของเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อแม่ของเจ้าสาวเป็นเวลา 1 ปี หลังแต่งงาน ซึ่งแม้ว่าบ่าวสาวทั้งคู่มีอิสระในการเลือกเรือนหอหลังจากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว แต่ก็มักจะเลือกสร้างบ้านใกล้ ๆ บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง ทั้งนี้ พ่อแม่ของกะเหรี่ยงมักอยู่ร่วมกับลูกสาวคนเล็กและสามี หลังจากลูกคนอื่น ๆ ได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว (หน้า 125) กะเหรี่ยงมีกฎเกณฑ์ห้ามสมาชิกในครอบครัวแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง และญาติสนิทที่อยู่ในสายตระกูลข้างแม่ถึงสี่ชั่วรุ่น คือ รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก รุ่นลูกของลูกสาว และลูกของลูกสาวของลูกสาว กลุ่มที่สองที่ถูกห้ามแต่งงานกันเอง คือ พวกที่พ่อแม่ไปเข้าร่วมพิธีเดียวกัน การแต่งงานภายในครอบครัวเดียวกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม โดยบุคคลของครอบครัวในระยะ 4 รุ่น หรือ 4 ชั่วคนถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง ผู้ที่เป็นพ่อต้องห้ามไม่ให้ลูกชายของลูก (หลาน) และลูกสาวของลูก (หลาน) แต่งงานกัน และห้ามเหลนแต่งงงานกันด้วย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อดังกล่าวก็ค่อย ๆ ลดความเข้นข้นลงเรื่อยมาในแต่ละรุ่น เพราะเนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเกรงกลัวว่าเทพฯ จะโกรธเคืองกันแล้ว และไม่เชื่อเหมือนคนรุ่นก่อนว่าหากฝืนประเพณีนี้จนทำให้เทพฯ ขุ่นเคืองแล้ว จะทำให้ตนเองต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นหมัน หรือถึงฆาต (หน้า 129) ทรัพย์สมบัติภายหลังจากการแต่งงานแล้วของคู่บ่าวสาว ให้ถือเป็นสมบัติร่วมกันของทั้งคู่ระหว่างครองชีวิตด้วยกัน แต่ก็มีการแบ่งถือครองสมบัติที่มีอยู่อย่างชัดเจนเช่นกัน กล่าวคือ หากเป็นสัตว์อย่างเช่น หมู และไก่ให้ถือเป็นของภรรยา ขณะที่สัตว์ใหญ่อย่างช้าง วัว ควาย ให้ฝ่ายสามีเป็นผู้ครอบครองดูแล ทั้งนี้ หากภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว ให้ทำการรื้อทำลายบ้าน รวมทั้งขายหรือฆ่าหมูและไก่ที่มีลักษณะพิเศษไปเสีย ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ เนื่องจากทรัพย์สมบัติที่สามารถตกทอดเป็นมรดกได้อนุญาตเฉพาะแค่สัตว์ใหญ่ และที่นาเท่านั้น (หน้า 131) การสืบทอดมรดกของพ่อแม่ไปรุ่นลูกนั้น จะทำการแบ่งให้ลูกแต่ละคนได้รับสมบัติเท่า ๆ กัน แต่สำหรับลูกสาวคนสุดท้องจะได้มากกว่าลูกคนอื่น ๆ โดยตามธรรมเนียมแล้วลูกสาวแต่ละคน จะได้ผืนนาเป็นมรดก ส่วนลูกชายจะได้รับสัตว์เลี้ยงเป็นมรดก ซึ่งประเพณีปฏิบัติดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าชุมชนในพื้นที่การศึกษามีลักษณะสังคมที่เพศหญิงมีความสำคัญหรือบทบาทที่โดดเด่นนั่นเอง (หน้า 131-132) อย่างไรก็ตาม หากพื้นที่ทำกินถูกแบ่งปันไปสู่บรรดาลูก ๆ เพศชายแล้ว ลูกชายคนโตจะต้องรับผิดชอบในการทำพิธีกรรม แต่หากลูกชายคนโตได้รับที่ดินเพียงผู้เดียว เขาจะต้องทำพิธีกรรมโดยที่น้อง ๆ ไม่ต้องเข้าร่วมทำพิธีเลย เพราะถือว่าอยู่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากลูกชายคนสุดท้องได้รับที่ดินเพียงผู้เดียว พี่ ๆ ก็ยังถูกกำหนดให้ต้องเป็นผู้ทำพิธีกรรมเช่นกันไม่ใช่หน้าที่ของน้องคนสุดท้องที่ได้มรดกไป (หน้า 132) พ่อแม่มักจะมอบที่ดินที่มีแหล่งน้ำเป็นมรดกให้กับลูกที่อยู่อาศัยใกล้ ๆ กับพ่อแม่ หรืออยู่กับพ่อแม่เป็นคนสุดท้าย ซึ่งโดยมากมักเป็นลูกสาว แต่ลูกสาวที่ได้รับที่ดินนั้นตามหลักปฏิบัติก็ไม่สามารถทำพิธีกรรมได้ (เนื่องจากผู้ทำพิธีกรรมกับเจ้าของอาณาเขตต้องเป็นผู้ชาย) ดังนั้น จะต้องให้พี่ชายเป็นผู้ทำพิธีกรรมในพื้นที่ที่ได้รับมาแทน เพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าของเขตแดนว่ามีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น ๆ ซึ่งแต่เดิมเป็นของพ่อ (หน้า 132) โดยน้องสาวที่เป็นเจ้าของที่ดินคนใหม่จะต้องไม่มีส่วนจัดเตรียม หรือเข้าร่วมพิธีนี้เลย เพราะตามหลักปฏิบัติแล้วห้ามมิให้แต่ละครอบครัวทำพิธีกรรมหนึ่ง ๆ ร่วมกัน (หน้า 133) การตายของหัวหน้าเผ่าได้นำไปสู่ความล่มสลายของความสัมพันธ์ทางชนเผ่า ส่งผลให้ขาดการรวมตัวเหนียวแน่นแบบเดิม แต่เกิดการแตกตัวของครอบครัวต่าง ๆ ไปคนละทิศคนละทาง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในสังคมกะเหรี่ยงนั้น ครอบครัวเดี่ยวต่าง ๆ ถือเป็นหน่วยเบื้องต้นของสังคม ดังนั้นการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่าก็หมายถึง การขาดเสาหลักของตระกูลไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง จึงเกิดการย้ายถิ่นออกจากหมู่บ้านจากหลาย ๆ สาเหตุ เช่น การไปอยู่ร่วมกับคนของหมู่บ้านอื่น หรือการไปสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่โดยสถาปนาหัวหน้าเผ่าคนใหม่ (หน้า 133) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษามีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่ 2 อย่าง คือ (1) เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ของตน และจารีตในการแต่งงาน ซึ่งจะต้องมีหัวหน้าครอบครัวทางฝ่ายหญิงคอยจัดการเกี่ยวกับพิธีกรรมอยู่ (2) เทพชั้นสูงสุดผู้คอยดูแลอาณาเขต ซึ่งจะมีการติดต่อกับทางชาวบ้านที่เป็นชาย หรือผู้นำของหมู่บ้าน เป็นเทพที่กำหนดกิจกรรมในชีวิตของฝ่ายชาย และความสงบสุขในการอยู่ร่วมกัน (หน้า 124) ความเชื่อ และพิธีกรรมเกี่ยวกับเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (The Guardian Deity หรือ Max xa:) เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (ซึ่งโปรดปรานอาหารอย่างเนื้อหมู และเนื้อไก่) จะเป็นผู้ดูแลทุกชีวิตระหว่างการตาย และการเกิด คอยกำหนดชะตาการเกิดของแต่ละคน ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการไปผุดไปเกิดจะต้องบอกกล่าวแก่เทพองค์นี้ว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร และอยากใช้ชีวิตเป็นระยะเวลายาวนานเพียงไร ตลอดจนรูปแบบชีวิตที่ต้องการเป็นเช่นไร ทั้งนี้ หากมนุษย์ที่ตายแล้วไม่ยอมกลับสู่ปรโลก ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่คอยล้างผลาญชีวิตของมนุษย์ผู้อื่น ส่วนผู้ที่ตายด้วยอุบัติเหตุรุนแรง แบบเลือดตกยางออก ก่อนเวลาที่เทพกำหนดไว้ หรือตายท้องกลม จะยังไม่สามารถกลับสู่โลกมนุษย์ได้ทันที แต่ต้องรอจวบจนเวลาที่จะได้จุติ และในระหว่างที่รอนั้นจะต้องเที่ยวหาอาหารด้วยการจู่โจมเหล่ามนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลก (หน้า 125) กะเหรี่ยงเชื่อว่าแต่ละคนจะมีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ 37 ดวง ซึ่งมีดวงวิญญาณหนึ่งเป็นผู้นำของดวงอื่น ๆ โดยที่ภายหลังจากการเกิดแล้ว ดวงวิญญาณผู้นำจะกลายบุคลิกนิสัยของคน ๆ นั้น ขณะที่อีก 36 ดวง(ซึ่งอยู่กันเป็นคู่ ๆ ทั้งสิ้น 18 คู่) ที่เหลือจะกลายเป็นส่วนของร่างกาย ดวงวิญญาณทั้ง 36 รักที่จะเร่ร่อนเข้าออกจากร่างเจ้าของ ทำให้ในบางครั้งหลงทาง หรือถูกผีร้ายจับไป สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าของร่างต้องเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ดังนั้น กะเหรี่ยงจะตระหนักถึงการเรียกหาดวงวิญญาณกลับมา และผูกตรึงให้อยู่กับเจ้าของร่างไม่ให้หนีหายไปไหน(หน้า 125) ในการทำพิธีที่เกี่ยวกับเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์นั้น เรือนจะเป็นศูนย์กลางในการทำพิธี โดยคู่บ่าวสาวเป็นผู้ดำเนินพิธีกรรม ด้วยการพูดจาสื่อสารกับพ่อแม่ของพวกเขาอันถือเป็นตัวแทนของเทพฯ ในพิธีกรรมนี้มีสิ่งเหนือธรรมชาติ 3 อย่างที่เข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ เทพฯ ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ และเปรตขอส่วนบุญ ซึ่งเป็นวิญญาณผู้หิวโหยที่ขึ้นต่อเทพฯ (หน้า 125) โดยบรรดาลูกหลานที่ทำพิธีต้องวางอาหารไว้ให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่จะส่งต่อให้เทพฯ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงเปรตขอส่วนบุญทั้งหลาย (หน้า 126) ลักษณะของการทำพิธีก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ก็จะวางอาหารไว้เพื่อให้ดวงวิญญาณของพ่อแม่นำอาหารกลับไป หากทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้พ่อแม่สามารถทานอาหารที่ใช้ในพิธี และถ้าคนหนึ่งคนใดเสียชีวิตก็จะให้คนที่มีชีวิตอยู่ทานอาหารเสียครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งให้ดวงวิญญาณที่ล่วงลับนำกลับไป อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพิธีจะต้องดำเนินการโดยทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แต่ฝ่ายหญิงมีบทบาทเด่นกว่า เนื่องจากพิธีทำที่บ้านของฝ่ายหญิง ผู้เข้าร่วมทางฝ่ายหญิงมีมากกว่า และยังเป็นคนที่กระทำอะไรในพิธีก่อนฝ่ายชาย (หน้า 126) ทั้งนี้ คู่บ่าวสาวที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ ๆ นั้น ต้องซื้อไก่และหมูอย่างละตัวเพื่อใช้ในการทำพิธี โดยที่สัตว์ซึ่งซื้อมาถือว่าเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง และมีกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับการปฏิบัติต่อสัตว์ดังกล่าวมากพอ ๆ กับกฎที่ต้องปฏิบัติต่อบ้านเรือนทีเดียว นอกจากนั้น ภายหลังหากฝ่ายหญิงเสียชีวิตไปนั้น จะต้องฆ่าสัตว์ทั้งคู่ตามไปด้วยเพื่อติดตามเธอไปในอีกโลกหนึ่ง (หน้า126) พิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติมีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน ซึ่งใช้ระยะเวลา 4 ชั่วคืน คือ 1) สักการะบูชาด้วยไก่โดยฝ่ายหญิง (คืนที่หนึ่ง) 2) สักการะบูชาด้วยไก่โดยฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย (คืนที่สอง) 3) สักการะบูชาด้วยไก่ และหมูโดยฝ่ายหญิง และไก่โดยฝ่ายชาย(คืนที่สาม) 4) สักการะบูชาด้วยไก่ และหมูโดยทั้งฝ่ายหญิง และฝ่ายชาย (คืนที่สี่) ซึ่งอันที่จริงแล้ว ชายหญิงกะเหรี่ยงถูกกำหนดให้ทำพิธีหลังจากสร้างบ้านใหม่ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายหญิงถือเป็นตัวแทน และมีบทบาทสูงกว่าในการทำพิธีกรรม (หน้า126) ขั้นตอนวิธีการในการทำพิธีบวงสรวงเทพฯ เริ่มจากฝ่ายภรรยาหุงข้าวเตรียมไว้ จากนั้นฝ่ายสามีจะเชือดหมูจากนอกบ้าน แล้วนำเข้าไปในบ้านเพื่อสวดมนต์ให้กับสิ่งเหนือธรรมชาติ 3 อย่าง (เทพฯ ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ และเปรตขอส่วนบุญ) โดยหมูจะถูกนำออกนอกบ้านอีกครั้งเพื่อควักเอาเครื่องในออกมา และย่างกับไฟ จากนั้นจึงนำหมูเข้ามาให้พ่อแล่เนื้อออกเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ฝ่ายภรรยาจะเอาเนื้อหมูมาปรุงในแกง และจบด้วยการจัดโต๊ะอาหารโดยมีหัวหมูกลางโต๊ะซึ่งฝ่ายชายหยิบเนื้อหมูชิ้นเล็ก ๆ และข้าวรับประทานก่อน ตามด้วยฝ่ายหญิง และลูก ๆ จากคนโตสุดไปถึงคนเล็ก จนกระทั่งปิดท้ายด้วยบรรดาหลาน ๆ ของฝ่ายหญิง (หน้า126-127) อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะเรียบง่ายและกะทัดรัดมากขึ้นในรุ่นหลัง ๆ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับชุมชนอื่นแล้ว ถือว่าชุมชนที่ศึกษานี้ฝ่ายหญิงมีบทบาทไม่มากเท่ากับที่ชุมชนอื่นเป็น และพิธีกรรมจะดำเนินไปโดยเน้นภายในครอบครัวเดี่ยวเสียมากกว่า (หน้า 127) เหตุผลของการทำพิธีกรรมดังกล่าวมีอยู่ 3 ประการ คือ 1) เป็นการบวงสรวงบูชาเทพฯ ให้ปัดเป่าความทุกข์ และโรคภัยไข้เจ็บจนหมดสิ้นไป เพราะกะเหรี่ยงเชื่อว่าทั้งความเจ็บป่วยและความฝันใด ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่ดลบันดาลโดยเทพฯ ทั้งนี้ หากมีโรคเรื้อรัง หรือรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว หล่ะก็ จะต้องมีการปรึกษาหมอผู้ชำนาญพิธีกรรม ซึ่งจะนับเม็ดข้าว และกระดูกไก่เพื่อเสี่ยงทายรูปแบบของพิธีกรรมที่จะต้องดำเนินการ 2) เพื่อลบล้างพฤติกรรมมิถูกมิควรของสัตว์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดหายนะแก่คน โดยกะเหรี่ยงเชื่อว่าพฤติกรรมที่ผิดปกติบางอย่างของสัตว์ที่เลี้ยงนำไปสู่ความเสียหายแก่เจ้าของ เช่น แม่ไก่ขันได้ การที่สัตว์เพศเดียวกันจับคู่กัน หรือการที่สัตว์ออกลูกมาเฉพาะตัวเมีย หรือตัวผู้ล้วน ๆ หากพฤติกรรมเป็นเช่นที่ว่านี้ฝ่ายหญิงจะต้องนำไปฆ่าเพื่อทำพิธีกรรม โดยสำหรับไก่จะทำพิธีเพียงวันเดียว ส่วนหมูจะทำพิธีถึง 3 วัน (หน้า 127) 3) เพื่อสร้างความสมบูรณ์ถูกต้องในครอบครัว กล่าวคือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาแล้ว คู่บ่าวสาวจะต้องแจ้งให้กับเทพฯ ได้รับรู้ด้วย เช่น เมื่อสัตว์ตัวใดตายไปก็ต้องแจ้งเทพฯ ว่าสัตว์ตัวอื่น ๆ เป็นสัตว์ที่เหลืออยู่ หรือเป็นสัตว์ตัวเก่าซึ่งมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ เมื่อคู่บ่าวสาวแต่งงานแล้วมีการสร้างบ้านใหม่เกิดขึ้น ก็ต้องมีพิธี "ทำบ้านใหม่ให้เก่า" คือเป็นการแจ้งว่ามีการย้ายบ้าน และสร้างบ้านหลังใหม่(เพราะบ้านถือเป็นสถานที่ทำพิธีกรรม เมื่อมีการย้ายก็ต้องแจ้งให้ทราบสถานที่ทำพิธีแห่งใหม่) รวมทั้งหากมีเด็กเกิดใหม่ ก็ต้องทำพิธีแจ้งเทพฯ ให้ทราบเกี่ยวกับเด็กที่เกิดมาใหม่นี้ โดยบวงสรวงด้วยไก่เป็นเวลา 2 วัน (หน้า 128) นอกจากพิธีกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว กะเหรี่ยงยังมีวิถีปฏิบัติต่อเทพฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เทพฯ ขุ่นเคืองด้วย เพราะเชื่อว่าหากครอบครัวใดทำให้เทพฯ โกรธแล้ว จะส่งผลให้คนในครอบครัวนั้นเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือกลายเป็นคนบ้า ทั้งนี้การกระทำอันทำให้เทพฯขุ่นเคือง ได้แก่ การขายหรือฆ่าสัตว์ที่มีลักษณะเด่น(แปลก) โดยไม่ทำพิธีบอกกล่าวต่อเทพฯ การทำพิธีผิดขั้นตอน หรือเปลี่ยนแปลงประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา รวมทั้งการหลายครัวเรือนทำพิธีกรรมร่วมกัน (ตามหลักแล้วแต่ละครอบครัวต้องทำกันเอง) (หน้า 128) ความเชื่อ และพิธีกรรมเกี่ยวกับเทพผู้ดูแลอาณาเขต (The Territorial Deity หรือ k' ca) k' ca แปลว่า เจ้าของ อันสามารถแบ่งได้เป็นหลายกลุ่มตามพื้นที่ที่ดูแลเป็นเจ้าของอยู่ ทั้งที่เป็นท้องฟ้า ผืนดิน ภูเขา และแม่น้ำ โดยกะเหรี่ยงเชื่อว่าภูเขาและแม่น้ำแต่ละแห่งมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของอยู่ ซึ่งเทพฯ ที่ดูแลรักษาภูเขา และแม่น้ำเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเขตแดน แต่เจ้าของเขตแดนที่ว่านี้ก็อยู่ใต้อำนาจเจ้าของเขตแดนชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นเทพผู้ปกป้องครอบครองดินแดนพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ (หน้า 129) อย่างไรก็ตาม การทำพิธีกรรมต่อเทพทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นถูกจำกัดให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น ทั้งนี้ ชาวบ้านยังมีการทำพิธีกรรมร่วมกันทั้งหมู่บ้านอีกด้วย โดยผู้ทำพิธีก็คือ หัวหน้าหรือผู้นำของหมู่บ้าน (หน้า 130) ความจริงแล้วเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดมิใช่เป็นเทพเสียทีเดียว แต่ค่อนข้างจะเป็นวิญญาณของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่มาก่อนที่คอยปกป้องทั้งสิ่งที่มีชีวิต (คน,สัตว์,ต้นไม้) และไม่มีชีวิต (ดิน,หิน,ทราย ฯลฯ) ตลอดจนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ โดยข้อกำหนดว่าชาวบ้านต้องแจ้งให้ทราบถึงการแต่งงาน การซื้อสัตว์ใหญ่ และการล่าสัตว์ข้ามเขตแดน นอกจากนั้น พิธีกรรมที่ทำเป็นประจำทุกปีซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรรมก็คือ การขอร้องให้เจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุด รวมทั้งเจ้าของอาณาเขตอื่น ๆ ช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเขา ซึ่งพิธีกรรมนี้เรียกว่า "l ta" (หน้า 130) โดยที่หากเชิญเจ้าของอาณาเขตมาได้มากเท่าใด ก็จะทำให้การปกป้องคุ้มครองให้อยู่ดีมีสุขเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (หน้า 131) "l ta:" เป็นพิธีบวงสรวงที่จัดขึ้นที่แปลงนาของแต่ละครัวเรือน ในช่วงระหว่างการปลูกกับการเก็บเกี่ยว วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้เจ้าของเขตแดนคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของตน โดยวิธีการทำพิธีอย่างคร่าว ๆ ก็คือ การจัดเตรียมอาหาร (ข้าว, ไก่ 2 ตัว, เหล้า) ศาลสำหรับเป็นที่กราบไหว้บูชา และอธิษฐานสวดมนต์ต่อหน้าศาลเจ้าของเขตแดน โดยเชือดคอไก่และรินเลือดไก่ลงบนศาลบูชา ต่อจากนั้นจึงเชิญเจ้าของอาณาเขตมาทานอาหาร และปิดท้ายด้วยการให้คนในครอบครัวกินอาหารที่ไหว้ตามลำดับอาวุโส (หน้า 130) ทั้งนี้ ในระหว่างที่สวดมนต์นั้น บรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ภรรยา และลูก ๆ จะต้องประสานมือเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงความเคารพบูชาต่อเจ้าของอาณาเขต (หน้า 131) พิธีกรรมที่กะเหรี่ยงปฏิบัติต่อเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ และเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดดำเนินการโดยหน่วยครอบครัวเหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างในด้านสิ่งของที่ใช้ถวายเทพฯ ในพิธี ตัวอย่างเช่น สำหรับเหล้านั้นจะใช้ในการบวงสรางเจ้าของเขตแดนชั้นสูงสุดเพียงเท่านั้น และการฆ่าไก่บูชายัญเพื่อเจ้าของเขตแดนใช้วิธีการเชือดคอไก่ และไม่หั่นเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ แต่สำหรับการทำพิธีต่อเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์นั้น ใช้วิธีการรัดคอโดยไม่ให้มีเลือดไก่ไหลออกมาเลย และหั่นเนื้อไก่ออกเป็นหลาย ๆ ชิ้น (หน้า 131) ความเชื่อเกี่ยวกับหัวหน้าเผ่า หรือบรรพบุรุษรุ่นแรก (zi: kho:) zi: kho: คือ ชาวบ้านคนแรกที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นคนแรกที่ติดต่อกับเจ้าของอาณาเขตที่เจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดเป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ คนผู้นี้จึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการขอร้องอธิษฐานให้เทพฯ ช่วยปกป้องคุ้มครองทรัพย์สมบัติ และสวัสดิภาพของคนในหมู่บ้าน (หน้า 133) ภาระหน้าที่อันสำคัญของหัวหน้าเผ่าก็คือ การเป็นผู้นำทำพิธีกรรมของหมู่บ้านต่อเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุด โดยหัวหน้าเผ่าจะเป็นคนกำหนดวันทำพิธี และทำพิธีทุกขั้นตอนก่อนชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกจากนั้น ยังเป็นผู้สวดมนต์อธิษฐาน และคำนับด้วยเหล้าเพื่อให้เทพฯ ปกป้องคุ้มครองคนทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นผู้ทำหน้าที่เชื่อมต่อครอบครัวเดี่ยวแต่ละครอบครัวให้เป็นองคาพยพเดียวกันในพิธีกรรม (หน้า 133) หัวหน้าเผ่ามีภาระที่จะต้องเข้าร่วมงานแต่งงานของทุกคนในหมู่บ้าน และทำหน้าที่บอกกล่าวต่อเจ้าของอาณาเขตถึงการย้ายที่อยู่ของเจ้าบ่าวด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังดำรงฐานะเสมือนเป็นพระสงฆ์ของหมู่บ้าน ซึ่งผลงาน และสิ่งต่าง ๆ ที่หัวหน้าเผ่าทำงานอุทิศตนให้กับหมู่บ้านนั้น มิได้รับอะไรตอบแทนนอกจากความเคารพเลื่อมใสจากลูกบ้าน (หน้า 133) ทั้งนี้ การสถาปนาหัวหน้าเผ่าคนใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ใน 3 รูปแบบ ก็คือ 1) การสืบทอดการเป็นหัวหน้าเผ่าทางสายเลือดโดยลูกชายคนโต ภายหลังการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่าคนเดิม 2) การที่หัวหน้าเผ่าและลูกบ้านย้ายออกจากหมู่บ้านไปตั้งหมู่บ้านใหม่(เพราะเชื่อว่าเจ้าของอาณาเขตไม่ชอบหัวหน้าเผ่าหรือลูกบ้านบางคน) โดยที่มีลูกบ้านบางส่วนซึ่งไม่ยอมย้ายไปอยู่กับหัวหน้าเผ่าคนเดิม จึงแยกไปตั้งหมู่บ้านของกลุ่มตัวเองแล้วตั้งหัวหน้าเผ่าคนใหม่ที่จะติดต่อทำพิธีกับเจ้าของอาณาเขตในพื้นที่หมู่บ้านแห่งใหม่ (ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในชุมชนที่ศึกษานี้) 3) การที่ครอบครัวหนึ่งย้ายออกจากหมู่บ้านเดิมมาอยู่โดด ๆ ในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครครอบครอง จากนั้นจึงชวนญาติบางครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน แล้วสถาปนาหัวหน้าครอบครัวของครอบครัวแรกที่มาอยู่หมู่บ้านแห่งใหม่นี้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า อย่างไรก็ตาม ในยุคหลังจากช่วงกลางทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา คุณสมบัติของการขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ และยืดหยุ่น (หน้า 133) การให้ความหมายคุณค่าต่อหัวหน้าเผ่าของชาวบ้านแต่ละคนนั้น ค่อนข้างที่จะแตกต่างหลากหลาย บางส่วนให้ความสำคัญกับเฉพาะหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้บุกเบิกหมู่บ้านคนแรก ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับการตั้งหัวหน้าเผ่าคนใหม่ บางส่วนเน้นย้ำว่าผู้สืบทอดต่อจากหัวหน้าเผ่าที่เสียชีวิตแล้วควรเป็นผู้ที่มาอยู่ในหมู่บ้านเป็นครอบครัวที่สองต่อจากครอบครัวของหัวหน้าเผ่าคนเดิม ถ้าหากยังไม่มีสมาชิกในครอบครัวของหัวหน้าเผ่าเดิมคนใดที่เหมาะสม ซึ่งจากความหลากหลายทางความคิดดังกล่าวทำให้อำนาจบารมีของคนที่เป็นหัวหน้าเผ่านั้นถูกลดทอนอ่อนแอลงไป (หน้า 134) |
|
Education and Socialization |
ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อพิธีกรรม (ศาสนา) ของกะเหรี่ยงเกิดจากการเรียนรู้ผ่านญาติที่อาวุโสกว่าในตระกูลเดียวกันซึ่งมีความรู้มากกว่าเท่านั้น อีกทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาก็มีลักษณะที่ทำซ้ำ ๆ แบบเดิมที่เคยทำกันมาโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง จึงกล่าวได้ว่ากะเหรี่ยงขาดแรงกระตุ้นที่จะเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ หรือประสบการณ์ที่แปลกใหม่จากเดิมที่มีอยู่ (หน้า 135) |
|
Health and Medicine |
กะเหรี่ยงเชื่อว่าความเจ็บป่วยทั้งหลายเป็นอาการที่เทพฯ ต้องการสื่อต่อมนุษย์ ซึ่งการทำให้ผู้ป่วยพ้นจากโรคได้นั้น จะต้องให้เทพฯ เป็นผู้รักษาปัดเป่า โดยหลังจากที่ผู้ป่วยหายแล้ว จะมีการทำพิธีกรรมขอบคุณเทพฯ (หน้า 127) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อกะเหรี่ยงมีการติดต่อสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นพร้อมกับระบบการปกครองของรัฐไทย ซึ่งในช่วงนี้ร่องรอยรูปแบบวิถีชีวิตเกี่ยวกับการย้ายที่อยู่อาศัยที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ก็เห็นจะมีเพียงการสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ในหมู่บ้านเท่านั้น (หน้า 124) |
|
|