สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โลกทัศน์, พิธีกรรม, ความเชื่อ, บทบาทหญิงชาย, เชียงใหม่
Author Kumiko Yamamoto
Title Religion and Religion Change in a Hill Karen Community of Northwestern Chiang Mai Province
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 13 Year 2534
Source Journal of the Siam Society pp. 124-137
Abstract

การศึกษาชิ้นนี้กระทำในพื้นที่ชุมชนบ้านแม่ขะปู ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่าศาสนาของกะเหรี่ยงอยู่ในรูปแบบของการนับถือเทพ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญต่อการทำพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพบูชา และอธิษฐานบนบานต่อเทพ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ และเทพผู้ดูแลดินแดนทั้งนี้ เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (The Guardian Deity) ถือเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของทุกชีวิต ทั้งในเรื่องสุขภาพความเจ็บป่วย ชะตาการเกิดการตาย ชีวิตหลังความตาย ฯลฯ โดยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเรือน สัตว์เลี้ยง หรือมีเด็กเกิดใหม่ จะต้องทำพิธีบอกกล่าวให้เทพฯ ได้รับรู้ ขณะที่เทพผู้ดูแลดินแดน (The Territorial Deity) ถือเป็นเจ้าของอาณาเขต และทรัพยากรของชุมชน ซึ่งแต่ละครอบครัวต้องทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เรียกว่า "l ta:" (หน้า 135) เพื่อวิงวอนให้เทพฯ ช่วยปกป้องคุ้มครองเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดี

Focus

พรรณนาโลกทัศน์ และลักษณะพิธีกรรมของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นพื้นฐานพฤติกรรมทางสังคม และการเมือง (หน้า 124) รวมทั้งความเชื่อเดิมเรื่องเทพผู้คุ้มครองชนเผ่า เทพผู้ปกป้องดินแดนอันมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในด้านต่าง ๆ ความเชื่อเกี่ยวกับสถานะ บทบาทหน้าที่ และการสืบทอดหัวหน้าเผ่า

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw Karen) (หน้า 124)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงในบ้านแม่ขะปู (Me kha pu) เชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาประมาณสองร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785-1795 จากบริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวินซึ่งในปัจจุบันเรียกว่าประเทศเมียนม่าร์ (หน้า 124)

Settlement Pattern

เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา กะเหรี่ยงเริ่มสร้างบ้านด้วยไม้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยอย่างถาวร แทนที่การใช้ไม้ไผ่สร้างกระท่อมตามประเพณีเดิม ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเป็นแรงหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมในอนาคต (หน้า 129) ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วกะเหรี่ยงจะไม่อพยพโยกย้ายที่อยู่หากยังควบคุมสถานการณ์ได้ เช่น ไม่ได้เกิดโรคระบาด ที่มีคนตายบ่อยๆ การตายของเด็กทารก การตายแบบผิดปกติของธรรมชาติ รวมทั้งการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่า (หน้า 133)

Demography

ในช่วงระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมานั้น มีการอพยพเคลื่อนย้ายประชากรในพื้นที่การศึกษา โดยหลายชาติพันธุ์อย่างเช่น ม้ง และคนไทย ได้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้จำนวนประชากรของหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น และนำไปสู่ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง (หน้า 124) ภายหลังจากการแต่งงานของคู่บ่าวสาว ฝ่ายชายจะต้องย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ตัวเอง ไปอยู่อาศัยที่บ้านเรือนของทางฝ่ายหญิง จากการสังเกตของผู้ศึกษานั้น พบว่าผู้ชายที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับญาติเดิมของตนมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงที่นี่มีอัตราการอพยพเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง (หน้า 132) อย่างไรก็ตาม การอพยพเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่อันเนื่องจากการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่า (บรรพบุรุษผู้บุกเบิกหมู่บ้าน) ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ในช่วงกลางทศวรรษ 50 (หน้า 133) ธรรมเนียมปฏิบัติประการหนึ่งของการย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงก็คือ ห้ามคู่สามีภรรยาที่มีอายุมากกว่าหัวหน้าเผ่า ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของหัวหน้าเผ่าคนนั้น (หน้า 134)

Economy

การทำนาดำนั้น เริ่มทำกันเมื่อ 120 ปีมานี้เอง อันเป็นสิ่งที่พลิกผันวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง ทำให้พวกเขาปักหลักอาศัยอยู่เป็นที่ และเริ่มครอบครองที่ดินโดยถาวร ทั้งนี้ วัวควายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความจำเป็นเพราะสามารถใช้การทำนา และได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่ายิ่งในเวลาต่อมา (หน้า 124) เมื่อเริ่มมีประชากรหนาแน่นขึ้น ที่ดินทำกินเริ่มมีจำกัด อันทำให้ความสามารถในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนที่ดินในการทำไร่มีน้อยลง และพื้นที่ทำนาดำของลูกหลานแต่ละคนที่ได้รับจากบรรพบุรุษก็ลดลงไปด้วย นอกจากนั้น การที่กะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่น ๆ มากขึ้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปรับเอาวิถีการปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือปลูกพืชเพื่อขาย (หน้า 124) ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าชาวบ้านเก็บพืชพันธุ์หลายอย่างนั้นมาจากป่า แต่แหล่งอาหารส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้มาจากการทำเกษตรกรรม (หน้า 130) วิถีชีวิตมีการเปลี่ยนไปเป็นการอยู่อาศัยอย่างเป็นหลักแหล่งกับพื้นที่เพาะปลูกของตน นอกจากนั้น การได้รับมรดกในรูปของที่นาก็เป็นสาเหตุให้มีความแพร่หลายของการเกษตรในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเช่นกัน อย่างไรก็ดี การทำพิธีกรรมในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ เป็นการทำพิธีซึ่งกระทำเพิ่มเติมจากที่ได้ทำไปแล้วในพื้นที่ที่ปราศจากแหล่งน้ำ ทั้งนี้ บางครอบครัวที่ใช้แหล่งน้ำร่วมกันในการทำเกษตรกรรม ยังมีการทำพิธีกรรมร่วมกันที่บริเวณแหล่งน้ำนั้นอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากะเหรี่ยงมีความเคารพรู้คุณในพื้นที่ที่เขาครอบครองทำกินอยู่ (หน้า 132)

Social Organization

การแต่งงานของกะเหรี่ยงจะจัดขึ้นที่ในหมู่บ้านของเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อแม่ของเจ้าสาวเป็นเวลา 1 ปี หลังแต่งงาน ซึ่งแม้ว่าบ่าวสาวทั้งคู่มีอิสระในการเลือกเรือนหอหลังจากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว แต่ก็มักจะเลือกสร้างบ้านใกล้ ๆ บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง ทั้งนี้ พ่อแม่ของกะเหรี่ยงมักอยู่ร่วมกับลูกสาวคนเล็กและสามี หลังจากลูกคนอื่น ๆ ได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว (หน้า 125) กะเหรี่ยงมีกฎเกณฑ์ห้ามสมาชิกในครอบครัวแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง และญาติสนิทที่อยู่ในสายตระกูลข้างแม่ถึงสี่ชั่วรุ่น คือ รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก รุ่นลูกของลูกสาว และลูกของลูกสาวของลูกสาว กลุ่มที่สองที่ถูกห้ามแต่งงานกันเอง คือ พวกที่พ่อแม่ไปเข้าร่วมพิธีเดียวกัน การแต่งงานภายในครอบครัวเดียวกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม โดยบุคคลของครอบครัวในระยะ 4 รุ่น หรือ 4 ชั่วคนถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง ผู้ที่เป็นพ่อต้องห้ามไม่ให้ลูกชายของลูก (หลาน) และลูกสาวของลูก (หลาน) แต่งงานกัน และห้ามเหลนแต่งงงานกันด้วย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อดังกล่าวก็ค่อย ๆ ลดความเข้นข้นลงเรื่อยมาในแต่ละรุ่น เพราะเนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเกรงกลัวว่าเทพฯ จะโกรธเคืองกันแล้ว และไม่เชื่อเหมือนคนรุ่นก่อนว่าหากฝืนประเพณีนี้จนทำให้เทพฯ ขุ่นเคืองแล้ว จะทำให้ตนเองต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นหมัน หรือถึงฆาต (หน้า 129) ทรัพย์สมบัติภายหลังจากการแต่งงานแล้วของคู่บ่าวสาว ให้ถือเป็นสมบัติร่วมกันของทั้งคู่ระหว่างครองชีวิตด้วยกัน แต่ก็มีการแบ่งถือครองสมบัติที่มีอยู่อย่างชัดเจนเช่นกัน กล่าวคือ หากเป็นสัตว์อย่างเช่น หมู และไก่ให้ถือเป็นของภรรยา ขณะที่สัตว์ใหญ่อย่างช้าง วัว ควาย ให้ฝ่ายสามีเป็นผู้ครอบครองดูแล ทั้งนี้ หากภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว ให้ทำการรื้อทำลายบ้าน รวมทั้งขายหรือฆ่าหมูและไก่ที่มีลักษณะพิเศษไปเสีย ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ เนื่องจากทรัพย์สมบัติที่สามารถตกทอดเป็นมรดกได้อนุญาตเฉพาะแค่สัตว์ใหญ่ และที่นาเท่านั้น (หน้า 131) การสืบทอดมรดกของพ่อแม่ไปรุ่นลูกนั้น จะทำการแบ่งให้ลูกแต่ละคนได้รับสมบัติเท่า ๆ กัน แต่สำหรับลูกสาวคนสุดท้องจะได้มากกว่าลูกคนอื่น ๆ โดยตามธรรมเนียมแล้วลูกสาวแต่ละคน จะได้ผืนนาเป็นมรดก ส่วนลูกชายจะได้รับสัตว์เลี้ยงเป็นมรดก ซึ่งประเพณีปฏิบัติดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าชุมชนในพื้นที่การศึกษามีลักษณะสังคมที่เพศหญิงมีความสำคัญหรือบทบาทที่โดดเด่นนั่นเอง (หน้า 131-132) อย่างไรก็ตาม หากพื้นที่ทำกินถูกแบ่งปันไปสู่บรรดาลูก ๆ เพศชายแล้ว ลูกชายคนโตจะต้องรับผิดชอบในการทำพิธีกรรม แต่หากลูกชายคนโตได้รับที่ดินเพียงผู้เดียว เขาจะต้องทำพิธีกรรมโดยที่น้อง ๆ ไม่ต้องเข้าร่วมทำพิธีเลย เพราะถือว่าอยู่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากลูกชายคนสุดท้องได้รับที่ดินเพียงผู้เดียว พี่ ๆ ก็ยังถูกกำหนดให้ต้องเป็นผู้ทำพิธีกรรมเช่นกันไม่ใช่หน้าที่ของน้องคนสุดท้องที่ได้มรดกไป (หน้า 132) พ่อแม่มักจะมอบที่ดินที่มีแหล่งน้ำเป็นมรดกให้กับลูกที่อยู่อาศัยใกล้ ๆ กับพ่อแม่ หรืออยู่กับพ่อแม่เป็นคนสุดท้าย ซึ่งโดยมากมักเป็นลูกสาว แต่ลูกสาวที่ได้รับที่ดินนั้นตามหลักปฏิบัติก็ไม่สามารถทำพิธีกรรมได้ (เนื่องจากผู้ทำพิธีกรรมกับเจ้าของอาณาเขตต้องเป็นผู้ชาย) ดังนั้น จะต้องให้พี่ชายเป็นผู้ทำพิธีกรรมในพื้นที่ที่ได้รับมาแทน เพื่อบอกกล่าวแก่เจ้าของเขตแดนว่ามีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น ๆ ซึ่งแต่เดิมเป็นของพ่อ (หน้า 132) โดยน้องสาวที่เป็นเจ้าของที่ดินคนใหม่จะต้องไม่มีส่วนจัดเตรียม หรือเข้าร่วมพิธีนี้เลย เพราะตามหลักปฏิบัติแล้วห้ามมิให้แต่ละครอบครัวทำพิธีกรรมหนึ่ง ๆ ร่วมกัน (หน้า 133) การตายของหัวหน้าเผ่าได้นำไปสู่ความล่มสลายของความสัมพันธ์ทางชนเผ่า ส่งผลให้ขาดการรวมตัวเหนียวแน่นแบบเดิม แต่เกิดการแตกตัวของครอบครัวต่าง ๆ ไปคนละทิศคนละทาง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในสังคมกะเหรี่ยงนั้น ครอบครัวเดี่ยวต่าง ๆ ถือเป็นหน่วยเบื้องต้นของสังคม ดังนั้นการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่าก็หมายถึง การขาดเสาหลักของตระกูลไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง จึงเกิดการย้ายถิ่นออกจากหมู่บ้านจากหลาย ๆ สาเหตุ เช่น การไปอยู่ร่วมกับคนของหมู่บ้านอื่น หรือการไปสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่โดยสถาปนาหัวหน้าเผ่าคนใหม่ (หน้า 133)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษามีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่ 2 อย่าง คือ (1) เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ของตน และจารีตในการแต่งงาน ซึ่งจะต้องมีหัวหน้าครอบครัวทางฝ่ายหญิงคอยจัดการเกี่ยวกับพิธีกรรมอยู่ (2) เทพชั้นสูงสุดผู้คอยดูแลอาณาเขต ซึ่งจะมีการติดต่อกับทางชาวบ้านที่เป็นชาย หรือผู้นำของหมู่บ้าน เป็นเทพที่กำหนดกิจกรรมในชีวิตของฝ่ายชาย และความสงบสุขในการอยู่ร่วมกัน (หน้า 124) ความเชื่อ และพิธีกรรมเกี่ยวกับเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (The Guardian Deity หรือ Max xa:) เทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ (ซึ่งโปรดปรานอาหารอย่างเนื้อหมู และเนื้อไก่) จะเป็นผู้ดูแลทุกชีวิตระหว่างการตาย และการเกิด คอยกำหนดชะตาการเกิดของแต่ละคน ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการไปผุดไปเกิดจะต้องบอกกล่าวแก่เทพองค์นี้ว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร และอยากใช้ชีวิตเป็นระยะเวลายาวนานเพียงไร ตลอดจนรูปแบบชีวิตที่ต้องการเป็นเช่นไร ทั้งนี้ หากมนุษย์ที่ตายแล้วไม่ยอมกลับสู่ปรโลก ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่คอยล้างผลาญชีวิตของมนุษย์ผู้อื่น ส่วนผู้ที่ตายด้วยอุบัติเหตุรุนแรง แบบเลือดตกยางออก ก่อนเวลาที่เทพกำหนดไว้ หรือตายท้องกลม จะยังไม่สามารถกลับสู่โลกมนุษย์ได้ทันที แต่ต้องรอจวบจนเวลาที่จะได้จุติ และในระหว่างที่รอนั้นจะต้องเที่ยวหาอาหารด้วยการจู่โจมเหล่ามนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลก (หน้า 125) กะเหรี่ยงเชื่อว่าแต่ละคนจะมีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ 37 ดวง ซึ่งมีดวงวิญญาณหนึ่งเป็นผู้นำของดวงอื่น ๆ โดยที่ภายหลังจากการเกิดแล้ว ดวงวิญญาณผู้นำจะกลายบุคลิกนิสัยของคน ๆ นั้น ขณะที่อีก 36 ดวง(ซึ่งอยู่กันเป็นคู่ ๆ ทั้งสิ้น 18 คู่) ที่เหลือจะกลายเป็นส่วนของร่างกาย ดวงวิญญาณทั้ง 36 รักที่จะเร่ร่อนเข้าออกจากร่างเจ้าของ ทำให้ในบางครั้งหลงทาง หรือถูกผีร้ายจับไป สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าของร่างต้องเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ดังนั้น กะเหรี่ยงจะตระหนักถึงการเรียกหาดวงวิญญาณกลับมา และผูกตรึงให้อยู่กับเจ้าของร่างไม่ให้หนีหายไปไหน(หน้า 125) ในการทำพิธีที่เกี่ยวกับเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์นั้น เรือนจะเป็นศูนย์กลางในการทำพิธี โดยคู่บ่าวสาวเป็นผู้ดำเนินพิธีกรรม ด้วยการพูดจาสื่อสารกับพ่อแม่ของพวกเขาอันถือเป็นตัวแทนของเทพฯ ในพิธีกรรมนี้มีสิ่งเหนือธรรมชาติ 3 อย่างที่เข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ เทพฯ ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ และเปรตขอส่วนบุญ ซึ่งเป็นวิญญาณผู้หิวโหยที่ขึ้นต่อเทพฯ (หน้า 125) โดยบรรดาลูกหลานที่ทำพิธีต้องวางอาหารไว้ให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่จะส่งต่อให้เทพฯ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงเปรตขอส่วนบุญทั้งหลาย (หน้า 126) ลักษณะของการทำพิธีก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ก็จะวางอาหารไว้เพื่อให้ดวงวิญญาณของพ่อแม่นำอาหารกลับไป หากทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้พ่อแม่สามารถทานอาหารที่ใช้ในพิธี และถ้าคนหนึ่งคนใดเสียชีวิตก็จะให้คนที่มีชีวิตอยู่ทานอาหารเสียครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งให้ดวงวิญญาณที่ล่วงลับนำกลับไป อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพิธีจะต้องดำเนินการโดยทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แต่ฝ่ายหญิงมีบทบาทเด่นกว่า เนื่องจากพิธีทำที่บ้านของฝ่ายหญิง ผู้เข้าร่วมทางฝ่ายหญิงมีมากกว่า และยังเป็นคนที่กระทำอะไรในพิธีก่อนฝ่ายชาย (หน้า 126) ทั้งนี้ คู่บ่าวสาวที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ ๆ นั้น ต้องซื้อไก่และหมูอย่างละตัวเพื่อใช้ในการทำพิธี โดยที่สัตว์ซึ่งซื้อมาถือว่าเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง และมีกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับการปฏิบัติต่อสัตว์ดังกล่าวมากพอ ๆ กับกฎที่ต้องปฏิบัติต่อบ้านเรือนทีเดียว นอกจากนั้น ภายหลังหากฝ่ายหญิงเสียชีวิตไปนั้น จะต้องฆ่าสัตว์ทั้งคู่ตามไปด้วยเพื่อติดตามเธอไปในอีกโลกหนึ่ง (หน้า126) พิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติมีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน ซึ่งใช้ระยะเวลา 4 ชั่วคืน คือ 1) สักการะบูชาด้วยไก่โดยฝ่ายหญิง (คืนที่หนึ่ง) 2) สักการะบูชาด้วยไก่โดยฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย (คืนที่สอง) 3) สักการะบูชาด้วยไก่ และหมูโดยฝ่ายหญิง และไก่โดยฝ่ายชาย(คืนที่สาม) 4) สักการะบูชาด้วยไก่ และหมูโดยทั้งฝ่ายหญิง และฝ่ายชาย (คืนที่สี่) ซึ่งอันที่จริงแล้ว ชายหญิงกะเหรี่ยงถูกกำหนดให้ทำพิธีหลังจากสร้างบ้านใหม่ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายหญิงถือเป็นตัวแทน และมีบทบาทสูงกว่าในการทำพิธีกรรม (หน้า126) ขั้นตอนวิธีการในการทำพิธีบวงสรวงเทพฯ เริ่มจากฝ่ายภรรยาหุงข้าวเตรียมไว้ จากนั้นฝ่ายสามีจะเชือดหมูจากนอกบ้าน แล้วนำเข้าไปในบ้านเพื่อสวดมนต์ให้กับสิ่งเหนือธรรมชาติ 3 อย่าง (เทพฯ ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ และเปรตขอส่วนบุญ) โดยหมูจะถูกนำออกนอกบ้านอีกครั้งเพื่อควักเอาเครื่องในออกมา และย่างกับไฟ จากนั้นจึงนำหมูเข้ามาให้พ่อแล่เนื้อออกเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ฝ่ายภรรยาจะเอาเนื้อหมูมาปรุงในแกง และจบด้วยการจัดโต๊ะอาหารโดยมีหัวหมูกลางโต๊ะซึ่งฝ่ายชายหยิบเนื้อหมูชิ้นเล็ก ๆ และข้าวรับประทานก่อน ตามด้วยฝ่ายหญิง และลูก ๆ จากคนโตสุดไปถึงคนเล็ก จนกระทั่งปิดท้ายด้วยบรรดาหลาน ๆ ของฝ่ายหญิง (หน้า126-127) อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะเรียบง่ายและกะทัดรัดมากขึ้นในรุ่นหลัง ๆ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับชุมชนอื่นแล้ว ถือว่าชุมชนที่ศึกษานี้ฝ่ายหญิงมีบทบาทไม่มากเท่ากับที่ชุมชนอื่นเป็น และพิธีกรรมจะดำเนินไปโดยเน้นภายในครอบครัวเดี่ยวเสียมากกว่า (หน้า 127) เหตุผลของการทำพิธีกรรมดังกล่าวมีอยู่ 3 ประการ คือ 1) เป็นการบวงสรวงบูชาเทพฯ ให้ปัดเป่าความทุกข์ และโรคภัยไข้เจ็บจนหมดสิ้นไป เพราะกะเหรี่ยงเชื่อว่าทั้งความเจ็บป่วยและความฝันใด ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่ดลบันดาลโดยเทพฯ ทั้งนี้ หากมีโรคเรื้อรัง หรือรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว หล่ะก็ จะต้องมีการปรึกษาหมอผู้ชำนาญพิธีกรรม ซึ่งจะนับเม็ดข้าว และกระดูกไก่เพื่อเสี่ยงทายรูปแบบของพิธีกรรมที่จะต้องดำเนินการ 2) เพื่อลบล้างพฤติกรรมมิถูกมิควรของสัตว์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดหายนะแก่คน โดยกะเหรี่ยงเชื่อว่าพฤติกรรมที่ผิดปกติบางอย่างของสัตว์ที่เลี้ยงนำไปสู่ความเสียหายแก่เจ้าของ เช่น แม่ไก่ขันได้ การที่สัตว์เพศเดียวกันจับคู่กัน หรือการที่สัตว์ออกลูกมาเฉพาะตัวเมีย หรือตัวผู้ล้วน ๆ หากพฤติกรรมเป็นเช่นที่ว่านี้ฝ่ายหญิงจะต้องนำไปฆ่าเพื่อทำพิธีกรรม โดยสำหรับไก่จะทำพิธีเพียงวันเดียว ส่วนหมูจะทำพิธีถึง 3 วัน (หน้า 127) 3) เพื่อสร้างความสมบูรณ์ถูกต้องในครอบครัว กล่าวคือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาแล้ว คู่บ่าวสาวจะต้องแจ้งให้กับเทพฯ ได้รับรู้ด้วย เช่น เมื่อสัตว์ตัวใดตายไปก็ต้องแจ้งเทพฯ ว่าสัตว์ตัวอื่น ๆ เป็นสัตว์ที่เหลืออยู่ หรือเป็นสัตว์ตัวเก่าซึ่งมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ เมื่อคู่บ่าวสาวแต่งงานแล้วมีการสร้างบ้านใหม่เกิดขึ้น ก็ต้องมีพิธี "ทำบ้านใหม่ให้เก่า" คือเป็นการแจ้งว่ามีการย้ายบ้าน และสร้างบ้านหลังใหม่(เพราะบ้านถือเป็นสถานที่ทำพิธีกรรม เมื่อมีการย้ายก็ต้องแจ้งให้ทราบสถานที่ทำพิธีแห่งใหม่) รวมทั้งหากมีเด็กเกิดใหม่ ก็ต้องทำพิธีแจ้งเทพฯ ให้ทราบเกี่ยวกับเด็กที่เกิดมาใหม่นี้ โดยบวงสรวงด้วยไก่เป็นเวลา 2 วัน (หน้า 128) นอกจากพิธีกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว กะเหรี่ยงยังมีวิถีปฏิบัติต่อเทพฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เทพฯ ขุ่นเคืองด้วย เพราะเชื่อว่าหากครอบครัวใดทำให้เทพฯ โกรธแล้ว จะส่งผลให้คนในครอบครัวนั้นเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือกลายเป็นคนบ้า ทั้งนี้การกระทำอันทำให้เทพฯขุ่นเคือง ได้แก่ การขายหรือฆ่าสัตว์ที่มีลักษณะเด่น(แปลก) โดยไม่ทำพิธีบอกกล่าวต่อเทพฯ การทำพิธีผิดขั้นตอน หรือเปลี่ยนแปลงประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา รวมทั้งการหลายครัวเรือนทำพิธีกรรมร่วมกัน (ตามหลักแล้วแต่ละครอบครัวต้องทำกันเอง) (หน้า 128) ความเชื่อ และพิธีกรรมเกี่ยวกับเทพผู้ดูแลอาณาเขต (The Territorial Deity หรือ k' ca) k' ca แปลว่า เจ้าของ อันสามารถแบ่งได้เป็นหลายกลุ่มตามพื้นที่ที่ดูแลเป็นเจ้าของอยู่ ทั้งที่เป็นท้องฟ้า ผืนดิน ภูเขา และแม่น้ำ โดยกะเหรี่ยงเชื่อว่าภูเขาและแม่น้ำแต่ละแห่งมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของอยู่ ซึ่งเทพฯ ที่ดูแลรักษาภูเขา และแม่น้ำเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเขตแดน แต่เจ้าของเขตแดนที่ว่านี้ก็อยู่ใต้อำนาจเจ้าของเขตแดนชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นเทพผู้ปกป้องครอบครองดินแดนพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ (หน้า 129) อย่างไรก็ตาม การทำพิธีกรรมต่อเทพทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นถูกจำกัดให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น ทั้งนี้ ชาวบ้านยังมีการทำพิธีกรรมร่วมกันทั้งหมู่บ้านอีกด้วย โดยผู้ทำพิธีก็คือ หัวหน้าหรือผู้นำของหมู่บ้าน (หน้า 130) ความจริงแล้วเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดมิใช่เป็นเทพเสียทีเดียว แต่ค่อนข้างจะเป็นวิญญาณของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่มาก่อนที่คอยปกป้องทั้งสิ่งที่มีชีวิต (คน,สัตว์,ต้นไม้) และไม่มีชีวิต (ดิน,หิน,ทราย ฯลฯ) ตลอดจนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ โดยข้อกำหนดว่าชาวบ้านต้องแจ้งให้ทราบถึงการแต่งงาน การซื้อสัตว์ใหญ่ และการล่าสัตว์ข้ามเขตแดน นอกจากนั้น พิธีกรรมที่ทำเป็นประจำทุกปีซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรรมก็คือ การขอร้องให้เจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุด รวมทั้งเจ้าของอาณาเขตอื่น ๆ ช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเขา ซึ่งพิธีกรรมนี้เรียกว่า "l ta" (หน้า 130) โดยที่หากเชิญเจ้าของอาณาเขตมาได้มากเท่าใด ก็จะทำให้การปกป้องคุ้มครองให้อยู่ดีมีสุขเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (หน้า 131) "l ta:" เป็นพิธีบวงสรวงที่จัดขึ้นที่แปลงนาของแต่ละครัวเรือน ในช่วงระหว่างการปลูกกับการเก็บเกี่ยว วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้เจ้าของเขตแดนคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของตน โดยวิธีการทำพิธีอย่างคร่าว ๆ ก็คือ การจัดเตรียมอาหาร (ข้าว, ไก่ 2 ตัว, เหล้า) ศาลสำหรับเป็นที่กราบไหว้บูชา และอธิษฐานสวดมนต์ต่อหน้าศาลเจ้าของเขตแดน โดยเชือดคอไก่และรินเลือดไก่ลงบนศาลบูชา ต่อจากนั้นจึงเชิญเจ้าของอาณาเขตมาทานอาหาร และปิดท้ายด้วยการให้คนในครอบครัวกินอาหารที่ไหว้ตามลำดับอาวุโส (หน้า 130) ทั้งนี้ ในระหว่างที่สวดมนต์นั้น บรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ภรรยา และลูก ๆ จะต้องประสานมือเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงความเคารพบูชาต่อเจ้าของอาณาเขต (หน้า 131) พิธีกรรมที่กะเหรี่ยงปฏิบัติต่อเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์ และเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดดำเนินการโดยหน่วยครอบครัวเหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างในด้านสิ่งของที่ใช้ถวายเทพฯ ในพิธี ตัวอย่างเช่น สำหรับเหล้านั้นจะใช้ในการบวงสรางเจ้าของเขตแดนชั้นสูงสุดเพียงเท่านั้น และการฆ่าไก่บูชายัญเพื่อเจ้าของเขตแดนใช้วิธีการเชือดคอไก่ และไม่หั่นเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ แต่สำหรับการทำพิธีต่อเทพผู้คุ้มครองเผ่าพันธุ์นั้น ใช้วิธีการรัดคอโดยไม่ให้มีเลือดไก่ไหลออกมาเลย และหั่นเนื้อไก่ออกเป็นหลาย ๆ ชิ้น (หน้า 131) ความเชื่อเกี่ยวกับหัวหน้าเผ่า หรือบรรพบุรุษรุ่นแรก (zi: kho:) zi: kho: คือ ชาวบ้านคนแรกที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นคนแรกที่ติดต่อกับเจ้าของอาณาเขตที่เจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุดเป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ คนผู้นี้จึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการขอร้องอธิษฐานให้เทพฯ ช่วยปกป้องคุ้มครองทรัพย์สมบัติ และสวัสดิภาพของคนในหมู่บ้าน (หน้า 133) ภาระหน้าที่อันสำคัญของหัวหน้าเผ่าก็คือ การเป็นผู้นำทำพิธีกรรมของหมู่บ้านต่อเจ้าของอาณาเขตชั้นสูงสุด โดยหัวหน้าเผ่าจะเป็นคนกำหนดวันทำพิธี และทำพิธีทุกขั้นตอนก่อนชาวบ้านคนอื่น ๆ นอกจากนั้น ยังเป็นผู้สวดมนต์อธิษฐาน และคำนับด้วยเหล้าเพื่อให้เทพฯ ปกป้องคุ้มครองคนทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นผู้ทำหน้าที่เชื่อมต่อครอบครัวเดี่ยวแต่ละครอบครัวให้เป็นองคาพยพเดียวกันในพิธีกรรม (หน้า 133) หัวหน้าเผ่ามีภาระที่จะต้องเข้าร่วมงานแต่งงานของทุกคนในหมู่บ้าน และทำหน้าที่บอกกล่าวต่อเจ้าของอาณาเขตถึงการย้ายที่อยู่ของเจ้าบ่าวด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังดำรงฐานะเสมือนเป็นพระสงฆ์ของหมู่บ้าน ซึ่งผลงาน และสิ่งต่าง ๆ ที่หัวหน้าเผ่าทำงานอุทิศตนให้กับหมู่บ้านนั้น มิได้รับอะไรตอบแทนนอกจากความเคารพเลื่อมใสจากลูกบ้าน (หน้า 133) ทั้งนี้ การสถาปนาหัวหน้าเผ่าคนใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ใน 3 รูปแบบ ก็คือ 1) การสืบทอดการเป็นหัวหน้าเผ่าทางสายเลือดโดยลูกชายคนโต ภายหลังการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่าคนเดิม 2) การที่หัวหน้าเผ่าและลูกบ้านย้ายออกจากหมู่บ้านไปตั้งหมู่บ้านใหม่(เพราะเชื่อว่าเจ้าของอาณาเขตไม่ชอบหัวหน้าเผ่าหรือลูกบ้านบางคน) โดยที่มีลูกบ้านบางส่วนซึ่งไม่ยอมย้ายไปอยู่กับหัวหน้าเผ่าคนเดิม จึงแยกไปตั้งหมู่บ้านของกลุ่มตัวเองแล้วตั้งหัวหน้าเผ่าคนใหม่ที่จะติดต่อทำพิธีกับเจ้าของอาณาเขตในพื้นที่หมู่บ้านแห่งใหม่ (ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในชุมชนที่ศึกษานี้) 3) การที่ครอบครัวหนึ่งย้ายออกจากหมู่บ้านเดิมมาอยู่โดด ๆ ในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครครอบครอง จากนั้นจึงชวนญาติบางครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน แล้วสถาปนาหัวหน้าครอบครัวของครอบครัวแรกที่มาอยู่หมู่บ้านแห่งใหม่นี้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า อย่างไรก็ตาม ในยุคหลังจากช่วงกลางทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา คุณสมบัติของการขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ และยืดหยุ่น (หน้า 133) การให้ความหมายคุณค่าต่อหัวหน้าเผ่าของชาวบ้านแต่ละคนนั้น ค่อนข้างที่จะแตกต่างหลากหลาย บางส่วนให้ความสำคัญกับเฉพาะหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้บุกเบิกหมู่บ้านคนแรก ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับการตั้งหัวหน้าเผ่าคนใหม่ บางส่วนเน้นย้ำว่าผู้สืบทอดต่อจากหัวหน้าเผ่าที่เสียชีวิตแล้วควรเป็นผู้ที่มาอยู่ในหมู่บ้านเป็นครอบครัวที่สองต่อจากครอบครัวของหัวหน้าเผ่าคนเดิม ถ้าหากยังไม่มีสมาชิกในครอบครัวของหัวหน้าเผ่าเดิมคนใดที่เหมาะสม ซึ่งจากความหลากหลายทางความคิดดังกล่าวทำให้อำนาจบารมีของคนที่เป็นหัวหน้าเผ่านั้นถูกลดทอนอ่อนแอลงไป (หน้า 134)

Education and Socialization

ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อพิธีกรรม (ศาสนา) ของกะเหรี่ยงเกิดจากการเรียนรู้ผ่านญาติที่อาวุโสกว่าในตระกูลเดียวกันซึ่งมีความรู้มากกว่าเท่านั้น อีกทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาก็มีลักษณะที่ทำซ้ำ ๆ แบบเดิมที่เคยทำกันมาโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง จึงกล่าวได้ว่ากะเหรี่ยงขาดแรงกระตุ้นที่จะเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ หรือประสบการณ์ที่แปลกใหม่จากเดิมที่มีอยู่ (หน้า 135)

Health and Medicine

กะเหรี่ยงเชื่อว่าความเจ็บป่วยทั้งหลายเป็นอาการที่เทพฯ ต้องการสื่อต่อมนุษย์ ซึ่งการทำให้ผู้ป่วยพ้นจากโรคได้นั้น จะต้องให้เทพฯ เป็นผู้รักษาปัดเป่า โดยหลังจากที่ผู้ป่วยหายแล้ว จะมีการทำพิธีกรรมขอบคุณเทพฯ (หน้า 127)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อกะเหรี่ยงมีการติดต่อสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นพร้อมกับระบบการปกครองของรัฐไทย ซึ่งในช่วงนี้ร่องรอยรูปแบบวิถีชีวิตเกี่ยวกับการย้ายที่อยู่อาศัยที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ก็เห็นจะมีเพียงการสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ในหมู่บ้านเท่านั้น (หน้า 124)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst เกรียงกมล ธีระศักดิ์โสภณ Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โลกทัศน์, พิธีกรรม, ความเชื่อ, บทบาทหญิงชาย, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง