สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ ลายผ้า ความสัมพันธ์ทางสังคม ราชบุรี
Author ชนัญ วงษ์วิภาค
Title ผ้าพื้นเมืองมอญ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 153 Year 2536
Source สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

งานวิจัยได้ครอบคลุมตั้งแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเน้นเรื่องผ้าพื้นเมืองมอญ ซึ่งศึกษาในแง่ของอุปกรณ์ ขั้นตอนการทอผ้า สีสันลวดลาย และบริบทผ้าพื้นเมืองต่อสังคม

Focus

ศึกษากระบวนการทอผ้า ลายผ้า และการใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ในบริบททางสังคม

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่ามอญเป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งเรียกว่ารามัญ เป็นมอญที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง เขตอำเภอบ้านโป่ง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ ชุมชนวัดนครชุมน์ ชุมชนวัดม่วง ชุมชนคุ้งพะยอม ชุมชนวัดหัวหิน และชุมชนบ้านม่วง (หน้า 5)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ตุลาคม 2535-ตุลาคม 2536 โดยแบ่งการทำงานภาคสนามเป็น 2 ช่วง คือ ตุลาคม 2535-มีนาคม 2536 สำรวจสภาพเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนที่เลือกศึกษา และทำงานสนามในชุมชนที่เลือกวิจัย ช่วงหลัง พฤษภาคม -ตุลาคม 2536 เก็บข้อมูลสนามครั้งที่ 2 เพิ่มเติม

History of the Group and Community

ลุ่มน้ำแม่กลองที่เป็นพื้นที่หุบเขามีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อาศัยอยู่ ได้แก่ ละว้า กะเหรี่ยง กร่าง และข่า บริเวณที่ราบลุ่มริมน้ำมีกลุ่มชาติพันธุ์ มอญ ลาว ญวน มุสลิม และจีน อพยพเข้ามาทำมาหากินกัน มอญปรากฏหลักฐานการเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ.2127 สมัยพระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง การอพยพมีต่อมาอีกหลายคราว จนถึงปี พ.ศ.2367 การอพยพมี 4 ครั้งสำคัญ คือ สมัยสมเด็จพระนเรศวร สมัยสมเด็จพระนารายณ์ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะมีผู้อพยพไปอยู่มากที่สุด รองลงมา คือ ลุ่มน้ำแม่กลอง กลุ่มมอญในเขต อ.บ้านโป่งและโพธารามได้รับพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 1 ให้สะสมผู้คนแยกย้ายกันตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มน้ำแม่กลอง โดยมีพระยามอญ 7 คนเป็นผู้นำ มอญที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขต อ.บ้านโป่ง และ อ.โพธารามช่วงแรก และในช่วงหลังชอบสร้างหมู่บ้านเรียงรายริมลำน้ำแม่กลองทั้งสองฝั่ง แต่ละบ้านมีวัดเป็นศูนย์กลางชุมชน โดยชุมชนวัดนครชุมน์และชุมชนวัดม่วงเป็นถิ่นที่มอญตั้งหลักแหล่งตั้งแต่สมัยอยุธยา (หน้า8-10)

Settlement Pattern

มอญในบริเวณนี้นิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง เพื่ออาศัยแม่น้ำเป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายคน และสัญจรไปมาด้วยเรือ เนื่องจากทางบกที่ใช้สัตว์เป็นพาหนะ คือ วัวและควาย ช่วงฤดูฝนดินจะกลายเป็นโคลนตมมีน้ำเจิ่งนอง ซึ่งเป็นข้อจำกัด การตั้งบ้านเรือนริมแม่น้ำแม่กลองมีประโยชน์ด้านการทำมาหากินเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ และยังได้นำน้ำมาอุปโภคบริโภคด้วย แม่น้ำยังเอื้อต่องานประเพณี เช่น การทอดกฐิน การแข่งเรือด้วย (หน้า 10-14) บ้านเรือนมีทั้งเรือนเครื่องสับและเครื่องผูก โดยเรือนเครื่องสับจะสร้างจากไม้เนื้อแข็ง เข้าลิ้น เดือย มุงหลังคาบ้านด้วยกระเบื้องดินเผา ส่วนเรือนเครื่องผูกจะสร้างจากไม้ไผ่ ใช้ตอก หวาย หรือเถาหญ้านางผูกโครงสร้างส่วนต่างๆ ของบ้าน หลังคามุงด้วยจากหรือหญ้าคา (หน้า 22)

Demography

บ้านม่วงมีจำนวนครัวเรือน 120 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 494 คน เป็นชาย 243 คน เป็นหญิง 251 คน (หน้า 122)

Economy

ในอดีตมอญบ้านโป่ง-โพธารามยึดอาชีพการทำนาทำไร่และหาของป่าล่าสัตว์ ผลผลิตส่วนเกินก็จะแบ่งขายให้กับพ่อค้าเร่ที่เข้ามาซื้อในชุมชน เหตุนี้การทำนาแบบอาศัยน้ำฝน โดยปลูกทั้งข้าวเบาและข้าวหนัก สำหรับข้าวเบาจะใช้ระยะเวลา 3 เดือนจึงจะให้ผลผลิต ส่วนข้าวหนักนั้นจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่ข้าวหนักจะให้ผลผลิตที่สูงกว่าข้าวเบา เมื่อ 40 ปีก่อนหากทำนาทำไร่ไม่ค่อยได้ผลก็จะหาของป่ามาเป็นอาหารช่วยเสริม เช่น การขุดหัวกลอยมาหมักและตากไว้หุงผสมกับข้าว นำหน่อไม้มาดองไว้กินยามแล้ง สัตว์ป่าและผลไม้ก็หาได้จากป่า ( หน้า 15-16) ส่วนบริเวณที่ดอนจะปลูกฝ้าย โดยฝ้ายที่ปลูกนั้นมีพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งฝ้ายชนิดนี้ชาวบ้านจะเรียกว่า ฝ้ายน้อยหรือฝ้ายบ้าน และอีกชนิด คือ ฝ้ายใหญ่เป็นฝ้ายพันธุ์ผสมที่ของราชการ โดยปริมาณการปลูกฝ้ายเพื่อใช้ในครัวเรือนจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาชิกในครอบครัว หากเป็นครอบครัวใหญ่หรือจะมีงานบวชนาคหรืองานแต่งงานที่ต้องใช้ผ้าก็จะปลูกฝ้ายเพิ่ม โดยทั่วไปครอบครัวที่มีลูก 2 คน จะต้องใช้ฝ้ายประมาณ 1 ไร่ นอกจากนี้ยังมีฝ้ายอีกชนิด เรียกว่า ฝ้ายตุ่น เนื่องจากมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ายขนของตัวตุ่น สีจะไม่ขาวและไม่ให้ความนุ่มเหมือนสองชนิดแรก จึงมักนำไปใช้ทอเป็นผ้าห่มมากกว่าผ้าชนิดอื่น แต่อย่างไรฝ้ายตุ่นนี้ก็เป็นฝ้ายพื้นเมืองที่ปลูกมายาวนาน (หน้า 17) แรงงาน ใช้แรงงานคนและสัตว์ การแลกเปลี่ยนแรงงานมี 2 รูปแบบ คือ "การเอาแรง" และ "การขอแรง" โดย "การเอาแรง" ถือเป็นการติดหนี้ต้องเปลื้องหนี้ภาระด้วยการไปใช้แรงงานกลับคืน ส่วน "การขอแรง" คือ การไหว้วานคนใกล้ชิดโดยผู้เป็นเจ้าภาพจะมีอาหารและเครื่องดื่มมาบริการและเครื่องดื่มมาบริการเป็นการขอบคุณ (หน้า 36-37) การพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาฯ ตั้งแต่ ฉบับที่ 1 ส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมาก การพัฒนามุ่งการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สารเคมีในการเกษตร และการปลูกพืชเศรษฐกิจตามความต้องการของตลาด ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เกิดการขายแรงงานจากท้องถิ่นสู่ระบบตลาดแรงงาน คนหนุ่มสาวจะเข้าไปทำงานในเมือง (หน้า 30-31)

Social Organization

สังคมของมอญเป็นสังคมชาวไร่ชาวนาครอบครัวเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค การแต่งงานนิยมแต่งในกลุ่ม แต่ไม่มีการแต่งงานกับพี่น้องที่เป็นญาติสนิท สังคมมอญให้ความสำคัญทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ การเลือกที่อยู่หลังแต่งงานขึ้นอยู่กับเงื่อนไข เช่น เศรษฐกิจ แรงงาน และความพอใจส่วนตัว (หน้า 33-34) การแบ่งแรงงานในครอบครัวมีลักษณะ ดังนี้ แม่จะเป็นผู้ดูแลลูกเล็ก ๆ แม้เวลาทำงานในไร่นาก็จะนำลูกไปด้วย เมื่อเด็กชายโตขึ้นก็จะแยกไปกับพ่อ ซึ่งจะทำงานประเภทการไถพรวนดินด้วยควายในการเพาะปลูก เด็กสาวจะอยู่กับแม่เกือบตลอดเวลา สำหรับลูกสาวจะเป็นผู้ช่วยแม่ทำงานต่าง ๆ เช่น หยอดเล็ดฝ้าย แบกกระบุงตะกร้าฝ้าย ส่วนคนแก่ เช่น ย่า ยาย จะเป็นผู้ดูแลฝ้ายที่ตากอยู่บริเวณระเบียงบ้าน และเป็นผู้หีบฝ้ายพร้อมทั้งเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ (หน้า 19-20) การติดต่อและการแต่งงานมักจะอยู่ในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแต่งงานแล้วการตั้งครอบครัวจะเลือกจากทั้งฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนแรงงาน การเป็นบุตรคนสุดท้อง และความพอใจส่วนตัว ในปัจจุบันมีการติดต่อสัมพันธ์และการแต่งงานกับคนนอกท้องถิ่นมากขึ้น (หน้า 34) การสืบทอดผีบรรพบุรุษนั้นมอญมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษที่บุตรชายคนโตจะเป็นผู้ทำพิธี "รำผี" เพื่อเซ่นบูชาผีของตระกูลพี่น้องฝ่ายพ่อต้องเข้าร่วมพิธีในโอกาสต่าง ๆ เช่น การแต่งงานที่ฝ่ายหญิงต้องเข้าไปอยู่กับผีฝ่ายสามี ก็ต้องทำพิธี "ลุมตา" เพื่อลาออกจากการคุ้มครองของผีฝ่ายพ่อไปอยู่ในความคุ้มครองของผีฝ่ายสามี (หน้า 34) การสืบทอดมรดกในอุดมคติจะมีการแบ่งมรดกที่เท่ากันทั้งลูกชายและลูกสาว แต่ที่ดินเพาะปลูกและบ้านของพ่อแม่มักจะตกเป็นของลูกคนสุดท้อง เนื่องจากเป็นผู้ดูแลพ่อแม่ยามชรา ส่วนบ้านที่มีต้นผีก็จะเป็นของลูกชายคนโตที่จะต้องรับหน้าที่เลี้ยงผีต่อไป (หน้า 35) ระบบเครือญาติจะเป็นความสัมพันธ์ที่จะแลกเปลี่ยนแรงงานในการประกอบอาชีพซึ่งได้แก่การทำนาเป็นส่วนใหญ่ โดยการทำนานี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนแรงงาน 2 แบบ คือ การเอาแรง และการขอแรง ซึ่งการเอาแรงรูปแบบการลงแขกจะมีในการทำนาทุกขั้นตอน การขอแรงจะพบในการปลูกสร้างบ้านเรือน การประกอบพิธีกรรมเนื่องในชีวิต และการทำงานหนักที่ต้องใช้แรงงานคนในการแบกหาม (หน้า 36-37)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

มอญมีระบบความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ โดยบุตรชายคนโตของตระกูลทั้งสมาชิกครอบครัวของญาติพี่น้องข้างฝ่ายพ่อจะต้องร่วมพิธี "รำผี" เพื่อเซ่นบูชาผีในโอกาสต่างๆ ครอบครัวฝ่ายหญิงจะทำพิธี "ลุมตา" เพื่อลาจากความคุ้มครองดูแลของผีตระกูลพ่อไปอยู่ในความดูแลของผีตระกูลสามี ความเชื่อเรื่องผีไม่ผูกมัดเฉพาะสมาชิกเพศชายเท่านั้น (หน้า 34) คนมอญบ้านโป่งและโพธารามเป็นพุทธศาสนิกชนที่จะสร้างสมคุณงามความดี เพื่อผลบุญที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตโดยการทำบุญด้วยการถวายจีวร สบง เป็นการทำบุญกุศลอย่างหนึ่ง (หน้า 112)

Education and Socialization

ช่างฝีมือ หรือ งานช่าง จะสืบทอดความรู้และได้รับการฝึกฝนเป็นกิจจะลักษณะ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างแกะสลัก ช่างปั้น ช่างแต่ละคนจะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้มาขอฝึกฝน โดยครูมีทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ ส่วนการสืบทอดและการเรียนรู้งานหัตถกรรมไม่ถือว่าเป็นลักษณะของช่างฝีมือ สังคมจะคาดหวังว่าสมาชิกควรมีความสามารถทำงานต่างๆ ได้เหมาะสมกับเพศและวัย เด็กหนุ่มจะหัดทำเครื่องจักรสาน อุปกรณ์ทำนา เครื่องใช้ในบ้านตามอย่าง ปู่ ตา พ่อ และญาติผู้ชายคนอื่นๆ เด็กสาวจะเลียนแบบย่า ยาย แม่ และญาติผู้หญิงในการถักทอเสื่อ และเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเศรษฐกิจและสังคม (หน้า 27-28)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

หัตถกรรมที่เกี่ยวกับอาชีพทำนา เช่น กระบุง กระด้ง ตระแกรง ซึ่งใช้เป็นภาชนะบรรจุผลผลิตและใช้ร่อนหรือฝัดผลผลิต (หน้า 21) นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทำนาที่สำคัญ เช่น คันไถ คราด แอก อ้อม เคียว คันหลาว ไม้หนีบข้าว พลั่วสาดข้าว คันฉาย กระพ้อม ถังตวง หัตถกรรมที่เกี่ยวกับการจับสัตว์น้ำมีหลายชนิดและหลายขนาด เช่น ลอบ รัน ไซ ข้อง ตุ้ม อีจู้ กระชัง ชะนาง เฝือก สุ่ม แห อวน(ตะครัด) สวิง ตะขอหวดปลาหลด ฉมวก อุปกรณ์จับสัตว์ในป่า เช่น กระบอกดัก ตาข่าย แร้ว ธนู หน้าไม้ หอก และหนังสติก (หน้า 23) การแต่งกาย ผู้ชายมอญจะโพกศีรษะให้ปมผ้าซ่อนอยู่ด้านหลังศีรษะบริเวณท้ายทอย โดยผ้าที่นิยมโพก คือ ผ้าขาวม้า ซึ่งผ้าขาวม้าที่ใช้โพกศีรษะกับที่ใช้นุ่งห่มจะไม่ใช้ร่วมกัน (หน้า 102) เสื้อของคหบดีหรือขุนนางจะใส่เสื้อแขนยาวคอจีนมีปกผ่าอกตลอด (หน้า 103) โสร่งและผ้าขาวม้ามี 3 ชนิด ใหญ่ ๆ คือ ลายเม็ดพุทรา ลายตะแกรง และลายหมากรุก โดยลายเม็ดพุทราจะมีขนาดกว้าง*ยาวของลายเฉลี่ย 0.5*0.5 ซ.ม. ลายตะแกรงขนาด 1*1 ซ.ม. ลายตารางหมากรุกมี 3 ขนาด ลายใหญ่สุด คือ 3*3 ซ.ม. รองลงมา คือ 2.5*2.5 ซ.ม. และขนาดเล็กที่สุดเท่ากับ 2*2 ซ.ม. ผ้าลายตะแกรงชาวบ้านจะใช้อย่างกว้างขวาง (หน้า 75-78) สมัยก่อนผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบนเป็นสีพื้นอย่างเดียว สีที่นิยม ได้แก่ สีเขียวหัวเป็ด สีม่วงเข้ม สีเม็ดมะขาม ผ้าโจงกระเบนที่มีลวดลายมีอยู่ 2 ลาย คือ ลายเม็ดมะขาม และลายตะแกรง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวยากหมากแพงจึงหันมานุ่งผ้าซิ่น โดยลวดลายผ้าซิ่นมีการพัฒนา แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ผ้าซิ่นลายลงและผ้าซิ่นลายขวาง ผ้าซิ่นลายลง มีอยู่หลายแบบ ได้แก่ 1.ผ้าลายลงที่เป็นริ้วธรรมดา 2.ผ้าซิ่นลายลงที่มีการสอดไส้ลายให้ผ้ามีหลากสี 3.ผ้าซิ่นทางลงที่มีการสอดไส้สลับกับลายริ้วที่ไขว้เส้นด้าย 4.ผ้าลายลงที่ทบโดยใช้ด้ายไขว้ทอเป็นริ้วทางตลอดผืน ผ้าซิ่นทางขวางมี 4 แบบ 1.ลายทางขวางอย่างเดียว 2.ลายทางขวางสอดไส้หนึ่งเส้น 3.ลายทางขวางสอดไส้สองเส้น 4.ลายทางขวางที่ไม่ต่อผ้าเป็นหัวซิ่นและตีนซิ่น แต่รวมหัวซิ่นกับตัวซิ่นเข้าด้วยกัน และต่อตีนซิ่นลายขวาง 5-6 เส้น (หน้า 83-88) - ผ้าคลุมไหล่มีขนาด 2.5*5 เมตร โดยทอเป็นลายเม็ดพุทรา และลายตะแกรง ซึ่งการทอมักไม่ค่อยสอดลาย เพราะเนื้อที่มีขนาดเล็ก ชายผ้าจะปล่อยให้เป็นชายครุยที่ถักเกลียวหรือถักทอรูปเปีย ผ้าสไบมีสีขาวไม่มีดอกและผ้าสไบหลากสี โดยแบบสีขาวจะเป็นผู้สูงอายุใช้ ผ้าสไบอาจตัดจากผ้าสีสดใส เช่น สีชมพู สีฟ้าอ่อน และสีเหลืองขมิ้น บางครั้งยังใช้ผ้าสไบลายเม็ดพุทราและลายตะแกรงขนาดเล็ก ผ้าสไบมีขนาดกว้างยาวน้อยกว่าผ้าคลุมไหล่ครึ่งหนึ่ง (หน้า 91-92) เครื่องใช้ผ้า และใช้ด้าย - ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน และผ้าฉาก ผ้าเหล่านี้จะเป็นผ้าสีขาวลายตารางหรือลายริ้วสีสด (หน้า 94) - ถุงย่าม ถุงย่ามทำเป็นลายทางลงพื้นขาว ริ้วลายสีดำทึบแทรกตรงกลาง หรือสอดไส้ลายริ้ว ย่ามนิยมใช้มี 3 ขนาด ค้อ ขนาดปากกว้าง 8 นิ้ว 10 นิ้ว และ 12 นิ้ว - ผ้าห่อคัมภีร์ทำจากไม้ไผ่เหลาแล้วถักด้วยด้ายสีต่างๆ หุ้มซี่ไม้ไผ่เป็นลาดลายเรขาคณิต เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม ปัจจุบันไม่ปรากฏผู้ทำผ้าห่อคัมภีร์ได้ (หน้า 96)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การติดต่อทางเรือ ทางรถไฟ และรถยนต์ ทำให้ประชากรในเขตเทศบาลมีการอพยพเข้ามาของพ่อค้าแม่ค้าคนจีน และการเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของคณะสงฆฺ์กรุงปารีสนิกายโรมันคาทอลิก เช่น วัดนักบุญยอเซฟ (หน้า 29) ชุมชนบ้านม่วงมีวัดเป็นศูนย์กลางการอนุรักษ์แบบแผนการดำเนินชีวิตแบบเดิมของมอญ การสวดมนต์ การเทศน์ การให้ศีลให้พรด้วยภาษามอญ การส่งบุตรหลานผู้ชายเรียนภาษามอญจากพระ (หน้า 128)

Social Cultural and Identity Change

การนุ่งผ้าแบบพันรอบตัวแล้วปล่อยชายผ้าให้ซ่อนอยู่ด้านในอีกชายหนึ่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง ค่อยๆ หมดความนิยมไป โดยเฉพาะรัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามออกประกาศให้ราษฎรแต่งกายตามแบบรัฐกำหนด (หน้า 105-106) การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับปริมาณการผลิตผ้าพื้นเมือง และการนำเส้นใยสำเร็จรูปที่ย้อมสีมาใช้แทนฝ้าย โดยนิยมใช้เส้นใยสังเคราะหฺ์ประเภทโทเรแทนฝ้าย ลวดลายผ้ามีการสอดไส้ทั้งผ้าของผู้ชายและผู้หญิงมากกว่าผ้าทอรุ่นเก่า เพราะการสอดไส้มีโอกาสแทรกเส้นใยสีต่าง ๆ ในผืนผ้ามากขึ้น ชุมชนไม่นิยมทอผ้านุ่งห่มอย่างในอดีต แต่ในงานประเพณีนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามประเพณี โดยคงยึดสีสันและลวดลายให้เหมาะกับเพศและวัยเช่นเดิม ความสัมพันธ์ทางสังคมมีการลดและเลิกทอผ้าทำให้บทบาทของสตรีเปลี่ยนแปลงไป คือ ต้องทำนาปรังในช่วงฤดูแล้ง คนหนุ่มสาวออกรับจ้างตัดอ้อย ทำงานในโรงงานแถบ จ.ราชบุรีและกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น (หน้า 123-124)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst วิฑูรย์ คุ้มหอม Date of Report 18 พ.ค. 2559
TAG มอญ ลายผ้า ความสัมพันธ์ทางสังคม ราชบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง