|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,กวย,ช้าง,ความเชื่อ,พิธีกรรม,สุรินทร์ |
Author |
พิทยา หอมไกรลาศ |
Title |
"ตากลาง" หมู่บ้านช้างแห่งลุ่มน้ำมูล |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
148 |
Year |
2540 |
Source |
กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ |
Abstract |
บ้านตากลาง เป็นหมู่บ้านกวย มีอาชีพหลัก คือ การเลี้ยงช้าง และยังคงรักษาพิธีกรรมความเชื่อที่เกี่ยวกับช้าง เช่น พิธีเซ่นหนังประกรรม พิธีปะชิ พิธีเบิกไพร พิธีประสะ พิธีลาประกรรม และความสามารถในการฝึกและเลี้ยงช้าง ที่ต้องอาศัยความยอมรับและเชื่อใจกันระหว่างช้างและควาญช้าง ทั้งนี้ต้องศึกษาและสังเกต จากเสียงร้อง กริยาท่าทาง และลักษณะของช้าง นอกจากพิธีกรรมเกี่ยวกับช้างแล้ว กวยยังมีพิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตมากมายที่ยังคงได้รับการยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา |
|
Focus |
พิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง การโพนช้าง การฝึกและเลี้ยงช้าง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กวย ซึ่งนักมานุษยวิทยาสันนิษฐานว่าอยู่ใน ตระกูลออสโตรลอยด์ กวยมีรูปร่างเตี้ย จมูกแบน ผิวดำ ผมหยิก ริมฝีปากหนา (หน้า 19) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากวยเป็นภาษาหลักของบ้านตากลาง แต่เนื่องจากพื้นที่ใกล้เคียงมีคนไทยเชื้อสายเขมรและลาวอยู่มาก ทำให้ชาวบ้านตากลางยังสามารถพูดภาษาเขมร ภาษาลาว และภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาราชการ ภาษากวยเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก อยู่ในตระกูลย่อยกลุ่มมอญ-เขมร ภาษากวยเป็นภาษาที่มีพยางค์สองลักษณะ คือ พยางค์ที่มีสระเสียงก้อง มีลมเปล่งขึ้นมาขณะพูด และพยางค์ที่มีเสียงสระธรรมดา ซึ่งการเปล่งเสียงสระสองแบบนี้สามารถใช้แยกความหมายของคำออกจากกันได้ (หน้า 22) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวบ้านตากลาง ส่วนใหญ่เป็นกวย ซึ่งกวยได้เข้ามาตั้งรกรากกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ กันในอีสานตอนใต้เป็นเวลาช้านาน ตามพงศาวดาร กล่าวว่า กวยแทรกโพนช้างแถบดงใหญ่ได้ช่วยคล้องจับช้างเผือกที่แตกโรงมาทางแขวงเมืองพิมายส่งคืน ในสมัยพระบรมราชาที่ 2 (พระที่นั่งสุริยามรินทร์) กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ทำให้หัวหน้าชุมชนมีความดีความชอบได้รับปูนบำเหน็จให้เป็นเจ้าเมืองรวมทั้งเจ้าเมืองสุรินทร์ สันนิษฐานว่ากวยบ้านตากลางจะเป็นลูกหลานกวยที่เคยช่วยกรุงศรีอยุธยาจับช้างเผือก และเชื่อว่าหมู่บ้านตากลางนี้น่าจะมีอายุมาสามชั่วอายุคน คือ ประมาณ 150-250 ปี ตั้งแต่อยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ ชื่อของหมู่บ้านสันนิษฐานว่า มาจากทำเลที่ตั้งหมู่บ้านซึ่งอยู่ตรงกลางพื้นที่ป่าสงวน หรืออาจมาจากชื่อหัวหน้าชุมชนผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน(หน้า 18) |
|
Settlement Pattern |
บ้านตากลางมีศูนย์กลางหมู่บ้านอยู่บนโคก (เนิน) มีบ้านเรียงรายอยู่ตามแนวถนนสายหลังของหมู่บ้าน บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง หากมีช้าง ส่วนหน้าบ้านมักใช้เป็นโรงช้าง มีหลังคาสูงราว 4 เมตรเพื่อใช้ผูกช้างยามค่ำคืน ใต้ถุนบ้านแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ ใช้เป็นคอกสัตว์ โรงเลี้ยงไหม ทอผ้าและเก็บอุปกรณ์ทำนา บ้านที่ทำนาจะมียุ้งฉางไว้ใกล้บ้าน บ้านของหมอช้าง จะมีศาลประกรรม ลักษณะเป็นหอไม้ 4 เสา หันหน้าไปทางทิศเหนือ ใช้เป็นที่เก็บหนังประกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือ ด้านบนบ้านยกพื้นเป็นสองระดับ ส่วนบนมีฝากั้นเป็นห้องของพ่อแม่และลูกที่ยังเล็กหรือลูกสาว ส่วนที่เปิดโล่งจัดเป็นที่นอนของลูกชาย โดยพื้นที่ต่ำกว่าจะใช้เป็นที่ประกอบอาหาร และเก็บของ บ้านกวยโบราณจะไม่มีหน้าต่าง เพื่อลดปัญหาเรื่องชู้สาว ในเวลาที่ผู้ชายออกไปคล้องช้างป่า และเพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน (หน้า 24-25) |
|
Demography |
บ้านตากลางมีประชาชนอาศัยอยู่ทั้งหมด 201 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 1,200 คน มีช้าง รวมทั้งหมด 124 เชือก (หน้า 25) |
|
Economy |
ชาวบ้านตากลางมีอาชีพหลากหลาย เช่น ทำนา ทำไร่ ขายแรงงาน ค้าขาย แต่อาชีพที่นำรายได้สู่หมู่บ้านมากที่สุดมาจากการเลี้ยงช้าง ในอดีตรายได้มาจากการขายช้างให้กับธุรกิจทำไม้ เพื่อใช้ชักลากไม้ แต่เมื่อรัฐบาลปิดสัมปทานทำป่าไม้ บ้านตากลางจึงไม่มีรายได้ส่วนนี้ ปัจจุบันควาญช้างจะฝึกช้างให้แสดงความสามารถทำงานรับจ้างตามปางช้างหรือสวนสนุก ถ้าแสดงเก่ง สวยและนิสัยดีอาจได้ถ่ายโฆษณา หรือภาพยนตร์ หรือเดินทางไปแสดงที่ต่างประเทศ ส่วนช้างกลุ่มที่ไม่มีงานทำ พากันออกเดินทางเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ มีรายได้จากการขายเครื่องรางของขลัง ภายหลังได้ขายกล้วย อ้อย ให้ประชาชนซื้อเลี้ยงช้าง (หน้า 126-127) |
|
Social Organization |
ลักษณะทางสังคมของบ้านตากลาง เป็นโครงสร้างที่มาจากสังคมคนเลี้ยงช้าง ยังมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างสมาชิกในหมู่บ้าน สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วยคนหลายวัย ผู้อาวุโสกว่าจะเป็นผู้ชี้นำผู้อ่อนกว่า สตรีกวย มีหน้าที่ดูแลความสะอาดเรียบร้อยของบ้าน ดูแลเรื่องเครื่องนุ่งห่มของคนในครอบครัว ผู้ชายทำงานใช้แรงงาน เช่น แต่งคันนา ล่าสัตว์หาอาหาร จักสาน หรือดูแลเลี้ยงช้าง ในยามที่ต้องลงแรงและทำงานแข่งกับเวลา เช่น ไถนา ดำนา เกี่ยวข้าว ทั้งเด็ก หนุ่ม สาว คนแก่ ต้องลงแรงช่วยเหลือกัน ชาวบ้านตากลางที่เป็นกลุ่มเครือญาติจะปลูกบ้านอยู่ละแวกเดียวกัน และชาวบ้านตากลางจะมีนามสกุลซ้ำ ๆ กัน มีสกุลใหญ่ คือ "ศาลางาม" และ "จงใจงาม" (หน้า 25) |
|
Political Organization |
บ้านตากลางแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 หมู่ คือตากลาง หมู่ 9 และหมู่ 13 มีผู้ใหญ่บ้านดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี นอกจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว ชาวบ้านที่เลี้ยงช้างยังให้ความเคารพและเชื่อฟังกรรมหลวงหรือครูบาใหญ่ หมอช้างอาวุโส ที่สืบทอดความรู้การจับช้างป่า เวทมนตร์คาถา และพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับช้าง ผู้ได้รับมอบอำนาจเต็มจากพระครู (พราหมณ์พฤก์บาศก์) ให้สามารถกระทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับช้างได้ (หน้า 25) |
|
Belief System |
ชาวบ้านตากลาง มีความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพราหมณ์ พุทธ วิชาคชศาสตร์ และความเชื่อท้องถิ่นเข้าด้วยกัน โดยมีศูนย์รวมความเชื่อและศรัทธา คือ ผีประกรรม เชื่อว่าเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ในเชือกหนังประกรรม เชือกนี้ทำจากหนังกระบือ ฟั่นเกลียวเป็นเชือกยาวประมาณ 40 เมตร เมื่อไม่ได้คล้องช้างจะเก็บไว้ที่ศาลประกรรม กวยเลี้ยงช้างต้องทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อศิริมงคลหรือทำพิธีเสี่ยงทาย ถ้าทำผิดข้อห้ามของประกรรม จะเกิดเหตุร้ายกับคนในครอบครัวหรือช้าง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องครูผู้รักษา สำหรับทารกที่มีรกพันศีรษะ (มีกระจอม) หรือมีรกพาดที่ไหล่ (มีสังวาน) หรือเด็กที่เลี้ยงยาก เจ็บป่วยบ่อย ต้องบูชาครูผู้รักษาตัวเด็ก ด้วยการทำขัน 5 สำหรับเด็กหญิง และขัน 8 สำหรับเด็กชาย ใส่กะลาแขวนไว้ที่หัวนอนของเด็ก แถน คือ ผู้เชื่อมต่อสื่อสารระหว่างคนในครอบครัวกับผีบรรพบุรุษผู้ล่วงลับโดยผ่านพิธีเล่นแถน กระทำเมื่อผู้มีแถนนั้นเจ็บป่วย หรือไม่เล่นแถนมานาน หมอมด หมอส่อง เมื่อเกิดเจ็บป่วยกวยจะไปหาหมอมด เพื่อสอบถามหาสาเหตุของความเจ็บป่วย และวิธีหนึ่งในการหาสาเหตุ คือการทำพิธีโบล โดยใช้ข้าวสาร เหรียญ 1 บาท และทำนายหาสาเหตุโดยดูการแกว่งของฝากระปุกปูน ธรรม์ เป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมนต์และอาการของผู้ต้องมนต์ ที่อาจมีสาเหตุมาจากการทำคุณไส เกิดจากการกระทำของคนที่มีคาถาอาคม ผีเรือน หรือดุงปืด หรือ ยาจั่วดุง เป็นวิญญาณที่ปกป้องคุ้มครองสมาชิกในบ้านให้มีความสุข โดยสร้างหิ้งบูชาไว้ที่หัวนอน และเซ่นไหว้เสมอ เมื่อมีญาติพี่น้องมาค้างที่บ้าน เมื่อสมาชิกในครอบครัวตายหรือเจ็บป่วย ศาลปู่ตา หรือ ยะ-จั่ว-ฮอ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน เปรียบเสมือนกับศาลหลักเมือง และจะต้องเซ่นไหว้ เพื่อให้ปู่ตาคุ้มครอง นอกจากนี้กวยยังเคารพเจ้าป่าเจ้าเขา เทวดานางฟ้า แม่ธรณี และเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง เพื่อปกป้องให้พ้นอันตราย สิ่งชั่วร้ายและช่วยให้มีโชค (หน้า 38-40) ชาวตากลางมีความสัมพันธ์กับศาสนาฮินดูในแง่พิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง มีการนับถือพระคเณศ (เทพที่มีเศียรเป็นช้าง) และพระครูประกรรม (เทวรูปหมอพราหมณ์พฤกบาศ์) สำหรับศาสนาพุทธ ชาวตานับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป โดยมีวัดอยู่ 1 แห่งตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ชื่อ "วัดแจ้งสว่าง" เป็นสถานที่ประกอบกิจทางศาสนาต่าง ๆ (หน้า 50) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของกวยบ้านตากลาง ตามแบบดั้งเดิม คือ ผู้ชายนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ทอขึ้นจากไหมที่เลี้ยงกันในครัวเรือน มีทั้งสีดำ สีแดง สีเม็ดมะขาว หรือสีเหลือบทอง เป็นต้น การแต่งกายแบบดั้งเดิมพบเห็นได้จากผู้สูงอายุ หรือในช่วงมีงานบุญ งานประเพณีที่สำคัญ ผ้าพื้นเมืองประกอบด้วย - ผ้านุ่ง ผ้านุ่งของผู้หญิงจะทอหมี่ขึ้นแถบยาวในแนวดิ่ง ใช้ไหมควบพื้นสีน้ำตาลอมดำ ส่วนผ้านุ่งผู้ชาย มีสีเดียวออกเหลือบมันแต่หนา เมื่อนุ่งจะจับจีบไว้ข้างหน้า ผ้าโสร่งของผู้ชาย ทอเป็นผ้าหนา มีลวดลายเป็นตาสี่เหลี่ยม ประกอบด้วยไหมสีแดง สีเหลือง และสีเขียวเหลือบทอง - ผ้าสไบ ผู้หญิงใช้พาดบ่าโดยทำเป็นลายยกดอก ส่วนผู้ชายใช้ผ้าขาวม้า - ผ้าหัวซิ่น ตีนซิ่น ผ้าหัวซิ่นของผู้หญิงเป็นส่วนต่อขึ้นมาจากตัวผ้าซิ่น เวลานุ่งจะพับลงมาเป็นที่เก็บเงินหรือของมีค่า มักทอเป็นลายขิด ตีนซิ่นเป็นส่วนล่างสุดมีขนาด 3 นิ้ว ทำเป็นสีดำทอด้วยผ้าลายมัดหมี่ ส่วนผ้าคาดเอวของผู้ชาย จะทอเหมือนผ้าหัวซิ่น แต่กว้างกว่า นิยมสีพื้นสีแดงลายขิด อีกด้านทำเป็นซับในใช้เก็บเครื่องรางของขลัง โดยวางเครื่องรางเป็นระยะตามแนวยาวของผ้า ใช้เขาสัตว์หรือเถาวัลย์มัดแยกเป็นเปลาะ ๆ เรียกผ้านี้ว่า "กะไตครู" ใช้คาดเอวเวลาเดินทางไกลไปจับช้าง หรือเวลาทำงานเสี่ยงอันตราย สตรียังมีเครื่องประดับ เช่น ทัดดอกไม้หอมสีขาวไว้ที่ติ่งหู ตุ้มหูเงิน ตุ้มหูทอง สร้อยคอลูกปัดพลาสติก ลูกปัดเงิน (หน้า 26) |
|
Folklore |
ตำนานหมอเฒ่าและพระครูประกรรม เดิมทีพระหมอเฒ่าเป็นผู้มีความสามารถในวิชาคชศาสตร์สูงจับช้างป่าได้เก่งกว่าใคร มีลูกชายชื่อ "ก่อง" เป็นคนที่ระลึกชาติได้ว่า ตนเคยเป็นช้างมาก่อน เมื่อก่องโตขึ้น พระหมอเฒ่าได้พาก่องเข้าป่าเพื่อฝึกคล้องช้างป่า และพาภรรยาไปด้วย โดยให้รอทีที่พัก ระหว่างทางสองพ่อลูกได้เถียงกันตลอดว่าจะคล้องลูกช้าง หรือแม่ช้าง เมื่อพบโขลงช้าง พระหมอเฒ่าจะคล้องลูกช้าง ส่วนก่องอยากคล้องแม่ช้าง เพราะจำได้ว่า แม่ช้างนี้เป็นแม่ของเขาจึงขึ้นหลังแม่ช้างหายเข้าป่าไป ส่วนภรรยาของพระหมอเฒ่าถูกเสือกินจนเหลือแต่เศษเนื้อแขน พระหมอเฒ่าผู้เสียทั้งบุตรและภรรยาจึงประกาศต่อบรรดาหมอช้างว่า ตนนั้นหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าได้กล่าวถึงตัวเราอีกต่อไป และฝากแขนภรรยาให้หมอช้างถักติดบ่วงบาศก์ที่ใช้คล้องช้าง ให้เรียกว่า "แขนนาง" ส่วนเวลาหมอออกคล้องช้างหรือฝึกช้างให้เรียกถึงก่องด้วย เพราะก่อง เป็นเจ้าของช้างทุกตัวในป่าแล้ว พระครูประกรรมได้รับคำพระหมอเฒ่าไว้เพื่อสืบประเพณีคล้องช้างต่อไป โดยมีกฏห้ามไม่ให้หมอช้างพ่อกับลูกเข้าป่าด้วยกัน ห้ามไม่ให้นำภรรยาเข้าป่าด้วย และห้ามไม่ให้หมอช้างขี่คอช้างป่าตัวที่เคยคล้องได้เข้าป่าและห้ามเถียงกัน (หน้า 56-57) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มกวยเลี้ยงช้าง และมีพิธีกรรมเกี่ยวกับช้างที่ยังคงสืบทอดต่อมา ที่สำคัญ คือ พิธีประกรรม และการโพนช้าง นอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์ทางด้านภาษาที่ยังคงใช้ภาษากวย และการแต่งกายแบบดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกวย |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเลี้ยงช้างนั้นมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปโดยเฉพาะป่าไม้ วิถีชีวิตของควาญช้างและช้างก็เปลี่ยนไป จากการเลี้ยงช้างเพื่อชักลากไม้ในธุรกิจทำไม้ เปลี่ยนมาฝึกเพื่อการแสดงตอบสนองการท่องเที่ยว หรือเข้ามาเร่ร่อนหากินในเมือง |
|
Other Issues |
การโพนช้างหรือการจับช้างป่า ฤดูโพนช้างเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ยกเว้นช่วงฤดูแล้ง ซึ่งน้ำหายากช้างป่าไม่ออกมาที่ราบ ไปแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 5-8 เดือน ก่อนจะเดินทางไปจับช้างป่าต้องทำ "พิธีเซ่นหนังประกรรมและเสี่ยงทายกระดูกคางไก่" ถ้ากระดูกงองุ้มถือเป็นรางร้ายห้ามเดินทางเด็ดขาด ก่อนจะเดินทางใครที่ยังไม่เคยออกคล้องช้าง คือ ไม่เคยปะชิเป็นหมอช้างมาก่อน กรรมหลวงหรือครูบาใหญ่หัวหน้าคณะโพนช้างจะทำ "พิธีปะชิ" ให้ เมื่อทำเสร็จแล้วจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎกติกาข้อห้ามต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เส้นทางโพนช้าง ภายหลังที่มีการสูญเสียพื้นที่ป่าเป็นจำนวนมาก ขบวนคล้องช้างจึงมุ่งลงทางใต้และทางตะวันออก ใช้เส้นทางผ่านช่องเขาพนมดงรัก ผ่านพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เช่น ศีรษะเกศ สุรินทร์ อุบลราชธานี เข้าสู่ประเทศกัมพูชา ไปทางตะวันออกเรื่อยไปจนถึงแขวงจำปาศักดิ์ เมื่อเดินทางถึงป่าที่จะคล้องช้าง ต้องทำ "พิธีเบิกไพร" เพื่อเซ่นสรวงเจ้าป่า เมื่อพบช้างก็ทำการโพนช้าง โดยใช้เชือกประกรรม ในระหว่างที่คล้องช้างเกิดทำผิดข้อห้ามหรือคล้องได้ช้างที่มีลักษณะต้องห้าม ต้องทำ "พิธีประสะ" เพื่อชำระโทษปัดเสนียดจัญไรให้กับผู้คล้องช้าง เมื่อจับช้างได้มากพอและข้าวสารเหลือน้อยจะยกขบวนกลับหมู่บ้าน เมื่อถึงบริเวณป่าใกล้หมู่บ้าน นำเชือกประกรรมมากองรวมกัน ทำ "พิธีลาประกรรม" เมื่อถึงหมู่บ้านนำเชือกประกรรมมาเก็บที่ศาลตามเดิม จากนั้น 3-4 วัน จึงทำ "พิธีแก้บน" และแบ่งส่วนช้างกัน (หน้า 64-72) การฝึกช้าง ก่อนที่จะนำช้างไปใช้งาน จำเป็นต้องฝึกช้างเพื่อให้ช้างคุ้นเคยกับคน และการผูกล่าม โดยเลือกฝึกช้างที่อายุน้อยประมาณ 3-5 ปี สูงไม่เกิน 5 ฟุต ก่อนฝึกช้างจะต้องทำ "พิธีเซ่นผีประกรรม" ทำ "พิธีสู่ขวัญช้าง" เพื่อเป็นศิริมงคลต่อตัวช้าง พิธีนี้สามารถกระทำได้หลายโอกาส เช่นเมื่อได้ช้างมาใหม่ ช้างคลอดลูก เมื่อช้างหายจากเจ็บป่วย หลังจากกลับจากการทำงานต่างถิ่น และเมื่อจะตัดงาช้าง หลังจากสู่ขวัญแล้ว จึงทำ "พิธีจับขาช้าง" (พิธีควาอาเจียง) เพื่อปัดรังควาญผีป่าผีดงออกจากตัวช้าง จากนั้นจึงนำช้างไปฝึก อุปกรณ์สำหรับฝึกช้างมี คอกฝึก ขอ หรือตะขอ และกรีง (ปลอกขา) (หน้า 84-87) การเลี้ยงช้าง ช้างจะยอมรับและทำตามคำสั่งเฉพาะควาญช้างที่เลี้ยงดูเขา ควาญต้องพยายามเรียนรู้อุปนิสัยของช้างที่ดูแลให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัย และสร้างความสัมพันธ์จนช้างยอมรับ ควาญต้องเข้าใจเสียงช้างร้อง เพราะแสดงถึงสภาพอารมณ์ของช้าง สังเกตกิริยาของช้าง ควาญจะสอนช้างให้จดจำคำสั่ง ควบคุมช้างด้วยการสัมผัส และการใช้ตะขอและมีด รวมทั้งการดูลักษณะ กิริยา รูปร่าง ของช้างที่ดีและไม่ดี (หน้า 94-97) งานเทศกาลและงานบุญเกี่ยวข้องกับช้าง ได้แก่ "งานแสดงช้างสุรินทร์" มีขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ประมาณปลายเดือนตุลาคม ช้างที่เร่ร่อนหรือทำงานต่างถิ่น จะทยอยเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อมาร่วมงานนี้ "งานแข่งช้างว่ายน้ำ" และแข่งเรืออำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นวันเสาร์อาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และ "งานแห่นาค" (วันวิสาขบูชา) เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ วันขึ้น 14 ค่ำ เป็นวันแห่ นาคจะทาหน้าทาปาก ศีรษะสวมกระจอม (ชฎา) มีผ้าคลุมไหล่สีสดใส นาคจะแต่งตัวให้จำไม่ได้ เพื่อป้องกันมารมาผจญ ในงานนี้มีช้างมาร่วมขบวนแห่ บางปีมีถึงกว่า 150 เชือก (หน้า 132-133) |
|
|